Thaiihdc.org

  • เพิ่มขนาดตัวอักษร
  • ขนาดตัวอักษรปกติ
  • สดขนาดตัวอักษร
Thaiihdc.org

๖ นวัตกรรมสู่การเป็นประเทศแห่งการศึกษา ๖. ปลดปล่อยจากพันธนาการของกาละและเทศะ และพันธนาการอื่นๆ

พิมพ์ PDF

บันทึกชุดนี้มี ๑๐ ตอน   ที่ตีความจากการอ่านหนังสือ Education Nation : Six Leading Edges of Innovation in Our Schools เขียนโดย Milton Chen

บันทึกตอนที่ ๖ นี้ ตีความจาก Edge 4. The Time/Place Edge : Learning Anytime, Anywhere

เทคโนโลยีด้าน ไอซีที ช่วยปลดปล่อย หรือให้อิสระแก่การเรียนรู้    ไม่ต้องผูกพันกับห้องสี่เหลี่ยม ที่เรียกว่าห้องเรียน    และไม่ต้องจำกัดอยู่เฉพาะในเวลาที่โรงเรียนกำหนดให้เป็น “เวลาเรียน” อีกต่อไป    นักเรียนจะเรียนที่ไหน เวลาใด ก็ได้

หมายความว่า เทคโนโลยี ไอซีที ช่วยปลดปล่อย    หรือเปิดโอกาส ให้การเรียนรู้เปลี่ยนโฉมไปโดยสิ้นเชิง ในเรื่อง กาละและเทศะ ของการเรียนรู้    แล้วระบบการศึกษาไทย จะใช้พลังของการปลดปล่อยนี้หรือไม่

แต่ปัจจัยที่ขับเคลื่อนการเปลี่ยนกาละเทศะ ของการเรียนของนักเรียน มีมากกว่าเทคโนโลยีอย่างมากมาย    คือเชื่อมโยงกับวิถีชีวิตของคนสมัยใหม่ ที่อยู่ในเมือง    ที่เวลาทำงานและเดินทางของพ่อแม่ ทำให้ลูกเลิกเรียนก่อน แต่ไม่รู้จะ ไปไหน ก่อนที่พ่อแม่จะมารับ    รวมทั้งความจำเป็นที่เด็กจะต้องออกไปทำกิจกรรมกลางแจ้ง เพื่อลดปัญหา โรคอ้วน เป็นต้น

เทคโนโลยี ไอซีที เป็นทั้งตัวปัญหา และเป็นทั้งโอกาส ต่อการเรียนรู้ให้รู้จริง    หากเด็กเอาไปใช้เล่นเกม หรือติดต่อกับเพื่อนในทางเสื่อมเสีย   ไอซีที ก็เป็นตัวปัญหา    วงการศึกษาจึงต้องฝึก ให้ศิษย์รู้จักใช้ ไอซีที เพื่อประโยชน์ต่อการเรียน หรือประโยชน์ต่อชีวิตอนาคตของตน   ไม่ถูกความเย้ายวน ชักจูงให้ใช้ ไอซีที ไปในทาง เสื่อมเสียแก่อนาคตของตนเอง    หนามยอก ต้องเอาหนามบ่ง    คือต้องเปลี่ยนบทบาทของเยาวชน จากเสพสื่อเพื่อความบันเทิง เป็นใช้สื่อเพื่อการเรียนรู้และสร้างสรรค์

การส่งเสริมให้เด็กเรียนโดยทำกิจกรรม ทำโครงงานเป็นทีม ในเรื่องที่เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาชุมชน ของตนเองอย่างเอาจริงเอาจัง    เปิดโอกาสให้เด็กได้ออกสำรวจพื้นที่ และค้นคว้าความรู้จาก อินเทอร์เน็ต    หรือใช้ อินเทอร์เน็ต ในการติดต่อสอบถามผู้รู้   ช่วยให้เกิดการเรียนรู้นอกห้องเรียน และนอกเวลาเรียนของโรงเรียน    นักเรียนได้ฝึกสังเกตหรือเก็บข้อมูลในพื้นที่    ได้ฝึกค้นคว้าหาความรู้จากหลากหลายแหล่ง    และได้ฝึกประเมิน และเลือกความรู้ที่น่าเชื่อถือ และเหมาะสมต่อบริบทของตน มาใช้    ได้ฝึกประยุกต์ใช้ความรู้ให้เหมาะสม กับสภาพ บริบท หรือสภาพความเป็นจริง    และได้ฝึกเก็บข้อมูลเพื่อวัดผลความสำเร็จ    สำหรับนำมาคิดไตร่ตรอง ทำความเข้าใจความรู้เชิงทฤษฎี และการประยุกต์ใช้ความรู้นั้นๆ

