Thaiihdc.org

  • เพิ่มขนาดตัวอักษร
  • ขนาดตัวอักษรปกติ
  • สดขนาดตัวอักษร
Thaiihdc.org

การเมืองเป็นเรื่องของประชาชน

พิมพ์ PDF
เราต้องเข้าใจว่า การเลือกตั้ง เป็นวิธีการอย่างหนึ่งที่จะบรรลุผลให้มี การปกครองของ ประชาชน โดยประชาชน และเพื่อประชาชน ปรากฏเป็นจริง แต่ในสภาพแวดล้อมอย่างหนึ่ง การ เลือกตั้งกลับกลายเป็นอุปสรรคต่อการเป็นประชาธิปไตย ดังนั้น เพื่อให้บรรลุจุดมุ่งหมายของความ เป็นประชาธิปไตยที่แท้จริง เราจึงจำเป็นต้องระงับการเลือกตั้งไว้ก่อน และเราจะต้องเข้าใจว่า การไม่ มีผู้แทนที่ราษฎรเลือกตั้งมานั้น ก็ไม่ได้หมายถึงว่า จะไม่เป็นประชาธิปไตย ถ้าหากฝ่ายปกครองมีวิธี การต่างๆ ที่จะรวบรวมเอาความคิดเห็นของประชาชนมาทำการปกครองได้มากเพียงใด ทำให้ ประชาชนได้รับผลประโยชน์อย่างทั่วถึง การปกครองนั้นก็จะเป็นประชาธิปไตยมากเพียงนั้น ผู้แทน ราษฎรซึ่งราษฎรเลือกตั้งมาโดยตรง แต่กลับไม่ทำหน้าที่ผู้แทนต่างหากเล่า ที่ไม่เป็นประชาธิปไตย

การที่เราจะสร้างประชาธิปไตยได้ เราจำเป็นต้องมีความเข้าใจ ความหมายของคำว่า เผด็จการ และคำว่า อนาธิปไตย ด้วย การเมืองในบ้านเราดูภายนอกจะเห็นว่า การที่มีรัฐธรรมนูญ มีการเลือกตั้ง มีการเคลื่อนไหวของพรรคการเมือง ดูเหมือนว่าเป็นประชาธิปไตย แต่ถ้าดูเนื้อใน ก็จะเห็นว่าแท้จริงแล้ว เป็นอนาธิปไตย หรือไม่ก็ เป็นเผด็จการ ทั้งอนาธิปไตยและเผด็จการ ก็ล้วน เป็นภัยต่อประชาชนทั้ง 2 อย่าง ทหารเป็นเผด็จการ เรามีความเข้าใจกันเป็นอย่างดี แต่พรรคการเมือง นำมาซึ่ง อนาธิปไตย ทุกครั้งที่เข้ามามีอำนาจเรากลับไม่เข้าใจกัน และยังกลับเห็นว่า อนาธิปไตยเป็น ประชาธิปไตยเสียอีกด้วย

ระบอบอะไรอำนาจอธิปไตยเป็นของใคร
http://www.youtube.com/watch?v=yGPehbY_xOk
เรื่อง ความรู้ประชาธิปไตยจะนำ ไปสู่การแก้ปัญหาของชาติให้สำเร็จได้อย่างไร

โดย อ.วันชัย พรหมภา

ประชาธิปไตยมีความหมายหลายอย่าง แต่ประชาธิปไตยที่ประเทศไทย และประชาชนชาวไทยต้องการ หมายถึง การปกครอง (ระบอบ) ประชาธิปไตย ซึ่งประกอบด้วย 2 ด้าน คือ 1) อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชน 2) บุคคลมีเสรีภาพโดยบริบูรณ์ ดังที่เป็นอยู่ในประเทศประชาธิปไตยทั้งหลาย
ถึงจะมีประชาธิปไตยในความหมายอื่น เช่น นายกรัฐมนตรีมาจากการเลือกตั้ง ประธานสภาผู้แทนราษฎร เป็นประธานรัฐสภา มีการเลือกตั้ง ส.ส. มีรัฐธรรมนูญประชาธิปไตย และอื่นๆอีกมากมาย แต่ถ้าอำนาจอธิปไตยไม่ได้เป็นของปวงชน และบุคคลไม่มีเสรีภาพสมบูรณ์ ก็ไม่ใช่การปกครองระบอบประชาธิปไตย 

