Thaiihdc.org

  • เพิ่มขนาดตัวอักษร
  • ขนาดตัวอักษรปกติ
  • สดขนาดตัวอักษร
Thaiihdc.org

ชีวิตที่พอเพียง: ๒๐๙๐. ระบบการจัดการงานวิจัยระบบสุขภาพ

พิมพ์ PDF

หนังสือ ๒ ทศวรรษบทเรียนการจัดการงานวิจัยระบบสุขภาพ ช่วยให้ผมทำโยนิโสมนสิการ ระลึกชาติกลับไป ๒๐ ปี    สมทบการทบทวนไตร่ตรองงานของทีมงาน สวรส. ในช่วงท้ายของการดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการ สวรส. ของ นพ. พงษ์พิสุทธิ์ จงอุดมสุข    จัดทำออกมาเป็นหนังสือเล่มนี้    น่าชื่นชมว่า เป็นกระบวนการสั่งสมความรู้ด้านการจัดการงานวิจัยที่ดี

ผมมีอุดมการณ์ว่า ไม่ว่าไปทำงานใด ต้องตีความและสั่งสมความรู้จากประสบการณ์ออกแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับสังคมวงกว้าง    โดยเขียนหนังสือออกเผยแพร่    ดังนั้นการทำหนังสือเล่มนี้ออกตีพิมพ์ แถมยังให้ดาวน์โหลดได้ฟรี จึงถูกใจผมอย่างยิ่ง

ในหน้า ๒๙ ของหนังสือ เป็นเรื่องราวของกิจกรรม NEBT (National Epidemiology Board of Thailand)    หรือชื่อในภาคไทยว่า คณะกรรมการระบาดวิทยาแห่งชาติ    ที่แม้ผมจะทำงานอยู่ที่หาดใหญ่ และไม่มีพื้นความรู้เรื่องนี้เลย    แต่ก็โดน อ. หมอประเวศ ตามให้มาทำงานด้วย    เป็นพื้นความรู้ที่ผมได้เอาไปใช้งาน สมัยทำหน้าที่ ผอ. สกว.   ในบทนี้คุณหมอสมศักดิ์เล่าตกไป ว่า NEBT นี้เป็นที่มาขององค์กรถึง ๒ องค์กร    คือ สวรส. กับ มสช. (มูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ) ที่คุณหมอสมศักดิ์ทำหน้าที่เลขาธิการในขณะนี้    โดยมีการตั้ง สวรส. ขึ้นใหม่   โดยการตรา พรบ. จัดตั้งตามที่เล่าในหนังสือ    และ อ. หมอประเวศกับ นพ. ไพโรจน์ นิงสานนท์ อดีตปลัดกระทรวงสาธารณสุข และอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ร่วมกันมอบหมายให้ นพ. สงวน นิตยารัมภ์พงศ์ ไปจดทะเบียนมูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติเก็บสำรองไว้     ต่อมาเมื่อรัฐมนตรีว่าการ  กระทรวงสาธารณสุขคนหนึ่ง คือคุณบุญพันธ์ แขวัฒนะ ไม่พอใจ อ. หมอประเวศ ต้องการเข้าไปรุกราน NEBT    จึงหอบสมบัติ หนีมาทำงาน มสช. จนปัจจุบันนี้

การทำงานสร้างสรรค์เพื่อรับใช้สังคม ย่อมมีมารผจญได้เสมอ

ผมจะไม่ทบทวนหนังสือเล่มนี้ทั้งเล่ม    ใครอยากรู้ไปอ่านเอาเอง    แต่จะตีความย้ำประเด็นที่ยังไม่ได้ระบุให้ชัดในหนังสือ    คือวิธีทำงานของ สวรส. ในช่วง ๒ ทศวรรษนี้   อยู่ในสภาพ Good impact at low cost    เพราะทำงานในระบบที่ซับซ้อนและปรับตัว (complex-adaptive systems) เป็น     ไม่ตั้งตัวเป็นแหล่งทุนที่ไปสั่งการให้นักวิจัยทำงาน    แต่ทำงานแบบเชื่อมโยงเครือข่าย    ทำให้เกิดหน่วยงานย่อยๆ ที่ทำงานร่วมมือกับ สวรส.    แต่ไม่ได้อยู่ใต้บังคับบัญชามากมาย    ที่เรียกในหนังสือว่า สถาบันภาคี  และ เครือสถาบัน (หน้า ๕๒ - ๕๔)

เครือข่ายเหล่านี้ส่วนใหญ่หาเงินมาทำงานจากภายนอก จากฝีมือการทำงานของตนเอง    และได้รับการสนับสนุนจาก สวรส. ในลักษณะร่วมมือทำงานให้ สวรส.   ไม่ใช่แบมือขอเงินฟรีๆ     การจัดการความสัมพันธ์กับเครือข่ายองค์กรเล็กๆ เหล่านี้แหละ ที่ผมถือว่าเป็นสุดยอดของการจัดการงานวิจัย    หนังสือเล่มนี้ไม่ได้เขียนวิธีการจัดการความสัมพันธ์ กับเครือข่ายเหล่านี้โดยละเอียด    ในบทที่ ๔ - ๗ ในลักษณะของการก่อเกิดและการดำเนินการของหน่วยงานภาคี    ซึ่งผมคิดว่า น่าจะได้มีการตีความลงลึก เพื่อสรุปไว้เป็นข้อเรียนรู้ว่า เพื่อให้เกิดเครือข่ายที่ทำงานรับใช้ประเทศชาติได้กว้างขวาง    หลักการหรือแนวความคิด รวมทั้งวิธีปฏิบัติต่อหน่วยงานเหล่านี้ ควรเป็นอย่างไร    และไม่ควรทำอย่างไร

ได้ข่าวว่าตอนนี้ ผอ. สวรส. ท่านใหม่กำลังหาทางสลัดเครือข่ายเหล่านี้ออกไป    ผมทำนายว่าจะทำให้ สวรส. ยุคนี้มีผลงานตกต่ำ     แต่ก็ได้ข่าวแว่วๆ ว่า นักการเมืองที่บ้าอำนาจ เขาต้องการให้เป็นเช่นนั้น

การจัดการงานวิจัยแบบที่คลาสสิคมากสำหรับ สวรส. คือ จัดการแบบ “ออกลูก”    คือให้กำเนิดหน่วยงานใหม่ ดังระบุในหนังสือแล้ว    หน่วยงานใหม่นี้มี ๒ กลุ่ม คือกลุ่มหน่วยงานเชิงนโยบาย หรือเชิงจัดการระบบใหม่    ได้แก่ สปสช., สสส.,    สช.  และ สรพ.    อีกกลุ่มหนึ่งหน่วยงานเล็กกว่ามาก แต่มีจำนวนมากกว่า คือเป็นหน่วยวิจัย    ได้แก่สถาบันภาคีและเครือสถาบัน ที่ระบุในหน้า ๕๓ - ๕๔   ที่มาของหน่วยงานใหม่กลุ่มแรกตอนต้นน้ำสุดๆ คือตอนอยู่ในช่วงของการวิจัยและพัฒนา     น่าจะเป็นประสบการณ์การจัดการงานวิจัยและพัฒนาเชิงนโยบายที่มีค่ายิ่ง    แต่ไม่ได้รวบรวมไว้    ผมเอามาเสนอไว้ เผื่อในอนาคตมีคนคิดจัดทำหนังสือรวบรวมและสังเคราะห์ประสบการณ์ขึ้นอีก

 

หมายเหตุ

ผมส่งบันทึกนี้ให้คุณหมอสมศักดิ์อ่าน  และได้คำตอบดังนี้

อ่านแล้วไม่แรงหรอกครับ เรื่อง นักการเมืองบ้าอำนาจ อยากให้ผลงานตกต่ำ ความจริง อจ. อาจจะเห็นชัดที่สุดด้วยการใช้ประโยคนี้

มี 2 รายละเอียดที่อยากเพิ่มครับ

1 ตอนยุบ กก. ระบาด ปัจจัยใหญ่มาจาก ไม่พอใจ อจ. หทัย ที่ไปตามเปิดโปง เรื่องพยายามไปยอมบริษัทบุหรี่ เลยอ้างว่า มี สวรส. แล้วไม่ต้องมี NEBT  จะเพราะไม่พอใจ อจ ประเวศ ด้วยหรือไม่ ไม่ชัดเจน แต่ที่แน่ๆ เขาไม่พอใจ ที่ สำนักงานมีส่วนในการเผยแพร่ข้อความต่อต้าน สุจินดา เพราะมี fax จำนวนหนึ่ง ส่งจากเบอร์ fax office NEBT ในตอนนั้น (และคนที่ไปบอก นักการเมือง หรือช่วยค้นจนเจอว่า เบอร์ที่ว่ามาจากสำนักงานไหนใน กสธใ ก็คืออดีต รองปลัดฯ ที่เป็นลูก ท่านหนึ่งนั่นแหละครับ

