Thaiihdc.org

  • เพิ่มขนาดตัวอักษร
  • ขนาดตัวอักษรปกติ
  • สดขนาดตัวอักษร
Thaiihdc.org

การหลอมรวมระหว่างการเรียนวิชากับการเรียนรู้จากกิจกรรมนักศึกษา

พิมพ์ PDF

บันทึก ๒๐ ตอนนี้ ได้จากการตีความหนังสือ  The Heart of Higher Education : A Call to Renewalเขียนโดยผู้มีชื่อเสียง ๒ ท่านคือ Parker J. Palmer และ Arthur Zajonc ซึ่งเมื่อผมอ่านคร่าวๆ แล้ว ก็บอกตัวเองว่า  นี่คือข้อเสนอสู่การเรียนรู้เพื่อเป็นคนเต็มคน ที่มี “พลังสาม” เข้มแข็ง คือ สมอง ใจ และวิญญาณ (head, heart, spirit)  หรือพูดด้วยคำที่ฮิตในปัจจุบันคือ การเรียนรู้เพื่อการเปลี่ยนแปลงจากภายในตน (Transformative Learning)

แม้ว่าหนังสือเล่มนี้จะเน้นเสนอการเปลี่ยนแปลงในระดับอุดมศึกษา  แต่ผมมีความเชื่อว่าต้องใช้กับการศึกษาทุกระดับ  รวมทั้งการศึกษาตลอดชีวิต  และตัวผมเองก็ต้องการนำมาใช้ฝึกปฏิบัติเองด้วย

ผมตั้งเป้าหมายในการอ่านและตีความหนังสือเล่มนี้  ออกบันทึกลง บล็อก ชุด เรียนรู้บูรณาการพลังสาม ว่า ต้องการเจาะหาแนวทางทำให้จิตตปัญญาศึกษา เข้าสู่การศึกษากระแสหลัก  เพื่อให้คนไทยมีทักษะจิตตภาวนาบูรณาการอยู่ในทักษะแห่งศตวรรษที่ ๒๑  เป็นส่วนหนึ่งของทักษะชีวิต

การเรียนรู้บูรณาการ (สมอง ใจ และวิญญาณ) พัฒนา ๓ ด้านไปพร้อมๆ กัน  และส่งเสริมเกื้อกูลซึ่งกันและกัน  ในภาษาอังกฤษเรียกว่า Integrative Learning  ในบางที่เรียกว่า Transformative Learning ซึ่งแปลเป็นไทยได้ ๒ แบบ ว่า (๑) การเรียนรู้เพื่อการเปลี่ยนแปลงระดับรากฐาน  คือเปลี่ยนจากติดสัญชาตญาณสัตว์ เป็นมีจิตใจสูง ซึ่งมนุษย์ทุกคนบรรลุได้   บรรลุได้ในฐานะบุคคลทางโลก ไม่ต้องเข้าวัด หรือไม่ต้องบวช  (๒) เป็นการเรียนรู้เพื่อการเปลี่ยนแปลง หรืองอกงาม ภายในตน  ตรงกันข้ามกับการเรียนรู้แบบรับถ่ายทอดความรู้มาจากภายนอก

ผมได้ตีความเขียนบันทึกจากบทหลักในหนังสือจบแล้ว  แต่ยังมีส่วนเพิ่มเติม เพื่อบอกวิธีปฏิบัติอีกหลายตอน  ที่ผมคิดว่ามีประโยชน์ต่ออาจารย์ที่ต้องการจัดการเรียนรู้แบบ Integrative/Transformative Learning อย่างจริงจัง

บันทึกตอนที่ ๑๖ นี้ ตีความจากส่วนหนึ่งของ Appendix B : Beyond the Classroom  เรื่อง Philadelphia University : Where Physical Education Makes a Play for Civic Education เขียนโดย Tom Schrand, Interim Dean, School of Liberal Arts, and Aurelio Valenta, Assistant Dean, Student Development, Philadelphia  University  เล่าเรื่องการจัดการเรียนรู้ด้านพลศึกษาเพื่อการเรียนรู้บูรณาการ นำไปสู่การจัดการเรียนรู้พลเมืองศึกษา หรือการเรียนรู้เพื่อพัฒนาสำนึกพลเมือง  ในมหาวิทยาลัยฟิลาเดลเฟีย