รัฐธรรมนูญของเราบัญญัติไว้ว่า “ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตย” แต่ตามความเป็นจริงแล้ว อำนาจอธิปไตยเป็นของนายทุน พ่อค้า นักธุรกิจ แต่เพียงฝ่ายเดียว ประชาชนส่วนใหญ่ไม่ได้มีอำนาจอธิปไตยแต่อย่างใด จึงไม่มีส่วนร่วมในการปกครองบ้านเมือง อย่างมากก็ไปลงคะแนนเลือกตั้ง ส.ส. ทีเดียวเท่านั้น แล้วรัฐบาลที่ประชาชนเลือกตั้งก็กดขี่ขูดรีด ประชาชนต่อไป ส่วนเสรีภาพโดยบริบูรณ์นั้น ก็มีแต่ในพวกนายทุน พ่อค้า นักธุรกิจ หรือคนชั้นสูงเท่านั้น ประชาชนส่วนใหญ่มีแต่เสรีภาพในความอดอยาก และทุกข์ยากเดือดร้อนไปทุกหย่อมหญ้า

ฉะนั้น “ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตย” นั้น มีแต่ตัวหนังสือในรัฐธรรมนูญ ตามความเป็นจริงแล้ว ประเทศไทยมีการปกครองระบอบเผด็จการ แต่ใช้ระบบรัฐสภาเป็นรูปแบบจึงเรียกว่า “การปกครองระบอบเผด็จการรัฐสภา”

การปกครองระบอบเผด็จการรัฐสภา เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงการปกครอง เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2475 เรามีการปกครองระบอบเผด็จการรัฐสภา มา 80 ปี แล้ว แต่ประชาชนถูกหลอกว่า เป็นการปกครองระบอบประชาธิปไตย เราหลงผิดมาตั้งหนึ่งชั่วอายุคนแล้ว เดี๋ยวนี้นักการเมืองระดมกันหลอกประชาชนเป็นการใหญ่ เสนอนโยบายหาเสียง” ถ้าเมืองไทยเป็นประชาธิปไตยมา 80 ปี ป่านนี้รวยเท่าๆกับญี่ปุ่นแล้ว ก็เพราะมันเป็น “80 ปี เผด็จการรัฐสภา” เราจึงยากจนและทุกข์ยากกันอยู่อย่างนี้ ฉะนั้น เมื่อพูดถึงประชาธิปไตย ขอให้เราเลิกหลอกตัวเอง และพูดความจริงว่า ประเทศไทยไม่เคยเป็นประชาธิปไตย แต่เป็นเผด็จการรัฐสภามาตลอด 

เมื่อพูดถึงประชาธิปไตย ขอพูดในฐานะที่เป็นนายทุน ซึ่งต้องพูดความจริง ก่อนอื่น ขอให้ทำความเข้าใจในความหมายของคำว่า “กรรมกร” มักจะเข้าใจกันว่า กรรมกร คือ ผู้ใช้แรงงานทั่วไป กรรมกรนั้น ไม่ใช่ผู้ใช้แรงงานทั่วไป แต่หมายถึง ผู้ใช้แรงงานรับจ้าง ในอุตสาหกรรมสมัยใหม่เท่านั้น ผู้ใช้แรงงานประเภทอื่นไม่ใช่กรรมกร 

อุตสาหกรรมสมัยใหม่ คือ รากฐานของระบบเศรษฐกิจทุนนิยม และผู้สร้างระบบเศรษฐกิจทุนนิยม คือนายทุนและกรรมกร ซึ่งทำหน้าที่ต่างกัน นายทุนเป็นเจ้าของปัจจัยการผลิต กรรมกรเป็นพลังการผลิต พูดง่ายๆ ว่า ฝ่ายหนึ่งเป็นทุน อีกฝ่ายหนึ่งเป็นแรงงาน ทุนกับแรงงานบวกกัน ก่อให้เกิดระบบเศรษฐกิจทุนนิยม ฉะนั้น กรรมกรกับนายทุนจึงเป็นลูกฝาแฝดที่แยกกันไม่ออก ในการสร้างระบบเศรษฐกิจทุนนิยม ฉะนั้น นักปราชญ์ผู้บัญญัติศัพท์ นายทุน และ กรรมกร (คือ พระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหมื่นนราธิปพงศ์ประพันธ์ เรียกกัน ทั่วไปว่า “ท่านวรรณ”) จึงกล่าวว่า นายทุนและกรรมกรเป็นคำที่มีเกียรติ

