ผู้สำเร็จการศึกษาที่สภามหาวิทยาลัยมหิดลอนุมัติปริญญาหรือประกาศนียบัตร ประจำปีการศึกษา ๒๕๕๒ มีทั้งสิ้น ๗,๔๐๔ คน เป็นของสถาบันสมทบ ๑,๘๖๐ คน ของมหาวิทยาลัยมหิดลโดยตรง ๕,๕๔๔ คน
ท่านเหล่านี้มารับพระราชทานปริญญาบัตรในวันที่ ๕ ก.ค. ๕๓ ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระเทพรัตน์ฯ เสด็จพระราชดำเนินแทน โดยปีนี้จัดที่หอประชุมกองทัพเรือเหมือน ๒ ปีที่แล้ว และเป็นช่วงที่พยากรณ์อากาศในกรุงเทพจะมีฝนตกฟ้าคะนอง แต่ในบริเวณพิธีฝนไม่ตก
ในวันนี้มีบัณฑิตมารับพระราชทานปริญญาบัตร ๕,๓๙๔ คน และผู้ได้รับปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ ๖ คน แถมด้วยพระราชทานโล่และเกียรติบัตรแก่ผู้ได้รับรางวัลมหาวิทยาลัยมหิดล ๕ คน และศาตราจารย์เกียรติคุณ ๖ คน
ทั้งหมดนั้น ใช้เวลาช่วงเช้า ๒ ชั่วโมง และช่วงบ่าย ๒ ชั่วโมง เป็นพิธีที่งดงามและศักดิ์สิทธิ์มาก คณะกรรมการจัดงานทำงานกันอย่างเข้มแข็ง ผมมองแววตาของท่านเหล่านี้แล้วก็เข้าใจได้ว่าทำไมงานจึงดีถึงขนาดนี้ ทุกคนที่เกี่ยวข้องทำงานด้วยใจ ทำงานเพื่อให้บัณฑิตได้มีความสุขความภูมิใจในความสำเร็จด้านการศึกษาเบื้องต้นของตน เพื่อออกไปทำประโยชน์ให้แก่สังคม เราต้องการให้บัณฑิตมหิดลได้ซาบซึ้งกับวันนี้ สำหรับไว้เตือนใจ ว่าได้กล่าวคำปฏิญญาณไว้ว่า
“จะประกอบอาชีพโดยใช้ศิลปวิทยาซึ่งได้รับประสิทธิ์ประสาทจากมหาวิทยาลัยมหิดลนี้ โดยยึดมั่นในความจงรักภักดี ต่อ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ให้ความเคารพสักการะ แด่ครูบาอาจารย์ จะใช้ศิลปวิทยาการแต่ในทางที่เป็นคุณประโยชน์ ไม่เกลือกกลั้วในโทษ อกุศลกรรมชั่วร้าย จะแผ่ขยายเกียรติคุณแห่งหมู่คณะ และวิชาชีพให้ไพศาล จะสมานสามัคคี พลีประโยชน์ตนเพื่อส่วนรวม จะยึดมั่นในคำปฏิญญาณนี้ไว้ยิ่งกว่าชีวิต”
ผมคิดว่าคำปฏิญญาณนี้ศักดิ์สิทธิ์ เพราะเป็นการปฏิญญาณต่อหน้าพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ สมเด็จพระเทพรัตน์ฯ และชุมนุมของผู้ทรงคุณงามความดีจำนวนมาก ผู้ที่รักษาคำปฏิญญาณนี้ไว้อย่างมีสติ จะได้รับความเจริญรุ่งเรืองในชีวิต ประสบการณ์ชีวิตของผมสอนว่าอย่างนั้น
เป็นครั้งแรกที่ผมได้ร่วมโต๊ะเสวยอย่างใกล้ชิด ในตอนเที่ยง คือมีเพียง ๓ คนที่ร่วมโต๊ะเสวย คือ ศ. นพ. สุพัฒน์ วาณิชย์การ (ผู้ใกล้ชิดกับในวัง) ศ. นพ. ปิยะสกล สกลสัตยาทร อธิการบดี และผม คนอื่นๆ นั่งโต๊ะใกล้ๆ อาหารมากเสียจนผมง่วงในตอนบ่าย หลับไปหลายงีบ เป็นอาหารฝรั่งผสมไทย ได้แก่ สลัด ซุป สเต๊กเนื้อ ขนมปัง ก๋วยเตี๋ยวราดหน้า และข้าวหน้าเป็ด ตามด้วยผลไม้และกาแฟ ผมกินไม่ถึงครึ่งของที่เขาเสิร์ฟ
