Thaiihdc.org

  • เพิ่มขนาดตัวอักษร
  • ขนาดตัวอักษรปกติ
  • สดขนาดตัวอักษร
Home > Articles > การศึกษา > สอนอย่างมือชั้นครู: ๑๖. กิจกรรมเรียนโดยการปฏิบัติ

สอนอย่างมือชั้นครู: ๑๖. กิจกรรมเรียนโดยการปฏิบัติ

พิมพ์ PDF

บันทึกชุด “สอนอย่างมือชั้นครู” ๓๔ ตอน ชุดนี้ตีความจากหนังสือ Teaching at Its Best : A Research-Based Resource for College Instructorsเขียนโดย Linda B. tags/Nilson">Nilsonซึ่งเป็นฉบับพิมพ์ปรับปรุงครั้งที่ ๓ผมขอเสนอให้อาจารย์ในสถาบันการศึกษาไทยทุกคน หาหนังสือเล่มนี้อ่านเองเพื่อนำไปใช้ประโยชน์เพราะหากติดตามอ่านจากบันทึกใน บล็อก ของผมซึ่งลงสัปดาห์ละตอน จะใช้เวลากว่าครึ่งปี และการอ่านบันทึกของผมจะแตกต่างจากการอ่านฉบับแปล หรืออ่านจากต้นฉบับโดยตรงเพราะบันทึกของผมเขียนแบบตีความไม่ได้ครอบคลุมสาระทั้งหมดในหนังสือ

ตอนที่ ๑๖ นี้ ตีความจาก Part Three : Choosing and Using the Right Tools for Teaching and Learning มี ๗ บทตอนที่ ๑๖ ตีความจากบทที่ 15. Experiential Learning Activities

สรุปได้ว่า การเรียนจากการปฏิบัตินั้น มีรูปแบบที่หลากหลายและใช้ความสร้างสรรค์ของอาจารย์ ในการออกแบบกระบวนการเรียนรู้ได้อย่างไม่จำกัดโดยที่อาจารย์และทีมงานของมหาวิทยาลัยต้องออกแบบ และดำเนินการอย่างรอบคอบและในตอนท้ายต้องมีกิจกรรม debriefing / reflection / AAR / ใคร่ครวญทบทวน การเรียนรู้ ด้วยเสมอ

 

กิจกรรมเรียนโดยการปฏิบัติเป็น “ยำใหญ่” ของการจัดการเรียนรู้หลากหลายรูปแบบเพื่อให้นักศึกษา ได้ค้นพบและสร้างความรู้จากประสบการณ์ตรงทั้งที่เป็นประสบการณ์จำลอง และประสบการณ์จริง

การเรียนรู้แบบนี้ ก่อความผูกพัน (engagement) ของนักศึกษาต่อกิจกรรมการเรียน แตกต่างกันตั้งแต่ ปานกลางไปจนถึงรุนแรงสุดสุดก่อประสบการณ์ทางอารมณ์ ที่จะทำให้จารึกจดจำไปนานหรือตลอดชีวิตและเหมาะสมต่อ นักศึกษาที่มีสไตล์การเรียนรู้ แตกต่างหลากหลาย ทำให้เกิดการเรียนรู้ในระดับสูงและเกิดความสนใจ หรือฉันทะต่อวิชาความรู้เหล่านั้น ทำให้จดจำความรู้ได้ยาวนานกว่าการเรียนแบบที่ นักศึกษาตื่นตัวน้อยกว่า

 

การนำเสนอของนักศึกษา

การเรียนโดยนำเสนอ นอกจากนักศึกษาจะได้เรียนรู้สาระวิชาแล้วยังได้ฝึกทักษะการสื่อสาร ซึ่งนายจ้างแห่งศตวรรษที่ ๒๑ ต้องการมากรวมทั้งการสื่อสารในที่สาธารณะ

การนำเสนอด้วยวาจามีหลากหลายแบบ ดังตัวอย่าง

 