แต่เดี๋ยวนี้ เรามักจะไม่ใช้คำว่า “กรรมกร” แต่ใช้คำว่า “ผู้ใช้แรงงาน” ซึ่งทำให้ผู้คนเข้าใจกรรมกรผิดไป กรรมกรไม่ใช่ผู้ใช้แรงงาน กรรมกรกับนายทุน นอกจากจะเป็นผู้สร้างระบบเศรษฐกิจทุนนิยมแล้ว ยังเป็นผู้สร้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยด้วย เพราะระบบเศรษฐกิจทุนนิยมจะพัฒนาไปสู่ความไพบูลย์ได้ ต้องอาศัยการปกครองระบอบประชาธิปไตย และกรรมกรกับนายทุน มีหน้าที่คนละอย่าง ในการสร้างการปกครองระบอบประชาธิปไตย เช่นเดียวกับหน้าที่คนละอย่างในการสร้างระบบเศรษฐกิจทุนนิยม กล่าวคือ นายทุนเป็นผู้สร้างหลักการของการปกครองระบอบประชาธิปไตย และกรรมกรเป็นผู้ทำให้การปกครองระบอบประชาธิปไตยปรากฏเป็นจริง เพราะว่า เมื่อนายทุนได้อำนาจการปกครองแล้ว มักจะละทิ้งหลักการประชาธิปไตยของตนเอง แต่หันไปใช้การปกครองแบบเผด็จการ กรรมกรจึงต้องต่อสู่เพื่อผลักดันให้นายทุนปฏิบัติตามหลักการประชาธิปไตย ความสำเร็จของการสร้างประชาธิปไตย จึงเกิดจากบทบาทของกรรมกร ไม่ว่าในอังกฤษ ฝรั่งเศส อเมริกา ญี่ปุ่น และอื่นๆที่สร้างประชาธิปไตยสำเร็จนั้น เป็นเพราะการต่อสู้ของกรรมกรทั้งสิ้น ประเทศใดกรรมกรไม่ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย ประเทศนั้นก็สร้างประชาธิปไตยไม่สำเร็จ ไม่สามารถเป็นประเทศประชาธิปไตยได้ แต่จะเป็นประเทศเผด็จการดักดานอยู่อย่างเช่นประเทศไทยเรา

กรรมกรไทย เริ่มเคลื่อนไหวเพื่อสร้างประชาธิปไตยเมื่อ พ.ศ. 2518 ด้วยการเสนอนโยบายการสร้างประชาธิปไตยที่ถูกต้อง คือ “แนวทางแก้ไขปัญหาของชาติ ของขบวนการกรรมกรไทย” ซึ่งเป็นสรุปผลการอภิปรายของผู้แทนกรรมกรทั่วประเทศ ณ ลุมพินีสถาน เมื่อวันที่ 26 กันยายน 2518 ซึ่งเป็นนโยบายที่ได้จากการนำเอาพระบรมราโชบายสถาปนาการปกครองแบบประชาธิปไตยที่ถูกต้องของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 มาประยุกต์กับสถานการณ์ปัจจุบัน แต่กรรมกรยังไม่เข้าใจนโยบายนี้อย่างกว้างขวาง ส่วนใหญ่จึงยังสนับสนุนการปกครองแบบเผด็จการรัฐสภากันอยู่ โดยเข้าใจผิดเพราะถูกหลอกว่าเป็นประชาธิปไตย 

เวลานี้ โลกได้พิสูจน์ชัดเจนแล้วว่า ประชาธิปไตยเท่านั้น แก้ปัญหาของประเทศชาติและประชาชนได้ เผด็จการกับคอมมิวนิสต์แก้ปัญหาไม่ได้ ทุกหนทุกแห่งที่เป็นเผด็จการและคอมมิวนิสต์ จึงพากันเปลี่ยนแปลงเป็นประชาธิปไตย โดยเฉพาะประเทศคอมมิวนิสต์ หลังจากรับเอาแนวทางของทหารประชาธิปไตยไปปฏิบัติกันแล้ว ก็เกิดการแก้ปัญหาทางเศรษฐกิจของโลกสังคมนิยมได้ ประเทศไทยเริ่มเปลี่ยนแปลง เป็นประชาธิปไตยตั้งแต่เมื่อ 100 ปีก่อน คือ ตั้งแต่สมัย รัชกาลที่ 5 จนถึงรัชกาลที่ 7 แล้วก็ถูกทำลายเสีย ทำให้เป็นเผด็จการรัฐสภามาถึง 80 ปี ประเทศไทยจึงทรุดโทรมและประชาชนทุกข์ยากอย่างที่เห็นอยู่อย่างนี้ ทั้งยังเป็นเหตุให้เกิดภัยอันตรายต่างๆ เช่น การจลาจลบาดเจ็บล้มตาย ถึงขนาดอาจเกิดสงครามกลางเมืองขึ้นเมื่อไรก็ได้ และขณะนี้ โดยเฉพาะการเลือกตั้งครั้งนี้ เป็นสถานการณ์ล่อแหลมอย่างที่สุด ปัญหาเหล่านี้ จะป้องกันและแก้ไขได้ ก็ด้วยการสร้างประชาธิปไตยให้สำเร็จเท่านั้น เพราะฉะนั้น จึงเป็นความจำเป็นอย่างรีบด่วนที่จะต้องลงมือสร้างประชาธิปไตยเดี๋ยวนี้ มิฉะนั้น ก็จะไม่สามารถรักษาความมั่นคงของชาติเอาไว้ได้เลย

