Thaiihdc.org

  • เพิ่มขนาดตัวอักษร
  • ขนาดตัวอักษรปกติ
  • สดขนาดตัวอักษร
Thaiihdc.org

แนวคิด "ประชาธิปไตยสายตรง"

พิมพ์ PDF

นำความ “ประชาธิปไตยสายตรง”

ผมขอนำแนวคิดเรื่อง “ประชาธิปไตยสายตรง” มาโพสท์ เพื่อการเรียนรู้ร่วมกันสักหลายตอน โดยวันนี้นำข้อเขียนเก่าเรื่อง “สภาประชาชน” ที่มีคนอ่าน (ในเวปต์เก่า) และแชร์มากที่สุดเมื่อหลายปีก่อน (๒๕๕๖ ก่อนรัฐประหาร ๑ ปี) ตอนที่กำลังวุ่นวายทางการเมืองและทุกฝ่ายช่วยกันหาทางออก

บทความต่อไป “ประชาธิปไตยชุมชน” เขียนเมื่อปลายปี ๒๕๖๑ หลังการสัมมนาที่มหิดลโดยผู้นำพรรคการเมือง นักวิชาการและผมได้เข้าร่วมอภิปราย

ต่อจากนั้น ข้อเขียนใหม่ ผมจะเล่าเรื่องประชาธิปไตยทางตรง (direct democracy) ที่สวิส และลิคเตนชไตน์ ว่าเขาทำกันอย่างไร พอจะเป็นแบบอย่างหรือแนวทาง โดยไม่ต้องถึงกับเป็นโมดงโมเดลอะไร เพราะบ้านเขาบ้านเราแตกต่างกันมาก

แต่ก็น่าจะมีบทเรียนให้เราเรียนรู้และนำคุณค่าและวิธีการดีๆ บางอย่างมาประยุกต์ใช้ได้ อย่างน้อยในระดับชุมชน อบต. เทศบาล ซึ่งมีขนาดเหมือนกับเทศบาลของสวิส และชุมชนบ้านเราในอดีตก็ดูแลกันเอง ปกครองกันเองมาตลอดจนเกิด “รัฐชาติ” เมื่อร้อยกว่าปีนี้เอง และเหมือนกับลิคเตนไชต์ทั้งประเทศ ซึ่งมีประชากรเพียง 38,000 คน มี ๑๑ เทศบาล มีคนไทยอยู๋ที่นั่นกว่า ๕๐๐ คน ประเทศเล็กที่สุดในโลกประเทศหนึ่งแห่งนี้ เป็นระบอบ constitutional monarchy มีเจ้าชายเป็นประมุข มีสภา บางคนเรียกโดยใม่ขัดเขินว่าเป็นระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชด้วยซ้ำ (เพราะเจ้าชายเขามีอำนาจมากที่สุด แต่ใช้น้อยที่สุดเพราะมีจิตใจเป็นประชาธิปไตยยิ่งกว่าประมุขทางการเมืองที่มาจากการเลือกตั้งในหลายประเทศ) เป็นประเทศที่ประชาชนทุกคนมีส่วนร่วมทางตรง และมีรัฐธรรมนูญที่อนุญาตให้ชุมชนใด เทศบาลบาลใดอยากแยกออกไปเป็นอิสระ หรือไปอยู่กับประเทศอื่น (สวิส ออสเตรียที่อยู่ติดกัน หรือเยอรมันที่อยู่ใกล้กัน) ก็ทำได้เลย แต่ยุส่งท้าทายเท่าไรก็ไม่มีใครอยากไป เพราะเป็นประเทศที่ร่ำรวยทีสุดในโลก อาชญากรรมน้อยที่สุด อยู่ประเทศเล็กๆ นี้อยู่ดีกินดี มีความสุขอยู่แล้ว ใครบอกว่า รัฐในอุดมคติไม่มี เป็นเพียงยูโธเปีย !

 