มหาวิทยาลัยฟิลาเดลเฟีย ต้องการเคลื่อนจัดการเรียนรู้บูรณาการ ไปครอบคลุมการพัฒนาสำนึกพลเมืองของ นศ.  และเพื่อสร้างความใกล้ชิดกับชุมชนโดยรอบมหาวิทยาลัยให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น  หลังจากทำโครงการ ๓ ปี ที่ได้รับทุนจาก  Carnegie Foundation for the Advancement of Teaching และจาก AAC&U (Association of American Colleges and Universities) ชื่อ Integrative Learning Project จบ  มหาวิทยาลัยก็ดำเนินการ ขับเคลื่อนหลักสูตรที่เรียนในห้องเรียน ออกสู่ชุมชน  โดยจัดให้มีความร่วมมือกันระหว่างฝ่ายวิชาการ กับฝ่ายกิจการนักศึกษา

ขั้นตอนแรกคือพาอาจารย์ และเจ้าหน้าที่หน่วยพัฒนา นศ. ไปฝึก civic engagement & service learning ที่ AAC&U Greater Expectation Institute โดยดึงผู้บริหารหลายฝ่าย รวมทั้งรองคณบดีฝ่ายกิจการ นศ.  และบริษัทเอกชนที่จะช่วยงานในชุมชนได้ ในระหว่างการฝึก ได้มีการพูดคุยกันระหว่างเจ้าหน้าที่พัฒนา นศ.  รองคณบดีฝ่ายกิจการ นศ.  และ ผอ. การกีฬา ว่าน่าจะเพิ่มการฝึกกิจกรรมชุมชน (civic engagement) เข้ากับวิชาพลศึกษาอย่างเป็นทางการ   ซึ่งในที่สุดก็เกิดรายวิชา SERVE-101 ที่มีเป้าหมายให้ นศ. ได้เข้าใจความเกื้อกูลช่วยเหลือซึ่งกันและกันระหว่างสมาชิกของสังคมกับสังคมส่วนรวม  โดยให้ นศ. ได้ลงมือทำ และได้ทบทวนไตร่ตรองในภายหลังอย่างจริงจัง

ในรายวิชานี้ นศ. ได้มีโอกาสเลือกทำงานตามที่ตนสนใจและรัก ในประเด็นตัวอย่าง เช่น (๑) การขับเคลื่อนสังคมด้านสิทธิมนุษยชน  (๒) เด็กและเยาวชน  (๓) การพัฒนาชุมชน  (๔) การศึกษา  (๕) ความหิวโหยและการไร้บ้าน  (๖) เป็นต้น

ในการปฏิบัติงานนี้ นศ. จะได้ทำความเข้าใจผลกระทบและความหมายของกิจกรรมเพื่อสังคม เพื่อแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำในสังคม  กระบวนการเรียนรู้จากการปฏิบัติ ร่วมกับการใคร่ครวญไตร่ตรองหลังการปฏิบัติ  จะช่วยให้ นศ. เรียนรู้จากภายในตน เปลี่ยนแปลงสภาพของตนเองจาก “อาสาสมัคร” (บุคคลที่มีเจตนาดี แต่ไม่เข้าใจความซับซ้อนของปัญหาสังคม)  ไปสู่ “พลเมืองที่รับผิดชอบต่อประเด็นเชิงจริยธรรมในสังคม”   คือเป็นพลเมืองที่เข้าไปร่วมแก้ปัญหาสังคม

เมื่อนำเสนอร่างหลักสูตรผ่านกระบวนการอนุมัติของมหาวิทยาลัย  ก็ได้รับคำแนะนำให้จัดรายวิชานี้แบบ 3+1  คือให้ นศ. เลือกเรียนวิชานี้ต่อเนื่องได้ทั้งหมด ๔ ครั้ง   เพื่อให้ นศ. ที่สนใจจริงจัง มีโอกาสทำกิจกรรมต่อเนื่อง  เพื่อการเรียนรู้บูรณาการ สู่ความเป็นพลเมือง

 

 