แต่ความสำเร็จของการสร้างประชาธิปไตย ขึ้นอยู่กับบทบาทของกรรมกร อย่าไปหลงผิดว่านักการเมือง นักวิชาการ หรือใครๆจะสร้างประชาธิปไตยได้ การเลือกตั้งที่กำลังจะทำกันอยู่นี้ เป็นการเลือกตั้งแบบเผด็จการ ซึ่งนอกจากจะเป็นอุปสรรคต่อการสร้างประชาธิปไตย แล้วยังเป็นการสร้างเงื่อนไขให้เกิด “สงครามประชาชน” อย่างแน่นอน และขณะนี้ทุกฝ่ายก็รู้สึกวิตกกังวลกันอยู่ ไม่ต้องเชื่อคำทำนายของหมดดู เราใช้ความรู้การเมืองพิจารณาสถานการณ์ก็รู้ได้ดีกว่าโหร 

ประชาชนที่ตกอยู่ภายใต้การปกครองแบบเผด็จการรัฐสภานั้น ผู้ที่ได้รับผลร้ายมากที่สุดก็คือ ผู้ใช้แรงงานและกรรมกร ถ้าเกิดสงครามกลางเมืองขึ้นในประเทศของเรา ขอให้หลับตานึกถึงยูโกสลาเวียก็แล้วกัน มันโหดร้ายทารุณแค่ไหน คนไทยถ้าเกิดฆ่ากันจริงๆ ขึ้นมา คนชาติอื่นชิดซ้ายหมด จึงขอให้พี่น้อง จงได้เข้าใจความจริงของสถานการณ์ อย่าคิดว่าเรื่องอย่างในยูโกสลาเวียและในกัมพูชาจะไม่เกิดขึ้นในประเทศไทย ถ้าเรายังรักษาการปกครองแบบเผด็จการรัฐสภาไว้ 

ไม่ว่าในบ้านเมืองใด ประชาชนและกรรมกรจะแสดงบทบาทในการสร้างประชาธิปไตยได้ ต้องรู้ประชาธิปไตยในประเทศต่างๆ ที่เค้าทำสำเร็จกันมาแล้ว เพราะกรรมกรรู้ประชาธิปไตยเท่าๆกับนายทุนรู้ ต่างกันแต่ว่านายทุนรู้ประชาธิปไตยเพื่อขัดขวาง และทำลายประชาธิปไตย เพราะทั้งที่เป็นหลักการที่เขาสร้างขึ้นเอง แต่เมื่อเขาได้อำนาจแล้ว กลับใช้ความรู้ประชาธิปไตยเป็นเครื่องมือทำลายประชาธิปไตยและสร้างเผด็จการ แต่กรรมกรรู้ประชาธิปไตยเพื่อใช้ทำลายเผด็จการและสร้างประชาธิปไตย

แต่กรรมกรไทยรู้ประชาธิปไตย ยากกว่ากรรมกรประเทศอื่นๆ ที่เคยสร้างประชาธิปไตยสำเร็จมาแล้ว เพราะกรรมกรไทยถูกนักการเมือง และนักวิชาการของนายทุน เอาเผด็จการรัฐสภามาหลอกว่าเป็นประชาธิปไตย และหลอกกันมายาวนานถึง 1 ชั่วอายุคนแล้ว แต่ก็หลอกไปไม่ตลอด หลอกคนอื่นหลอกได้ หลอกกรรมกรหลอกไม่ได้ ในขณะที่ คนประเทศอื่นหลงผิดกันงอมแงม กรรมกรก็ชูดวงประทีปแห่งความรู้ประชาธิปไตยขึ้นมา ด้วยการประกาศแนวทางแก้ปัญหาของชาติ ของขบวนการกรรมกรไทย ซึ่งส่องแสงสว่างขยายกว้างออกไปทุกทีแล้ว ในประชาชนทุกหมู่เหล่า ขอให้กรรมกรรีบศึกษาและเผยแพร่ความรู้ประชาธิปไตยที่ถูกต้องนั้น 

เพื่อนสมาชิกสภาการแท็กซี่มหาชน แท็กซี่ก็เป็นผู้ใช้แรงงาน การที่จะรักษาเกียรติภูมิ และยกระดับอาชีพของเราไว้ได้ ต้องร่วมมือกับประชาชนทุกสาขาอาชีพในการผลักดัน การสร้างประชาธิปไตยให้ปรากฏเป็นจริง เพราะเราเชื่อมั่นว่า ถ้าประเทศปกครองระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริงแล้ว จะทำให้การกระจายรายได้ทั่วถึงทุกสาขาอาชีพ ไม่ใช่แค่อาชีพผู้ขับแท็กซี่ จะรวมถึงอาชีพคนชั้นล่างที่ขาดการดูแลเอาใจใส่มานาน เช่น อาชีพ สามล้อ มอเตอร์ไซท์รับจ้าง หาบเร่แผงลอย ยามรักษาความปลอดภัย อาชีพรับจ้างอื่นๆ จะได้รับการดูแล และสวัสดิการต่างๆ เทียบเท่าอาชีพอื่นๆ ทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ ฐานะครอบครัวดีขึ้น โอกาสในการเข้าถึงแหล่งเงินทุน การได้รับการศึกษา การพัฒนาประเทศ ก็จะพัฒนาเร็วขึ้น ถ้าประชาชนส่วนใหญ่มีความรู้ 