การเรียนตามย่อหน้าข้างบน เกิดขึ้นได้ 24/7/365    ไม่ใช่ 6/5/180 อย่างในการเรียนในห้องเรียน   แต่จะ เกิดขึ้นได้ ต้องมีการจัดการ   และมีการชักชวน ส่งเสริมให้เด็กเห็นคุณค่า และสนุก ในการเรียนช่วงนอกเวลา ในห้องเรียน

ครู/พ่อแม่ ต้องไม่เอาใจใส่การเรียนของศิษย์/ลูก เฉพาะในช่วงเวลาในห้องเรียน   ต้องร่วมกันสร้างโอกาส และสร้างบรรยากาศ ของการเรียนรู้ แบบที่เด็กกำกับกิจกรรมของตนเอง    และเรียนแล้วเกิดความสำเร็จ ความภาคภูมิใจ ในความสามารถของตนเอง

ตามที่เล่าในหนังสือเล่มนี้ การเรียนนอกเวลา 6/5/180  หรือนอกห้องเรียน/โรงเรียน    ดำเนินการในหลากหลายรูปแบบ    โดยองค์กรหรือหน่วยงานที่หลากหลาย   รวมทั้งที่จัดโดยโรงเรียนเอง ร่วมกับองค์กรภาคีที่หลากหลาย หรือจัดร่วมกับสมาคมผู้ปกครอง    ผลที่เกิดขึ้นคือ ผลสัมฤทธิ์ของการเรียน ดีขึ้นมาก   และช่วยแก้ปัญหาความประพฤติด้วย

ผมเคยไปเยี่ยมโรงเรียนระดับ ม. ต้น ของไทย    และได้รับคำบอกเล่าว่านักเรียนมักเลิกเรียนเวลา ๑๕ น.   แต่พ่อแม่เลิกงาน ๑๖.๓๐ น.   กว่าพ่อแม่จะมารับก็ ๑๗ - ๑๘ น.   ระหว่างเวลา ๒ - ๓ ชั่วโมงนั้นเด็กไม่มีอะไรทำ ก็เบื่อ    จะมีคนมาตั้งร้านเน็ตข้างๆ โรงเรียน    ให้เด็กไปเล่นเน็ต นำไปสู่การติดเกม หรือดูหนังโป๊   ล่อให้เด็กเดินไปสู่ทางอบาย

ในกรณีเช่นนี้ พ่อแม่และครูควรร่วมกันจัดเวลาเรียนแบบ Project-Based หลากหลายแบบ ให้เด็กเรียนเป็นทีม   มีโจทย์ที่ท้าทาย ได้ใช้เวลาว่างเสริมการเรียนวิชาในห้องเรียน   และอาจเป็นโจทย์ที่นักเรียนได้ภาคภูมิใจว่าตนได้ทำประโยชน์แก่โรงเรียน หรือแก่ชุมชนโดยรอบ ได้ด้วย

ที่จริงการปลดปล่อยการศึกษา/การเรียนรู้ ออกจากพันธนาการหรือกรงขังนี้    ไม่ใช่แค่ปลดปล่อย ออกจากกรงขังของเวลาและสถานที่ เท่านั้น    ยังต้องปลดปล่อยออกจากพันธนาการอีกหลายอย่าง    ได้แก่พันธนาการของวิชา ที่แต่ละวิชาต้องเรียนแยกกัน   พันธนาการของความเป็นครู ที่ครูแต่ละคนสอนแยกกัน    พันธนาการของการเรียนเป็นชั้นปี แยกกัน    พันธนาการเด็กให้เรียนจากโรงเรียนเท่านั้น แยกการเรียนรู้ออกจาก การทำงานที่บ้าน หรือการทำงานในสถานการณ์จริง ที่หนังสือเล่มนี้เรียกว่า Place-Based Learning

 

 

วิจารณ์ พานิช

๘ ธ.ค. ๕๖

 

บันทึกนี้เขียนที่ GotoKnow โดย 

แก้ไขล่าสุด ใน วันอังคารที่ 08 เมษายน 2014 เวลา 12:58 น.
 