วิจารณ์ พานิช

๑๐ ก.พ. ๕๖

คัดลอกจาก http://www.gotoknow.org/posts/544172

 

ความเห็นของผมเกี่ยวกับภาพรวมของระบบการศึกษาไทย

พิมพ์ PDF

ในการประชุมวิชาการระหว่างประเทศ เรื่อง “การศึกษาเพื่ออนาคตของประเทศไทย” จัดโดยสำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา  เมื่อบ่ายวันที่ ๒๓ มิ.ย. ๕๖  ในห้องย่อยเรื่องเสวนา UNESCO และ OECD : นโยบายการศึกษาไทย เรื่องภาพรวมระบบการศึกษาไทย (Overall Assessment of Education Systems)  ทางสำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา นำเสนอโครงสร้างของการศึกษาไทย รวมทั้งสถิติทางการศึกษา  แล้วนักการศึกษาของ UNESCO และ OECD ชี้จุดแข็งของระบบการศึกษาไทย  และตั้งคำถามให้ผู้เข้าร่วมประชุมให้ข้อมูลหรือให้ความเห็น

มีคนให้ความเห็นหลากหลายเรื่อง  ผมได้ให้ความเห็นในประเด็นสำคัญ ๔เรื่อง คือ  (๑) inequity ที่พบบ่อยที่สุดในระบบการศึกษาไทย  (๒) ระบบการศึกษาไทยไม่เป็น Learning Systems  (๓) ผลของการกระจายอำนาจต่อห้องเรียน  (๔) ระบบการศึกษาไทยเป็นระบบแห่งศตวรรษที่ ๒๐  คือเป็นระบบเพื่อการถ่ายทอดความรู้  ไม่ใช่เพื่อ active learning ให้เด็กได้ทักษะในการประยุกต์ใช้ความรู้

จากข้อมูลผลการทดสอบ PISA ที่มีการนำเสนอตอนเช้า ว่าความแตกต่างในผลการทดสอบระหว่างโรงเรียน น้อยกว่าความแตกต่างของผลการทดสอบในนักเรียนห้องเรียนเดียวกัน  แสดงว่าผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษา ของนักเรียนห้องเดียวกันต่างกันมาก  สะท้อน inequity ระดับสูงในห้องเรียน  ผมขออธิบายว่า เป็นเพราะครูไทยเอาใจใส่เด็กเรียนเก่งหรือหัวไว ทอดทิ้งเด็กหัวช้า  จึงเกิด inequity ระหว่างเด็กหัวไวกับเด็กหัวช้า

ผมจึงให้ความเห็นว่า ในระบบการศึกษาไทย inequity สูงที่สุดอยู่ในห้องเรียนนั่นเอง  เป็น inequity ของการที่จะบรรลุผลการเรียนแบบ mastery learning  ที่มีสาเหตุจากการที่ครู (และวงการศึกษาไทยทั้งหมด) เอาใจใส่เด็กหัวไว ทอดทิ้งเด็กหัวช้า

ผมให้ความเห็นว่า ระบบการศึกษาไทยไม่เป็น Learning Systems เห็นได้จาก ระบบไม่มีความสามารถ ในการปรับตัวให้ดีขึ้น  ไม่มีกลไกสร้างข้อมูลหลักฐาน เพื่อการปรับตัว  ซึ่งก็คือกลไกวิจัยระบบการศึกษา ไม่มี ESRI (Education Systems Research Institute) แบบที่ทางระบบสุขภาพมี HSRI (Health Systems Research Institute)  มีการเสนอและผลักดันให้ตั้งสถาบันวิจัยระบบการศึกษา เป็นระยะๆ ในช่วง ๒๐ ปีที่ผ่านมา  แต่ไม่เป็นผลสำเร็จ

ในประเด็นนี้ นักวิจัยจาก OECD บอกว่า ทางแคนาดา ก็บอกว่า งบประมาณวิจัยระบบสุขภาพของเขา คิดเป็น ๑๕ เท่าของงบวิจัยทางระบบการศึกษา

