Thaiihdc.org

  • เพิ่มขนาดตัวอักษร
  • ขนาดตัวอักษรปกติ
  • สดขนาดตัวอักษร
Thaiihdc.org

ปฎิรูปก่อนการเลือกตั้ง - ทางออกของประเทศไทย

พิมพ์ PDF

ปฎิรูปก่อนเลือกตั้ง 7 องค์กรภาคเอกชน ขานรับข้อเสนอ กปปส แล้ว วานนี้ ออกแถลงการณ์ เสนอเดินหน้าปฏิรูปประเทศ ทันที แนะรัฐบาลออก พ.ร.ก.จัดตั้งองค์กรปฏิรูปเป็นอิสระ กับการเมือง ดึงทุกภาคส่วนเข้าร่วม หยิบประเด็นเลือกตั้ง ที่โปร่งใส ยุติธรรมขึ้นมาทำก่อน ทำเสร็จประชามติก่อนเลือกตั้งใหม่ มีผลผูกพันรัฐบาลต่อไป

กรอบประเด็นสำคัญของการปฏิรูป มีดังต่อไปนี้ 
1.กติการการเข้าสู่อำนาจรัฐ ที่ทุกฝ่ายยอมรับร่วมกันได้ เช่นระบบการเลือกตั้ง ที่ปราศจาก การซื้อเสียงและอิทธิพลใดๆ และความโปร่งใส ของกระบวนารสรรหา ผู้ดำรงตำแหน่ง ในองค์กรอิสระต่างๆ 

2.การตรวจสอบและถ่วงดุล การใช้อำนาจรัฐ ของผู้แทนประชาชน องค์กรอิสระ และสถาบันทางการเมืองต่างๆ เช่นเรื่องการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการ 

3.การขจัดการทุจริต และประพฤติมิชอบ ในวงราชการ ภาคเอกชน ตลอดจนภาคส่วนต่างๆของสังคม 

4.โครงสร้างทางเศรษฐกิจและสังคม ที่เอื้อต่อการสร้างความเป็นธรรม ในการจัดสรรและเข้าถึงทรัพยากร ในสังคมและ ลดความเหลื่อมล้ำโดยมีการส่งเสริม การเพิ่มผลิตภาพของประชาชน ให้พึ่งพาตนเองได้อย่างยั่งยืน 

5.โครงการที่จะมี ผลกระทบต่อประชาชน ระบบเศรษฐกิจ และวินัยการคลัง ควรต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ โดยถือผลประโยชน์ ของประเทศชาติเป็นหลัก 

6.กระบวนการยุติธรรม ที่สร้างความเชื่อมั่น แก่ประชาชน จะได้รับความเป็นธรรมอย่างเสมอภาค เท่าเทียมกัน

นอกจากนั้น 7 องค์กรเอกชนมีความเห็นด้วยว่า การปฏิรูปประเทศ ต้องทำทันที ไม่ว่าจะมีการเลือกตั้ง เมื่อใดก็ตาม แต่ภาคเอกชนต้องการ ให้เดินหน้าปฎิรูปทันที ต้องเริ่มบางส่วน โดยอาจเริ่มจากกระบวนการเลือกตั้ง ให้เป็นไปอย่างบริสุทธิ์ยุติธรรม องค์กรที่ จะจัดตั้งขึ้นมาเพื่อการปฏิรูป ก็ต้องจัดลำดับความสำคัญว่า จะทำเรื่องใดก่อน

คัดลอกจาก fb

 

ความรู้เกี่ยวกับ ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ที่พวกเราควรรู้

พิมพ์ PDF
ต้องแยกระหว่าง ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์, ทรัพย์สินส่วนพระองค์, และทรัพย์สินของราชวงศ์จักรี

ความรู้เกี่ยวกับ ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ที่พวกเราควรรู้

โดย ศ. ดร. บวรศักดิ์ อุวรรณโณ

ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์" กับ "ทรัพย์สินราชวงศ์จักรี" กับ "ทรัพย์สินส่วนพระองค์

บทความโดย อาจารย์บวรศักดิ์ อุวรรณโณ   ก่อนอื่นเราต้องแยกระหว่างคำว่า "ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์" กับ "ทรัพย์สินราชวงศ์จักรี" กับ "ทรัพย์สินส่วนพระองค์" ให้เข้าใจเสียก่อน จึงจะได้ไม่สับสน

1.ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์

คือ ทรัพย์สินของสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งหมายถึงสถาบันฯ ที่ไม่ใช่ตัวบุคคลที่ดำรงพระยศเป็นพระมหากษัตริย์ เป็นทรัพย์สินที่สืบทอดกันมาตั้งแต่ต้นราชวงศ์จักรี พูดง่ายๆก็คือเป็นสมบัติของชาติชนิดหนึ่ง หมายถึงเป็นสมบัติของสถาบันพระมหากษัตริย์ ที่มีมาตั้งแต่เริ่มตั้งราชวงศ์จักรีสืบทอดเรื่อยมา

ต่อมาเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ทรัพย์สินส่วนนี้จึงตกเป็นของแผ่นดิน แต่เพื่อเป็นการให้เกียรติ์ราชวงศ์จักรีซึ่งเป็นเจ้าของเดิม จึงตั้งชื่อเป็นสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ขึ้น ซึ่งอยู่ภายใต้การดูแลของกระทรวงการคลังอีกที

ส่วนพระมหากษัตริย์ ก็ได้รับพระเกียรติ์ให้ทรงสามารถแต่งตั้งคณะกรรมการ ไปช่วยดูแลการทำงานได้ 4 คน โดยมี รมต.กระทรวงการคลังเป็นประธาน และมีผู้อำนวยการสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์เป็นผู้บริหาร แต่ทั้งหมดนี้ต้องนำไปใช้เพื่อประโยชน์ของชาติและประชาชนเท่านั้น

สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ไม่ได้นำทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ไปใช้ในเรื่องส่วนพระองค์ของพระมหากษัตริย์เลย แต่นำไปใช้เพื่อช่วยเหลือประชาชนและสังคมทั้งหมด

แต่ถ้าสำนักงานทรัพย์สินฯ อยากจะบริจาคเงินให้มูลนิธิต่างๆ ของในหลวง ก็ย่อมทำได้ และตามกฏหมายทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์เป็นทรัพย์สินของแผ่นดินจึงไม่ต้องเสียภาษี แต่ส่วนเงินปันผลที่ได้จากการถือหุ้นบริษัทต่างๆก็มีการหักภาษี ณที่จ่ายตามปกติ (ข้อมูลทั้งหมดจากเว็บสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ และสามารถติดตามการทำงานต่างๆของสำนักงานฯได้เช่นกัน)

ส่วนรายได้ของทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ก็จะนำไปลงทุนในกิจการต่างๆเพื่อออกดอกผล แต่ทั้งหมดเมื่อได้มาก็เพื่อนำไปส่งเสริมกิจกรรมที่เป็นประโยชน์แก่ส่วนรวมต่อไป

แต่จะมีเงินส่วนหนึ่งที่จะถวายให้ในหลวงในแต่ละปี เพื่อไปใช้ตามพระราชอัธยาศัยบ้างตามสมควร (ก็อาจถือว่าเป็นเงินเดือนโดยตำแหน่งก็ได้ เราต้องไม่ลืมนะครับว่า เดิมทรัพย์สินตรงนี้เดิมเป็นของราชวงศ์จักรีมาก่อน พอเปลี่ยนแปลงการปกครองก็ไปขอของๆพระองค์ ให้มาเป็นสมบัติชาติ )

2.ทรัพยส���นส่วนพระองค์

อันนี้แปลง่ายๆ ก็คือทรัพย์สินส่วนตัวของในหลวง ซึ่งต้องเสียภาษีอากรให้แก่รัฐ และมูลนิธิตางๆที่ในหลวงทรงริเริ่มตั้งก็จะนำมาจากทรัพย์สินส่วนพระองค์ก่อตั้งทั้งสิ้นครับ เช่น

มูลนิธิอานันทมหิดล จุดประสงค์เพื่อมอบทุนให้แก่นักเรียนเรียนดีไปศึกษาต่อต่างประเทศในสาขาวิชาสำคัญๆที่ขาดแคลนในประเทศ