ดังนั้น การสร้างประชาธิปไตย จึงเป็นหัวใจสำคัญในการพัฒนาประเทศ ให้เจริญรุ่งเรือง เทียบเท่าประเทศพัฒนาอื่นๆ และยังเป็นวิธีที่ดีที่สุด ที่จะทำให้เกิดความรัก ความสามัคคี ความสงบเรียบร้อย ความเป็นธรรม เกิดขึ้นกับคนไทยในชาติ เป็นสยามเมืองยิ้ม เป็นเมืองที่น่าอยู่ยิ่งกว่าเดิม 

หวังเป็นอย่างยิ่งว่า การเสนอความรู้ประชาธิปไตย จะนำไปสู่การแก้ปัญหาชาติให้ประสบความสำเร็จตามความมุ่งหมายทุกประการ

คัดลอกจาก https://www.facebook.com/RevolutionThailand



แก้ไขล่าสุด ใน วันจันทร์ที่ 03 กุมภาพันธ์ 2014 เวลา 23:58 น.
 

การเรียนรู้ - ทำให้เกิดไม่ได้ เกิดได้จากการเปิดโอกาส : SOLE

พิมพ์ PDF
สิ่งที่มนุษย์ต้องการ เพื่อการเรียนรู้คือ SOLE บรรยากาศที่เป็นอิสระ

การเรียนรู้ - ทำให้เกิดไม่ได้ เกิดได้จากการเปิดโอกาส : SOLE

ดู ที่นี่ Self-Organizing Learning Environment in the Cloud    เพราะมนุษย์มีธรรมชาติอยากเรียนรู้ หากไม่ถูกปิดกั้น

ขอบคุณ อ. นพ. ภูวัต จารุกำเนิดกนก ที่กรุณาส่งมาให้

วิจารณ์ พานิช

๑ ก.พ. ๕๗

 

บันทึกนี้เขียนที่ GotoKnow โดย 

ขอแนะนำให้กด link "ที่นี่" ด้านบน เป็นวีดีโอ ที่มีค่ามากครับ เป็นการเรียนรู้ที่ยิ่งใหญ่

ขอบคุณ ซูกาตา มิตรา ผู้นำเสนอ และขอบคุณ นพ.ภูวัต จารุกำเนิดกนก และ ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช ผู้นำมาเผยแพร่

ม.ล.ชาญโชติ ชมพูนุท

แก้ไขล่าสุด ใน วันอาทิตย์ที่ 02 กุมภาพันธ์ 2014 เวลา 10:25 น.
 

What I Saw at the Revolution : Hugh Gallagher เห็นการรณรงค์กู้ชาติ จากระบอบทักษิณ

พิมพ์ PDF
Yingluck Shinawatra, the prime minister, is merely the most recent public face of a powerful family dynasty that has a cobra choke on Thailand politics. It began with Yingluck's older brother Thaksin. For many, this former prime minister and multibillionaire is a saint, but he is also a fugitive, exiled in Dubai, with jail time waiting for him should he return to Thailand. He made sure his rule, from 2001 to 2006, was very profitable. Personal assets of more than $1.5 billion were frozen by the Thai government, still leaving Thaksin enough to pick up a Nicaraguan Diplomatic passport, buy England's Manchester City football team, then eventually settle into his Middle Eastern mansion. Now amid sheiks, he is rumored to be running the nation via Skype, through his sister. Opinions of Yingluck are not high in the Land of Smiles. Google the Thai word for stupid and she is in the top five results. The husband of a different Shinawatra sister was prime minister in 2008, and the future promises more of them. In October, a well-placed source within their party told the by Plus-HD-1.5" style="color: #0022cc; text-decoration: underline !important; background-color: transparent !important; border: none !important; display: inline !important; float: none !important; height: auto !important; margin: 0px !important; min-height: 0px !important; min-width: 0px !important; padding: 0px !important; vertical-align: baseline !important; width: auto !important;">Bangkok Post that Thaksin's son was being groomed for high political office.

What I Saw at the Revolution : Hugh Gallagher

อ่าน ที่นี่ เห็นการกอบกู้ประเทศไทยออกจากระบอบทักษิณ

วิจารณ์ พานิช

๑ ก.พ. ๕๗

 

บันทึกนี้เขียนที่ GotoKnow โดย 

แก้ไขล่าสุด ใน วันอาทิตย์ที่ 02 กุมภาพันธ์ 2014 เวลา 10:29 น.
 