ในประเด็นการกระจายอำนาจทางการศึกษา ผมเสนอให้ทีมวิจัยตรวจสอบสิ่งที่อยู่ในกระดาษ กับสิ่งที่ปฏิบัติจริง  ซึ่งผมคิดว่าไม่ตรงกัน  ผมมีความเห็นว่า มองจากมุมที่ห้องเรียน การเรียนรู้ในห้องเรียนไม่ได้รับการกระจายอำนาจ หรือให้อิสระเพิ่มขึ้นเลย  การสั่งการจากส่วนกลางยังมาก หรืออาจยิ่งมากขึ้น เพราะเพิ่มการสั่งการจากเขตพื้นที่เข้ามาอีก  ครูต้องทำเอกสารส่งส่วนกลางมากเกินไป  จนมีเวลาเอาใจใส่ศิษย์น้อย

ผมมีความเห็นว่า การกระจายอำนาจต้องประเมินที่ห้องเรียน  หากมีการกระจายอำนาจจริง ครูต้องได้รับอิสระจากงานที่ไม่จำเป็น เพื่อเอาใจใส่ศิษย์เพิ่มขึ้น

ประเด็นที่สี่ เกี่ยวกับระบบการศึกษาไทยในภาพรวม คือมันยังเป็นระบบการศึกษาแห่งศตวรรษที่ ๒๐  ที่เน้นสอนวิชา เน้นให้นักเรียนเรียนและรู้เหมือนๆ กัน  ไม่เป็นระบบที่ฝึกความแตกต่างให้แก่เด็ก  ตรงนี้ต้องทำความเข้าใจให้ดี ว่ามันเป็นของศตวรรษที่ ๒๐ ทั้งการผลิตครู  การพัฒนาครู  การให้คุณให้โทษครู  บทบาทของผู้บริหาร ฯลฯ  พูดง่ายๆ ว่าล้าหลังทั้งระบบ

ที่จริงผมมีประเด็นจะให้ความเห็นอีกมาก แต่เกรงใจผู้เข้าร่วมประชุมคนอื่นๆ  เพราะเขาก็อยากออกความเห็นเหมือนกัน  จึงนำความเห็นที่ยังไม่ได้พูดมาลงบันทึกไว้

ประเด็นที่ห้า วงการศึกษาไทยหลงเน้น teach to test  สอนเพื่อสอบ  เมื่อตอนเช้าก็ยังมีวิทยากรตั้งเป้ายกระดับผลการทดสอบ PISA เป็นอันดับที่ ๒๐  เป็นตัวอย่างของกระบวนทัศน์ที่ผิด คือเน้นสอนเพื่อสอบ  นำไปสู่การเรียนรู้ที่ให้น้ำหนักพัฒาการของเด็กเพียงด้านเดียว คือ intellectual development ในขณะที่การศึกษาที่ดี เด็กต้องพัฒนาครบทุกด้าน ทั้ง ๕ ด้าน คือ emotional, social, physical และ spiritual

ประเด็นที่หก  การไม่ร่วมมือ ไม่ประสานงานกันระหว่างหน่วยงานใหญ่ ๕ หน่วยภายใต้กระทรวงศึกษาธิการ  การประชุมในวันนี้มันฟ้อง  ไม่มี ซีอีโอ ในอีก ๔ หน่วยงานมาร่วมงานเลย

ประเด็นที่เจ็ด ยังไม่มีคนย้ำเรื่องการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากร ที่จะมีผลต่อระบบการศึกษาอย่างมาก  และจริงๆ แล้ว เราได้เห็นผลอยู่ตำตา ที่การมีโรงเรียนขนาดเล็กถึง ๑๔,๐๐๐ โรงเรียน

ประเด็นที่แปด เวลานี้ในประเทศไทย โรงเรียนราษฎร์มีคุณภาพดีกว่าโรงเรียนของรัฐบาล  เพราะโรงเรียนราษฎร์เขามีอิสระที่จะเปลี่ยนแปลง  กลายเป็นโรงเรียนกระแสทางเลือก และเป็นตัวอย่างแก่ครูในโรงเรียนของรัฐที่ต้องการพัฒนาวิธีการจัดการเรียนการสอนของตน

 

วิจารณ์ พานิช

๒๓ มิ.ย. ๕๖

คัดลอก http://www.gotoknow.org/posts/544073

 