มูลนิธิชัยพัฒนา เป้าหมายที่สำคัญคือ เพื่อสงเคราะห์ช่วยเหลือประชาชนให้มีความร่มเย็นเป็นสุข และอยู่ดีกินดี อันจะนำไปสู่ความมั่นคงของประเทศ คือ “ชัยชนะแห่งการพัฒนา (ดูรายละเอียดได้ที่เว็บมูลนิธิชัยพัฒนา) และยังมีอีกหลายๆมูลนิธิเช่น มูลนิธิราชประชาสมาสัย เพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยโรคเรื้อนและญาติ เป็นต้น

3. ทรัพย์สินของราชวงศ์จักรี

อันนี้เป็นทรัพย์สมบัติที่อยู่ภายใต้การดูแลจากรมธนารักษ์ เช่นสิ่งของมีค่าทรัพย์สมบัติส่วนพระองค์ของในหลวงรัชกาลต่างๆที่ผ่านมา เช่นเหรียญกษาปณ์ เครื่องราชอิสริยยศ เครื่องราชอิสริยาภรณ์ หรือจะเป็นสำนักพระราชวัง รัฐบาลให้งบประมาณปีละประมาณ 2,000 ล้านบาทแก่สำนักพระราชวังซึ่งอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของนายกรัฐมนตรีโดยตรง และมีเลขาธิการพระราชวังบริหาร ส่วนหน้าที่ดูแลทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับพระบรมวงศานุวงศ์ รวมทั้งจัดการงานคลังหรืองานอื่นๆอีกมากมาย (ไปดูได้ที่เว็บสำนักพระราชวัง)

ฉะนั้นใครที่กล่าวหาว่า ในหลวงทรงได้เงินงบประมาณมาก จงรู้ไว้ด้วยว่า งบประมาณที่ได้จากรัฐบาลไม่ใช่จะใช้ส่วนพระองค์เพียงอย่างเดียว แต่เป็นเงินที่จะต้องถวายให้พระบรมวงศานุวงศ์ด้วย รวมทั้งเป็นงบใช้จ่ายเกี่ยวกับเงินเดือนข้าราชการ ค่าน้ำมัน ค่าน้ำ ค่าไฟค่าซ่อมแซมของพระราชวังที่ยังใช้งานอยู่ทั้งหมดด้วย

ถ้าจำไม่ผิดเงินที่ถวายส่วนตัวที่รัฐถวายให้ในหลวงเป็นส่วนพระองค์จริงๆเดียวน่าจะอยู่ประมาณ 100 ล้านบาทต่อปีเท่านั้น ส่วนพระบรมวงศานุวงศ์แต่ละพระองค์ได้น้อยกว่านี้มาก (ข้อมูลตรงนี้เคยได้อ่านจากนิตยสารสกุลไทย) ซึ่งเงินส่วนนี้ที่ได้รับก็จะถูกแยกนำไปเข้าสู่ทรัพย์สินส่วนพระองค์อีกทีหนึ่งครับ และรายได้ที่ประชาชนทูลเกล้าถวายก็จัดอยู่รวมในทรัพย์สินส่วนพระองค์เช่นเดียวกัน ซึ่งทั้งหมดนั้นต้องเสียภาษีด้วย (มีนักกีฬาเหรียญโอลิมปิคหรือนักกีฬาเทนนิสชื่อดังอย่างภราดร ก็ยังเคยได้รับการงดเว้นภาษีรายได้จากเงินรางวัลครับ)

ถามว่า ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์สามารถตรวจสอบได้มั้ย?

ตอบว่า ได้ครับ เพราะเป็นทรัพย์สินของรัฐประเภทหนึ่งตามที่ได้อธิบายไปแล้ว จึงสามารถตรวจสอบได้ตามกฏหมายครับ ซึ่งเรื่องนี้ในเว็บของสำนักพระราชวังก็มีบอกไว้ ดูได้จากเว็บสำนักพระราชวัง เรื่อง สิทธิของประชาชน หรือหากใครคิดว่าสงสัยเรื่องความโปร่งใสเรื่องใดที่เกี่ยวกับทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ก็ทำเรื่องร้องเรียนได้ที่สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน ได้เลยครับ

แต่ถ้าถามว่า สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์มีหน้าที่ต้องเปิดเผยการใช้เงินมั้ย?

ต้องตอบว่าไม่มีหน้าที่ แต่ถึงไม่มีหน้าที่ต้องเปิดเผย แต่ใ���ทางปฏิบัติก็มีการเปิดเผยอยู่เพื่อทำเป็นบัญชี แต่ไม่จำเป็นต้องป่าวประกาศทั่วไป แต่ถ้าใครอยากรู้เรื่องไหนก็ไปขอดูได้ แต่ต้องทำให้ถูกต้องตามระเบียบ อย่าลืมว่า ทรัพย์สินส่วนนี้แม้ยกให้แผ่นดินก็จริง แต่ถือว่าเดิมเป็นทรัพย์สินส่วนที่ได้มาจากราชวงศ์จักรี ไม่ได้เกิดจากการเก็บภาษีจากประชาชนตามระบอบประชาธิปไตยและไม่ใช่จากงบประมาณแผ่นดินนะครับ

ถามว่า ทรัพย์สินส่วนพระองค์สามารถตรวจสอบได้มั้ย?

ตอบว่า ไม่ได้ครับ ก็เพราะมันเป็นทรัพย์สินส่วนตัว
ชาติ (ประกอบด้วย 3 สถาบัน) คนไทยทกคนต้องจ่ายภาษีให้สถาบันฯชาติทุกคน ไม่ว่าจะทางตรงหรือทางอ้อม แล้วทำไม แค่เงินงบประมาณที่รัฐบาลให้แก่สถาบันพระมหากษัตริย์เพียงปีละประมาณ 2,000 ล้านบาท ซึ่งรวมค่าใช้จ่ายทุกอย่างตามข้างต้น กลับมีคนจ้องโจมตี ก็เพราะคนที่จ้องโจมตีมันไม่ต้องการให้มีสถาบันฯอยู่แล้ว ทุกอย่างจึงล้วนผิดหมด

เงินส่วนพระองค์จริงๆปีละประมาณแค่ 100 ล้าน ซึ่งพระองค์ก็นำไปช่วยเหลือประชาชนอีกต่อหนึ่ง กลับโดนพวกไม่จงรักภักดีสถาบันฯจ้องโจมตี แต่ผู้บริหาร ปตท. มีเงินเดือนๆละ 13 ล้านบาทยังไม่รวมโบนัส กลับไม่มีใครสนใจ ทั้งๆที่ ปตท.ก็เป็นของประชาชนแท้ๆ แต่ถูกนักการเมืองนำไปแปรรูปฯ ฉะนั้นการที่ FOBES นำเสนอว่า ในหลวงเรารวยที่สุดในโลกจึงไม่เป็นความจริง แต่ถ้านำเสนอว่า ในหลวงคือกษัตริย์ที่มีจำนวนประชาชนร่วมถวายทรัพย์แด่พระองค์ เพื่อให้พระองค์นำไปพัฒนาช่วยเหลือความเป็นอยู่ให้ประชาชนดีขึ้นมากที่สุดในโลกอย่างนี้ ถึงจะเป็นข้อมูลที่ถูกต้องที่สุดครับ   พวกที่ไม่จงรักภักดียังโจมตีเรื่อง รถพระที่นั่งยี่ห้อมายบัค (may Bach) ขอตอบว่า เป็นรถที่บริษัทเดมเลอร์ไครสเลอร์ ได้ทูลเกล้าถวายให้เนื่องในวโรกาสเฉลิมฉลองการครองราชครบ 60 ปีเป็นจำนวน 2 คัน ฉะนั้นใครไม่เชื่อก็ไปถามบริษัทเบนซ์ได้เลย