การโต้วาทีแนวแปลก

การโต้วาทีตามปกติที่มีฝ่ายเสนอฝ่ายค้านนำเสนอญัติเชิงบวก หรือเชิงลบ และคำคัดค้านโต้แย้ง ก็ใช้ในชั้นเรียนได้แต่การดัดแปลงเพื่อใช้ประโยชน์ในชั้นเรียน จะมีพลังมากกว่า เช่น

  • การโต้วาทีเพื่อโน้มน้าวให้เปลี่ยนใจ(change-your-mind debate)แบ่งนักศึกษาเป็น ๓ กลุ่มคือกลุ่มเห็นด้วยกับข้อเสนอกลุ่มไม่เห็นด้วยกับกลุ่มยังไม่ตัดสินใจให้แยกไปนั่ง กลุ่มละมุมห้องระหว่างการโต้วาที อนุญาตให้นักศึกษาเปลี่ยนกลุ่มได้เมื่อจบ จัดกระบวนการ debriefing / reflection / AARเน้นที่คนเปลี่ยนใจว่าทำไมจึงเปลี่ยนใจข้อมูลหลักฐานชิ้นไหนที่มีพลังเปลี่ยนใจนักศึกษาที่ยังคงไม่ตัดสินใจเข้ากลุ่มเป็นอีก กลุ่มหนึ่งที่จะช่วยให้ความเห็นเชิงวิเคราะห์ต่อประเด็นวิชาการ และต่อการโต้วาที
  • โต้วาทีแบบประเด็น - ต้านประเด็น (point – counterpoint) ทำโดยแบ่งนักศึกษาออกเป็นกลุ่มจำนวนกลุ่มเท่ากับจำนวนความเห็นที่แตกต่างในเรื่อง (issue) ที่นำมาโต้วาทีแต่ละกลุ่ม เตรียมข้อมูลหลักฐานมานำเสนอเพื่อสนับสนุนจุดยืนของตนเลือกตัวแทนกลุ่มที่ ๑ ให้นำเสนอจุดยืนของกลุ่ม พร้อมหลักฐานสนับสนุนแล้วให้ตัวแทนแต่ละกลุ่มนำเสนอ จุดยืน ข้อโต้แย้ง และหลักฐานสนับสนุนเมื่อครบทุกกลุ่ม จัดการอภิปรายทั้งชั้น เพื่อสรุป ข้อเรียนรู้
  • การโต้วาทีแบบ ข้อโต้แย้งทางวิชาการ(academic controversy) โดยทีมโต้วาทีทีมละ ๒ คน แบ่งเป็นสองฝ่ายโต้กันในเรื่องใดเรื่องหนึ่งแล้วสลับข้าง ให้ฝ่ายนำเสนอเป็นฝ่าย โต้แย้งเมื่อจบแล้ว ให้ทั้ง ๔ คนร่วมกันหาข้อยุติกิจกรรมนี้ต้องมีการค้นคว้ามาก่อน ล่วงหน้าเมื่อจบแล้วให้เขียนรายงาน

ตัวอย่างของการเรียนแนวนี้ในบริบทไทย อ่านได้ที่นี่

 

ผู้เชี่ยวชาญ หรือทีมผู้เชี่ยวชาญ

แต่งตั้งนักศึกษา ๑, ๒, หรือ ๓ คนเป็นผู้เชี่ยวชาญหรือทีมผู้เชี่ยวชาญ เรื่องใดเรื่องหนึ่งในวิชาที่เรียนให้ไปค้นความรู้เรื่องนั้นมาล่วงหน้า และส่ง annotated bibliography ของทีมต่ออาจารย์แล้วมานำเสนอใน ชั้นเรียนโดยอาจารย์ทำหน้าที่ซัก ให้ได้ข้อมูลที่ทันสมัยยิ่งขึ้นและได้ความเชื่อมโยงกับประเด็นการเรียนรู้ ในวันนั้น

 