คำขอของกระดาษ

พิมพ์ PDF

คำขอของกระดาษ

เศษกระดาษกราดเกลื่อนเป็นเพื่อนพื้น
ถนนตื่นตาตามยามเช้าตรู่
เมื่อสายลมยามเช้าพัดพราวพรู
กระดาษปูปลิวไปตามสายลม

คงปลิวตามถามข่าวคนเหล่านั้น
ว่าปล่อยฉันเรื่อยไปไม่เหมาะสม
เมื่อยามมาพาเราเอามาชม
ไม่นิยมนำฉันนั้นกลับไป

เหลือความชังสังเวชเศษกระดาษ
คงเก่าขาดรอเขาเอาไปขาย
หรือผุพังวางถมจมดินทราย
มีความหมายเพียงนิดพินิจดู

คงคั่งค้างถั่งถมคมคำถาม
หากคุณงามความดีฉันมีอยู่
นำไปไหนไปด้วยช่วยอุ้มชู
อยากรับรู้คุณค่าว่าเคยมี

โปรดอย่าปล่อยลอยไปฉันไร้ค่า
ปรารถนาด้วยรักในศักดิ์ศรี
นำฉันมาพาฉันไปด้วยใยดี
ตัวฉันนี้ชื่นชอบขอขอบคุณ

บันทึกนี้เขียนที่ GotoKnow โดย 

แก้ไขล่าสุด ใน วันอังคารที่ 08 เมษายน 2014 เวลา 09:59 น.
 

รายการ หมอกฤษฎ์ คอนเฟิร์ม - รายการต้มตุ๋น

พิมพ์ PDF
เดี๋ยวนี้มีรายการทีวีทางดาวเทียมมากมายหลายรายการ ไม่ว่าจะหมอดู ขายของตรง ขายยา อาหารเสริม ซึ่งมีการโมษณาชวนเชื่อ ผมไม่แน่ใจว่ามีหน่วยงานใดคอยตรวจสอบและดูแลหรือไม่ว่าเป็นเรื่องจริง หรือเรื่องหลอกลวง ต้มตุ๋น ผมได้เข้าไปทดลองด้วยตัวเองในเรื่องของหมดกฤษฎ์ คอนเฟิร์ม ทางทีวีดาวเทียม ช่อง 120 และขอยืนยันว่าเป็นการต้มตุ๋น หากินโดยวิธีการหลอกลวง

วันที่ 7 เมษายน 2557 เวลาประมาณ 12.10 น เปิดทีวีดาวเทียม ไปพบรายการ "ดูดวงกับหมอกฤษฎ์ คอนเฟิร์ม ช่อง 120 (ดาวเทียมจานดำของ PSI) ระหว่างออกรายการ แจ้งให้โทรไปที่ 1900-111-123 เพื่อทายดวงสดๆ ผมจึงทดลองโทรไป  มีเสียงตอบเป็นเทปแจ้งให้กดวัน เดือน ปี เกิด แล้วให้กด 1 เป็นการยืนยัน พอผมกด 1 ก็มีเสียงตอบให้เลือกข้อ 1 เพื่อดู... กด 2 เพื่อดู กับหมอกฤษฎ์โดยตรง กดข้อ 3 เพื่อดู... ผมเลือกข้อ 2 พอผมกด 2 ก็มีเสียงกลับมาว่าเป็นหมอกฤษฎ์ และให้ผมตั้งสติและเตรียมความพร้อม ส่วนเขาพร้อมแล้ว ผมเริ่มงงเพราะ ดูในทีวี หมอกฤษฎ์ก็กำลังรับสายและพูดอยู่กับคนอื่น ส่วนเสียงที่พูดกับผมก็พูดว่าเป็นการดูดวงในแต่ละเดือน ขอให้โทรมาเช็คทุกเดือน แต่ก่อนอื่นให้ผมตั้งจิต ก่อน และให้ท่องนะโม 9 ครั้งโดยพูดตามเขา หลังจากนั้นก็ขอเช็คดวงของผมและก็พูดเกี่ยวกับผมชีวิตและนิสัยที่ผ่านๆมา พูดยาวและไม่ตรงกับของผมเลย และยังไม่เข้าการทำนายเสียที แถมไม่ได้เปิดโอกาสให้ผมพูดสวนได้เลย จึงแน่ใจว่าเป็นเทป ขืนฟังต่อไปก็คงเสียเวลาเปล่า และเสียงค่าดูดวง นาทีละ 9 บาท