สมัยรัฐบาลทักษิณก็ได้ซื้อถวายเพิ่มอีก 2 คันเพื่อใช้ทดแทนรถพระที่นั่งชุดเก่าที่ทรงใช้มากว่า 30 ปี ส่วนรถยี่ห้ออื่นไม่ว่าจะเป็นบีเอ็มหรือโตโยต้าและเบนซ์ล้วนแต่เป็นรถที่ทูลเกล้าถวายฯจากบริษัทรถเป็นส่วนใหญ่ (บริษัทเดมเลอร์มีแผนจะยุบผลิตภัณฑ์ may Bach อีกภายใน 2 ปีข้างหน้า)   (แต่พวกชั่วคิดล้มเจ้ายังจะโทษเรื่องการใช้รถราคาแพง ก็น่าจะไปโทษทักษิณมากกว่า เพราะในหลวงท่านไม่เคยรับสั่งว่าต้องซื้อให้ท่าน)   และเราต้องเข้าใจคำว่า ร.ย.ล. หรือ ราชยานหลวง เสียก่อนว่า เป็นรถสำหรับใช้ในราชการของสถาบันฯ ไม่ใช่รถส่วนพระองค์ ร.ย.ล. อาจเป็นได้ตั้งแต่รถกระบะที่ใช้งานในวังไปจนถึงรถพระที่นั่งของพระราชวงศ์ ส่วนรถมายบัคที่เป็นรถพระที่นั่งก็เปรียบ เสมือนรถประจำตำแหน่งของพระมหากษัตริย์ ไม่ใช่รถส่วนพระองค์ของในหลวงนะครับ โปรดทำความเข้าใจด้วยครับ

ส่วนเรื่องพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพพระพี่นาง ที่โดนโจมตีจากพวกไม่จงรักภักดีฯ ข้อนี้ผมไม่อยากเถียง เพราะคนที่รักก็มองอีกมุมหนึ่ง คนที่ไม่รักไม่ภักดีย่อมต้องมองอีกมุมหนึ่ง เถียงไปก็ไร้ประโยชน์ รังแต่จะสร้างความระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาทไปเปล่าๆ และจะเป็นการเข้าทางพวกไม่จงรักภักดีได้ฯ เพราะพวกนี้เป็นฝ่ายอยู่ในที่มืด พวกนี้ไม่มีอะไรต้องเสียอยู่แล้ว แต่เราผู้จงรักภักดีฯอาจกลายเป็นเหยื่อเอง

ผมบอกได้แค่เพียง งบประมาณที่ซื้อโน้ตบุ้คใหม่ๆเจ๋งสุดๆให้พวกบรรดา สส.และ สว.รวมถึงคณะรัฐมนตรีทั้งสภา รวมกับงบซื้อรถหรูๆประจำตำแหน่งรัฐมนตรีที่เปลี่ยนก็ออกบ่อยๆ เป็นเงินมากมายก็ยังไม่เห็นมีใครโวยกันเลย ฉะนั้นการเถียงกันเรื่องแบบนี้จึงยากที่จะจบ มันขึ้นอยู่กับมุมมองและความรู้สึกด้วย

(แต่ถ้าเรามองโลกในแง่ดี ก็จะรู้ว่า ช่างฝีมือทุกแขนงอยากมีที่ที่ได้แสดงฝีมือเพื่อเป็นการฝึกฝนและเป็นการเรียนรู้เพื่อสืบสานงานศิลปะชั้นสูง ที่ยากนักจะได้มีโอกาสได้ฝึกฝนอย่างเห็นเป็นรูปธรรมและใช้งานได้จริงๆ ศิลปะจากงานสร้างพระเมรุบางอย่างกำลังจะสูญหายไป เหลือแต่ในพิพิธภัณฑ์ ซึ่งนั่นหมายถึงศิลปะที่ตายแล้ว และศิลปกรรมในการสร้างพระเมรุนั้น ไม่ใช่มีเฉพาะสิ่งที่เก่าๆที่สืบทอดมาเท่านั้น แต่ได้มีการประยุกต์และคิดค้นใหม่เพิ่มเติมเข้าไปด้วยหลายอย่าง ศิลปกรรมบางอย่างไม่อาจพบเห็นได้จากงานทั่วไป จะมีให้ได้เห็นเฉพาะงานพระราชพิธีเท่านั้น "ศิลปะบางครั้งวัดกันไม่ได้ที่ราคา แต่มันอยู่ที่คุณค่ามากกว่า" หากผมอยากจะมองในแง่ร้ายก็สามารถคิดได้สามารถหาเหตุผลมาโจมตีได้เหมือนกัน แต่ผมเลือกที่จะอยู่ฝั่งเข้าใจเหตุผลในแง่มองโลกในแง่ดีมากกว่า และในฐานะคนไทยคนนึง ผมยินดีที่ถวายให้พระองค์อย่างสมพระเกียรติ)

อย่าลืมนะครับว่า ในหลวง ร.9 คือบุคคล ไม่ใช่สถาบันฯ แต่ในหลวง ร.9  คือส่วนหนึ่งของสถาบันพระมหากษัตริย์ การที่ FOBES จัดอันดับเป็นเรื่องของทรัพย์สินที่รวมส่วนของสถาบันฯ เข้าไปคิดด้วย และไม่ใช่เงินสดทั้งหมด เป็นเพียงค่าประมาณการว่าถ้ามีการขายจะมีมูลค่าประมาณนั้น แต่ในความเป็นจริง แท���ไม่มีการขายทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์เลยน้อยมาก เช่นที่ดินก็มีแต่ให้เช่าเป็นส่วนใหญ่ และให้เช่าในราคาถูกกว่าราคาตลาดหลายเท่ามาก

แต่ทั้งหมดที่เขียนมา พวกไม่จงรักภักดีเขาไม่เชื่อผมหรอก พวกนี้ก็ยังคิดโทษอยู่อย่างเดียวว่า คนไทยจน คนไทยไม่เจริญเท่าญี่ปุ่นเพราะสถาบันฯเป็นต้นเหตุทั้งหมด เหตุผลอื่นๆเป็นเรื่องรองๆและไม่สำคัญไปหมด   หากผมจะถามเล่นๆว่า จะมีใครกล้าเอาหัวและตระกูล 7 ชั่วโคตรของตัวเองเป็นประกันได้บ้างว่า หากไม่มีสถาบันฯแล้ว ไทยเราจะเจริญแบบญี่ปุ่นกับสิงคโปร์ จะไม่เป็นแบบพม่าหรือฟิลิปปินส์ จะมีนักการเมืองที่โกงกินกันน้อยลงจากการจัดอันดับของต่างประเทศ และคนไทยจะรักกันไม่แตกแยกไม่ฆ่ากันเพื่อชิงอำนาจ?

ขอย้ำจุดประสงค์ของผมอีกครั้ง ผมไม่ได้ต้องการเปลี่ยนแปลงความคิดของพวกไม่จงรักภักดีสถาบันฯเลยแม้แต่คนเดียว แต่ผมอยากเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยเป็นภูมิต้านทานทางความคิดให้แก่คนที่จงรักภักดีสถาบันฯ และให้คนไทยได้รับรู้ว่า ประเทศไทยมีผู้คิดล้มล้างระบบสถาบันพระมหากษัตริย์อยู่จริง

"การจ้องด่าและจับผิดนั้นทำง่าย แต่การพยายามทำดีโดยไม่มีที่ตินั้นทำยากที่สุด แม้องค์ศาสดาของทุกๆศาสนาเองก็ยังไม่พ้นคนนินทาเลย ธรรมดาของโลกครับ" อาจารย์ บวรศักดิ์ ได้กล่าวไว้ ...

บันทึกนี้เขียนที่ GotoKnow โดย 

แก้ไขล่าสุด ใน วันจันทร์ที่ 23 ธันวาคม 2013 เวลา 11:31 น.
 