การอภิปรายกลุ่ม

นักศึกษา ๔ - ๕ คนผลัดกันนำเสนอข้อมูลและมุมมองของตนในเรื่องนั้นโดยสมมติให้แต่ละคน สวมบทบาทต่างกันเช่นเรื่องการจัดการลุ่มน้ำเพื่อป้องกันปัญหาน้ำท่วมลุ่มน้ำเจ้าพระยานักศึกษาแต่ละคน สวมบทหนึ่งบท เช่น ชาวนาเกษตรกรนากุ้งข้าราชการกรมชลประทานนายก อบต.และข้าราชการกรมอุตุ นิยมวิทยาแต่ละคนต้องค้นข้อมูลเกี่ยวกับน้ำท่วม นำมาประกอบการอภิปราย เพื่อบอกความทุกข์และ ความต้องการของตน

อาจให้ทั้งชั้นเป็นผู้อภิปราย โดย “เรียกประชุมลูกบ้านของ อบต.” เพื่อปรึกษาหารือปัญหาน้ำเสีย ในลำคลองของตำบลให้ลูกบ้านคนหนึ่งเริ่มอภิปรายแล้วเรียกลูกบ้านคนต่อไปให้อภิปรายต่อ

 

การแถลงข่าว

อาจารย์ หรือนักศึกษาคนหนึ่ง แสดงบทบาทสมมติเป็นผู้ค้นพบความรู้ใหม่หรือเป็นผู้นำเสนอทางออก ในเรื่องใดเรื่องหนึ่งที่มีมุมมองที่โต้แย้งกันในสังคมให้นักศึกษากลุ่มหนึ่งแสดงบทนักข่าวอีกกลุ่มหนึ่งแสดง บทชาวบ้านในพื้นที่อีกกลุ่มหนึ่งแสดงบทชาวบ้านในพื้นที่ห่างไกลฯลฯให้นักข่าวถามคำถามที่ล้วง ความจริงหรือเรียกหาหลักฐาน

 

การประชุมสัมมนา(symposium)

ให้นักศึกษาคนหนึ่งไปค้นคว้าเรื่องใดเรื่องหนึ่ง นำมาเสนอต่อชั้นเรียนเพื่อนๆ ในชั้นเรียนทำหน้าที่ ตั้งคำถาม หรือให้ความเห็นสนับสนุน หรือโต้แย้ง

อาจมอบหมายให้นักศึกษา ๒ คน ทำหน้าที่ผู้วิพากษ์โดยให้โอกาสอ่านเอกสารข้อเสนอล่วงหน้า ๒ วันหลังการนำเสนอและการวิพากษ์ผู้ฟังในชั้นถามและอภิปราย

 

การสวมบท

ให้นักศึกษาเล่นละคร ในเรื่องที่มีความขัดแย้งในท้องเรื่องมีบทละครคร่าวๆ ให้ตัวแสดงแต่ละคนและแต่ละคนมีบทที่เขียน รายละเอียดคำพูดชัดเจนให้ท่องส่วนหนึ่งแต่ละคนไม่รู้รายละเอียดของบทแสดง และคำพูดของตัวแสดงอื่นหลังการแสดง ให้มีการ debrifing / reflection / AAR เพื่อหาประเด็นเรียนรู้ จากการแสดงนั้น

ตัวอย่างของเรื่องขัดแย้ง ที่นำมาเล่นลครได้

  • คนในวงวิชาชีพ (แพทย์, ทนายความ, ผู้รับเหมาก่อสร้าง, ฯลฯ) กับลูกค้า ที่ไม่พอใจบริการ
  • ผู้บริหารกับสหภาพ
  • ตัวแทนลูกจ้างพยายามชักจูงผู้บริหารให้ไม่ปิดโรงงานที่ขาดทุน
  • ผู้จัดการฝ่ายบริหารงานบุคคล กับความยากลำบากในการตัดสินใจจ้างผู้หญิง ผู้ชาย สมาชิกของกลุ่มชนส่วนน้อย ชนส่วนใหญ่ ที่มีทักษะเด่นและด้อยแตกต่างกันให้เข้าสู่ตำแหน่งแตกต่างกัน
  • นักการเมือง ที่มีความลำบากใจว่าจะเลือกผลประโยชน์ของพรรคพวก หรือผลประโยชน์ของบ้านเมือง
  • คู่สามีภรรยา ที่มีข้อโต้แย้งเรื่องเงิน การเลี้ยงดูอบรมลูก ฯลฯ