2. เรื่อง เครือสถาบัน ที่พงษ์พิสุทธิ์ ไปจัดระบบใหม่ จนกลายมาเป็นประเด็นให้ สมเกียรติมาแสดงอำนาจเหนือภาคีสถาบัน เป็นตัวอย่างหนึ่งของการคิดไม่ชัด ถึง ความสัมพันธ์ทางอำนาจ ระหว่าง เครือสถาบัน กับ สวรส. พูดง่ายๆ คือ แทนที่จะไปออกแบบ ให้เขามี autonomy กลับไปทำให้ อำนาจทั้งหมดไปรวมอยู่ที่ ผอ. สวรส. เลยทำให้ มาก่อความเดือดร้อนให้กับ เครือสถาบันได้ขนาดนี้ ซึ่งแน่นอนว่า จะไปโทษ พงษ์พิสุทธิ์ คนเดียวก็ไม่ได้ เพราะดูเหมือน เครือสถาบันจำนวนหนึ่งก็อยากให้มันใกล้ชิดกันมากๆ จะได้สร้าง security ให้กับทีมงาน ว่าเป็น พนง. สวรส ผมเพิ่งพูดกับ ถาวร และพงษฺพิสุทธิ์ไปว่า ผมชอบออกลูก ไม่ชอบออกดอก การตั้งเครือสถาบันแบบที่เป็นอยู่ เป็นการออกดอก พอต้นตาย หรือแย่ก็แย่ไปด้วย แต่ถ้าออกลูก ลูกก็ไปเติบโต หากิน ได้เอง พ่อแม่ ที่ดีก็จะไม่ทอดทิ้ง แต่คอยดูแล  แต่ก็อย่างว่าครับ บรรดา เครือสถาบัน ก็กลายเป็นลูกที่ไม่ยอมโตไปเหมือนกัน ถ้าเกิดให้ไปเป็นลูก แทนที่จะให้มาเป็น ดอก

สมศักดิ์

วิจารณ์ พานิช

๕ ม.ค. ๕๗  ปรับปรุง ๒๑ ม.ค. ๕๗

 

 

บันทึกนี้เขียนที่ GotoKnow โดย 

แก้ไขล่าสุด ใน วันพุธที่ 05 กุมภาพันธ์ 2014 เวลา 08:02 น.
 

จะปฏิวัติประชาธิปไตยในประเทศไทย ให้สำเร็จได้อย่างไร โดย อ.วันชัย พรหมภา

พิมพ์ PDF

เนื่องด้วย บ้านเมืองอันเป็นที่รักของเรา ซึ่งมีความร่มเย็นเป็นสุขมานานเกือบ 800 ปี แต่บัดนี้ได้เกิดความขัดแย้งทางการเมืองอย่างรุนแรง นอกจากจะหาทางออกไม่ได้แล้ว การเคลื่อนไหวทางการเมืองในปัจจุบัน ยังส่งผลให้เพื่อนกรรมกรทั้งหลาย และพี่น้องประชาชนอันเป็นที่รัก เกิดความสับสนในปัญหา 2 ประการ คือ
1. คู่ขัดแย้งหรือคู่ต่อสู้ของประชาชนในสถานการณ์ปัจจุบัน คือ อำมาตย์ใช่หรือไม่
2. การเลือกตั้งทั่วไปที่กำลังจะมีขึ้น เป็นทางออกของประเทศไทยใช่หรือไม่
ในสังคมทุนนิยม ไม่ว่าของประเทศใดๆ เมื่อจะหาคู่ขัดแย้งหรือคู่ต่อสู้กับกลุ่มทุนหรือนายทุน กล่าวโดยเฉพาะเราก็จะเห็นชนกลุ่มหนึ่งอย่างชัดเจนคือ “กรรมกร” กรรมกร คือคู่ขัดแย้งหรือคู่ต่อสู้โดยเฉพาะของทุนใน “สังคมทุนนิยม” ใครก็ตามที่ไปจับเอาชนกลุ่มอื่น มาเป็นคู่ขัดแย้งหรือคู่ต่อสู้ของนายทุนเป็นผู้ไม่เข้าใจสังคมทุนนิยม

นายทุนกับกรรมกร หรือทุนกับแรงงาน เป็นคู่ขัดแย้งหรือคู่ต่อสู้ในองค์เอกภาพของ “ ระบบทุนนิยม ” นายทุนกับกรรมกรแยกกันไม่ออก ถ้าไม่มีนายทุนก็จะไม่มีกรรมกร และถ้าไม่มีกรรมกรก็จะไม่มีนายทุน ในสังคมที่ไม่มีนายทุนคือ “ สังคมสังคมนิยม ” และในสังคมสังคมนิยมก็ไม่มีกรรมกร มีผู้เข้าใจผิดว่า ในสหรัฐอเมริกาและในสหภาพโซเวียตต่างก็มีกรรมกร ความจริงแล้วในสหรัฐมีกรรมกร ในสหภาพโซเวียตไม่มีกรรมกร เพราะในสหรัฐมีนายทุนจึงมีกรรมกร ในสหภาพโซเวียตไม่มีนายทุน จึงไม่มีกรรมกร ในสหรัฐอเมริกามีกรรมกร (LABOURER) ในสหภาพโซเวียตไม่มีกรรมกร มีแต่คนทำงาน ( WORKING PEOPLE) ในสังคมทุนนิยมมีนายทุนกับกรรมกร ในสังคมสังคมนิยม ไม่มีนายทุนและไม่มีกรรมกร มีแต่คนทำงาน

บ้านเราเป็นสังคมทุนนิยม จึงมีนายทุนและกรรมกร เป็นเอกภาพอันอย่างแยกกันไม่ออก แต่ก็ขัดแย้งกันและต่อสู้กัน นี่คือข้อเท็จจริงที่เหมือนกันกับในประเทศทุนนิยมอื่นๆ

ข้อเท็จจริงนี้สืบเนื่องมาจากการปฏิวัติอุตสาหกรรม ( INDUSTRIAL REVOLUTION ) ซึ่งเกิดขึ้นในอังกฤษก่อนในปลายศตวรรษที่ 18 แล้วขยายไปสู่ภาคพื้นยุโรป การปฏิวัติอุตสาหกรรมคือ การเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ระหว่างนายจ้างกับลูกจ้าง เพราะเกิดการเปลี่ยนแปลงของเครื่องจักรจากพลังงานธรรมชาติ คือแรงลมและแรงน้ำ มาเป็นพลังงานประดิษฐ์คิดค้นคือไอน้ำ ทำให้การผลิตทุนนิยมเปลี่ยนแปลงจากโรงงานหัตถกรรมเล็กๆ มาเป็นโรงงานสมัยใหม่ขนาดใหญ่

หัตถกรรมที่ทำงานกระจัดกระจายอยู่ในโรงงานหัตถกรรมค่อยๆเข้ามารวมกันอยู่ในโรงงานที่ใหญ่ขึ้นทุกที เกิดการก่อตัวขึ้นของคนชนิดใหม่ คือ กรรมกรสมัยใหม่ คู่กับ คนอีกชนิดหนึ่ง ซึ่งเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วจากการปฏิวัติอุตสาหกรรมนั้น คือ นายทุน ในขณะเดียวกันนายทุนก็เข้ากุมอำนาจการปกครองหรืออำนาจอธิปไตย แทนเจ้าศักดินาแห่งสมัยกลาง นั่นคือการสถาปนาขึ้นของ “ สังคมทุนนิยม ” ซึ่งค่อยๆขยายจากยุโรปมาสู่เอเชีย และทวีป อื่นรวมทั้งประเทศไทย

ด้วยเหตุนี้ ในสังคมทุนนิยมคู่ขัดแย้งของประชาชน คือ นายทุน ไม่ใช่ อำมาตย์

ประเทศทุนนิยมวิวัฒนาการจากด้อยพัฒนา ( UNDER DEVELOPED ) เป็นกำลังพัฒนา ( DEVELOPING ) และเป็นพัฒนา (DEVELOPED ) ในขณะที่ทุนนิยมยังอยู่ในภาวะด้อยพัฒนา การขูดรีดของนายทุนต่อกรรมกรเป็นไปอย่างหนักหน่วง นายทุนต้องการกำไรให้มากที่สุด กรรมกรต้องการมาตรฐานการครองชีพที่สูงขึ้น จึงเกิดการต่อสู้ระหว่างกรรมกรกับนายทุนในประเทศทุนนิยมต่างๆเรื่อยมา ยังผลให้ระบบทุนนิยมพัฒนาขึ้นโดยลำดับในทางการเมืองเป็นประชาธิปไตยขึ้นโดยลำดับ ในทางเศรษฐกิจผลผลิตเพิ่มขึ้นเป็นลำดับ และการเฉลี่ยรายได้แห่งชาติเป็นธรรมขึ้นเป็นลำดับ ในประเทศที่ทุนนิยมพัฒนาถึงระดับสูงทั้งทางการเมือง และทางเศรษฐกิจ มีการประกันสังคมมากขึ้น เรียกกันว่าเป็นรัฐสวัสดิการ กรรมกรมีความพอใจในสิทธิเสรีภาพและมาตรฐานการครองชีพ การต่อสู้ระหว่างกรรมกรกับนายทุนจึงลดลง เช่นในประเทศต่างๆ ในสแกนดิเนเวีย

ในประเทศทุนนิยมที่ยังอยู่ในภาวะด้อยพัฒนา กรรมกรถูกขูดรีดและถูกกดขี่อย่างหนัก รายได้แห่งชาติไปกองอยู่กับนายทุนฝ่ายเดียว กรรมกรมีรายได้ไม่พอกิน และถูกตัดเสรีภาพอย่างรุนแรง จึงมีการต่อสู้มากระหว่างกรรมกรกับนายทุน ทั้งการต่อสู้ทางเศรษฐกิจและการต่อสู้ทางการเมือง