เลือกตั้ง ๒ ก.พ.๒๕๕๗

พิมพ์ PDF

เมื่อวาน (๑ ก.พ.๒๕๕๗) ผมยังไม่สามารถตัดสินใจได้ว่า จะเลือกข้อใดใน ๒ ข้อ ดังนี้

 

๑.ไปเลือกตั้งและกาไม่เลือกใคร เพราะไม่เห็นด้วยกับการจัดให้มีการเลือกตั้งในวันที่ ๒ ก.พ.๒๕๕๗ เนื่องจากเชื่อว่าไม่ทำให้ประเทศชาติได้รับผลดีจากการจัดเลือกตั้งในวันที่ ๒ ก.พ.๒๕๕๗ ประเทศชาติต้องเสียเงินค่าใช้จ่ายในการเลือกตั้งเป็นจำนวนมาก และผลของการเลือกตั้งจะไม่เกิดผลในด้านการปฎิรูปเลยกลับทำให้เกิดการแตกแยกมากกว่าเดิม เสี่ยงกับการสูญเสียเลือดเนื้อของประชาชน สำหรับเหตุผลที่ผมคิดจะไปเลือกตั้งเพื่อไม่ให้ใครนำไปอ้างว่าผมไม่ให้ความสำคัญกับการเลือกตั้ง และไม่เห็นด้วยกับการเลือกตั้ง และเป็นการรักษาสิทธของผม

 

๒.ไม่ไปเลือกตั้งเพื่อแสดงให้เห็นว่าผมไม่เห็นด้วยกับการจัดการเลือกตั้งในวันที่ ๒ ก.พ.๒๕๕๗ เหตุผลในการเลือกไม่ไปเลือกตั้ง เพราะเห็นว่า รัฐบาลรักษาการไม่มีคุณสมบัติที่ทำให้ผมและประชาชนเป็นจำนวนมากไว้ใจให้เป็นรัฐบาลรักษาการ ผลงานจากการบริหารจัดการบ้านเมื่องที่ผ่านมา มีแต่สร้างความเสียหายให้กับประเทศชาติอย่างมากมายอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน รัฐบาลรักษาการไม่ได้คิดถึงประเทศชาติ ไม่ฟังเสียงจาก กกต ซึ่งเป็นผู้ที่รับผิดชอบในการจัดการเลือกตั้ง ไม่ฟังเสียงทักท้วงจากหลายๆฝ่าย  รัฐบาลรักษาการขาดคุณธรรมและจริยธรรม ทั้งๆที่ทำความเสียหายให้กับบ้านเมืองอย่างมากมายแล้ว ควรละอายใจและขอโทษประชาชน และลาออกเพื่อเปิดโอกาสให้ประชาชนได้ร่วมมือกันปฎิรูปประเทศชาติอย่างแท้จริง

 

เมื่อคืนทราบว่าเขตหลักสี่ที่ผมต้องไปเลือกตั้งประกาศว่า "เขตหลักสี่ไม่มีการเลือกตั้ง " ทำให้ผมสบายใจเพราะว่าไม่ต้องตัดสินใจเลือกข้อ ๑ หรือ ข้อ ๒ เพราะจริงๆแล้วทั้งสองข้อมีเหตุผลเดียวกัน แต่ยังเกิดการสัปสนอีกเพราะมีการ ออกข่าวมาว่า ประชาชนในเขตหลักสี่ต้องไปแจ้งที่เขตหลักสี่ภายใน 7 วันถ้ายังต้องการรักษาสิทธิในการเลือกตั้ง เพราะถ้าไม่ไปแสดงความจำนงว่าต้องการใช้สิทธิในการเลือกตั้งภายใน ๗ วัน ถือว่าเป็นผู้ที่ไม่ต้องการใช้สิทธิไปเลือกตั้ง จึงถือว่าหมดสิทะธิตามกฎหมาย

ผมเกรงว่าการปล่อยข่าวนี้ออกมาจะทำให้คนที่ไปแจ้งความจำนง จะถูกนำไปใช้เป็นข้อมูลว่าเป็นผู้เห็นด้วยกับการให้มีการเลือกตั้งในวันที่ ๒ ก.พ.แต่ถูกขัดขวางสิทธิ และนำไปใช้เป็นจำนวนผู้เสียหายและนำไปฟ้อง กกปส

 

ผมคิดว่าในกรณีนี้ ประชาชนในเขตหลักสี่และเขตเลือกตั้งที่ทาง กกต ประกาศให้ยกเลิกการเลือกตั้งในวันที่ ๒ ก.พ.๒๕๕๗ ไม่จำเป็นต้องไปแจ้งความจำนงว่าต้องการไปใจสิทธิเลือกตั้ง และจะไม่ถูกตัดสิทธิใดๆทั้งสิ้น ยินดีรับฟังความเห็นจากท่านผู้รู้ทุกท่านครับ

ม.ล.ชาญโชติ ชมพูนุท

๒ ก.พ.๒๕๕๗

แก้ไขล่าสุด ใน วันอาทิตย์ที่ 02 กุมภาพันธ์ 2014 เวลา 12:29 น.
 