สมเด็จพระเทพรัตน์ฯ ทรงรับสั่งเรื่องต่างๆ มากมายในช่วงเวลาประมาณ ๑ ชั่วโมง ที่สะท้อนให้เห็นความเอาพระทัยใส่ต่อการพัฒนาการศึกษา และการพัฒนาคนของประเทศ การเสด็จต่างประเทศของพระองค์มีเป้าหมายหลักเพื่อหาช่องทางความร่วมมือในการส่งนักศึกษาไทยไปเรียนในที่ๆ เขารับยาก เช่นที่มหาวิทยาลัยปักกิ่ง มหาวิทยาลัยชั้นดี (ผมฟังไม่ชัดจึงไม่ได้ชื่อ) ที่เยอรมัน
ทรงเริ่มด้วยเรื่องโรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์ ทำให้ผมได้ทราบพัฒนาการตั้งแต่ต้น ว่าที่ รร. นี้เป็นอย่างในปัจจุบันก็ด้วยพระกรุณาของพระองค์ และหนังสือที่ถูกเผาเรียบนั้น ส่วนหนึ่งเป็นหนังสือเรียนของประเทศต่างๆ ที่ดีๆ เวลาเสด็จประเทศต่างๆ ก็ทรงเสาะหามาพระราชทานไว้ในห้องสมุดของโรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์นี้ ทรงรับสั่งว่า ต้องหามาให้ใหม่
ผมกลับมาไตร่ตรองที่บ้านว่า เจ้าฟ้าพระองค์นี้ไม่ทรงมีครอบครัว แต่ทรงมี “ลูก” อยู่ทั่วประเทศ เป็นลูกจากความรักความเอาพระทัยใส่ของพระองค์ท่าน จึงทรงได้รับความรักความเทอดทูนจากผู้คนทั่วประเทศ
ทรงย้ำถึงคุณค่าที่แท้จริงของวิชาคณิตศาสตร์ ที่ครูไทยสอนไปไม่ถึงระดับคุณค่านี้ คือเป็น “ภาษา” อย่างหนึ่งของมนุษย์ เป็นภาษาที่ abstract หรือเป็นเครื่องมือสื่อสารความคิดที่ abstract มาก เป็นความท้าทายอย่างยิ่งของวงการคณิตศาสตร์ไทย ที่จะหาทางปฏิวัติการเรียนการสอนคณิตศาสตร์ไทยให้ไปถึงระดับ abstraction ให้ได้ วิธีที่ง่ายคือศึกษาจากประเทศอินเดีย นี่ผมคิดเอง
อีกเรื่องหนึ่งที่ทรงย้ำคือเรื่องการเรียนประวิติศาสตร์ของชาติ ทรงเล่าว่านักศึกษาไทยที่ทรงให้ทุนไปเรียนปริญญาเอกที่ปักกิ่ง นักศึกษาปริญญาเอกต้องเรียนประวัติศาสตร์จีนด้วย เป็นการเรียนเพื่อให้เข้าใจที่มาที่ไปหรือรากเหง้าของสังคม เป็นเครื่องมือสร้างเอกภาพของสังคมอย่างหนึ่ง
ก่อนเริ่มพิธี ระหว่างรอมีวงดนตรี และนักร้อง ของวิทยาลัยดุริยางคศิลป์ มาบรรเลงและร้องเพลงที่เป็นมงคลต่อบัณฑิต เช่นเพลงความฝันอันสูงสุด เป็นที่ประทับใจแก่ทุกคน ทำให้การรอไม่น่าเบื่อ แต่ผมมองว่า นี่คือส่วนหนึ่งของพิธี เพื่อกระตุ้นสมองซีกขวาของบัณฑิต ให้ออกไปทำคุณประโยชน์แก่สังคมทั้งด้วยสมองซีกซ้ายและสมองซีกขวา และเป็นการสร้างชื่อเสียงด้านมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ของมหาวิทยาลัยมหิดลด้วย
วิจารณ์ พานิช
๖ ก.ค. ๕๓
คัดลอกจาก http://www.gotoknow.org/posts/377345
บรรยากาศระหว่างพิธี ถ่ายจากบนเวทีด้านข้างตรงที่ผมนั่งอยู่
ถ่ายด้วย Blackberry
บรรยากาศในห้องประชุม ระหว่างพระราชทานพระบรมราโชวาท
รับพระราชทานเกียรติบัตรศาสตราจารย์เกียรติคุณ
ในภาพ ศ. นพ. สมหวัง ด่านชัยวิจิตร กำลังรับ