#สภาประชาชน

ถ้าไปค้นหาในรัฐธรรมนูญไทยที่ใช้กันวันนี้คงไม่พบคำว่า “สภาประชาชน” แต่รัฐธรรมนูญมาจากประชาชน และ “เจตจำนง” ของประชาชนยิ่งใหญ่กว่ารัฐธรรมนูญที่เขียนออกมาเป็นตัวหนังสือ เพราะเจตจำนงนั้นคือหัวใจของอธิปไตยของปวงชน (อังกฤษถึงไม่มีรัฐธรรมนูญเป็นลายลักษณ์อักษร)  เมื่อประชาชนเลือกผู้แทนเข้าไปในสภา ไม่ว่าด้วยวิธีเลือกตั้งลงคะแนนหรือด้วยการสรรหา ซึ่งเป็นวิถีประชาธิปไตยทั้งนั้น แล้วผู้แทนเหล่านั้นต้องการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อประโยชน์ของตนเองมากกว่าเพื่อสนองตอบเจตจำนงของประชาชน และศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าผิด พวกเขาย่อมหมดความชอบธรรมที่จะทำหน้าที่ต่อไป ถ้ายังยื้อเพื่ออยู่ในอำนาจ ประชาชนก็มีสิทธิลุกขึ้นมาร่วมมือกันหาทางออกจากวิกฤติ เรื่องเช่นนี้ไม่ได้มีแต่ในประเทศไทย หลายประเทศทั่วโลกก็เกิดสภาประชาชนในรูปแบบต่างๆ โดยเฉพาะในช่วงการเปลี่ยนแปลงประเทศจากระบอบหนึ่งไปสู่อีกระบอบหนึ่ง และที่สุด สภาประชาชนก็เป็นฝ่ายชนะ ไปดูประวัติศาสตร์ของเยอรมันตะวันตกตะวันออกเมื่อรวมชาติ และประเทศต่างๆในยุโรปตะวันออกในระยะ 20 ปีที่ผ่านมา

สภาประชาชนไม่ใช่เรื่องใหม่ในสังคมไทย เพียงแต่คำว่า “สภา” ทำให้เกิดความสับสน และถูกโยงไปหาคำอธิบายและสิทธิอำนาจในรัฐธรรมนูญซึ่งไม่ปรากฏ เพราะคำว่า “สภา” ในที่นี้เป็นความหมายเชิงเปรียบเทียบ เช่นเดียวกับที่เราเรียก ธนาคารข้าว ธนาคารควาย ธนาคารเลือด เราเรียกมหาวิทยาลัยชาวบ้าน มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน มหาวิทยาลัยชีวิต

ที่ตำบลไม้เรียง อำเภอฉวาง จังหวัดนครศรีธรรมราชมี “สภาผู้นำ” มาได้ประมาณ 20 ปีแล้ว ผู้นำสำคัญของไม้เรียงคือลุงประยงค์ รณรงค์ ซึ่งได้รับรางวัลแมกไซไซเมื่อปี 2547 ในฐานะผู้นำชุมชนดีเด่นแห่งเอเชีย ไม้เรียงได้รับการยกย่องว่าเป็นต้นแบบการพัฒนาชุมชนโลกเลยก็ว่าได้ เพราะได้รับคำชื่นชมจากธนาคารพัฒนาเอเชียและโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ และสื่ออย่าง CNN ได้เผยแพร่เรื่องราว แนวคิดและวิธีการพัฒนาของชุมชนนี้ไปทั่วโลก

สภาผู้นำของไม้เรียงเกิดจากข้อตกลงของชาวบ้านจากทั้งตำบลว่า ควรมี”แกนนำภาคประชาชน” ขึ้นมากำกับ ดูแล และช่วยกันพัฒนาท้องถิ่น ไม่ใช่ปล่อยให้เป็นเพียงหน้าที่ความรับผิดชอบของคนที่ได้รับเลือกเข้าไปใน อบต.หรือกำนัน ผู้ใหญ่บ้านเท่านั้น ที่ประชุมชาวบ้านตกลงให้แต่ละหมู่บ้านในตำบลไม้เรียงเลือกผู้แทนของตนเองมาหมู่บ้านละ 5 คน8 หมู่บ้านรวม 40 คน ชาวบ้านสามารถเลือกกำนันผู้ใหญ่บ้าน อบต. หรือผู้มีตำแหน่งในชุมชนมาร่วมได้แต่ทุกคนที่มาต้องไม่มาตามตำแหน่ง ต้องถอดหัวโขนออกหมด ทุกคนเป็นประชาชนเท่าเสมอกัน มูลนิธิหมู่บ้านเสนอให้ตั้งชื่อองค์กรนี้ว่า “สภาผู้นำ” ซึ่งชาวบ้านก็เห็นว่าชื่อเหมาะสมดี

ความจริง สภาผู้นำชุมชนไม้เรียงค่อยๆ วิวัฒนาการมาจากกลุ่มผู้นำ 12 คน ที่รวมกันหาทางออกให้ชุมชนตั้งแต่ปี 2524 เริ่มจากการแก้ปัญหาราคายางพารา ไปเรียนรู้จากหน่วยงานของรัฐและเอกชน ไปดูโรงงานรมควันยางแล้วมาสร้างโรงงานอบยางของตนเองในปี 2527 ด้วยการลงทุนลงหุ้นของชาวบ้านทั้งหมดเป็นเงิน 1 ล้านบาท จากนั้นก็ค่อยๆ จัดระบบเศรษฐกิจชุมชนทำแผนแม่บทยางพาราไทย แผนแม่บทชุมชน วิสาหกิจชุมชน ซึ่งล้วนเกิดจากการเรียนรู้และพัฒนาร่วมกันของชุมชนคนไม้เรียงที่ถูกนำไปใช้กันทั่วประเทศ รวมทั้ง “สภาผู้นำ” ที่มีผู้แทน 5 คนจากแต่ละหมู่บ้านดังกล่าว