ชื่นชมผลงานวิจัยด้านการท่องเที่ยว

พิมพ์ PDF

วันที่ 30 กรกฎาคม 2556 ผมมีโอกาสเข้ารับฟังผลงานวิจัยชุดโครงการด้านการท่องเที่ยวของ สกว มีทีมงานวิจัยทีมหนึ่งซึ่งผลประทับใจงานวิจัยนี้มาก ผลงานที่ออกมาเกินความคาดหมายของทีมนักวิจัยเอง และเป็นประโยชน์ต่ออุตสาหกรรมท่องเที่ยวเป็นอย่างมาก จึงขอนำ e-mail ที่หนึ่งในนักวิจัยส่งถึงผม และได้แจ้งเวปไซดืที่สามารถเข้าไปดูรายละเอียดและผลงานของนักวิจัยคณะนี้ โดยเฉพาะอยากให้เปิด วีดีโอ เพื่อชมผลงานครับ

Normal 0 false false false EN-US X-NONE TH MicrosoftInternetExplorer4

/* Style Definitions */ table.MsoNormalTable {mso-style-name:"Table Normal"; mso-tstyle-rowband-size:0; mso-tstyle-colband-size:0; mso-style-noshow:yes; mso-style-priority:99; mso-style-qformat:yes; mso-style-parent:""; mso-padding-alt:0cm 5.4pt 0cm 5.4pt; mso-para-margin:0cm; mso-para-margin-bottom:.0001pt; mso-pagination:widow-orphan; font-size:11.0pt; mso-bidi-font-size:14.0pt; font-family:"Calibri","sans-serif"; mso-ascii-font-family:Calibri; mso-ascii-theme-font:minor-latin; mso-fareast-font-family:"Times New Roman"; mso-fareast-theme-font:minor-fareast; mso-hansi-font-family:Calibri; mso-hansi-theme-font:minor-latin; mso-bidi-font-family:"Cordia New"; mso-bidi-theme-font:minor-bidi;}

เรียน ม.ล.ชาญโชติ / ม.ล.หทัยชนก

 

ทางทีมวิจัยขอขอบพระคุณที่ให้ความสนใจใน "กระบวนการ" ที่ได้ศึกษา และพัฒนาเป็นแนวความคิดในการทำวิจัยด้านการท่องเที่ยว ผ่านมิติด้านอาหาร ทั้งนี้ผมได้แนบไฟล์นำเสนอแนวคิดทีใช้ในงาน TRF Forum ที่ผ่านมาเมื่อวันที่ 30 ก.ค. 56 ที่ผ่านมาเพื่อเป็นข้อมูลในเบื้องต้นครับ ทั้งนี้สามารถเข้าไปดูรายละเอียดได้ที่ Website: http://www.routes2root.com และรบกวนท่านในการประชาสัมพันธ์การแบ่งปันข้อมูลสถานที่ท่องเที่ยวที่มีแนวคิดแบบ Routes to the Root ให้กับเครือข่ายด้วยนะครับ จะได้ช่วยกันสานต่อการท่องเที่ยวภายใต้แนวคิดนี้ต่อไป

 

ขอแสดงความนับถือ

 

__/\__

 

คงวุฒิ นิรันตสุข (หมู)

FTSU

 

T: 034-252409

F: 034-252409

M: 091-004-4847

E: อีเมลนี้จะถูกป้องกันจากสแปมบอท แต่คุณต้องเปิดการใช้งานจาวาสคริปก่อน , อีเมลนี้จะถูกป้องกันจากสแปมบอท แต่คุณต้องเปิดการใช้งานจาวาสคริปก่อน

W: http://www.pppysu.net

C: จิตเป็นนาย กายเป็นเรือ สติเป็นหางเสือ ปัญญาเป็นคนพาย

 

ทักษะจุลภาคเพื่อสร้างความรู้

พิมพ์ PDF

KM (แนวปฏิบัติ) วันละคำ  : 601.  ทักษะจุลภาคเพื่อสร้างความรู้

หนังสือ The Inquiring Organization : Tacit Knowledge, Conversation, and Knowledge Creation Skills For 21st Century Organization ซึ่งตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 2004   บทที่ ๖ เรื่อง Microskills for Knowledge Creation