ในประเทศไทยแม้ว่าจะย่างเข้าสู่ระบบทุนนิยมมานานแล้ว แต่จนบัดนี้ก็ยังอยู่ในภาวะ ทุนนิยมด้อยพัฒนา และมีการรวมศูนย์ทุนในระดับสูง ทำให้เกิดการผูกขาดในระดับสูงทั้งในด้านเศรษฐกิจและทางการเมือง ชีวิตความเป็นอยู่ของกรรมกรทั่วไปจึงทุกข์ยากมาก ประเทศไทยเป็นประเทศทุนนิยมด้อยพัฒนาเพียงใด อย่างน้อยจะเห็นได้จากการเป็นทุนนิยมที่ปราศจากการประกันสังคมอย่างเพียงพอ ซึ่งนับว่าหาได้ยากในบรรดาประเทศทุนนิยมด้อยพัฒนาด้วยกัน ประเทศไทยจึงมีเงื่อนไขของการต่อสู้ระหว่างกรรมกรกับนายทุนมาก และการต่อสู้จะมีมากขึ้นเรื่อยไปตามอัตราเพิ่มขึ้นของทุนผูกขาด โดยอาศัยพรรคการเมืองของนายทุนเป็นเครื่องมือสำคัญ

ในสภาวการณ์เช่นนี้ ไม่เพียงแต่กรรมกรเท่านั้นที่ถูกขูดรีดและกดขี่อย่างหนักจากนายทุนผูกขาด แต่ประชาชนทั่วไปก็ถูกขูดรีดและกดขี่อย่างหนักด้วย แม้แต่นายทุนเองเวลานี้ นายทุนขนาดกลางและขนาดเล็ก ก็ถูกนายทุนผูกขาดขูดรีดจนจะอยู่ไม่ไหวไปตามๆกัน กล่าวได้ว่าในปัจจุบันไม่มีกลุ่มชนิดใดๆในประเทศไทยที่จะไม่ถูกขูดรีดอย่างหนัก จากนายทุนผูกขาดหรือนายทุนใหญ่

ฉะนั้น ในสถานการณ์ทุนนิยม ปัจจุบันของไทย เมื่อกล่าวโดยเฉพาะแล้ว คู่ขัดแย้งและคู่ต่อสู้ก็เช่นเดียวกับในประเทศทุนนิยมอื่นๆ คือ นายทุนกับกรรมกร แต่ถ้ากล่าวโดยทั่วไป คู่ขัดแย้งและคู่ต่อสู้ ก็คือนายทุนกับประชาชน

ฉะนั้น ถ้าจะจัดคู่ขัดแย้งและคู่ต่อสู้ในประเทศไทยปัจจุบันให้ถูกต้อง จะต้องถือเอาระหว่าง นายทุนกับกรรมกรโดยเฉพาะ และระหว่างนายทุนกับประชาชน โดยทั่วไป

ทหารส่วนใหญ่มีชีวิตความเป็นอยู่ในระดับเดียวกับประชาชนทั่วไป เพราะเขาตกอยู่ในภาวะถูกขูดรีด จากนายทุนใหญ่หรือนายทุนผูกขาดเช่นเดียวกับประชาชนทั่วไป เรารู้อยู่แล้วว่าข้าราชการส่วนใหญ่ทุกประเภทมีความเดือดร้อนอย่างไร ทหารก็เป็นข้าราชการประเภทหนึ่ง เขาจึงตกอยู่ในความเดือดร้อนเช่นเดียวกับข้าราชการประเภทอื่น

แต่ถึงแม้ทหารจะถูกกระทบกระเทือนจากการขูดรีดของนายทุน ทหารก็ไม่ใช่กรรมกร ทหารเป็นส่วนหนึ่งของประชาชนที่เป็นคู่ขัดแย้งและคู่ต่อสู้โดยทั่วไปของนายทุน ซึ่งไม่อาจจะเปลี่ยนฐานะเป็นคู่ขัดแย้งและคู่ต่อสู้โดยเฉพาะของนายทุนแทนกรรมกรได้ กรรมกรย่อมเป็นคู่ขัดแย้งและต่อสู้ของนายทุนโดยเฉพาะเสมอไป เช่นเดียวกับชนประเภทอื่นที่ไม่ใช่กรรมกร เช่นชาวนา ปัญญาชน นายทุนขนาดกลางและขนาดเล็ก ซึ่งถูกกระทบกระเทือนจากการขูดรีดของนายทุนใหญ่หรือนายทุนผูกขาด เขามิใช่คู่ขัดแย้งหรือคู่ต่อสู้โดยเฉพาะของนายทุน กรรมกรเท่านั้นที่เป็นคู่ขัดแย้งและคู่ต่อสู้โดยเฉพาะของนายทุน เพราะนายทุนกับกรรมกรเป็นคู่กันที่แยกกันไม่ออกของการผลิตแบบทุนนิยม ถ้าแยกนายทุนกับกรรมกรออกจากกัน การผลิตแบบทุนนิยมก็มีไม่ได้และระบบทุนนิยมก็จะไม่มี

จึงเห็นได้ว่า การที่นักวิชาการไปจับเอาคนประเภทอื่นที่ไม่ใช่กรรมกร มาเป็นคู่ขัดแย้ง หรือคู่ต่อสู้กับนายทุน จึงผิดจากความเป็นจริง ไม่ว่าจะไปจับเอาชาวนา จับเอาปัญญาชน จับเอาข้าราชการพลเรือน จับเอาตำรวจ จับเอาทหาร จับเอาคนจนประเภทใดประเภทหนึ่ง มาเป็นคู่ขัดแย้งและคู่ต่อสู้กับนายทุนโดยเฉพาะ ล้วนแต่ผิดจากความเป็นจริงทั้งสิ้น คู่ขัดแย้งและคู่ต่อสู้โดยเฉพาะของนายทุนคือกรรมกร คนประเภทอื่นเป็นเพียงผู้ร่วมกับกรรมกรในการขัดแย้งและต่อสู้กับนายทุนเท่านั้น ไม่ว่าจะโดยรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ตาม กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ในบรรดาประชาชนประเภทต่างๆ ที่ขัดแย้งและต่อสู้กับนายทุนนั้น มีกรรมกรเป็นหลัก คนประเภทอื่นเป็นผู้สนับสนุนกรรมกรในการขัดแย้งและต่อสู้กับนายทุน

เมื่อพูดถึงทหาร ถ้าเป็นนายทหารชั้นผู้ใหญ่ ตามธรรมดาย่อมอยู่ข้างนายทุน นายทหารระดับล่างและพลทหาร ซึ่งมีความเป็นอยู่เช่นเดียวกับประชาชนทั่วไป ย่อมอยู่ข้างกรรมกร แต่ในบางกรณีโดยเฉพาะในยุคสมัยที่ประชาชนถูกกดขี่ขูดรีดได้รับความทุกข์ยากอย่างหนัก แม้นายทหารชั้นผู้ใหญ่ ก็อาจเห็นใจประชาชน และหันมาอยู่ข้างประชาชนได้ ในกรณีเช่นนี้นายทหารชั้นผู้ใหญ่ก็อาจสนับสนุนประชาชนและกรรมกรในการต่อสู้กับนายทุน แต่นั่นก็มิได้หมายความว่า ทหารเป็นหลักในการต่อสู้กับนายทุน ผู้เป็นหลักก็ยังคงเป็นกรรมกร

ในประเทศไทยที่แล้วมา นายทหารชั้นผู้ใหญ่ส่วนมากอยู่ข้างนายทุน แต่ปัจจุบันมีนายทหารชั้นผู้ใหญ่เห็นใจประชาชนและกรรมกรมากขึ้น หันมาอยู่ข้างประชาชนต่อสู้กับนายทุน จนทำให้หลายคนจัดให้ทหารเป็นคู่ต่อสู้ของนายทุน ซึ่งความจริงแล้วกรรมกรยังคงเป็นคู่ต่อสู้ของนายทุนอยู่อย่างเดิม ทหารเหล่านั้นเป็นเพียงผู้สนับสนุนประชาชนและกรรมกร ในการต่อสู้กับนายทุนเท่านั้น

ในระยะแรกของการถือกำเนิดของกรรมกรสมัยใหม่ นายทุนยังมีความก้าวหน้า นายทุนจึงดำเนินการเพื่อระบอบประชาธิปไตย เช่น การปฏิวัติประชาธิปไตยในอังกฤษ ปี 1648 การปฏิวัติประชาธิปไตยในอเมริกา ปี 1776 การปฏิวัติประชาธิปไตยในฝรั่งเศส ปี 1789 และการปฏิวัติประชาธิปไตยในภาคพื้นยุโรปในช่วงกลางศตวรรษ ที่ 19 ในช่วงที่นายทุนมีความก้าวหน้าและสนับสนุน ระบอบประชาธิปไตยนั้น กรรมกรทั้งๆที่ต่อสู้ กับนายทุนก็สนับสนุนนายทุนในการสถาปนาระบอบประชาธิปไตยด้วย