เมื่อ 2 ถึง 3 วันที่ผ่านมา ผมเคยเข้ามาดูในรายการนี้ และก็เคยโทร เข้าไปเหมือนกัน แต่ในวันนั้นให้โทรไปที่ 1900-1900-88 เช่นเดียวกัน ผมเลือกขอดูดวงตรงกับหมอกฤษฎ์ ระหว่างที่รับสาย ก็ชมทีวีไปด้วย ก็เห็นหมอกฤษฎ์ทายดวงคนอื่นอยู่ แต่การทำนายในวันนั้นต่างกับวันนี้ วันนั้นทายดีค่อนข้างตรง  พอทายจบก็เข้าแบบเดิมคือให้ผมก็กดยืนยันอีก แต่ผมไม่ยืนยันวางสายเพราะรู้แล้วว่าไม่ใช่การฟังการทำนายโดยตรงกับหมอกฤษฎ์ เข้าใจว่าจะเป็นเทป ถ้ากดยืนยันก็จะต้องเสียเงินอีก

วันนี้เปิดมาพบรายการนี้อีกโดยบังเอิญ จึงอยากจะเช็คให้แน่ๆว่าจริงไหม เพราะช่วงที่ชมทีวี หมอกฤษฎี กำลังทายให้กับผู้หญิง และสอบถามขอยืนยันว่าที่โทรเข้ามามีเตี้ยมกันหรือไม่ ทำให้ผมอยากทดลองให้แน่ใจ

สรุปขอยืนยันว่ารายการนี้ต้มตุ้น ไม่ใช่ของจริง หลอกกินเงินค่าโทรศัพท์นาทีละ 9 บาท โดยฟังเทปที่เขาตั้งไว้ 10 นาทีก็ 90 บาท อย่าหลงเชื่อครับ เสียเงินเปล่า ผมไม่แน่ใจเหมือนกันว่าถ้าผมทดฟังเทปไปเรื่อยๆ โดยไม่ตัดสินใจวางสายไปก่อน จะต้องเสียเงินเท่าใด และถ้าเขาทายอะไรไปและแนะให้ทำโน้นทำนี่และเราเกิดเชื่ออาจทำให้เสียเงิน และเสียเวลาใหญ่ และที่กลัวที่สุดคืออาจทำให้เราทำในสิ่งโง่ๆที่ทำให้เสียหายในชีวิตของเราได้

ถ้าหมอกฤษฎ์ ทราบเรื่อง ที่ผมกล่าวมาทั้งหมด  และมีอะไรจะแก้ตัวหรือพิสูจน์ ว่าที่ผมกล่าวมาเป็นความเข้าใจผิด ก็ขอให้แจ้งมาเพื่อนัดพิสูจน์ ถ้าเป็นของจริง และทำได้อย่างที่หมอกฤษฎ์ออกอากาศ ผมยินดีที่จะยืนยันประกาศให้ทุกท่านทราบว่าความจริงเป็นอย่างไร ที่ผมกล้ายืนยันว่าต้มตุ๋นนั้น ผมหมายถึงต้มตุ๋นให้โทรไปที่เบอร์นั้นเพื่อได้ฟังการทำนายสดๆจากหมอกฤษฎ์ แต่เมื่อโทรไปจริงๆเป็นการฟังเทป หรือฟังการทำนายจากผู้อื่น ส่วนการทำนายจะตรงหรือไม่ตรงเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ผมไม่ได้ถือว่าเป็นเรื่องต้มตุ๋น เป็นเรื่องของความเชื่อของแต่ละคน
ม.ล.ชาญโชติ ชมพูนุท
7 เมษายน 2557

แก้ไขล่าสุด ใน วันจันทร์ที่ 07 เมษายน 2014 เวลา 13:58 น.
 