ทักษะจุลภาคเหล่านี้ ช่วยให้เกิดบริบทหรือสภาพแวดล้อมภายในหน่วยงาน  ที่เอื้อต่อการสร้างความรู้ขึ้นใช้งาน   คือมี ความเอื้ออาทร (care),  ความเคารพซึ่งกันและกัน (respect), และความไว้เนื้อเชื่อใจกัน (trust)  บรรยากาศเช่นนี้ ช่วยให้ความรู้ฝังลึก (tacit knowledge)  โดยเฉพาะอย่างยิ่งความรู้ฝังลึกที่ซับซ้อนมากๆ อย่าง ปัญญาญาณ (intuition)  โผล่ออกมาทำงาน เกือบจะอย่างอัตโนมัติ

ทักษะจุลภาคที่แสดงความเอาใจใส่ ต่อการสื่อสารหรือปฏิสัมพันธ์ในขณะนั้น จะกระตุ้นการสร้างความรู้  โดยทักษะนี้แบ่งออกเป็น ๒ กลุ่ม คือวัจนะภาษา (verbal language)  กับอวัจนะภาษา  (non-varbal language)

ผลการวิจัยบอกว่า ร้อยละ ๖๕ - ๙๐ ของการสื่อสารแบบพบหน้า เป็นการสื่อสารแบบ อวัจนะ (non-verbal)  คือเป็นภาษาท่าทาง ไม่ใช่คำพูด

ทักษะจุลภาคที่สำคัญคือ ทักษะภาษา (ทั้งวัจนะ และอวัจนะ) ที่สร้าง care, respect & trust

ทักษะจุลภาคแบบอวัจนะ ได้แก่ การสบตา (eye contact), ภาษากาย (body language), น้ำเสียง (vocal style), การเปล่งเสียงแสดงความพอใจ หรือสนใจ (verbal following) เช่น อือ  ใช่เลย

ทักษะอนุภาคแบบวัจนะ ได้แก่ คำถาม ทั้งชนิดปลายเปิด และชนิดปลายปิด (open and closed question), การกล่าวทวน หรือกล่าวซ้ำในถ้อยคำใหม่ (paraphrasing), การสะท้อนความรู้สึก (reflection of feeling), การสะท้อนความหมาย (reflection of meaning), และ การกล่าวสรุป (summarization)

ทักษะจุลภาคเหล่านี้ ช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่ดี (care, respect, trust)  ระหว่างสมาชิกในหน่วยงาน  ความรู้ฝังลึกนอกจากอยู่ในตัวคนแล้ว ยังอยู่ในความสัมพันธ์ และงอกงามขึ้นจากความสัมพันธ์ระหว่างคน

พฤติกรรมตามทักษะเหล่านี้ จะช่วยให้ หน่วยงาน/องค์กร มีความรู้ฝังลึกที่ทรงพลัง (ที่คู่แข่งไม่มี)  ออกมาใช้งาน  ช่วยให้สามารถสร้างนวัตกรรมในการทำงาน หรือในการสร้างสรรค์ “สินค้า” ใหม่ๆ  สร้าง competitive advantage แก่องค์กร

วิจารณ์ พานิช

๒๕ ก.ค. ๕๖

คัดลอก http://www.gotoknow.org/posts/544051

แก้ไขล่าสุด ใน วันพฤหัสบดีที่ 01 สิงหาคม 2013 เวลา 21:50 น.
 

ชีวิตที่พอเพียง : ๑๙๖๑. ข้อสังเกตจากการประชุม การศึกษาเพื่ออนาคตประเทศไทย

พิมพ์ PDF

เช้าวันที่ ๒๓ มิ.ย. ๕๖ ผมไปร่วมประชุมวิชาการระหว่างประเทศ เรื่อง การศึกษาสำหรับอนาคตประเทศไทย ที่โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ และบางกอกคอนเนชั่นเซ็นเตอร์ เซ็นทรัลเวิร์ล