แต่ต่อมานายทุนเริ่มล้าหลังและขัดขวางระบอบประชาธิปไตย กรรมกรจึงเข้ารับภาระเป็นหลักในการต่อสู้เพื่อระบอบประชาธิปไตย การที่ระบอบประชาธิปไตยในยุโรปและอเมริกาสถาปนาขึ้นสำเร็จ ก็เพราะมีกรรมกรเป็นหลักในการต่อสู้เพื่อระบอบประชาธิปไตย เช่นขบวนการ ชาร์ติสต์ ( CHARTIST) ของอังกฤษใน ปี 1837 ซึ่งเคลื่อนไหวเพื่อระบอบประชาธิปไตยอันสมบูรณ์ ได้กำหนด “ กฎบัตรของประชาชน ” หรือ “ ญัตติ 6 ประการ ” ว่าด้วยการเลือกตั้งที่เป็นประชาธิปไตย มีกรรมกรเข้าร่วมเป็นเรือนล้าน และหลังจากการต่อสู้อย่างดุเดือดเป็นเวลายาวนาน “ กฎบัตรของประชาชน ” ก็ได้รับการปฏิบัติ ทำให้อังกฤษเป็นประเทศแม่แบบของระบอบประชาธิปไตยมาจนถึงปัจจุบัน ในฝรั่งเศส การต่อสู้ของกรรมกรปารีสใน ปี 1848 และ 1871 ผลักดันให้ระบอบประชาธิปไตยของฝรั่งได้รับผลสำเร็จ รวมความว่าการปฏิวัติประชาธิปไตยในยุโรป ที่ได้สถาปนาระบอบประชาธิปไตยเป็นผลสำเร็จดังที่เป็นมาจนถึงปัจจุบันนั้น เกิดจากการต่อสู้ของกรรมกร ถ้าไม่ได้อาศัยการต่อสู้ของกรรมกรแล้ว ระบอบประชาธิปไตยในยุโรปก็ไม่อาจสถาปนาขึ้นได้ เพราะนายทุนซึ่งเป็นเจ้าของลัทธิประชาธิปไตยมาแต่เดิมนั้น กลายเป็นล้าหลังและต่อต้านประชาธิปไตยเสียแล้ว

ในประเทศไทยก็เช่นเดียวกัน ทีแรกนายทุนมีความก้าวหน้า จึงมีการเคลื่อนไหวปฏิวัติประชาธิปไตย เมื่อ ร.ศ. 130 ซึ่งประกอบด้วยนายทหารหนุ่มเป็นส่วนใหญ่นั้น ก็คือการเคลื่อนไหวที่เป็นผู้แทนของนายทุนในประเทศไทย เพื่อสถาปนาระบอบประชาธิปไตย และหลังจากการเคลื่อนไหวปฏิวัติประชาธิปไตยของคณะ ร.ศ. 130 ล้มเหลวแล้ว 20 ปี ก็เกิดการปฏิวัติประชาธิปไตยของคณะราษฎร ซึ่งประกอบด้วยทหารหนุ่มเป็นส่วนใหญ่ และเป็นผู้แทนของนายทุนเช่นเดียวกับคณะ ร.ศ. 130 การปฏิวัติของคณะราษฎรสำเร็จเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2475 แต่หลังจากนั้นไม่นานนายทุนและคณะราษฎรซึ่งเป็นผู้แทนของเขา ก็เริ่มล้าหลังและขัดขวางระบอบประชาธิปไตย เหลือนายทุนที่ก้าวหน้าและสนับสนุนระบอบประชาธิปไตยอยู่เพียงส่วนน้อย ไม่มีกำลังพอที่จะสถาปนาระบอบประชาธิปไตยได้ การปกครองของประเทศไทยภายหลัง 24 มิถุนายน เพียงเล็กน้อย จึงเป็นระบอบเผด็จการตลอดมา ในรูประบอบเผด็จการรัฐสภาบ้าง ระบอบเผด็จการรัฐประหารบ้าง ขณะนี้เป็นระบอบเผด็จการรัฐสภา ( ระบอบประชาธิปไตย คืออำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชน ระบอบเผด็จการคือ อำนาจอธิปไตยเป็นของนายทุน จะต้องไม่ปะปนระบอบประชาธิปไตย กับวิธีการประชาธิปไตยหรือวิถีทางประชาธิปไตย และไม่ปะปนระบอบเผด็จการกับวิธีการเผด็จการหรือวิถีทางเผด็จการ มิฉะนั้นจะไม่เข้าใจความแตกต่างระหว่างระบอบประชาธิปไตยกับระบอบเผด็จการ ดังที่ปรากฏแก่นักวิชาการบ้านเราส่วนมาก)

เมื่อนายทุนเปลี่ยนจากก้าวหน้าเป็นล้าหลัง เปลี่ยนจากสนับสนุนระบอบประชาธิปไตยเป็นสนับสนุนระบอบเผด็จการ ทหารส่วนใหญ่โดยเฉพาะระดับบน ก็สนับสนุนระบอบเผด็จการด้วย แต่ต้องเข้าใจว่า ผู้เป็นเจ้าของระบอบเผด็จการคือนายทุนไม่ใช่ทหาร ทหารเป็นผู้สนับสนุนหรือเครื่องมือในฐานะผู้ถืออาวุธของนายทุนเท่านั้น ในสถานการณ์เช่นนี้ กรรมกรจึงเป็นความหวังอย่างเดียวของระบอบประชาธิปไตย เช่นเดียวกับในยุโรปซึ่งเมื่อนายทุนกลายเป็นล้าหลังแล้ว กรรมกรก็เป็นผู้ผลักดันระบอบประชาธิปไตยต่อไป เช่นขบวนการชาติสต์ของอังกฤษที่เกิดขึ้นใน ปี 1837 และได้ผลักดันระบอบประชาธิปไตยอังกฤษไปสู่ความสำเร็จ เช่นเดียวกับกรรมกรฝรั่งเศสใน ปี 1871 เป็นปัจจัยชี้ขาดความสำเร็จของระบอบประชาธิปไตยฝรั่งเศสเป็นต้น แต่กรรมกรไทยตกเป็นเครื่องพ่วงของนายทุนมาเป็นเวลานาน เหตุสำคัญเนื่องมาจากความหลอกลวงของคณะราษฎร ที่เอารัฐธรรมนูญและระบบรัฐสภามาเป็นระบอบประชาธิปไตย ซึ่งได้สร้างความสับสนทางความคิดอย่างร้ายแรงแก่ประชาชนทุกหมู่เหล่า ไม่เฉพาะแต่กรรมกรเพิ่งจะมาเมื่อ พ.ศ. 2518 กรรมกรไทยจึงเริ่มแสดงบทบาท เป็นพลังการเมืองอิสระ ที่คว้าธงประชาธิปไตยจากนายทุนที่ยังก้าวหน้า วิ่งนำหน้าต่อไป กล่าวคือ ตั้งแต่กรรมกรเริ่มตื่นตัวทางการเมืองในแนวทางที่ถูกต้องมาระยะหนึ่ง เมื่อถึงวันที่ 26 กันยายน 2518 จึงได้มีการเปิดประชุมผู้แทนกรรมกรทั่วประเทศ ณ ลุมพินีสถาน อภิปรายปัญหาต่างๆในการแก้ปัญหาของชาติ และได้สรุปขึ้นเป็น “ แนวทางแก้ปัญหาของชาติของกรรมกรไทย ” ประกอบด้วยปัญหาการเมือง เศรษฐกิจ และวัฒนธรรมอย่างรอบด้าน

ตั้งแต่มีการเคลื่อนไหวประชาธิปไตยเมื่อสมัยรัชกาลที่ 5 เป็นต้นมา ยังไม่ปรากฏนโยบายที่ถูกต้องและสมบูรณ์ในการสถาปนาระบอบประชาธิปไตยในประเทศไทย “ แนวทางการแก้ปัญหาของชาติของกรรมกรไทย ” ประกอบด้วยนโยบายที่ถูกต้องและสมบูรณ์ทุกปัญหาของระบอบประชาธิปไตยเป็นครั้งแรกในประเทศไทย ตั้งแต่นั้นมากรรมกรไทยก็ไม่เป็นแต่เพียง พลังการเมืองอิสระ เท่านั้น หากยังเป็นพลังผลักดันแถวหน้าสุดของ การปฏิวัติประชาธิปไตย ในประเทศไทย เช่นเดียวกับกรรมกรในยุโรป ในสมัยการปฏิวัติประชาธิปไตยอังกฤษและฝรั่งเศส เป็นต้นอีกด้วย แต่ข้อเท็จจริงนี้คนทั่วไปยังมองไม่ใคร่เห็น เพราะถูกครอบงำด้วยอคติที่เห็นกรรมกรเป็นคนชั้นต่ำ โดยไม่เข้าใจว่า กรรมกรเป็นประชากรที่ก้าวหน้าที่สุด ในสังคมสมัยใหม่อย่างไร

นโยบายประชาธิปไตย ที่ถูกต้องและสมบูรณ์สำหรับประเทศไทย ซึ่งเสนอโดยกรรมกรไทยเมื่อ พ.ศ. 2518 นี้แพร่หลายไปอย่างกว้างขวางและฝ่ายต่างๆ เริ่มรับเอาเป็นลำดับ โดยเฉพาะคือนายทุนที่ก้าวหน้าและทหารที่เห็นใจประชาชนและห่วงใยประเทศชาติ

จนถึง พ.ศ. 2523 จึงได้เกิดมีนโยบายของกองทัพขึ้นคือ “ นโยบาย 66/23 ” ซึ่งโดยสาระสำคัญก็ตรงกับ “แนวทางแก้ปัญหาของชาติของกรรมกรไทย” นั่นเอง

กรรมกรมีนโยบายของตน และนโยบายของกองทัพซึ่งตรงกับนโยบายของกรรมกรนั้น เกิดขึ้นภายหลังนโยบายของกรรมกรถึง 6 ปี ฉะนั้น คนที่กล่าวว่า “ กรรมกรรับใช้ทหาร ” ถ้าไม่ใช่เป็นคนโง่ที่สุด ก็เป็นคนบิดเบือนอย่างเลวร้ายที่สุด

จากข้อเท็จจริงนี้จะเห็นได้ว่า ในปัจจุบันกรรมกรไทยไม่แต่เพียงแต่เป็นพลังการเมืองอิสระ โดยมีนโยบายของตนเองเท่านั้น หากยังเป็นพลังหลักที่จะนำการปฏิวัติประชาธิปไตยไปสู่ความสำเร็จอีกด้วย