กระทรวงกลาโหม

พิมพ์ PDF
๘ เมษายน พุทธศักราช ๒๔๓๐
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้รวมทหารบกและทหารเรือเข้าด้วยกัน และตราพระราชบัญญัติจัดตั้งกรมยุทธนาธิการ ภายหลังยกฐานะเป็นกระทรวงและเปลี่ยนชื่อเป็น...กระทรวงกลาโหม

กระทรวงกลาโหม เป็นหน่วยงานราชการไทยประเภทกระทรวง มีหน้าที่ป้องกันประเทศ เพิ่มขีดความสามารถ และรักษาผลประโยชน์ของชาติ สร้างความร่วมมือด้านความมั่นคงกับประเทศเพื่อนบ้าน ประเทศในกลุ่มอาเซียน และมิตรประเทศ เพื่อลดความหวาดระแวงสร้างสันติภาพ ให้ความสำคัญในการตอบสนองนโยบายเร่งด่วนของคณะรัฐมนตรี ที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินการของกระทรวงกลาโหม ตลอดจนภารกิจอื่นตามที่ได้รับมอบหมายเป็นการเฉพาะ และมีหน้าที่พิทักษ์รักษาสถาบันพระมหากษัตริย์ ทั้งในฐานะที่พระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขของประเทศ และทรงดำรงตำแหน่งจอมทัพไทย รวมทั้งสนับสนุนการดำเนินการตามพระราชประสงค์ 
ประวัติ 
กิจการทหารของชาติ: ได้ก่อกำเนิดมาพร้อม ๆ การกำเนิดของชาติไทย ได้มี วิวัฒนาการมาตั้งแต่ อาณาจักรสุโขทัย อยุธยา และรัตนโกสินทร์ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้โปรดเกล้าฯ ให้จัดระบบ การทหารให้ทัดเทียมกับอารยประเทศได้โปรดเกล้าฯ ให้รวมทหารบกและทหารเรือเข้าด้วยกัน โดยตราพระราชบัญญัติจัดตั้งกรมยุทธนาธิการขึ้น เมื่อ 8 เมษายน พ.ศ.2430 มีสมเด็จเจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศฯ เป็นเสนาบดีและต่อมาได้ยกฐานะเป็นกระทรวงยุทธนาธิการ เมื่อ 1 เมษายน พ.ศ. 2433 ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เปลี่ยนชื่อเป็น กระทรวงกลาโหม ปกครอง บังคับบัญชาทหารบก ฝ่ายเดียวส่วนทหารเรือ แยกไปตั้งเป็นกระทรวงทหารเรือ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ยุบกระทรวงทหารเรือเข้ากับกระทรวงกลาโหม เมื่อ 8 พฤศจิกายน พ.ศ.2474 และยกฐานะกรมทหาร อากาศเป็นกองทัพอากาศ เมื่อ 9 เมษายนพ.ศ.2480กิจการทหารไทยจึงมีทั้ง กองทัพบก กองทัพเรือและกองทัพอากาศ เป็นส่วนราชการขึ้นตรงกระทรวงกลาโหมใน พ.ศ.2481 ทางราชการเห็นว่ารัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ต้องรับผิดชอบทั้งด้านการทหารและการเมือง จึงได้ออกพระราชบัญญัติ จัดระเบียบ ราชการ กระทรวงกลาโหม พ.ศ.2481 กำหนดให้มี กรมเสนาธิการทหารมีหน้าที่เตรียม และวางแผนการสงคราม และเป็นผู้ประสานงาน ระหว่างกองทัพบก กองทัพเรือ กองทัพอากาศให้สอดคล้องกับนโยบายของประเทศ ใน พ.ศ.2503 ได้ตั้งกองบัญชาการทหาร สูงสุดขึ้น โดยแปรสภาพมาจากกรมเสนาธิการทหารปกครองบังคับบัญชากองทัพบก กองทัพเรือ กองทัพอากาศและส่วนราชการอื่น ตามที่กำหนดโดยพระราชกฤษฎีกา 

ศาลาว่าการกลาโหมปัจจุบัน ในอดีตคือ โรงทหารหน้า ซึ่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเปิด เมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2427 เป็นโบราณสถานสำคัญของชาติ เพื่อให้อนุชนได้ตระหนักถึงคุณค่าของโบราณสถานแห่งนี้ และร่วมกันดูแลรักษาต่อไปในอนาคต

กระทรวงกลาโหม มีการแบ่งส่วนราชการระดับกรมออกเป็น 5 หน่วยงาน ตามพระราชบัญญัติจัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม พ.ศ. 2551 และพระราชบัญญัติจัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2556ดังนี้

สำนักงานรัฐมนตรี 
มีหน้าที่เกี่ยวกับราชการทางการเมืองของรัฐมนตรี และมีหน้าที่รับผิดชอบกำกับดูแลสำนักงานจเรทหารทั่วไป

สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม 
มีหน้าที่เกี่ยวกับงานนโยบายและยุทธศาสตร์ งานราชการประจำทั่วไปของกระทรวง

กรมราชองครักษ์ 
มีหน้าที่รักษาความปลอดภัย สำหรับองค์พระมหากษัตริย์ พระราชินี พระรัชทายาท ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ พระบรมวงศานุวงศ์ ผู้แทนพระองค์ และพระราชอาคันตุกะ

หน่วยบัญชาการถวายความปลอดภัยรักษาพระองค์
มีหน้าที่วางแผน อำนวยการ ประสานงาน บังคับบัญชา ควบคุม และกำกับดูแลการปฏิบัติงานในการถวายอารักขาและถวายพระเกียรติองค์พระมหากษัตริย์ พระราชินี พระรัชทายาท และพระบรมวงศานุวงศ์ รวมทั้งปฏิบัติหน้าที่ทางพระราชพิธี ตามที่ได้รับมอบหมาย และรักษาความสงบเรียบร้อยภายในเขตพระราชฐาน ตลอดจนวางแผน อำนวยการ ประสานงาน ดำเนินการ และกำกับงานในหน้าที่ของสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร

กองทัพไทย มีหนาที่เตรียมกำลังกองทัพไทย การปองกันราชอาณาจักรและดำเนินการเกี่ยวกับการใชกำลังทหารตามอำนาจหนาที่ของกระทรวงกลาโหม ควบคุมการปฏิบัติงานของกองบัญชาการกองทัพไทย กองทัพบก กองทัพเรือ และกองทัพอากาศ
Like ·  · 
แก้ไขล่าสุด ใน วันจันทร์ที่ 07 เมษายน 2014 เวลา 23:26 น.
 

เสาชิงช้า

พิมพ์ PDF
  1. ๘ เมษายน พุทธศักราช ๒๓๒๗
    พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช โปรดเกล้าฯ ให้พระครูสิทธิชัย (กระต่าย) สร้างเสาชิงช้า หน้าวัดสุทัศน์เทพวราราม กรุงเทพมหานคร

    เสาชิงช้า เป็นสถาปัตยกรรมที่สร้างขึ้นเพื่อใช้ประกอบพิธีโล้ชิงช้า ในพระราชพิธีตรียัมพวาย ตรีปวายของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู โดยทั่วไปหมายถึงเสาชิงช้าที่ตั้งอยู่หน้าวัดสุทัศน์เทพวราราม และลานหน้าศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร (ลานคนเมือง) ใกล้กับเทวสถานโบสถ์พราหมณ์ ในพื้นที่แขวงเสาชิงช้าและแขวงวัดราชบพิธ เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร ซึ่งถือเป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่งของกรุงเทพมหานคร แม้พิธีโล้ชิงช้าได้เลิกไปแล้วตั้งแต่สมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 ก็ตาม

    นอกจากนี้ ในประเทศไทยยังมีเสาชิงช้าอีกแห่งหนึ่งที่หน้าหอพระอิศวร เมืองนครศรีธรรมราช ซึ่งมีการประกอบพิธีโล้ชิงช้ามาแต่โบราณเช่นกัน แต่ได้เลิกไปก่อนที่จะมีการก่อสร้างขึ้นใหม่ในภายหลัง โดยจำลองแบบมาจากเสาชิงช้าที่กรุงเทพมหานคร

    เสาชิงช้าที่กรุงเทพมหานครแห่งนี้ มีลักษณะเป็นเสาชิงช้าขนาดใหญ่ ตั้งอยู่บนแท่นหินขนาดใหญ่ สูง 21.15 เมตร เส้นผ่านศูนย์กลางฐานกลมประมาณ 10.50 เมตร ฐานกลมก่อเป็นฐานปัทม์ทำด้วยหินล้างสีขาว พื้นบนปูกระเบื้องดินเผาสีแดง มีบันได 2 ขั้น ทั้ง 2 ด้าน ตามแนวโค้งของฐานติดแผ่นจารึกประวัติเสาชิงช้า เสาไม้แกนกลางคู่และเสาตะเกียบ 2 คู่ เป็นเสาหัวเม็ด ล้วนทำด้วยไม้สักกลึงกลม โครงยึดหัวเสาทั้งคู่แกะสลักอย่างสวยงาม กระจังและหูช้างไม้เป็นลวดลายไทย ทั้งหมดทาสีแดงชาด ติดสายล่อฟ้าจากลวดลายกระจังด้านบนลงดิน