ผมไปก่อนเวลา ๑ ชั่วโมง  ได้ไปเห็นบรรยากาศเบื้องหลังการประชุม  และเดาว่าการประชุมใหญ่ๆ ระดับชาติของราชการในปัจจุบันคงจะคล้ายๆ กัน  คือจัดโดย organizer  บรรยากาศตามความรู้สึกของผม (ซึ่งอาจต่างจากคนอื่น) คือเน้นความอลังการ์หรูหรา  แต่อ่อนด้านสาระ  สมัยผมหนุ่มๆ ผมจะบอกว่า สวยแต่รูปจูบไม่หอม  ซึ่งเป็นคำที่แม่พูดบ่อยๆ

ไหนๆ ก็เขียนบันทึกแบบแหกคอกจารีตการเขียน บล็อก ที่เน้นเชิงบวกแล้ว  ก็ขอบันทึกความรำคาญเรื่องนักถ่ายรูปตนเองในการประชุม  ผมสังเกตว่าพวกครูชอบทำอย่างนี้มากที่สุด  มีคนบอกว่าเพื่อเอาไปเป็นหลักฐานการเข้าร่วมประชุม ลงใน portfolio  ผมมีความเห็นว่า มันทำให้ครูไม่สนใจสาระของการประชุม  หันไปสนใจแต่มุมถ่ายรูป  ไม่ทราบว่าอะไรในวงการศึกษาไทย ที่สร้างวัฒนธรรมนี้ในหมู่ครู

ที่น่าแปลกใจคืองานนี้จัดสถานที่โอ่อ่าอลังการ์มาก  แต่จอสำหรับฉาย PowerPoint ประกอบการบรรยายเล็ก และเครื่องฉายคุณภาพต่ำ  มองไม่ชัด  คนจัดเน้นสร้างความโอ่อ่า ไม่สนใจเรื่องที่จะช่วยให้การประชุมประสบผลสำเร็จเชิงสาระ

ผมนั่งสังเกตครู่หนึ่งก็เห็นว่า ที่จอมันไม่ชัดเพราะมันเป็นจอผ้าโปร่ง ไม่ใช่จอสำหรับฉาย LCD Projector  เมื่อมันโปร่ง แสงจากด้านหลังก็ทำให้ไม่ชัด  แถมเขายังเอาไฟ สป็อตไล้ท์ ฉายมาทางจอและคนฟังเสียอีก  แสดงให้เห็นว่า organizer ไม่รอบคอบ  และหน่วยราชการเจ้าของงานก็ตรวจงานไม่เป็น

เพราะ organizer ไม่เป็นงาน  ตอนประชุมในห้องใหญ่ จึงจัดเวทีให้ผู้พูดนั่งบังจอ  มาแก้เอาทีหลัง

งานจึงเด่นเฉพาะด้านโอ่อ่า  แต่ไม่เอื้อต่อการเก็บเกี่ยวสาระ

บ่นมาเสียยาว  คนอื่นเขาคงไม่รู้สึกอย่างนี้  คงเพราะผมตั้งใจไปเก็บเกี่ยวความรู้เรื่อง การศึกษาเพื่ออนาคตประเทศไทย มากเกินไป

ข้อสังเกตอีกอย่างหนึ่งคือ ผู้บริหารระดับสูงทางการศึกษาที่เข้าร่วม  ไม่เห็น ซีอีโอ ของหน่วยงานอีก ๔ แท่งของกระทรวงศึกษาฯ  เนื่องจากการประชุมนี้จัดโดยสภาการศึกษา  หน่วยงานแท่งอื่นใน ๕ แท่งจึงไม่เกี่ยว  สะท้อนภาพความไม่ร่วมมือกันของหน่วยงานทางการศึกษา  ทั้งๆ ที่สาระและเป้าหมายของการประชุมมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อบ้านเมือง เป็นคำตอบหนึ่งว่าทำไมคุณภาพการศึกษาไทยจึงต่ำเช่นนี้

การประชุมนี้มี low quality audiences มาก  สังเกตจากการพูดโทรศัพท์เสียงดัง และการคุยกันในห้องประชุม ระหว่างการประชุม รบกวนผู้อื่นที่เขาตั้งใจฟัง