และจากข้อเท็จจริงนี้ลองเปรียบเทียบคน 3 ประเภทดู คือ นายทุน กรรมกร ( รวมประชาชน ) และทหาร

นายทุน เวลานี้ส่วนสำคัญนอกจากจะเป็นพลังการเมืองอิสระแล้ว ยังเป็นผู้ถืออำนาจอธิปไตย 2 องค์กร คือสภาผู้แทนราษฎรและคณะรัฐมนตรี ซึ่งหมายความว่าอำนาจอธิปไตยอยู่กับนายทุน อันเป็นหัวใจของระบอบเผด็จการ ผู้แทนของนายทุนคือพรรคการเมืองต่างๆ ที่กุมสภาผู้แทนราษฎรและคณะรัฐมนตรี แม้ว่าจะมีหลายพรรคหลายนโยบาย และมีพรรครัฐบาลและพรรคฝ่ายค้าน นโยบายพื้นฐานของพรรคเหล่านี้ก็ตรงกันทั้งสิ้น คือรักษาผลประโยชน์ของนายทุน ฉะนั้นถึงจะมีหลายพรรคก็เหมือนพรรคเดียว การแบ่งเป็นหลายพรรคและมีนโยบายปลีกย่อยแตกต่างกัน ก็เพราะนายทุนมีหลายพวกซึ่งมีผลประโยชน์รายละเอียดแตกต่างกันบ้าง แต่ละพวกจึงต้องตั้งพรรคขึ้นเป็นผู้แทนชิงผลประโยชน์ระหว่างกัน การต่อสู้ระหว่างพรรคต่างๆที่กุมองค์กรแห่งอำนาจอธิปไตยอยู่ ก็คือการแย่งชิงผลประโยชน์ระหว่างนายทุนพวกต่างๆ กลุ่มต่างๆนั่นเอง นโยบายของพรรคการเมืองเหล่านั้นก็คือนโยบายของนายทุน ซึ่งโดยสาระสำคัญแล้วก็คือนโยบายกดขี่ขูดรีดประชาชนโดยทั่วไป เพื่อเพิ่มพูนผลประโยชน์ของนายทุนให้มากที่สุด

กรรมกร เวลานี้เป็นพลังการเมืองอิสระเช่นเดียวกับนายทุน แต่ไม่มีส่วนในการกุมองค์กรแห่งอำนาจอธิปไตยทางคณะรัฐมนตรีและสภาผู้แทนราษฎร นอกจากทางวุฒิสภาเพียงเล็กน้อยในบางครั้ง โดยมีผู้แทนกรรมกรเป็นสมาชิกวุฒิสภาอยู่ไม่กี่คน เปรียบเทียบกันไม่ได้กับผู้แทนนายทุนในวุฒิสภา และเมื่อสมาชิกวุฒิสภาต้องมาจากการเลือกตั้ง ก็ไม่มีผู้แทนกรรมกรอีกเลย กลายเป็นสภาผัวสภาเมียของนายทุนฝ่ายเดียว ผูกขาดทั้งทางเศรษฐกิจและการเมือง นโยบายของกรรมกรตรงข้ามกับนโยบายของนายทุน คือแนวทางแก้ปัญหาของชาติของกรรมกรซึ่งกล่าวข้างต้นนั้น เป็นนโยบายรักษาผลประโยชน์ของกรรมกรและประชาชนทั่วไป ตลอดถึงประเทศชาติ จึงเป็นนโยบายประชาธิปไตยที่แท้จริง ถ้าการบริหารประเทศได้เป็นไปตามนโยบายของกรรมกรแล้ว การสร้างระบอบประชาธิปไตยในประเทศไทยก็จะสำเร็จ

ทหาร ไม่สามารถเป็นพลังการเมืองอิสระ เพราะทหารไม่ใช่กลุ่มคนที่ประกอบการผลิตในระบบเศรษฐกิจแห่งชาติ ผู้ประกอบการผลิตทุนนิยมในระบบเศรษฐกิจแห่งชาติคือ นายทุนและกรรมกร นายทุนประกอบการผลิตในฐานะเป็นเจ้าของปัจจัยการผลิต กรรมกรประกอบการผลิตในฐานะพลังผลิต ทหารไม่ได้เป็นทั้งเจ้าของปัจจัยการผลิตและพลังผลิต จึงไม่ใช่ผู้ประกอบการผลิตทุนนิยมในระบบเศรษฐกิจแห่งชาติ ชนกลุ่มใดก็ตามที่ไม่เป็นผู้ประกอบการผลิตในระบบเศรษฐกิจแห่งชาติ เช่นนักวิชาการ นักศึกษา ข้าราชการ เป็นต้น ย่อมไม่สามารถเป็นพลังการเมืองอิสระในสังคมทุนนิยม ทหารเป็นกลุ่มชนประเภทหนึ่ง กลุ่มชนที่ไม่เป็นพลังการเมืองอิสระนั้น ย่อมไม่มีนโยบายของตนเอง หากแต่ต้องรับนโยบายของพลังการเมืองอิสระฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง โดยเฉพาะคือของนายทุนและกรรมกร กลุ่มอื่นๆ ถ้าไม่รับนโยบายของนายทุน ก็รับนโยบายของกรรมกร และนโยบายของกรรมกรนั้น นอกจากจะรักษาผลประโยชน์ของกรรมกรเองแล้ว ยังรักษาผลประโยชน์ของประชาชนและประเทศชาติพร้อมกันไปด้วย ดังได้กล่าวแล้วว่า ในสภาพที่การรวมศูนย์ทุนขึ้นสู่ระดับสูง ทำให้การผูกขาดเป็นไปอย่างรุนแรง ประชาชนทั่วไปถูกกดขี่ทางการเมืองและถูกขูดรีดทางเศรษฐกิจจากนายทุนหนักขึ้น ทหารมีความเห็นใจประชาชนและห่วงใยต่อประเทศชาติมากขึ้น และเริ่มจะเห็นถึงความหายนะของชาติบ้านเมือง จึงยิ่งรับเอานโยบายของกรรมกร ซึ่งเป็นเพียงนโยบายเดียวที่จะรักษา ผลประโยชน์ของประชาชนและประเทศชาติได้ดังนี้ ทหารส่วนใหญ่กระทั่งถึงระดับสูง จึงเปลี่ยนแปลงจากการอยู่ฝ่ายนายทุน มาเป็นอยู่ฝ่ายกรรมกรและประชาชน เปลี่ยนแปลงจากการสนับสนุนระบอบเผด็จการ มาสนับสนุนระบอบประชาธิปไตย กองทัพมีนโยบาย 66/23 ซึ่งเป็นนโยบายประชาธิปไตย ที่โดยสาระสำคัญเป็นอย่างเดียวกับนโยบายกรรมกร

เมื่อนำเอาชน 3 กลุ่มมาเปรียบเทียบกันดังนี้แล้ว จะเห็นได้ว่านายทุนกับกรรมกรเท่านั้นเป็นพลังการเมืองอิสระ ซึ่งต่างฝ่ายมีนโยบายของตนเอง แต่เป็นนโยบายที่ตรงกันข้ามกัน คือนโยบายของนายทุนรักษาผลประโยชน์ของนายทุนนโยบายของกรรมกรรักษาผลประโยชน์ของประชาชนและของประเทศชาติ นโยบายของนายทุนจึงเป็นนโยบายเผด็จการ นโยบายของกรรมกรเป็นนโยบายประชาธิปไตย นายทุนกับกรรมกรจึงขัดแย้งกันและต่อสู้กันด้วยนโยบายเผด็จการกับนโยบายประชาธิปไตยดังนี้ กระบวนการทางการเมืองทั้งหมด จึงหมุนไปรอบๆแกนของความขัดแย้ง และการต่อสู้ระหว่างนายทุนกับกรรมกรดังนี้

กลุ่มชนอื่นๆรวมทั้งทหาร เป็นเพียงผู้สนับสนุนหรือผู้ร่วมมือ หรือผู้รับใช้ระหว่างนายทุนกับกรรมกรเท่านั้น นัยหนึ่ง ระหว่างนายทุนกับประชาชนเท่านั้น

ปัจจุบันทหารส่วนใหญ่กระทั่งถึงระดับสูงเห็นใจประชาชน และห่วงใยประเทศชาติมากขึ้นจึงหันมาอยู่ข้างประชาชน และไม่ยอมทำร้ายประชาชนในการเคลื่อนไหวประชาธิปไตย จะมีก็แต่ทหารระดับสูงที่เป็นเครื่องมือของนายทุน

ในสมัยเมื่อทหารส่วนใหญ่โดยเฉพาะทหารระดับสูง อยู่ข้างนายทุนนั้น นายทุนและผู้แทนของเขา เช่นพรรคการเมือง นักการเมือง และนักวิชาการ ถือเป็นเรื่องปกติธรรมดาจึงไม่มีปัญหาอะไร แต่ในปัจจุบันเมื่อทหารหันมาอยู่ข้างประชาชนมากขึ้น

คัดลอกจากบทความของ อ.วันชัย พรหมภา ใน facebook https://www.facebook.com/RevolutionThailand

แก้ไขล่าสุด ใน วันอังคารที่ 04 กุมภาพันธ์ 2014 เวลา 01:36 น.
 