    กรมศิลปากรได้ประกาศขึ้นทะเบียนเสาชิงช้าเป็นโบราณสถานสำคัญของชาติเมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2492 นับตั้งแต่สร้างครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2327 จนถึงการบูรณปฏิสังขรณ์ครั้งล่าสุดซึ่งเสาชิงช้าคู่เดิมถูกถอดเปลี่ยนเมื่อปี พ.ศ. 2549 เสาชิงช้ามีอายุรวมประมาณ 222 ปี

    การก่อสร้าง
    จดหมายเหตุกรุงรัตนโกสินทร์บันทึกไว้ว่าพระบาทสมเด็จพระรามาธิบดีศรีสินทรมหาจักรีบรมนาถ หรือพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ 1 โปรดให้สร้างเสาชิงช้าในพระนครขึ้นตรงหน้าเทวสถานโบสถ์พราหมณ์ เมื่อวันพุธ เดือน 5 แรม 4 ค่ำ ปีมะโรง บริเวณลานด้านเหนือของวัดสุทัศนเทพวรารามราชวรมหาวิหาร ต่อมาย้ายมาสร้างใหม่ ณ ที่ตั้งปัจจุบันบริเวณหน้าวัดสุทัศน์ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เนื่องจากข้อจำกัดด้านสถานที่

    พิธีโล้ชิงช้า
    ขณะทำพิธีโล้ชิงช้า ตึกทางซ้ายมือเป็นตึกตลาดเสาชิงช้าที่สร้างในสมัยรัชกาลที่ 5 ซึ่งได้รื้อหมดแล้ว กลายเป็นลานหน้าศาลาว่าการกรุงเทพมหานครในปัจจุบัน 
    เสาชิงช้า เมืองนครศรีธรรมราช หน้าหอพระอิศวร
    พิธีโล้ชิงช้า เป็นส่วนหนึ่งของพระราชพิธีตรียัมพวาย ตรีปวาย เป็นการต้อนรับพระอิศวรซึ่งเป็นหนึ่งในสามเทพเจ้าของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู เชื่อกันว่าพระอิศวรจะเสด็จลงสู่โลกในวันขึ้นเจ็ดค่ำเดือนยี่ วันนั้นจะมีการแห่พระเป็นเจ้าไปถวายพระพรพระเจ้าอยู่หัว

    เมื่อพระเป็นเจ้าเสด็จลงมาสู่โลกมนุษย์ก็ได้เชิญเทวดาองค์อื่นๆ มาเฝ้าและมาร่วมพิธีด้วย ได้แก่ พระอาทิตย์ พระจันทร์ พระคงคา และพระธรณี พราหมณ์จะแกะรูปสัญลักษณ์ของเทวดาแต่ละองค์เป็นเทวรูปลงในไม้กระดานสามแผ่นเพื่อทำการบูชาในเทวสถาน แล้วจากนั้นจะนำไปปักในหลุมหน้าโรงพิธีนั่งดูโล้ชิงช้า หันหน้ากระดานเข้าหาตำแหน่งที่มีพระยายืนชิงช้านั่ง เรียกว่ากระดานลงหลุม ในวันขึ้น 8 ค่ำ เดือนยี่

    พระราชพิธีตรียัมปวายนี้จะกระทำในเทวสถานสำหรับพระนคร 3 เทวสถาน คือ เทวสถานพระอิศวร เทวสถานพระมหาวิฆเนศวร และเทวสถานพระนารายณ์ โลกบาลทั้งสี่ (พระยายืนชิงช้า และนาลิวัน) จึงต้องโล้ชิงช้าถวายและรับน้ำเทพมนตร์ด้วย

    แต่เดิมนั้นพระราชพิธีตรียัมปวายจะจัดในเดือนอ้าย (ประมาณเดือนธันวาคม) ครั้นล่วงเข้าสู่สมัยกรุงรัตนโกสินทร์จึงได้เปลี่ยนมาจัดในเดือนยี่ (ประมาณเดือนมกราคม) พิธีนี้ถือเป็นพิธีขึ้นปีใหม่ของพราหมณ์ซึ่งในหนึ่งปีพระอิศวรจะเสด็จมาเยี่ยมโลก 10 วัน พราหมณ์จะประชุมที่เทวสถานพระอิศวร แล้วผูกพรตชำระกายสระเกล้าเตรียมรับเสด็จพระอิศวร