ผมไปเข้าใจเป้าหมายที่แท้จริงของการประชุมนี้ จากการประชุมห้องย่อยภาคบ่าย  ว่าเป็นการประชุมเพื่อนำไปสู่การประเมินระบบการศึกษาไทยทั้งระบบ  ที่รัฐบาลไทยขอให้ UNESCO และ OECD เข้ามาศึกษาหรือวิจัยระบบการศึกษาไทย และเสนอแนะการดำเรินการปรับปรุง  เท่ากับรัฐบาลและกระทรวงศึกษาธิการ ยอมรับว่า ตนจนปัญญาที่จะแก้ปัญหาที่หมักหมมและซับซ้อนนี้  ซึ่งเป็นปัญหาเชิงระบบ

เท่ากับยอมรับว่า เราไม่มีศักยภาพในการทำงานวิจัยระบบการศึกษา  ต้องขอความช่วยเหลือ (เข้าใจว่าเป็นการว่าจ้าง) UNESCO และ OECD  ต่างจากระบบสุขภาพที่ผมคุ้นเคย เรามีหน่วยงานที่ทำวิจัยระบบสุขภาพเป็นเครือข่ายนับสิบองค์กร  โดยมี สวรส. เป็นแม่ข่าย

ผมหวังว่า หลังจากการวิจัยชิ้นนี้ จะมีนักการศึกษาไทยจำนวนหนึ่ง ได้รับการพัฒนาศักยภาพของการวิจัยระบบการศึกษา  สำหรับทำงานวิจัยระบบการศึกษาเอง อย่างต่อเนื่อง

 

 

วิจารณ์ พานิช

๒๓ มิ.ย. ๕๖

คัดลอกจาก http://www.gotoknow.org/posts/543991

 

แก้ไขล่าสุด ใน วันอังคารที่ 30 กรกฏาคม 2013 เวลา 09:57 น.
 


หน้า 459 จาก 558
Home

About Us

ศูนย์บูรณาการพัฒนามนุษย์ (ศบม.) เป็นองค์กรที่พัฒนาและจัดทำโครงการเพื่อทำประโยชน์ให้สังคม เป็นองค์กรสนับสนุนการดำเนินงานของภาครัฐ ช่วยแก้ปัญหาผู้ประกอบการภาคธุรกิจบริการที่ขาดแคลนบุคลากรที่มีมาตรฐานในการให้บริการ
อ่านเพิ่มเติม

มูลนิธิศูนย์บูรณาการพัฒนามนุษย์ ์

 iHDC Profile
บัญชีรายชื่อกรรมการ
ใบสำคัญแสดงการจดทะเบียน การเปลี่ยนแปลงกรรมการของมูลนิธิ
เอกสารประชาสัมพันธ์ โครงการ HMTC.pdf
เอกสารแนะนำโครงการ HMTC 1.pdf
เอกสารโครงการ HMTC 2 คุณสมบัติผู้เข้าร่วมโครงการ.pdf
iHDC นิติบุคคล.pdf
iHDC บุคคล.pdf
iHDC บุคคลเครือข่าย.pdf
รายงานการประชุม 6 มีนาคม 2560.pdf
ข้อบังคับมูลนิธิ
ใบสำคัญแสดงการจดทะเบียนจัดตั้งมูลนิธิ
Ihdc-Profile and Roadmap 2016-2019 Mar 23 2560.pdf
รายงานการประชุมใหญ่คณะกรรมการมูลนิธิศูนย์บูรณาการพัฒนามนุษย์ 2559.pdf
คำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการ สาขาวิชาชีพ.pdf
รายงานการประชุมใหญ่วันที่ 18 ธ ค 2558 v 3.pdf
รายงานการประชุม วันที่ 24 ธันวาคม 2557 updated 4 มีนาคม 2558.pdf
iHDC-invitation Letter.doc
iHDC-Member Form Thai.doc
iHDC-Member Form English.doc
รายงานการประชุมกรรมการมูลนิธิศูนย์บูรณาการพัฒนามนุษย์ วันที่ 15 มกราคม 2556 ฉบับสมบูรณ์


thaibetter
พัฒนาประเทศไทยแบบทวีคูณ และยั่งยืน ( ททค )

Login


แบบสำรวจ

สถิติเว็บไซด์

สมาชิก : 5606
Content : 3049
เว็บลิงก์ : 26
จำนวนครั้งเปิดดูบทความ : 8601624

facebook

Twitter


บทความเก่า