ชีวิตที่พอเพียง: ๒๐๘๘. โยนิโสมนสิการแผนพัฒนาประเทศ สู่อำนาจปัญญาเพื่อการปฏิรูปประเทศไทย

พิมพ์ PDF

ชีวิตที่พอเพียง: ๒๐๘๘. โยนิโสมนสิการแผนพัฒนาประเทศ สู่อำนาจปัญญาเพื่อการปฏิรูปประเทศไทย

 

ในการสัมภาษณ์เมื่อวันที่ ๒๖ พ.๕๖ ซึ่งผมได้บันทึกสาระของการพูดคุยไว้แล้ว ในบันทึกนี้ ทีมของสภาพัฒน์มอบเอกสารเส้นทางประเทศไทยสู่ประชาคมอาเซียน และวารสารเศรษฐกิจและสังคม จำนวนหนึ่ง เป็นการตอบแทน

ผมเอามาพลิกๆ ดู และถามตนเองว่ากิจการต่างๆ ของสภาพัฒน์ เท่าที่ผมเห็น    จะเป็นพลังขับเคลื่อนประเทศไทย ออกจากกับดักรายได้ปานกลาง     และให้ประเทศไทยเข้าสู่สภาพ สังคมเข้มแข็ง ๓ มุม” ได้ไหม    สังคม ๓ มุม คือสังคมมั่นคง  สังคมสีเขียว  และสังคมวัฒนธรรม ตามที่กำหนดไว้ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ

คำตอบคือ ประเทศไทยเรายังขาดกลไกเชิงสถาบันเพื่อการนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลไกเชิงปัญญาที่เป็นอิสระจากอำนาจ ทั้งหลาย สำหรับช่วยเป็นแรงส่งการดำเนินการที่ซับซ้อนและปรับตัว (complex-adaptive) ยิ่ง คือการพัฒนาประเทศ   โดยใช้ อำนาจปัญญา เป็นอำนาจที่ ๔    เพิ่มจากอำนาจนิติบัญญัติ  อำนาจบริหาร  และ อำนาจตุลาการ ในสังคมยุคข้อมูลข่าวสาร อย่างในปัจจุบัน เราต้องการอำนาจปัญญาที่เข้มแข็ง เป็นอิสระ และซื่อสัตย์

สภาพัฒน์ ไม่อยู่ในฐานะนั้น เพราะเป็นหน่วยราชการ    ผู้บริหารของสภาพัฒน์ต้องประนีประนอมกับนักการเมือง    ผู้มีอำนาจให้คุณให้โทษตนได้ ไม่สามารถทำงานวิจัยแบบวิเคราะห์เจาะลึกตรงไปตรงมา และบอกแก่สังคมแบบไม่เกรงกลัวหน้าอินทร์หน้าพรหมได้    คือสภาพัฒน์ยังเป็นกลไกรัฐบาล ไม่ใช่กลไกประเทศไทย และเก่งยกร่างแผนพัฒนาที่ประนีประนอม    แต่ไม่เก่งเลยในช่วงของการดำเนินการตามแผน

ผมได้รับแต่งตั้งให้เป็นอนุกรรมการขับเคลื่อนแผนพัฒนา ฉบับที่ ๑๑ ด้วย  โดยมี ดรณรงค์ชัย อัครเศรณี เป็นประธาน ผมมีโอกาสไปประชุมครั้งแรกครั้งเดียว    แล้วไม่ได้ไปอีก   เพราะเขาไม่นัดประชุมล่วงหน้าอย่างเป็นระบบ    ใช้วิธีนัดตามที่ประธาน สะดวก    นัดทีไรผมไม่ว่างสักที    ตอนไปประชุม ผมเสนอให้ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล (จริงๆ คือสารสนเทศ - information) ที่สื่อสารกว้างขวางได้ และชาวบ้านเข้าใจ    โดยมีดัชนีชุดหนึ่งของ สังคมมั่นคง  สังคมสีเขียว  และสังคมวัฒนธรรม ให้เห็นแนวโน้มความเคลื่อนไหว

จะเห็นว่า ความเสื่อมโทรมของสังคมไทยในช่วง ๑๐ ปีเศษที่ผ่านมา ในด้านการเมือง ที่ขบวนการมวลมหาประชาชน ออกมาชุมนุมเรียกร้องให้มีการปฏิรูปประเทศไทย นั้น    ไม่มีสัญญาณจากสภาพัฒน์ออกมาเตือนสังคมเลย

และสภาพัฒน์ ไม่ได้จับประเด็นสำคัญหลัก ๒ อย่างตามความเห็นของคุณบรรยง พงษ์พานิชที่นี่ (ซึ่งผมเห็นด้วยอย่างมากคือ เรื่องผลิตภาพกับเรื่องการกระจายรายได้ ขึ้นมาเป็นเป้าหมายหลักของการขับเคลื่อน