นวัตกรรมอุดมศึกษารับใช้สังคม

พิมพ์ PDF

สถาบันอาศรมศิลป์ รับใช้สังคมโดยการตั้งบริษัท ในลักษณะ “ธุรกิจเพื่อสังคม”  (social enterprise)   ชื่อ บริษัทร่วมทุนรักษ์ดีจำกัด เพื่อการอนุรักษ์สถาปัตยกรรมและสิ่งแวดล้อม    โดยผู้เข้าร่วมทุน ร่วมด้วยอุดมการณ์ เพื่อบ้านเมือง ไม่หวังผลกำไร    การเข้าร่วมทำให้มีความเป็นเจ้าของกิจกรรมเพื่อสังคมนี้

บริษัทร่วมทุนรักษ์ดี ได้ร่วมกับชาวจันทบุรี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ชาวชุมชนริมน้ำจันทบูร ตั้งบริษัท จันทบูรรักษ์ดี เพื่อดำเนินการอนุรักษ์และฟื้นฟูย่านประวัติศาสตร์ชุมชนริมน้ำจันทบูร    โดยหัวเรี่ยวหัวแรงคือ อ. ธิป ศรีสกุลไชยรักษ์    ท่านที่สนใจร่วมลงหุ้น ติดต่อได้ที่นี่ ผมได้แจ้งความจำนงจองหุ้นไว้แล้ว ๒๐ หุ้น หุ้นละ ๑,๐๐๐ บาท    ทางบริษัทเขาให้โอกาสคนจันทบูรได้เป็นเจ้าของหุ้นก่อน    หากเหลือจึงจะมาถึงคนนอกอย่างผม    โดยตอนนี้มีคนจันทบูรซื้อหุ้มแล้ว ๑.๖ ล้านบาท    ทุนที่ต้องการคือ ๘.๘ ล้านบาท

ผมประทับใจวิธีทำงานรับใช้สังคมแบบบูรณาการของสถาบันอาศรมศิลป์อย่างยิ่ง    โดยขอตีความเป็นข้อๆ ดังนี้

 

๑. โดยให้ นศ. ปริญญาโท ทำโจทย์วิจัยเพื่อวิทยานิพนธ์ปริญญาโท ที่เป็นโจทย์จริงในสังคม    ดังกรณีของชุมชนริมน้ำจันทบุรี มี นศ. ป. โท ๒ คนทำวิทยานิพนธ์ ต่อเนื่องกัน เป็นเวลา ๕ ปี ตามข่าวนี้ ในกระบวนการวิจัย มีการทำกระบวนการชุมชน ทำให้เกิดความตื่นตัวของชุมชน อย่างน่าชื่นชมมาก    ที่จริงมี นศ. คนที่ ๓ จะทำวิทยานิพนธ์เรื่อง community tourism แต่ลาออกไปเสียก่อน

 

๒. การทำงาน ทำอย่างต่อเนื่อง มีท่าทีทำงานระยะยาว     ไม่ใช่ทำจบโครงการก็เลิก    ดังกรณีชุมชนริมน้ำจันทบูรนี้ ทำมากว่า ๕ ปีแล้ว    และการตั้งบริษัทจันทบูรรักษ์ดี จะยิ่งเป็นกลไกของความสัมพันธ์ระยะยาว

 

๓. ใช้วิธีตั้งบริษัท ทำธุรกิจเพื่อสังคม    ประยุกต์วิชาการเพื่อทำประโยชน์แก่สังคม    ผมคิดว่า นี่คือตัวอย่างของการประยุกต์ใช้ผลงานวิจัยที่เรามักมองข้ามไป     วิธีตั้งบริษัทตามแนวนี้ เท่ากับใช้บริษัทเป็นตัวเชื่อมระหว่างสถาบันอุดมศึกษากับสังคม    เป็นวิธีทำงานรับใช้สังคม ที่แยบยลมาก

 

กลับมาที่ธุรกิจของบริษัทจันทบูรรักษ์ดี รายละเอียดของ business model อยู่ที่นี่นะครับ    หลักๆ คือ จะทำ

 

o   บ้านพักพิพิธภัณฑ์ (Museum Inn)

o   แหล่งเรียนรู้ชุมชน

o   อื่นๆ ที่เป็นเรื่องประวัติศาสตร์ ศิลปะ การท่องเที่ยว การเรียนรู้ เป็นเครือข่ายในภาคตะวันออก

 

 

วิจารณ์ พานิช

๑๑ ม.ค. ๕๗

 

บันทึกนี้เขียนที่ GotoKnow โดย 

แก้ไขล่าสุด ใน วันอังคารที่ 04 กุมภาพันธ์ 2014 เวลา 08:24 น.
 

ชีวิตที่พอเพียง: ๒๐๘๙. คุณวุฒิวิชาชีพ

พิมพ์ PDF

ผมได้เอกสารแผ่นพับแนะนำ สถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ (องค์การมหาชนมาจากการประชุมแห่งหนึ่ง เมื่อหลายเดือนมาแล้ว    แต่เพิ่งจะได้เอามาพิจารณาทำความเข้าใจ

แล้วผมก็ได้ชื่นใจ ที่ได้รับรู้ว่ามีองค์กรนี้    และแนวทางทำงานขององค์กรนี้น่าจะมาถูกทาง    คือไม่จำกัดเส้นทางสู่อาชีพผ่านวุฒิปริญญาเท่านั้น    แต่ยังเปิดช่องผู้ไม่มีคุณวุฒิทางการศึกษาเข้ารับการทดสอบระดับความรู้ ความสามารถ และสมรรถนะ ของตน เพื่อรับคุณวุฒิวิชาชีพได้

ผมขอเสนอให้พิจารณา จัดทำมาตรฐานอาชีพครู   และจัดระบบการสอบเพื่อคุณวุฒิวิชาชีพครู   เพราะนี่คืออาชีพที่สำคัญที่สุดต่ออนาคตของประเทศไทย

 

 

วิจารณ์ พานิช

๕ ม.๕๗

 

 

บันทึกนี้เขียนที่ GotoKnow โดย 

แก้ไขล่าสุด ใน วันอังคารที่ 04 กุมภาพันธ์ 2014 เวลา 08:31 น.
 

การเมืองเป็นเรื่องของประชาชน

พิมพ์ PDF
เราต้องเข้าใจว่า การเลือกตั้ง เป็นวิธีการอย่างหนึ่งที่จะบรรลุผลให้มี การปกครองของ ประชาชน โดยประชาชน และเพื่อประชาชน ปรากฏเป็นจริง แต่ในสภาพแวดล้อมอย่างหนึ่ง การ เลือกตั้งกลับกลายเป็นอุปสรรคต่อการเป็นประชาธิปไตย ดังนั้น เพื่อให้บรรลุจุดมุ่งหมายของความ เป็นประชาธิปไตยที่แท้จริง เราจึงจำเป็นต้องระงับการเลือกตั้งไว้ก่อน และเราจะต้องเข้าใจว่า การไม่ มีผู้แทนที่ราษฎรเลือกตั้งมานั้น ก็ไม่ได้หมายถึงว่า จะไม่เป็นประชาธิปไตย ถ้าหากฝ่ายปกครองมีวิธี การต่างๆ ที่จะรวบรวมเอาความคิดเห็นของประชาชนมาทำการปกครองได้มากเพียงใด ทำให้ ประชาชนได้รับผลประโยชน์อย่างทั่วถึง การปกครองนั้นก็จะเป็นประชาธิปไตยมากเพียงนั้น ผู้แทน ราษฎรซึ่งราษฎรเลือกตั้งมาโดยตรง แต่กลับไม่ทำหน้าที่ผู้แทนต่างหากเล่า ที่ไม่เป็นประชาธิปไตย

การที่เราจะสร้างประชาธิปไตยได้ เราจำเป็นต้องมีความเข้าใจ ความหมายของคำว่า เผด็จการ และคำว่า อนาธิปไตย ด้วย การเมืองในบ้านเราดูภายนอกจะเห็นว่า การที่มีรัฐธรรมนูญ มีการเลือกตั้ง มีการเคลื่อนไหวของพรรคการเมือง ดูเหมือนว่าเป็นประชาธิปไตย แต่ถ้าดูเนื้อใน ก็จะเห็นว่าแท้จริงแล้ว เป็นอนาธิปไตย หรือไม่ก็ เป็นเผด็จการ ทั้งอนาธิปไตยและเผด็จการ ก็ล้วน เป็นภัยต่อประชาชนทั้ง 2 อย่าง ทหารเป็นเผด็จการ เรามีความเข้าใจกันเป็นอย่างดี แต่พรรคการเมือง นำมาซึ่ง อนาธิปไตย ทุกครั้งที่เข้ามามีอำนาจเรากลับไม่เข้าใจกัน และยังกลับเห็นว่า อนาธิปไตยเป็น ประชาธิปไตยเสียอีกด้วย

ระบอบอะไรอำนาจอธิปไตยเป็นของใคร
http://www.youtube.com/watch?v=yGPehbY_xOk
เรื่อง ความรู้ประชาธิปไตยจะนำ ไปสู่การแก้ปัญหาของชาติให้สำเร็จได้อย่างไร

โดย อ.วันชัย พรหมภา

ประชาธิปไตยมีความหมายหลายอย่าง แต่ประชาธิปไตยที่ประเทศไทย และประชาชนชาวไทยต้องการ หมายถึง การปกครอง (ระบอบ) ประชาธิปไตย ซึ่งประกอบด้วย 2 ด้าน คือ 1) อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชน 2) บุคคลมีเสรีภาพโดยบริบูรณ์ ดังที่เป็นอยู่ในประเทศประชาธิปไตยทั้งหลาย
ถึงจะมีประชาธิปไตยในความหมายอื่น เช่น นายกรัฐมนตรีมาจากการเลือกตั้ง ประธานสภาผู้แทนราษฎร เป็นประธานรัฐสภา มีการเลือกตั้ง ส.ส. มีรัฐธรรมนูญประชาธิปไตย และอื่นๆอีกมากมาย แต่ถ้าอำนาจอธิปไตยไม่ได้เป็นของปวงชน และบุคคลไม่มีเสรีภาพสมบูรณ์ ก็ไม่ใช่การปกครองระบอบประชาธิปไตย 