สกว.จัดเวทีปฏิรูปประเทศไทย เสนอทางเลือกต้านคอร์รัปชั่น

พิมพ์ PDF

https://www.facebook.com/photo.php?fbid=706303076055359&set=a.706302656055401.1073741994.119527331399606&type=3&src=https%3A%2F%2Ffbcdn-sphotos-e-a.akamaihd.net%2Fhphotos-ak-prn2%2F1473006_706303076055359_1316255574_n.jpg&size=782%2C546

(16 ธันวาคม 2556) ศ. นพ.สุทธิพันธ์ จิตพิมลมาศ ผู้อำนวยการสำนักงานกองทุนส นับสนุนการวิจัย (สกว.) เป็นประธานในการเปิดเวทีสาธ ารณะ สกว.: ความรู้สู่การปฏิรูปประเทศไทย ครั้งที่ 1 “ทางเลือกใหม่เพื่อการต้านคอร์รัปชั่น” ณ ห้องประชุม สกว. ซึ่งจัดขึ้นเพื่อให้นักวิชาการที่รับทุนจาก สกว. นำเสนอหลักการเหตุผลและข้อเสนอเชิงนโยบายในการปฏิรูปประเทศไทย

ศ. นพ.สุทธิพันธ์กล่าวว่า เหตุการณ์ทางการเมืองในขณะนี้ได้ส่งผลกระทบต่อประเทศไทยทั้งด้านความสามารถในการแข่งขันและความผาสุกของประเทศไทย ซึ่งสาเหตุหนึ่งที่มีความสำคัญคือการออกแบบประเทศโดยอาศัยโครงสร้างอำนาจ จึงต้องกลับมาคิดว่าจำเป็นต้องออกแบบประเทศใหม่หรือไม่ ซึ่งตรงกับโครงการวิจัยของ สกว. ปัญหาใหญ่ของประเทศขณะนี้คือ คอร์รัปชั่น ซึ่งปัจจุบันไทยมีดรรชนีชี้วัดภาพลักษณ์คอร์รัปชั่นของประเทศอยู่ที่อันดับ 102 จากเดิมอันดับที่ 88 ทำให้เกิดความเสียหายต่อประเทศอย่างรุนแรง สิ่งที่ สกว.ต้องการคือ การทำข้อเสนอเชิงนโยบายที่เป็นประโยชน์ต่อรัฐบาลที่จะเกิดขึ้นในอนาคต โดยมองข้ามเหตุการณ์ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นและเตรียมข้อเสนอที่มีฐานมาจากงานวิจัยและงานวิชาการ เพื่อให้เป็นนโยบายที่มีฐานเข้มแข็งและสามารรถนำไปปฏิบัติได้โดยเกิดผลข้างเคียงน้อย “เราต้องร่วมมือกันจัดทำนโยบายที่ดี และออกแบบประเทศไทยให้เป็นประเทศที่มีระบบทั้งระบบโครงสร้างเชิงอำนาจ โครงสร้างอำนาจ และระบบการกระจายอำนาจ รวมถึงมีการแก้ปัญหาคอร์รัปชั่นที่ได้ผล เพื่อส่งผลให้เกิดความสามารถแข่งขันของประเทศ เราต้องช่วยกันปฏิรูปประเทศให้เจริญก้าวหน้า โดยผลผลิตที่เกิดขึ้นจากเวทีนี้ คือ นโยบายที่มีคุณภาพ สกว.จะรวบรวมเป็นเอกสารเสนอต่อคณะรัฐบาลชุดใหม่ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต” ผู้อำนวยการ สกว. กล่าวทิ้งท้าย

ดร.สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ ประธานสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) กล่าวถึง “ทางเลือกใหม่เพื่อการต้านคอร์รัปชั่น” ว่าคอร์รัปชั่นเป็นหัวใจของการปฏิรูปการเมืองในครั้งนี้ ซึ่งมีสาหตุส่วนหนึ่งมาจากการต่อต้าน พรบ.นิรโทษกรรมอันเนื่องจากคดีคอร์รัปชั่น และการที่ไทยมีดรรชนีชี้วัดภาพลักษณ์คอร์รัปชั่นของประเทศตกลงมามากก็เป็นประเด็นที่น่าเป็นห่วง การคอร์รัปชั่นจะเป็นปัญหาทำให้การพัฒนาประเทศไปต่อไม่ได้ อย่างแรกคือจะทำให้การลงทุนต่ำกว่าที่ควรจะเป็น นักลงทุนต่างชาติที่มีธรรมาภิบาลจะไม่จ่ายใต้โต๊ะ หรือถ้าจ่ายก็จะผ่องถ่ายโดยหาตัวแทนแต่ผลการตอบแทนจะต้ำลง ทำให้การลงทุนจะต่ำกว่าที่ควรจะเป็น นอกจากนี้ยังทำให้การลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ในประเทศไทยเป็นไปได้ยาก ดังนั้นหากจะให้ประเทศไทยหลุดพ้นจากการเป็นประเทศรายได้ปานกลางจะต้องมีการปฏิรูประบบธรรมาภิบาลเพื่อลดการคอร์รัปชั่น 

การที่ไม่สามารถลงโทษนักการเมืองระดับสูงในคดีคอร์รัปชั่นได้อย่างที่ควรจะเป็น เป็นจุดอ่อนที่ไม่สามารถดำเนินการได้ อย่างไรก็ตามแม้จะแก้ได้ไม่หมดแต่ก็ทำให้ลดลงได้ เราต้องคิดเชิงระบบไม่ใช่เพียงคำนึงถึงคุณธรรมจริยธรรมเพียงอย่างเดียว จึงขอเสนอกรอบความคิดที่เป็นประโยชน์คือ “สมการคอร์รัปชั่น” ของ ศ.โรเบิร์ต คลิตการ์ด ที่สรุปว่าคอร์รัปชั่น = ดุลยพินิจ + การผูกขาด - กลไกความรับผิดชอบ เช่น ความโปร่งใส จึงมีข้อเสนอแนะให้ลดดุลยพินิจเจ้าหน้าที่ของรัฐในหลายเรื่อง เช่น กำหนดกรอบเวลาและจัดทำคู่มือพิจารณาใบอนุญาต อธิบายและเปิดเผยเหตุผลต่อสาธารณะกรณีไม่อนุญาต การจะแก้ปัญหาต้องเปิดเสรีและลดการผูกขาดเศรษฐกิจ เช่น เลิกโควต้านำเข้าสินค้าต่าง ๆ รวมถึงเลิกผูกขาดทางการค้า เช่น การค้าข้าว สามารถว่าจ้างที่ปรึกษาด้านกระบวนการทางธุรกิจให้ออกแบบขั้นตอนการอนุญาตเพื่อลดคอร์รัปชั่น รวมถึงให้องค์กรแข่งขันทางการค้าเป็นองค์กรอิสระ และควรให้การฟ้องร้องคดีสู่ศาลควรให้ผู้เสียหายฟ้องร้องต่อศาลได้โดยตรง นอกจากนี้ยังควรแก้ไข
กฎหมายข้อมูลข่าวสารให้เปิดเผยข้อมูลของรัฐมากขึ้น เปิดให้สังคมเข้าตรวจสอบ เช่น ยอมรับข้อตกลงคุณธรรมในโครงการขนาดใหญ่ แก้กฎหมายให้คดีคอรัปชั่นไม่มีอายุความ และให้ประเทศไทยเข้าเป็นสมาชิกของอนุสัญญาต่อต้านการให้สินบนของ Organisation for Economic Co-operation and Development หรือ OECD ทั้งนี้การจะหวังให้รัฐบาลมีความมุ่งมั่นในการต่อต้านคอร์รัปชั่นเพียงอย่างเดียวโดยไม่มีกลไกสร้างความเชื่อถือจะเกิดขึ้นได้ยาก เพราะไม่มีกลไกตรวจสอบ “ขณะนี้ทีดีอาร์ไอกำลังจัดทำคู่มือประชาชนในการต้านคอร์รัปชั่น โดยจะเผยแพร่ทางสื่อออนไลน์และจัดพิมพ์แจกประชาชน ภายใต้การสนับสนุนของ สกว. เพื่อให้ประชาชนเข้าใจกลไกการเกิดคอร์รัปชั่น ผลเสียที่เกิดขึ้นเป็นอย่างไร ตลอดจนให้ประชาชนช่วยกันจับตาและมีส่วนร่วมในการป้องกันการเกิดคอร์รัปชั่นในประเทศไทย”