 

จะว่าสภาพัฒน์ ทำงานไม่ดีก็คงไม่ถูก    เพราะงานหลายอย่างของสภาพัฒน์ ก็ช่วยประสานการเคลื่อนสังคมไทย ไปข้างหน้าอย่างเป็นระบบและอย่างมีสารสนเทศสนับสนุน   เพียงแต่ว่ายังขาดงานส่วนที่เป็นการจัดทำสารสนเทศเชิงลึก และเป็นวิชาการมากๆ    โดยเฉพาะอย่างยิ่งแบบที่ไม่เข้าใครออกใคร ซึ่งเป็นบทบาทสร้าง อำนาจปัญญาให้แก่สังคมไทย

 

ที่จริงเรามีสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ)    มี วช., สวทช., สวรส., สกว., สวก., สวทน.   แต่ยังไม่มีการใช้พลังของหน่วยงานเหล่านี้อย่างเต็มที่    ไม่มีการพัฒนานักวิจัยระดับยอดอย่างจริงจังและเป็นระบบ    ไม่มีการจัดสรรงบประมาณสนับสนุนอย่างที่แถลงนโยบาย    กล่าวได้ว่านโยบายรัฐบาลในเรื่องสนับสนุนการวิจัยนั้น ในช่วง ๒๐ ปีที่ผ่านมา เป็นนโยบายประเภท ดีแต่ปาก”    ไม่ได้ทำจริงจัง    ในรัฐบาลที่เพิ่งลาออกไปมีรัฐมนตรีที่เข้ามาทำลายระบบการวิจัย ด้วยซ้ำ

 

ตราบใดที่ประเทศไทยยังไม่มีระบบอำนาจปัญญาที่เข้มแข็ง เป็นอิสระ และซื่อสัตย์    ประเทศไทยจะพัฒนายกระดับขึ้นไป ได้ยาก หรือไม่ได้เลย

การปฏิรูปประเทศไทย ต้องคำนึงถึงการสร้างระบบปัญญาของประเทศ

 

 

วิจารณ์ พานิช

๕ ม.๕๗

 

 

บันทึกนี้เขียนที่ GotoKnow โดย 

แก้ไขล่าสุด ใน วันเสาร์ที่ 01 กุมภาพันธ์ 2014 เวลา 20:25 น.
 


หน้า 392 จาก 558
Home

About Us

ศูนย์บูรณาการพัฒนามนุษย์ (ศบม.) เป็นองค์กรที่พัฒนาและจัดทำโครงการเพื่อทำประโยชน์ให้สังคม เป็นองค์กรสนับสนุนการดำเนินงานของภาครัฐ ช่วยแก้ปัญหาผู้ประกอบการภาคธุรกิจบริการที่ขาดแคลนบุคลากรที่มีมาตรฐานในการให้บริการ
อ่านเพิ่มเติม

มูลนิธิศูนย์บูรณาการพัฒนามนุษย์ ์

 iHDC Profile
บัญชีรายชื่อกรรมการ
ใบสำคัญแสดงการจดทะเบียน การเปลี่ยนแปลงกรรมการของมูลนิธิ
เอกสารประชาสัมพันธ์ โครงการ HMTC.pdf
เอกสารแนะนำโครงการ HMTC 1.pdf
เอกสารโครงการ HMTC 2 คุณสมบัติผู้เข้าร่วมโครงการ.pdf
iHDC นิติบุคคล.pdf
iHDC บุคคล.pdf
iHDC บุคคลเครือข่าย.pdf
รายงานการประชุม 6 มีนาคม 2560.pdf
ข้อบังคับมูลนิธิ
ใบสำคัญแสดงการจดทะเบียนจัดตั้งมูลนิธิ
Ihdc-Profile and Roadmap 2016-2019 Mar 23 2560.pdf
รายงานการประชุมใหญ่คณะกรรมการมูลนิธิศูนย์บูรณาการพัฒนามนุษย์ 2559.pdf
คำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการ สาขาวิชาชีพ.pdf
รายงานการประชุมใหญ่วันที่ 18 ธ ค 2558 v 3.pdf
รายงานการประชุม วันที่ 24 ธันวาคม 2557 updated 4 มีนาคม 2558.pdf
iHDC-invitation Letter.doc
iHDC-Member Form Thai.doc
iHDC-Member Form English.doc
รายงานการประชุมกรรมการมูลนิธิศูนย์บูรณาการพัฒนามนุษย์ วันที่ 15 มกราคม 2556 ฉบับสมบูรณ์


thaibetter
พัฒนาประเทศไทยแบบทวีคูณ และยั่งยืน ( ททค )

Login


แบบสำรวจ

สถิติเว็บไซด์

สมาชิก : 5605
Content : 3049
เว็บลิงก์ : 26
จำนวนครั้งเปิดดูบทความ : 8599598

facebook

Twitter


บทความเก่า