มีกรณีศึกษามากมาย ที่นำมาเล่นละครได้

 

สถานการณ์จำลองและเกม

เป็นการเรียนที่ท้าทายเร้าใจที่สุดเพราะมีแพ้ชนะแต่ไม่ว่าจะแพ้หรือชนะในเกมแต่นักศึกษาชนะเสมอในการได้เรียนรู้

 

เกมวิชาการ

Academic game สามารถประยุกต์ใช้กับการเรียนได้ทุกสาขาผมไม่ยกตัวอย่างในหนังสือมาบอก เพราะคิดว่าเป็นบริบทอเมริกันอาจารย์ไทยน่าจะใช้ความคิดสร้างสรรค์คิดเกมวิชาการสำหรับนักศึกษาของตนเมื่อใช้เกมวิชาการช่วยการเรียนรู้ น่าจะทำวิจัยตรวจสอบผลลัพธ์การเรียนรู้ไปด้วย หากต้องการตัวอย่าง ประกอบการคิด ก็สามารถค้นใน กูเกิ้ล ด้วยคำว่า Academic game ได้

 

สถานการณ์จำลอง(simultation)

สถานการณ์จำลองเป็นกิจกรรมเสมือนจริงให้อารมณ์ความรู้สึกเสมือนจริงจึงเกิดการเรียนรู้มาก และเรียนหลากหลายด้าน ในมิติที่ลึกคล้ายเรียนจากของจริง

เมื่อกว่า ๒๐ ปีมาแล้ว ผมได้เรียนรู้ “ผู้ป่วยจำลอง” ที่โรงเรียนแพทย์ในต่างประเทศฝึกเอาไว้ให้นักศึกษา แพทย์เรียนโดยที่นักศึกษาไม่ทราบว่าคนเหล่านี้เป็นผู้ป่วยจำลองเขาจะมาโรงพยาบาล และอาจารย์มอบหมาย ให้นักศึกษาแพทย์ซักประวัติ ตรวจร่างกายแล้วให้การวินิจฉัยแยกโรคผู้ป่วยจำลองของโรคไส้ติ่งอักเสบ เฉียบพลันจะเล่า ประวัติและอาการป่วย และตอบคำถามของนักศึกษาแพทย์ได้ตรงกับอาการของโรครวมทั้ง แสดงท่าทางเจ็บปวดและเมื่อนักศึกษาตรวจหน้าท้อง และกดตรงจุดสำคัญก็จะแสดงอาการสดุ้งเพราะปวด ได้เหมือนผู้ป่วยจริง

สถานการณ์จำลองในวิชาอื่นทำได้หลากหลายรูปแบบ เช่น ตลาดจำลองบริษัทจำลองชุมชนเมืองจำลองชุมชนชนบทจำลองหน่วยราชการจำลองเป็นต้น

อาจใช้คอมพิวเตอร์ จัดสถานการณ์จำลองเสมือน (virtual simulation) ให้นักศึกษาได้ซักซ้อม ปฏิบัติการบางอย่างเช่น CAI (Computer Assisted Instruction)ห้องปฏิบัติการเสมือน ที่มีได้เป็นร้อยๆ เรื่อง

อาจแสวงหาบทเรียนสถานการณ์จำลองได้จาก ๓ แหล่ง คือ(๑) ซื้อมักซื้อได้จากสำนักพิมพ์ในราคาสองสามร้อยเหรียญ(๒) หาของฟรี จากวารสาร หรือจากการประชุมวิชาการด้านการเรียนการสอนและ (๓) ผลิตขึ้นใช้เอง ตามคำแนะนำในหนังสือ Hertel, J & Millis BJ. Using simulations to promote learning in higher education, 2002.