ขณะที่ ศ. ดร.ผาสุก พงษ์ไพจิตร อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า คอร์รัปชั่นแบ่งได้เป็นสองส่วน คือ 1. ภาคราชการ ที่เกิดขึ้นได้ตลอดเวลาเพราะข้าราชการเป็นผู้ควบคุมกฎเกณฑ์ 2. ภาคการเมือง มักเป็นการร่วมมือกันระหว่างข้าราชการ นักธุรกิจและนักการเมือง โดยมีวงเงินค่อนข้างสูง จากการสำรวจทั่วประเทศในปี 2543 พบว่าร้อยละ 10 ของครัวเรือนทั่วประเทศต้องจ่ายเงินเมื่อไปติดต่อราชการ และมีการกระจุกตัวของการคอร์รัปชั่นในบางหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับวงเงินสูง อาทิ ตำรวจ ที่ดิน สรรพากร และกระบวนการยุติธรรม ซึ่งในช่วงต้นเดือนมกราคม 2557 จะทำการสำรวจซ้ำทั่วประเทศอีกครั้งจำนวน 6,000 ครัวเรือน โดยการสนับสุนนของ สกว. เพื่อเปรียบเทียบกับครั้งแรกว่ามีการเปลี่ยนแปลงอย่างไร รวมถึงการซื้อเสียงด้วย 

การคอร์รัปชั่นทางการเมืองยากจะแก้ไขเพราะเกี่ยวโยงกับขบวนการสะสมทุนในระบบเศรษฐกิจของประเทศ มีการจ่ายสินบนหรือใช้ตำแหน่งอิทธิพลในการเข้าถึงสัมปทานหรือใบอนุญาตในการเข้าถึงทรัพยากรหายาก เช่น ที่ดินสาธารณะ หรือทรัพยากรอื่น ๆ ที่ต้องได้รับการอนุญาตจากภาครัฐ เช่น เหมืองแร่ ดาวเทียม โครงการขนาดใหญ่ทางด้านสาธารณูปโภค วงเงินที่เกี่ยวข้องมีอัตราสูง ทำให้เป็นแรงจูงใจให้บุคคลที่เกี่ยวข้องแสวงหากำไรที่เกินปกติ และพบว่าถ้านักการเมืองหรือนักธุรกิจรวมถึงข้าราชการเข้าไปในวงจรจะมีครอบครัวเศรษฐีได้หลายชั่วอายุคน แม้ในปี 2544 จะมีการก่อตั้งคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ปปช.) ทำให้องค์กรมีเขี้ยวเล็บมากขึ้นและดำเนินคดีกับนักการเมืองได้ แต่ก็น่าจะทำได้มากกว่านี้ เช่น กรณีจำนำข้าวยังเอาผิดใครไม่ได้

ศ. ดร.ผาสุกได้ชี้ให้เห็นตัวอย่างการต้านคอร์รัปชั่นในประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นที่กล่าวถึงอย่างมากในระดับนานาชาติ ภายหลังการจัดตั้งองค์กรกำจัดคอร์รัปชั่นของอินโด (KPK) ในปี 2002 ที่มีกรณีสืบสวนสอบสวน 236 คดีในเวลา 10 ปี ทุกคดีประสบความสำเร็จ จับกุมข้าราชการระดับสูง นักการเมือง ส.ส. ซีอีโอ ผู้พิพากษา และเจ้าหน้าที่ตำรวจระดับสูงประมาณ 400 คน จึงน่าจะนำมาเป็นกรณีศึกษาของไทยในการมีศาลพิเศษเพื่อดำเนินคดีกับนักการเมืองเป็นกรณีเฉพาะ รวมถึงการมีองค์กรภาคประชาชนและสื่อเป็นมิตรที่สำคัญของ KPK “แม้คอร์รัปชั่นเป็นเรื่องที่แก้ยาก แต่จากประสบการณ์ของอินโดนีเซียชี้ให้เห็นว่าสามารถทำได้ถ้ามีการปรับปรุงหน่วยงานคอร์รัปชั่น และได้รับความร่วมมือจากภาคประชาสังคมและรัฐบาล ทั้งนี้อยากเสนอให้มีการจัดตั้งศาลคดีคอร์รัปชั่นโดยเฉพาะ น่าจะเป็นไปได้ในประเทศไทยเพราะขณะนี้กระแสต่อต้านคอร์รัปชั่นสูงมาก และสามารถใช้เป็นนโยบายในการรณรงค์หาเสียงได้ สอดคล้องกับกรณีที่เกิดขึ้นในอินโดนีเซียที่เกิดหลังวิกฤติเศรษฐกิจและประชาชนเบื่อหน่ายการปกครองของประธานาธิบดีซูฮาร์โต”
แก้ไขล่าสุด ใน วันจันทร์ที่ 23 ธันวาคม 2013 เวลา 12:56 น.
 

สอนเด็กให้เป็นคนดี : ๑๖. ความกล้าหาญทางสังคม (๑) ทักษะดำรงมิตรภาพ

พิมพ์ PDF

บันทึก ๑๙ ตอนนี้ มาจากการตีความหนังสือ Teaching Kids to Be Good People : Progressive Parenting for the 21stCentury เขียนโดย Annie Fox, M.Ed. 

ตอนที่ ๑๖นี้ ตีความจากบทที่ ๘ (บทสุดท้าย)  How Can I Do That? Developing Social Courage     โดยที่ในบทที่ ๘มี ๔ ตอน   ในบันทึกที่ ๑๖จะตีความตอนที่ ๑ และ ๒     และในบันทึกที่ ๑๕จะเป็นการตีความตอนที่ ๓ และ ๔

ทั้งบทที่ ๘ ของหนังสือ เป็นเรื่อง มิตรภาพ และความกล้าหาญในการเป็นตัวของตัวเอง และสื่อสารทำความเข้าใจเพื่อธำรงมิตรภาพ

ตอนที่ ๑ มิตรภาพเป็นถนนสองทาง ว่าด้วยการโค้ชเด็กให้มีความกล้าหาญ แสดงความเป็นตัวของตัวเอง  และรู้จักสื่อสารกับเพื่อน เพื่อมิตรภาพจากความเข้าใจซึ่งกันและกัน    โดยต้องตระหนักว่า โลกในวัยรุ่นในปัจจุบันมีความซับซ้อนและยุ่งเหยิงกว่าสมัยเราเป็นวัยรุ่นมากมายหลายเท่า    จึงเป็นคว���มท้าทายต่อวัยรุ่นในปัจจุบัน

การฝึกทักษะมิตรภาพเบื้องต้นเริ่มที่ครอบครัว    หากพ่อแม่ใกล้ชิดลูกและเห็นอกเห็นใจ เอาใจใส่ฝึกลูก และเห็นชัดว่ามิตรภาพระหว่างลูกกับพ่อแม่ดี   มีความรักใคร่และไว้วางใจซึ่งกันและกัน    ก็เป็นสัญญาณว่าลูกจะมีทักษะมิตรภาพต่อเพื่อนดีด้วย

ทักษะมิตรภาพเริ่มต้นที่ครอบครัว

หากพบว่า ลูก/ศิษย์ ประพฤติตนเป็นผู้ระราน หรือเป็นเหยื่อของการระราน   และเกิดขึ้นซ้ำๆ นั่นคือสัญญาณบอกว่า ลูก/ศิษย์ ต้องการความช่วยเหลือ    โปรดสังเกตว่า การตกเป็นเหยื่อของการระราน ไม่ได้แปลว่าเด็กคนระรานเป็นตัวปัญหาเท่านั้น   แต่เด็กที่ถูกระรานก็เป็นตัวปัญหาด้วย   ที่จะต้องหาทางแก้ไขทันที

โดยการนั่งคุยกับเด็กอย่างสงบ ไม่ดุด่าว่ากล่าวหรือโวยวาย   ทำความเข้าใจเรื่องการเป็นเพื่อนกัน   ว่าทั้งสองฝ่ายจะต้องมีไมตรีจิตต่อกัน   คือการเป็นเพื่อนกันเป็นถนนสองทาง    คือต้องเข้าใจซึ่งกันและกัน   บอกว่าเราชอบอะไร ไม่ชอบอะไร   และรู้ว่าเพื่อนชอบอะไร ไม่ชอบอะไร   หากเพื่อนปฏิบัติต่อเราในแบบที่เราไม่ชอบ   เราต้องรู้จักบอกเพื่อนดีๆ ว่า ทำอย่างนั้นเราไม่ชอบ   ไม่ต้องการให้เพื่อนทำอย่างนั้นต่อเราอีก    อย่ากลัวว่าบอกแล้วเพื่อนจะโกรธหรือเสียเพื่อน   แต่เราต้องบอกเขาดีๆ อย่าใช้อารมณ์