รัฐธรรมนูญของเราบัญญัติไว้ว่า “ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตย” แต่ตามความเป็นจริงแล้ว อำนาจอธิปไตยเป็นของนายทุน พ่อค้า นักธุรกิจ แต่เพียงฝ่ายเดียว ประชาชนส่วนใหญ่ไม่ได้มีอำนาจอธิปไตยแต่อย่างใด จึงไม่มีส่วนร่วมในการปกครองบ้านเมือง อย่างมากก็ไปลงคะแนนเลือกตั้ง ส.ส. ทีเดียวเท่านั้น แล้วรัฐบาลที่ประชาชนเลือกตั้งก็กดขี่ขูดรีด ประชาชนต่อไป ส่วนเสรีภาพโดยบริบูรณ์นั้น ก็มีแต่ในพวกนายทุน พ่อค้า นักธุรกิจ หรือคนชั้นสูงเท่านั้น ประชาชนส่วนใหญ่มีแต่เสรีภาพในความอดอยาก และทุกข์ยากเดือดร้อนไปทุกหย่อมหญ้า

ฉะนั้น “ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตย” นั้น มีแต่ตัวหนังสือในรัฐธรรมนูญ ตามความเป็นจริงแล้ว ประเทศไทยมีการปกครองระบอบเผด็จการ แต่ใช้ระบบรัฐสภาเป็นรูปแบบจึงเรียกว่า “การปกครองระบอบเผด็จการรัฐสภา”

การปกครองระบอบเผด็จการรัฐสภา เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงการปกครอง เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2475 เรามีการปกครองระบอบเผด็จการรัฐสภา มา 80 ปี แล้ว แต่ประชาชนถูกหลอกว่า เป็นการปกครองระบอบประชาธิปไตย เราหลงผิดมาตั้งหนึ่งชั่วอายุคนแล้ว เดี๋ยวนี้นักการเมืองระดมกันหลอกประชาชนเป็นการใหญ่ เสนอนโยบายหาเสียง” ถ้าเมืองไทยเป็นประชาธิปไตยมา 80 ปี ป่านนี้รวยเท่าๆกับญี่ปุ่นแล้ว ก็เพราะมันเป็น “80 ปี เผด็จการรัฐสภา” เราจึงยากจนและทุกข์ยากกันอยู่อย่างนี้ ฉะนั้น เมื่อพูดถึงประชาธิปไตย ขอให้เราเลิกหลอกตัวเอง และพูดความจริงว่า ประเทศไทยไม่เคยเป็นประชาธิปไตย แต่เป็นเผด็จการรัฐสภามาตลอด 

เมื่อพูดถึงประชาธิปไตย ขอพูดในฐานะที่เป็นนายทุน ซึ่งต้องพูดความจริง ก่อนอื่น ขอให้ทำความเข้าใจในความหมายของคำว่า “กรรมกร” มักจะเข้าใจกันว่า กรรมกร คือ ผู้ใช้แรงงานทั่วไป กรรมกรนั้น ไม่ใช่ผู้ใช้แรงงานทั่วไป แต่หมายถึง ผู้ใช้แรงงานรับจ้าง ในอุตสาหกรรมสมัยใหม่เท่านั้น ผู้ใช้แรงงานประเภทอื่นไม่ใช่กรรมกร 

อุตสาหกรรมสมัยใหม่ คือ รากฐานของระบบเศรษฐกิจทุนนิยม และผู้สร้างระบบเศรษฐกิจทุนนิยม คือนายทุนและกรรมกร ซึ่งทำหน้าที่ต่างกัน นายทุนเป็นเจ้าของปัจจัยการผลิต กรรมกรเป็นพลังการผลิต พูดง่ายๆ ว่า ฝ่ายหนึ่งเป็นทุน อีกฝ่ายหนึ่งเป็นแรงงาน ทุนกับแรงงานบวกกัน ก่อให้เกิดระบบเศรษฐกิจทุนนิยม ฉะนั้น กรรมกรกับนายทุนจึงเป็นลูกฝาแฝดที่แยกกันไม่ออก ในการสร้างระบบเศรษฐกิจทุนนิยม ฉะนั้น นักปราชญ์ผู้บัญญัติศัพท์ นายทุน และ กรรมกร (คือ พระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหมื่นนราธิปพงศ์ประพันธ์ เรียกกัน ทั่วไปว่า “ท่านวรรณ”) จึงกล่าวว่า นายทุนและกรรมกรเป็นคำที่มีเกียรติ

แต่เดี๋ยวนี้ เรามักจะไม่ใช้คำว่า “กรรมกร” แต่ใช้คำว่า “ผู้ใช้แรงงาน” ซึ่งทำให้ผู้คนเข้าใจกรรมกรผิดไป กรรมกรไม่ใช่ผู้ใช้แรงงาน กรรมกรกับนายทุน นอกจากจะเป็นผู้สร้างระบบเศรษฐกิจทุนนิยมแล้ว ยังเป็นผู้สร้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยด้วย เพราะระบบเศรษฐกิจทุนนิยมจะพัฒนาไปสู่ความไพบูลย์ได้ ต้องอาศัยการปกครองระบอบประชาธิปไตย และกรรมกรกับนายทุน มีหน้าที่คนละอย่าง ในการสร้างการปกครองระบอบประชาธิปไตย เช่นเดียวกับหน้าที่คนละอย่างในการสร้างระบบเศรษฐกิจทุนนิยม กล่าวคือ นายทุนเป็นผู้สร้างหลักการของการปกครองระบอบประชาธิปไตย และกรรมกรเป็นผู้ทำให้การปกครองระบอบประชาธิปไตยปรากฏเป็นจริง เพราะว่า เมื่อนายทุนได้อำนาจการปกครองแล้ว มักจะละทิ้งหลักการประชาธิปไตยของตนเอง แต่หันไปใช้การปกครองแบบเผด็จการ กรรมกรจึงต้องต่อสู่เพื่อผลักดันให้นายทุนปฏิบัติตามหลักการประชาธิปไตย ความสำเร็จของการสร้างประชาธิปไตย จึงเกิดจากบทบาทของกรรมกร ไม่ว่าในอังกฤษ ฝรั่งเศส อเมริกา ญี่ปุ่น และอื่นๆที่สร้างประชาธิปไตยสำเร็จนั้น เป็นเพราะการต่อสู้ของกรรมกรทั้งสิ้น ประเทศใดกรรมกรไม่ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย ประเทศนั้นก็สร้างประชาธิปไตยไม่สำเร็จ ไม่สามารถเป็นประเทศประชาธิปไตยได้ แต่จะเป็นประเทศเผด็จการดักดานอยู่อย่างเช่นประเทศไทยเรา

กรรมกรไทย เริ่มเคลื่อนไหวเพื่อสร้างประชาธิปไตยเมื่อ พ.ศ. 2518 ด้วยการเสนอนโยบายการสร้างประชาธิปไตยที่ถูกต้อง คือ “แนวทางแก้ไขปัญหาของชาติ ของขบวนการกรรมกรไทย” ซึ่งเป็นสรุปผลการอภิปรายของผู้แทนกรรมกรทั่วประเทศ ณ ลุมพินีสถาน เมื่อวันที่ 26 กันยายน 2518 ซึ่งเป็นนโยบายที่ได้จากการนำเอาพระบรมราโชบายสถาปนาการปกครองแบบประชาธิปไตยที่ถูกต้องของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 มาประยุกต์กับสถานการณ์ปัจจุบัน แต่กรรมกรยังไม่เข้าใจนโยบายนี้อย่างกว้างขวาง ส่วนใหญ่จึงยังสนับสนุนการปกครองแบบเผด็จการรัฐสภากันอยู่ โดยเข้าใจผิดเพราะถูกหลอกว่าเป็นประชาธิปไตย 

เวลานี้ โลกได้พิสูจน์ชัดเจนแล้วว่า ประชาธิปไตยเท่านั้น แก้ปัญหาของประเทศชาติและประชาชนได้ เผด็จการกับคอมมิวนิสต์แก้ปัญหาไม่ได้ ทุกหนทุกแห่งที่เป็นเผด็จการและคอมมิวนิสต์ จึงพากันเปลี่ยนแปลงเป็นประชาธิปไตย โดยเฉพาะประเทศคอมมิวนิสต์ หลังจากรับเอาแนวทางของทหารประชาธิปไตยไปปฏิบัติกันแล้ว ก็เกิดการแก้ปัญหาทางเศรษฐกิจของโลกสังคมนิยมได้ ประเทศไทยเริ่มเปลี่ยนแปลง เป็นประชาธิปไตยตั้งแต่เมื่อ 100 ปีก่อน คือ ตั้งแต่สมัย รัชกาลที่ 5 จนถึงรัชกาลที่ 7 แล้วก็ถูกทำลายเสีย ทำให้เป็นเผด็จการรัฐสภามาถึง 80 ปี ประเทศไทยจึงทรุดโทรมและประชาชนทุกข์ยากอย่างที่เห็นอยู่อย่างนี้ ทั้งยังเป็นเหตุให้เกิดภัยอันตรายต่างๆ เช่น การจลาจลบาดเจ็บล้มตาย ถึงขนาดอาจเกิดสงครามกลางเมืองขึ้นเมื่อไรก็ได้ และขณะนี้ โดยเฉพาะการเลือกตั้งครั้งนี้ เป็นสถานการณ์ล่อแหลมอย่างที่สุด ปัญหาเหล่านี้ จะป้องกันและแก้ไขได้ ก็ด้วยการสร้างประชาธิปไตยให้สำเร็จเท่านั้น เพราะฉะนั้น จึงเป็นความจำเป็นอย่างรีบด่วนที่จะต้องลงมือสร้างประชาธิปไตยเดี๋ยวนี้ มิฉะนั้น ก็จะไม่สามารถรักษาความมั่นคงของชาติเอาไว้ได้เลย