การดำเนินการสถานการณ์จำลองใช้เวลามากอย่างสั้นที่สุดก็ ๑ ชั่วโมงและอาจารย์ต้องให้คะแนน เพื่อให้นักศึกษาตั้งใจทำเกณฑ์ให้คะแนนต้องไม่เน้นที่วาทะศิลป์ แต่เน้นที่คุณภาพของกลยุทธของการ ดำเนินการของนักศึกษา

การเรียนโดยการปฏิบัติทุกแบบต้องตามด้วยการทำ debriefing / reflection / AAR / ใคร่ครวญไตร่ตรอง เพื่อเรียนรู้ทฤษฎีจากการปฏิบัติอาจารย์จึงต้องฝึกทักษะ “คุณอำนวย” ของกิจกรรม AAR

 

เรียนโดยให้บริการ

เรียนโดยให้บริการ (Service Learning) เป็นกิจกรรมการเรียนรู้โดยให้นักศึกษาจัดทีมไปทำงานให้บริการ ชุมชนโดยมีเป้าหมายเพื่อการเรียนรู้ของตนโดยอาจารย์เป็นผู้ออกแบบไว้ในใจแล้วตะล่อมให้ทีมนักศึกษา แต่ละทีม ออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ของตนให้ทั้งเกิดการเรียนรู้ที่ดี (ทั้งด้านวิชาการ และการบ่มเพาะ จิตอาสาตรงตามเป้าหมายผลลัพธ์การเรียนรู้)และเกิดประโยชน์อย่างแท้จริงต่อชุมชน

การเรียนโดยให้บริการนี้ ก่อผลลัพธ์การเรียนรู้ทั้งแก่นักศึกษาในหลากหลายด้าน และต่ออาจารย์ด้วยรวมทั้งจะมีส่วนสร้างความใกล้ชิด (engagement) ระหว่างมหาวิทยาลัยกับชุมชนด้วยหากจัดได้ดี จะก่อ การเรียนรู้เชิงอารมณ์ให้แก่ผู้เกี่ยวข้องเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาสังคมที่มีพลเมืองที่ไม่นิ่งดูดาย (concerned citizen)

การจัดการเรียนโดยให้บริการที่ดีต้องการเวลาเตรียมตัวของอาจารย์ และระบบการจัดการสนับสนุนโดยต้องคำนึงถึงประเด็นสำคัญต่อไปนี้(๑) เป้าหมายของผลลัพธ์การเรียนรู้ที่ต้องการและความต้องการ ที่แท้จริงของชุมชนต้องตรงกันระวังกิจกรรมที่ทำแบบเหลาะแหละพอเป็นพิธี(๒) ระมัดระวังประเด็น เชิงจริยธรรมกิจกรรมนั้นเป็นการฝืนใจนักศึกษาบางคนหรือเปล่าเพราะความเชื่อของเขาไม่ตรงกับคุณค่า ในโครงการ(๓) อาจารย์และทีมงานต้องไปเตรียมพื้นที่และติดต่อทำความเข้าใจกับแหล่งงาน หรือชุมชน เป็นอย่างดีรวมทั้งตกลงกันเรื่องผู้ทำหน้าที่ โค้ช ในชุมชนด้วยคือต้องเป็นความร่วมมือระหว่าง สถาบัน กับชุมชนและอาจต้องร่วมกันออกแบบประสบการณ์การเรียนรู้ในการทำกิจกรรมอย่าเพียงบอกว่าให้ไป ทำสิ่งนั้นสิ่งนี้ แล้วปล่อยให้นักศึกษาไปหาที่ฝึกเอาเอง(๔) มีการจัดระบบอำนวยความสะดวกแก่นักศึกษา เช่น การเดินทางระบบความปลอดภัยการประกันอุบัติเหตุ ฯลฯ

อย่าลืมทำ reflection ซึ่งอาจมีส่วน auto-reflection โดยการทำบันทึกประจำวัน หรือประจำครั้ง ที่นักศึกษาออกไปทำกิจกรรมสะท้อนความรู้สึกและการเรียนรู้ของตนจะยิ่งดี หากเขียนลง บล็อก ในระบบของรายวิชา เปิดโอกาสให้เพื่อนร่วมวิชาได้อ่านและร่วมสุนทรียสนทนาผ่านระบบไอซีที จะเกิดการเรียนรู้ที่ลึกและเกิดการเรียนรู้ที่กระตุ้นอารมณ์ความรู้สึกยิ่งขึ้น