เพื่อรักษาความเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน หรือเพื่อมิตรภาพยาวนาน    เราต้องสื่อสารให้ชัดเจนว่าเราต้องการความสัมพันธ์แบบไหนกับเพื่อน   ต้องการให้ปฏิบัติต่อกันอย่างไร   อย่าละไว้ในฐานเข้าใจ   อย่าอ้ำอึ้งที่จะบอก   และในทางกลับกัน เมื่อเพื่อนบอกความต้องการของเขาต่อเรา เราก็ต้องฟังอย่างสงบและตั้งใจ   เพื่อให้เราเข้าใจเพื่อนอย่างแท้จริง

นั่นคือหลักการ หรือทฤษฎี   ในชีวิตจริงมันยุ่งยากกว่านั้น   เพราะเด็กๆ มักมีเรื่องกระทบกระทั่งเล็กๆ น้อยๆ กันเสมอ   โดยผู้ใหญ่มองเป็นเรื่องเล็ก แต่เป็นเรื่องใหญ่สำหรับเด็ก   วิธีหรือหลักการที่ผู้ใหญ่จะช่วยได้คือ  (๑) ช่วยเตือนสติเด็ก ว่าทุกสิ่งทุกอย่างมองได้หลายมุมเสมอ   เด็กอาจมองมุมหนึ่ง แต่เพื่อนอาจมองต่างมุม    การทำความเข้าใจมุมมองของเพื่อนเป็นส่วนหนึ่งของการเรียนรู้ และการเข้าสู่วุฒิภาวะ   (๒) ทุกปัญหามีทางออกเสมอ   เด็กต้องเรียนรู้และหาทางทำให้สถานการณ์ดีขึ้น   โดยแนะนำเด็กว่า ความกล้าหาญที่จะลงมือทำเพื่อแก้ปัญหา หรือเพื่อสร้างมิตรภาพ เป็นสิ่งที่ดี   เมื่อมีการลงมือทำ ก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลง และเกิดการเรียนรู้ด้วย

คำถามของหนุ่ม ๑๒ “เพื่อนของผม ๒ คนบ่นว่าไม่ค่อยมีเพื่อน   โดยที่เขาเป็นคนชอบตัดสินคนอื่น   ผมมีเพื่อนผู้หญิงที่ใกล้ชิดกันมากขึ้นเรื่อยๆ    แต่เพื่อน ๒ คนนี้เรียกชื่อเธอแบบล้อเลียน   เพื่อน ๒ คนนี้ไม่พอใจเมื่อผมไปเที่ยวกับเธอหรือไปกับเพื่อนคนอื่นๆ   ผมจนใจไม่รู้จะทำอย่างไร   ได้พยายามแนะนำให้เขาเป็นเพื่อนกับคนนั้นคนนี้   เขาก็บอกว่าไม่ชอบและอ้างเหตุผลต่างๆ นานา    เขาทั้งสองไม่ทราบว่าคนอื่นๆ ก็เริ่มไม่ชอบเขา    เพราะเขาด่วนตัดสินเกินไป”

คำตอบของผู้เขียน “เธอทำถูกแล้วที่ไม่อยากหมกมุ่นอยู่กับความคิดเชิงลบ   และการคบเพื่อนนักตัดสินคนอื่นทำให้เธอไม่สบายใจและอยากแก้ไข   และแน่นอนว่าเธอมีสิทธิที่จะเลือกเพื่อน   แต่เธอก็ไม่อยากให้เพื่อนเสียใจ   ชีวิตจริงก็ยุ่งยากเช่นนี้เอง

คนที่ชอบตัดสินคนอื่นนั้น   แสดงว่าเขาเองไม่ค่อยมั่นใจตนเอง    จึงไม่อยากมีเพื่อนจำนวนมาก   ตั้งหน้าอยู่ในพื้นที่ปลอดภัยกันสองคน   และอ้างว่าคนอื่นๆ ไม่ดี   และคนอื่นๆ ก็ไม่อยากเป็นเพื่อนกับเขา เพราะไม่มีใครอยากถูกวิพากษ์วิจารณ์

เธอบอกว่าจนใจไม่รู้จะทำอย่างไร   แต่จริงๆ แล้วมีทางเลือกตั้งหลายทาง ได้แก่

๑. บอกเพื่อนทั้งสองคนตรงๆ ว่าเธอเบื่อที่จะคบเพื่อนขี้บ่น   เพราะเธอรู้สึกสบายใจมากกว่าเมื่อเพื่อนไม่บ่น

๒. ถ้าเพื่อนไม่เปลี่ยนพฤติกรรมขี้บ่น   ให้ลองแยกตัวออกมาคบเพื่อนคนอื่นๆ

๓. การเป็นเพื่อนที่ดีนั้น   เราต้องเป็นเพื่อนที่ดีกับตัวเองก่อน   ถ้าเพื่อนทำให้เธอไม่สบายใจ   และเธอยังทน   เท่ากับเธอไม่เป็นเพื่อนที่ดีต่อตัวเธอเอง”

 

ตอนที่ ๒  อาสาสมัครพัฒนาเด็ก ผู้เขียนเล่าเรื่องของตนเอง ที่ชอบเข้าไปช่วยเหลือเด็กที่ประสบปัญหา    โดยถือว่าเป็นการทำหน้าที่ของผู้ใหญ่   เพราะเด็กเป็นผู้เยาว์ ต้องการคำแนะนำช่วยเหลือจาก parenting/mentoring   ถ้อยคำเหล่านี้ทำให้ผมนึกถึงสมัยเด็กๆ อยู่บ้านนอก   คนที่นั่นเรียกเด็กเป็นลูกทุกคน   และถ้าเด็กเกเรข่มเหงกัน  ก็ถูกผู้ใหญ่ดุหรือห้ามปรามได้ทุกคน

 

ผู้เขียนบอกว่า ตนไม่ใช่แค่เข้าไปช่วยเหลือหรือแก้ปัญหาให้เด็กเท่านั้น   แต่จะชมเด็กด้วย   ไปที่ไหนหากเห็นเด็กทำดีก็จะหาโอกาสชม   “หนูช่วยแม่ถือของ น่ารักจัง”   “หนูช่วยปลอบเพื่อนที่ร้องไห้ เก่งจัง”  ฯลฯ   โดยถือว่าการช่วยกระตุ้นให้เด็กเติบโตเป็นคนดีนั้น เป็นหน้าที่ของทุกคน   ไม่ใช่แค่เป็นหน้าที่ของพ่อแม่/ครู เท่านั้น

 

ปัญหาที่พบประจำใน���ด็กวัยรุ่น คือการเสพติดการยอมรับจากกลุ่มเพื่อน (Peer Approval Addiction)   หรืออาจเรียกว่าตกอยู่ใต้แรงกดดันจากกลุ่มเพื่อน (Peer Pressure)   และในขั้นรุนแรงถึงกับเป็นความบีบคั้นจนเกิดความเครียดอย่างรุนแรง

 

คนที่ตกเป็นเหยื่อ คือคนที่ไม่มั่นใจตนเอง ไม่กล้าแสดงออกว่าตนมีจุดยืนอย่างไร ตนต้องการอะไร    ส่วนคนที่มีความมั่นใจตนเอง ก็จะไม่ถูกบีบคั้นมาก    และผ่านพ้นมรสุมชีวิตวัยรุ่นนี้ไปได้   ผู้ใหญ่ต้องหาวิธีช่วยให้เด็กเข้าใจเรื่องการเสพติดการยอมรับจากเพื่อน ซึ่งคนเราเป็นกันทุกคน   แต่ส่วนใหญ่เป็นแบบนิดๆ หน่อยๆ ไม่รุนแรง   การช่วยให้เข้าใจเรื่องนี้ และฝึกให้กล้าที่จะแสดงท่าที/จุดยืนของตน   ชีวิตวัยรุ่นก็จะราบรื่นขึ้น