    ตำนานพระราชพิธีตรียัมปวาย
    พิธีโล้ชิงช้ามีที่มาจากคัมภีร์เฉลิมไตรภพกล่าวไว้ว่าพระอุมาเทวีทรงมีความปริวิตกว่าโลกจะถึงกาลวิบัติ พระนางจึงทรงพนันกับพระอิศวร โดยให้พญานาคขึงตนระหว่างต้นพุทราที่แม่น้ำ แล้วให้พญานาคแกว่งไกวตัวโดยพระอิศวรทรงยืนขาเดียวในลักษณะไขว่ห้าง เมื่อพญานาคไกวตัว เท้าพระอิศวรไม่ตกลงแสดงว่าโลกที่ทรงสร้างนั้นมั่นคงแข็งแรง พระอิศวรจึงทรงชนะพนัน

    ดังนั้นพิธีโล้ชิงช้าจึงเปรียบเสาชิงช้าเป็น "ต้นพุทรา" ช่วงระหว่างเสาคือ "แม่น้ำ" นาลิวันผู้โล้ชิงช้าคือ "พญานาค" โดยมีพระยายืนชิงช้านั่งไขว่ห้างอยู่บนไม้เบญจมาศ

    พิธีโล้ชิงช้าซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของพระราชพิธีได้ยกเลิกไปในสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 ปัจจุบันการประกอบพระราชพิธีนี้จะกระทำเป็นการภายในเทวสถานเท่านั้น
    Like ·  · 
แก้ไขล่าสุด ใน วันจันทร์ที่ 07 เมษายน 2014 เวลา 23:30 น.
 


หน้า 363 จาก 557
Home

About Us

ศูนย์บูรณาการพัฒนามนุษย์ (ศบม.) เป็นองค์กรที่พัฒนาและจัดทำโครงการเพื่อทำประโยชน์ให้สังคม เป็นองค์กรสนับสนุนการดำเนินงานของภาครัฐ ช่วยแก้ปัญหาผู้ประกอบการภาคธุรกิจบริการที่ขาดแคลนบุคลากรที่มีมาตรฐานในการให้บริการ
อ่านเพิ่มเติม

มูลนิธิศูนย์บูรณาการพัฒนามนุษย์ ์

 iHDC Profile
บัญชีรายชื่อกรรมการ
ใบสำคัญแสดงการจดทะเบียน การเปลี่ยนแปลงกรรมการของมูลนิธิ
เอกสารประชาสัมพันธ์ โครงการ HMTC.pdf
เอกสารแนะนำโครงการ HMTC 1.pdf
เอกสารโครงการ HMTC 2 คุณสมบัติผู้เข้าร่วมโครงการ.pdf
iHDC นิติบุคคล.pdf
iHDC บุคคล.pdf
iHDC บุคคลเครือข่าย.pdf
รายงานการประชุม 6 มีนาคม 2560.pdf
ข้อบังคับมูลนิธิ
ใบสำคัญแสดงการจดทะเบียนจัดตั้งมูลนิธิ
Ihdc-Profile and Roadmap 2016-2019 Mar 23 2560.pdf
รายงานการประชุมใหญ่คณะกรรมการมูลนิธิศูนย์บูรณาการพัฒนามนุษย์ 2559.pdf
คำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการ สาขาวิชาชีพ.pdf
รายงานการประชุมใหญ่วันที่ 18 ธ ค 2558 v 3.pdf
รายงานการประชุม วันที่ 24 ธันวาคม 2557 updated 4 มีนาคม 2558.pdf
iHDC-invitation Letter.doc
iHDC-Member Form Thai.doc
iHDC-Member Form English.doc
รายงานการประชุมกรรมการมูลนิธิศูนย์บูรณาการพัฒนามนุษย์ วันที่ 15 มกราคม 2556 ฉบับสมบูรณ์


thaibetter
พัฒนาประเทศไทยแบบทวีคูณ และยั่งยืน ( ททค )

Login


แบบสำรวจ

สถิติเว็บไซด์

สมาชิก : 5602
Content : 3043
เว็บลิงก์ : 26
จำนวนครั้งเปิดดูบทความ : 8589426

facebook

Twitter


ล่าสุด

บทความเก่า