หนังสือแนะนำแหล่งความรู้ Michigan Journal of Community Service-Learning และ Journal of Public Service and Outreach และผมยังพบ Journal of Higher Education Outreach and Engagement อีกด้วยน่าจะมีแหล่งค้นคว้าเรื่องการจัดการเรียนรู้โดยให้บริการชุมชนอีกมากมาย

ผมมีข้อเตือนใจว่า ในบริบทไทย การจัดการเรียนรู้แบบนี้เสี่ยงต่อการดำเนินการเล่นๆเหลาะแหละสักแต่ว่าให้ได้ทำไม่ได้เรียนรู้จริงตามเป้าหมายผลลัพธ์การเรียนรู้และมีผลร้าย คือสร้างนิสัยเหลาะแหละ ให้แก่นักศึกษา

วิจารณ์ พานิช

๑๙ ส.ค. ๕๗

 

บันทึกนี้เขียนที่ GotoKnow โดย 

แก้ไขล่าสุด ใน วันศุกร์ที่ 07 พฤศจิกายน 2014 เวลา 16:06 น.  
Home > Articles > การศึกษา > สอนอย่างมือชั้นครู: ๑๖. กิจกรรมเรียนโดยการปฏิบัติ

About Us

ศูนย์บูรณาการพัฒนามนุษย์ (ศบม.) เป็นองค์กรที่พัฒนาและจัดทำโครงการเพื่อทำประโยชน์ให้สังคม เป็นองค์กรสนับสนุนการดำเนินงานของภาครัฐ ช่วยแก้ปัญหาผู้ประกอบการภาคธุรกิจบริการที่ขาดแคลนบุคลากรที่มีมาตรฐานในการให้บริการ
อ่านเพิ่มเติม

มูลนิธิศูนย์บูรณาการพัฒนามนุษย์ ์

 iHDC Profile
บัญชีรายชื่อกรรมการ
ใบสำคัญแสดงการจดทะเบียน การเปลี่ยนแปลงกรรมการของมูลนิธิ
เอกสารประชาสัมพันธ์ โครงการ HMTC.pdf
เอกสารแนะนำโครงการ HMTC 1.pdf
เอกสารโครงการ HMTC 2 คุณสมบัติผู้เข้าร่วมโครงการ.pdf
iHDC นิติบุคคล.pdf
iHDC บุคคล.pdf
iHDC บุคคลเครือข่าย.pdf
รายงานการประชุม 6 มีนาคม 2560.pdf
ข้อบังคับมูลนิธิ
ใบสำคัญแสดงการจดทะเบียนจัดตั้งมูลนิธิ
Ihdc-Profile and Roadmap 2016-2019 Mar 23 2560.pdf
รายงานการประชุมใหญ่คณะกรรมการมูลนิธิศูนย์บูรณาการพัฒนามนุษย์ 2559.pdf
คำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการ สาขาวิชาชีพ.pdf
รายงานการประชุมใหญ่วันที่ 18 ธ ค 2558 v 3.pdf
รายงานการประชุม วันที่ 24 ธันวาคม 2557 updated 4 มีนาคม 2558.pdf
iHDC-invitation Letter.doc
iHDC-Member Form Thai.doc
iHDC-Member Form English.doc
รายงานการประชุมกรรมการมูลนิธิศูนย์บูรณาการพัฒนามนุษย์ วันที่ 15 มกราคม 2556 ฉบับสมบูรณ์


thaibetter
พัฒนาประเทศไทยแบบทวีคูณ และยั่งยืน ( ททค )

Login


แบบสำรวจ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

สถิติเว็บไซด์

สมาชิก : 5605
Content : 3047
เว็บลิงก์ : 26
จำนวนครั้งเปิดดูบทความ : 8594455

facebook

Twitter


บทความเก่า