นอกจากช่วยให้ตัวเด็กเองไม่ตกเป็นเหยื่อแล้ว    ผู้ใหญ่ควรส่งเสริมให้เด็กมีความกล้าหาญพอที่จะช่วยเพื่อนที่ตกเป็นเหยื่อ   ให้หลุดพ้นจากแรงกดดันนี้   ซึ่งเป็นการฝึกฝนความมีน้ำใจเห็นอกเห็นใจคนอื่น   โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่อ่อนแอกว่า

คำถามของหนุ่ม ๑๒ “เพื่อนคนหนึ่งถูกรังแกที่โรงเรียนทุกวัน   เขาเล่าให้ผมฟัง   ผมแนะนำให้บอกครูเพื่อขอความช่วยเหลือ   แต่เขาไม่เอาด้วย เพราะเกรงว่าจะโดนคนที่รังแกทุบตีอีก   เขาไม่ต้องการให้ผมช่วยด้วยเหตุผลเดียวกัน   ผมไม่รู้ว่าจะช่วยเขาอย่างไร   ขอคำแนะนำด้วย”

คำตอบของผู้เขียน “ฉันรู้สึกสงสารเพื่อนของเธอมาก   เป็นเรื่องไม่ยุติธรรมที่ผู้รังแกไม่ถูกลงโทษ   ฉันไม่ทราบว่าเพื่อนของเธอไปโรงเรียนแบบไหน   แต่หวังว่าจะเป็นโรงเรียนที่ครู ผู้ช่วยครูใหญ่ และครูที่ปรึกษา จะเอาใจใส่เรื่องนี้   เพื่อนของเธอควรบอกผู้ใหญ่

ไม่ทราบว่าพ่อแม่ของเพื่อนเธอทราบเรื่องไหม   เขาควรเล่าให้พ่อแม่ฟัง

แม้เขาบอกว่าไม่ต้องการให้เธอช่วย   แต่เขาก็ย่อมต้องการให้ตนเองไม่ถูกรังแกอีกต่อไป    การที่เขาบอกเธอคือหลักฐานสนับสนุน   ขอให้เธอบอกเขาให้พูดออกมา   เพื่อเรื่องนี้จะได้ยุติ   หากเขาไม่กล้า เธอควรเสนอว่าเธอจะไปเป็นเพื่อนเพื่อแจ้งครูที่ปรึกษาหรือครูใหญ่    ถ้าเขาปฏิเสธ ให้บอกเขาว่าเธอเป็นเพื่อน และจะช่วยปกป้องเขา    ถ้าเขาไม่ไปเธอจะไปเอง”

 

 

วิจารณ์ พานิช

๙ เม.ย. ๕๖

 

 

 

บันทึกนี้เขียนที่ GotoKnow โดย 

แก้ไขล่าสุด ใน วันจันทร์ที่ 23 ธันวาคม 2013 เวลา 13:01 น.
 

การพัฒนาการศึกษากับการวิจัย ในวิชาชีพเภสัชกรรม

พิมพ์ PDF

การพัฒนาการศึกษากับการวิจัย ในวิชาชีพเภสัชกรรม[1]

 

วิจารณ์ พานิช

...............

 

เภสัชกรรมเป็นวิชาชีพ  ซึ่งหมายความว่าเป็นวงการที่ต้องใช้ความรู้ความชำนาญชั้นสูง   ผ่านการฝึกฝนอย่างเข้มข้นจริงจัง    จนได้รับการยอมรับว่ามีความรู้ความชำนาญเพียงพอ   มีกระบวนการควบคุมกำกับการศึกษาและฝึกฝน   รวมทั้งมีการควบคุมกำกับจริยธรรมในการประกอบวิชาชีพ โดยกลไกของวิชาชีพเอง หรือโดยผู้ประกอบวิชาชีพเดียวกัน    ที่เรียกว่า self-regulation ด้วยจรรยาบรรณวิชาชีพ และกระบวนการตรวจสอบของสภาวิชาชีพ

ความท้าทายของวงการวิชาชีพในปัจจุบัน คือการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและพลิกผัน ของสังคม   และความรู้หรือวิชาการด้านต่างๆ งอกงามเพิ่มพูนอย่างรวดเร็ว    ความรู้เดิมที่มีหรือยึดถืออยู่หลายส่วนกลายเป็นความรู้ที่เก่า หรือผิด    ทำให้หากไม่ระวัง กลไกกำกับวิชาชีพ จะกลายเป็นอนุรักษ์นิยมที่ยึดถือแนวทางเก่า ขัดขวางการเปลี่ยนแปลง

นอกจากนั้น ยิ่งนับวันเรื่องต่างๆ ในโลก ยิ่งมีความซับซ้อน (complex) มีหลายชั้นหลายมิติ มองได้หลายมุม   เรื่องที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับวิชาชีพเภสัชกรรมอย่างหนึ่งคือความก้าวหน้าของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี    ที่นำไปสู่การพัฒนายาที่มีคุณภาพสูง  เป็นประโยชน์ต่อมนุษยชาติ    แต่ในขณะเดียวกัน ก็เป็นความท้าทายต่อระบบยาของประเทศ   ที่หากมีการจัดระบบให้ดี มีข้อมูลและความรู้ประกอบการตัดสินใจ และการพัฒนาต่อเนื่อง จะมีคุณประโยชน์ต่อผู้คนในบ้านเมืองมาก   แต่หากจัดระบบไม่เป็น ตกอยู่ใต้การโฆษณาหรืออิทธิพลของบริษัทยาข้ามชาติ ที่กำหนดราคายาตามความพอใจของตน   ค่าใช้จ่ายด้านยาของประเทศจะสูงจนกลายเป็นปัญหาหนึ่งของระบบสาธารณสุข

เล่ห์กลและการทำผิดกฎหมายของบริษัทยามีผู้เขียนไว้มากมาย เช่น http://www.gotoknow.org/posts/493901 และหนังสือกระชากธุรกิจยาข้ามชาติโดยวิชัย โชควิวัฒน์ (๒๕๔๙)

การศึกษา และการวิจัยในวิชาชีพเภสัชกรรมในยุคศตวรรษที่ ๒๑ จึงมีประเด็นท้าทายที่แตกต่างไปจากการศึกษาและการวิจัยในวิชาชีพเภสัชกรรมยุคก่อนๆ   ความแตกต่างพื้นฐานที่สุดคือ ยุคก่อนขาดแคลนความรู้และเทคโนโลยี   แต่ยุคปัจจุบันและอนาคต มีความรู้และเทคโนโลยีมาก   ตลาดยาและเภสัชภัณฑ์เป็นตลาดที่เชื่อมโยงถึงกันทั่วโลก   เป็นความท้าทายให้วงการเภสัชกรรมต้องมีสติปัญญาในการเลือกใช้ให้เหมาะสมต่อสังคมและบ้านเมืองของตนเอง

ตัวอย่างของประเทศยากจนและเป็นประเทศเล็ก ที่ระบบการผลิตด้านเภสัชกรรมแตกต่างจากของเราโดยสิ้นเชิง   คือคิวบา   ที่มีความสามารถผลิตเภสัชภัณฑ์ที่ทันสมัยและมีคุณภาพดีขึ้นใช้เองภายในประเทศ และส่งออกไปยังประเทศอื่นๆ ได้   ทำให้ประชาชนได้รับบริการด้านการแพทย์และสาธารณสุขที่ดี    ที่เรียกว่า สุขภาพดีในราคาต่ำ (Good health at low cost.)