แต่ความสำเร็จของการสร้างประชาธิปไตย ขึ้นอยู่กับบทบาทของกรรมกร อย่าไปหลงผิดว่านักการเมือง นักวิชาการ หรือใครๆจะสร้างประชาธิปไตยได้ การเลือกตั้งที่กำลังจะทำกันอยู่นี้ เป็นการเลือกตั้งแบบเผด็จการ ซึ่งนอกจากจะเป็นอุปสรรคต่อการสร้างประชาธิปไตย แล้วยังเป็นการสร้างเงื่อนไขให้เกิด “สงครามประชาชน” อย่างแน่นอน และขณะนี้ทุกฝ่ายก็รู้สึกวิตกกังวลกันอยู่ ไม่ต้องเชื่อคำทำนายของหมดดู เราใช้ความรู้การเมืองพิจารณาสถานการณ์ก็รู้ได้ดีกว่าโหร 

ประชาชนที่ตกอยู่ภายใต้การปกครองแบบเผด็จการรัฐสภานั้น ผู้ที่ได้รับผลร้ายมากที่สุดก็คือ ผู้ใช้แรงงานและกรรมกร ถ้าเกิดสงครามกลางเมืองขึ้นในประเทศของเรา ขอให้หลับตานึกถึงยูโกสลาเวียก็แล้วกัน มันโหดร้ายทารุณแค่ไหน คนไทยถ้าเกิดฆ่ากันจริงๆ ขึ้นมา คนชาติอื่นชิดซ้ายหมด จึงขอให้พี่น้อง จงได้เข้าใจความจริงของสถานการณ์ อย่าคิดว่าเรื่องอย่างในยูโกสลาเวียและในกัมพูชาจะไม่เกิดขึ้นในประเทศไทย ถ้าเรายังรักษาการปกครองแบบเผด็จการรัฐสภาไว้ 

ไม่ว่าในบ้านเมืองใด ประชาชนและกรรมกรจะแสดงบทบาทในการสร้างประชาธิปไตยได้ ต้องรู้ประชาธิปไตยในประเทศต่างๆ ที่เค้าทำสำเร็จกันมาแล้ว เพราะกรรมกรรู้ประชาธิปไตยเท่าๆกับนายทุนรู้ ต่างกันแต่ว่านายทุนรู้ประชาธิปไตยเพื่อขัดขวาง และทำลายประชาธิปไตย เพราะทั้งที่เป็นหลักการที่เขาสร้างขึ้นเอง แต่เมื่อเขาได้อำนาจแล้ว กลับใช้ความรู้ประชาธิปไตยเป็นเครื่องมือทำลายประชาธิปไตยและสร้างเผด็จการ แต่กรรมกรรู้ประชาธิปไตยเพื่อใช้ทำลายเผด็จการและสร้างประชาธิปไตย

แต่กรรมกรไทยรู้ประชาธิปไตย ยากกว่ากรรมกรประเทศอื่นๆ ที่เคยสร้างประชาธิปไตยสำเร็จมาแล้ว เพราะกรรมกรไทยถูกนักการเมือง และนักวิชาการของนายทุน เอาเผด็จการรัฐสภามาหลอกว่าเป็นประชาธิปไตย และหลอกกันมายาวนานถึง 1 ชั่วอายุคนแล้ว แต่ก็หลอกไปไม่ตลอด หลอกคนอื่นหลอกได้ หลอกกรรมกรหลอกไม่ได้ ในขณะที่ คนประเทศอื่นหลงผิดกันงอมแงม กรรมกรก็ชูดวงประทีปแห่งความรู้ประชาธิปไตยขึ้นมา ด้วยการประกาศแนวทางแก้ปัญหาของชาติ ของขบวนการกรรมกรไทย ซึ่งส่องแสงสว่างขยายกว้างออกไปทุกทีแล้ว ในประชาชนทุกหมู่เหล่า ขอให้กรรมกรรีบศึกษาและเผยแพร่ความรู้ประชาธิปไตยที่ถูกต้องนั้น 

เพื่อนสมาชิกสภาการแท็กซี่มหาชน แท็กซี่ก็เป็นผู้ใช้แรงงาน การที่จะรักษาเกียรติภูมิ และยกระดับอาชีพของเราไว้ได้ ต้องร่วมมือกับประชาชนทุกสาขาอาชีพในการผลักดัน การสร้างประชาธิปไตยให้ปรากฏเป็นจริง เพราะเราเชื่อมั่นว่า ถ้าประเทศปกครองระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริงแล้ว จะทำให้การกระจายรายได้ทั่วถึงทุกสาขาอาชีพ ไม่ใช่แค่อาชีพผู้ขับแท็กซี่ จะรวมถึงอาชีพคนชั้นล่างที่ขาดการดูแลเอาใจใส่มานาน เช่น อาชีพ สามล้อ มอเตอร์ไซท์รับจ้าง หาบเร่แผงลอย ยามรักษาความปลอดภัย อาชีพรับจ้างอื่นๆ จะได้รับการดูแล และสวัสดิการต่างๆ เทียบเท่าอาชีพอื่นๆ ทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ ฐานะครอบครัวดีขึ้น โอกาสในการเข้าถึงแหล่งเงินทุน การได้รับการศึกษา การพัฒนาประเทศ ก็จะพัฒนาเร็วขึ้น ถ้าประชาชนส่วนใหญ่มีความรู้ 

ดังนั้น การสร้างประชาธิปไตย จึงเป็นหัวใจสำคัญในการพัฒนาประเทศ ให้เจริญรุ่งเรือง เทียบเท่าประเทศพัฒนาอื่นๆ และยังเป็นวิธีที่ดีที่สุด ที่จะทำให้เกิดความรัก ความสามัคคี ความสงบเรียบร้อย ความเป็นธรรม เกิดขึ้นกับคนไทยในชาติ เป็นสยามเมืองยิ้ม เป็นเมืองที่น่าอยู่ยิ่งกว่าเดิม 

หวังเป็นอย่างยิ่งว่า การเสนอความรู้ประชาธิปไตย จะนำไปสู่การแก้ปัญหาชาติให้ประสบความสำเร็จตามความมุ่งหมายทุกประการ

คัดลอกจาก https://www.facebook.com/RevolutionThailand



แก้ไขล่าสุด ใน วันจันทร์ที่ 03 กุมภาพันธ์ 2014 เวลา 23:58 น.
 


หน้า 391 จาก 557
Home

About Us

ศูนย์บูรณาการพัฒนามนุษย์ (ศบม.) เป็นองค์กรที่พัฒนาและจัดทำโครงการเพื่อทำประโยชน์ให้สังคม เป็นองค์กรสนับสนุนการดำเนินงานของภาครัฐ ช่วยแก้ปัญหาผู้ประกอบการภาคธุรกิจบริการที่ขาดแคลนบุคลากรที่มีมาตรฐานในการให้บริการ
อ่านเพิ่มเติม

มูลนิธิศูนย์บูรณาการพัฒนามนุษย์ ์

 iHDC Profile
บัญชีรายชื่อกรรมการ
ใบสำคัญแสดงการจดทะเบียน การเปลี่ยนแปลงกรรมการของมูลนิธิ
เอกสารประชาสัมพันธ์ โครงการ HMTC.pdf
เอกสารแนะนำโครงการ HMTC 1.pdf
เอกสารโครงการ HMTC 2 คุณสมบัติผู้เข้าร่วมโครงการ.pdf
iHDC นิติบุคคล.pdf
iHDC บุคคล.pdf
iHDC บุคคลเครือข่าย.pdf
รายงานการประชุม 6 มีนาคม 2560.pdf
ข้อบังคับมูลนิธิ
ใบสำคัญแสดงการจดทะเบียนจัดตั้งมูลนิธิ
Ihdc-Profile and Roadmap 2016-2019 Mar 23 2560.pdf
รายงานการประชุมใหญ่คณะกรรมการมูลนิธิศูนย์บูรณาการพัฒนามนุษย์ 2559.pdf
คำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการ สาขาวิชาชีพ.pdf
รายงานการประชุมใหญ่วันที่ 18 ธ ค 2558 v 3.pdf
รายงานการประชุม วันที่ 24 ธันวาคม 2557 updated 4 มีนาคม 2558.pdf
iHDC-invitation Letter.doc
iHDC-Member Form Thai.doc
iHDC-Member Form English.doc
รายงานการประชุมกรรมการมูลนิธิศูนย์บูรณาการพัฒนามนุษย์ วันที่ 15 มกราคม 2556 ฉบับสมบูรณ์


thaibetter
พัฒนาประเทศไทยแบบทวีคูณ และยั่งยืน ( ททค )

Login


แบบสำรวจ

สถิติเว็บไซด์

สมาชิก : 5603
Content : 3043
เว็บลิงก์ : 26
จำนวนครั้งเปิดดูบทความ : 8591202

facebook

Twitter


ล่าสุด

บทความเก่า