การศึกษาในปัจจุบันไม่ว่าในสาขาใด ไม่ใช่แค่เรียนเพื่อให้ได้ความรู้อย่างในอดีต   แต่ต้องเลยไปสู่การฝึกฝนใช้ความรู้ เกิดทักษะในการประยุกต์ใช้ความรู้ในสถานการณ์ต่างๆ   โดยที่ส่วนของการเรียนทฤษฎีอาจารย์ไม่ต้องสอนแบบบรรยายอย่างในอดีต   นิสิตนักศึกษาสามารถค้นคว้าเรียนเองได้   อาจารย์ใช้เวลาที่มีค่าของตนให้เกิดประโยชน์ต่อการเรียนรู้ของศิษย์ที่สุด   โดยร่วมกันออกแบบการเรียนรู้ให้เหมาะสมต่อนิสิตนักศึกษากลุ่มนั้น   ทั้งนี้หมายความว่า ทีมอาจารย์ต้องดำเนินการทดสอบพื้นความรู้ของศิษย์ในชั้นเรียนของตน   สำหรับนำมาใช้ออกแบบการเรียนรู้

การเรียนรู้ส่วนที่อาจารย์มีคุณค่าต่อศิษย์ส่วนถัดมา คือการที่อาจารย์ทำหน้าที่โค้ชต่อการฝึกประยุกต์ใช้ความรู้ของศิษย์ ในกิจกรรมที่ทีมอาจารย์ช่วยกันออกแบบ    การทำหน้าที่โค้ชนี้มีเทคนิครายละเอียดมากมาย   หลักการที่สำคัญคือนิสิตนักศึกษาต้องได้ฝึกทำโจทย์ หรือโครงงานที่ยากพอเหมาะ   โค้ชคอยแนะนำให้กำลังใจให้สู้ความยาก และให้คำชมเมื่อมีความสำเร็จเล็กๆ เกิดขึ้น   รวมทั้งเมื่องานสำเร็จ ชวนศิษย์ทบทวนประเด็นเรียนรู้ร่วมกัน   ทำให้เข้าใจทฤษฎีหรือเนื้อวิชาแจ่มชัดลึกซึ้งยิ่งขึ้น

คุณค่าส่วนที่สามของอาจารย์ต่อศิษย์ คือการประเมิน   อาจารย์ต้องคอยประเมินความก้าวหน้าในการเรียนรู้ของศิษย์แต่ละคนอยู่ตลอดเวลา    สำหรับใช้เป็นข้อมูลประกอบการทำหน้าที่โค้ช ดูแลช่วยเหลือการเรียนรู้ของศิษย์เป็นรายคน    ที่เรียกว่า การประเมินเพื่อพัฒนา (Formative Evaluation)   การประเมินแบบนี้สำคัญกว่าการประเมินเพื่อตัดสินได้-ตก (Summative Evaluation)

ดังนั้นวงการวิชาชีพเภสัชกรรมควรเอาใจใส่ปฏิรูปการเรียนรู้ของวิชาชีพเภสัชกรรม    ให้เป็น Transformative Education  และมีการฝึกฝนทักษะทั้งด้านวิชาชีพ และด้านการทำงานร่วมกับวิชาชีพอื่น ในระบบบริการสุขภาพ เป็น ทีมสุขภาพ (Health Team)    ตามคำแนะนำในรายงานของคณะกรรมาธิการอิสระ ชื่อ Education of Health Professional for the 21st Century (http://www.healthprofessionals21.org/index.php/2-the-report)    โดยที่แนวคิดพื้นฐานเกี่ยวกับการปฏิรูปการเรียนรู้ในศตวรรษที่ ๒๑ อ่านได้จากหนังสือ การสร้างการเรียนรู้สู่ศตวรรษที่ ๒๑ (http://www.scbfoundation.com/news_publish_detail.php?cat_id=6&nid=881)    และอ่านเรื่องความรู้สมัยใหม่เกี่ยวกับกลไกการเรียนรู้ได้ ในหนังสือ การเรียนรู้เกิดขึ้นอย่างไร(http://www.scbfoundation.com/news_publish_detail.php?cat_id=6&nid=880)

 

ในด้านการวิจัย วงการวิชาชีพเภสัชกรรมไทยควรเน้นการวิจัย ๔ ด้านคือ

๑. การวิจัยพื้นฐานและการวิจัยประยุกต์ ด้านเภสัชศาสตร์ และวิทยาศาสตร์การแพทย์    เพื่อนำไปสู่การพัฒนายาและเภสัชภัณฑ์    และเพื่อพัฒนาความรู้พื้นฐานด้านเภสัชศาสตร์และวิทยาศาสตร์การแพทย์

๒.การวิจัยเกี่ยวกับการใช้ยาในการรักษาโรคต่างๆ    รวมทั้งการวิจัยเพื่อตรวจสอบประสิทธิผลของยาที่มีชื่อสามัญเดียวกัน แต่มีชื่อทางการค้าต่างกัน    และรวมทั้งการวิจัยเพื่อประเมินประสิทธิผลและความปลอดภัยของตำรับยาสมุนไพรที่ผลิตภายในประเทศ

๓. การวิจัยระบบยาของประเทศไทย   เพื่อให้มีการใช้ยาอย่างเหมาะสม    ไม่เป็นภาระด้านการเงินหรือเศรษฐกิจของประเทศอย่างไมาสมเหตุสมผล    และเพื่อให้สังคมไทยรู้เท่าทันการทำธุริจอย่างไม่มีจริยธรรมของบริษัทยาข้ามชาติ

๔. การวิจัยด้านการศึกษาเภสัชศาสตร์

 

……………………..

 

 

 

[1] เอกสารประกอบการบรรยาย เรื่อง การพัฒนาการศึกษาและการวิจัยในอนาคตกับวิชาชีพเภสัชกรรม    เนื่องในงานสมัชชาเภสัชกรรมไทย ๑๐๐ ปี   วันที่ ๖ ธันวาคม ๒๕๕๖  ณ คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

บันทึกนี้เขียนที่ GotoKnow โดย 

แก้ไขล่าสุด ใน วันจันทร์ที่ 23 ธันวาคม 2013 เวลา 14:50 น.
 


หน้า 409 จาก 557
Home

About Us

ศูนย์บูรณาการพัฒนามนุษย์ (ศบม.) เป็นองค์กรที่พัฒนาและจัดทำโครงการเพื่อทำประโยชน์ให้สังคม เป็นองค์กรสนับสนุนการดำเนินงานของภาครัฐ ช่วยแก้ปัญหาผู้ประกอบการภาคธุรกิจบริการที่ขาดแคลนบุคลากรที่มีมาตรฐานในการให้บริการ
อ่านเพิ่มเติม

มูลนิธิศูนย์บูรณาการพัฒนามนุษย์ ์

 iHDC Profile
บัญชีรายชื่อกรรมการ
ใบสำคัญแสดงการจดทะเบียน การเปลี่ยนแปลงกรรมการของมูลนิธิ
เอกสารประชาสัมพันธ์ โครงการ HMTC.pdf
เอกสารแนะนำโครงการ HMTC 1.pdf
เอกสารโครงการ HMTC 2 คุณสมบัติผู้เข้าร่วมโครงการ.pdf
iHDC นิติบุคคล.pdf
iHDC บุคคล.pdf
iHDC บุคคลเครือข่าย.pdf
รายงานการประชุม 6 มีนาคม 2560.pdf
ข้อบังคับมูลนิธิ
ใบสำคัญแสดงการจดทะเบียนจัดตั้งมูลนิธิ
Ihdc-Profile and Roadmap 2016-2019 Mar 23 2560.pdf
รายงานการประชุมใหญ่คณะกรรมการมูลนิธิศูนย์บูรณาการพัฒนามนุษย์ 2559.pdf
คำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการ สาขาวิชาชีพ.pdf
รายงานการประชุมใหญ่วันที่ 18 ธ ค 2558 v 3.pdf
รายงานการประชุม วันที่ 24 ธันวาคม 2557 updated 4 มีนาคม 2558.pdf
iHDC-invitation Letter.doc
iHDC-Member Form Thai.doc
iHDC-Member Form English.doc
รายงานการประชุมกรรมการมูลนิธิศูนย์บูรณาการพัฒนามนุษย์ วันที่ 15 มกราคม 2556 ฉบับสมบูรณ์


thaibetter
พัฒนาประเทศไทยแบบทวีคูณ และยั่งยืน ( ททค )

Login


แบบสำรวจ

สถิติเว็บไซด์

สมาชิก : 5602
Content : 3043
เว็บลิงก์ : 26
จำนวนครั้งเปิดดูบทความ : 8587031

facebook

Twitter


ล่าสุด

บทความเก่า