หลายปีก่อน มีการเสนอกฎหมาย “สภาองค์กรชุมชน” โดยเอาความคิดจากสภาผู้นำไม้เรียงมาปรับประยุกต์ แนวคิดที่ลุงประยงค์และผู้นำในระดับชาติหลายคนไม่เห็นด้วย เพราะสภาผู้นำของประชาชนเป็นสภาคู่ขนานที่มีสิทธิอำนาจในตัวเองอยู่แล้ว ทำไมต้องออกกฎหมายไป “ครอบ” อำนาจของประชาชนอีก เป็น “ขบวนการ” (movement) ที่มีชีวิต มีพลัง กลับไปตีกรอบแช่แข็งให้เป็น “สถาบัน” (institution) จะด้วยเหตุผลเพราะต้องการงบประมาณสนับสนุนหรืออะไรก็แล้วแต่ วันนี้มีข้อพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า สภาองค์กรชุมชนก็ไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเช่นเดียวกับสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจสังคมแห่งชาติซึ่งตั้งขึ้นมาแล้วก็มีกฎหมายรองรับ มีงบประมาณสนับสนุน แต่ไม่มีชีวิตจิตวิญญาณขับเคลื่อน แทบไม่มีบทบาทอะไรเลย

 

การที่ประชาชนรวมตัวกันเพื่อแก้ปัญหาและพัฒนาตนเอง เป็นสิทธิตามรัฐธรรมนูญ วันนี้เราเห็นการรวมกลุ่มของชุมชนเป็นแสนๆ กลุ่มในทุกหมู่บ้าน ตำบล อำเภอ จังหวัด ทุกอาชีพ ในชนบท ในเมือง มากมายหลายระดับหลายรูปแบบ ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม การเมือง ที่โดดเด่นเห็นชัดมากในระยะหลังนี้เป็นสมัชชาประชาชนด้านสุขภาพที่จัดทั่วประเทศทั้งในระดับพื้นที่และในประเด็นต่างๆ มีสมัชชาประชาชนที่จัดทำธรรมนูญสุขภาพในระดับ อบต. เทศบาล และระดับจังหวัด มีกระบวนการที่กำลังเกิดเป็นสมัชชาประชาชนเพื่อให้จังหวัดจัดการตนเองเกิดธรรมนูญจังหวัด เรื่องเหล่านี้ไม่เห็นจะต้องไปค้นหาในรัฐธรรมนูญว่าเขียนไว้หรือไม่ จะเรียกสมัชชา จะเรียกสภา จะเรียกเครือข่าย จะเรียกชื่ออะไรไม่สำคัญเท่ากับความคิดที่ว่า ประชาชนจัดพื้นที่ จัดเวที เพื่อแสดงตนเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยในการจัดการชีวิต ชุมชน สังคม ของตนเอง เพราะการเคลื่อนไหวของประชาชนต่างหากที่เป็นพลังเพื่อการเปลี่ยนแปลง (dynamics) ที่แท้จริง ถ้ากลไกของรัฐไม่สามารถทำงานได้เพราะขาดความชอบธรรม ประชาชน ผู้เป็นเจ้าของอธิปไตย (sovereignty) ก็ต้องลุกขึ้นมากำหนดกฎกติกาใหม่ สร้างสังคมใหม่ จะเรียกกลไกนี้ว่าอะไรไม่สำคัญ และไม่จำเป็นต้องรออะไรเลย จัดกระบวนการสรรหาตัวแทนจากภาคส่วนต่างๆ เพื่อมาร่วมกันคิดหาทางออก

เสรี พงศ์พิศ สยามรัฐ 4 ธันวาคม 2556


 

อยากคุยเรื่องลูกหลานเราเปลี่ยนไป ศ.ดร.บุญเสริม บุญเจริญผล

พิมพ์ PDF

อยากคุยเรื่องลูกหลานเราเปลี่ยนไป แทบทุกครอบครัว และทั่วโลก :

(ศ.ดร.บุญเสริม บุญเจริญผล)

ลูกหลานเรา  เขาเปลี่ยนไปแล้ว  

เดี๋ยวนี้ เราสอนเราเตือนลูกหลานไม่ได้ผลแล้ว     อาการเบาๆ  เขาอาจฟังคำเรา ไม่เถียง แต่เขาไม่เชื่อ     ที่แสบกว่านั้น เขาตอบว่า "รู้แล้ว รู้แล้ว"   ผู้ใหญ่อย่างเราฟังแล้วตกใจ   เปรียบเทียบกับสมัยเรายังหนุ่มสาว เมื่อผู้ใหญ่เตือน โดยทั่วไป เราตอบท่านว่า "ครับ" หรือ "ค่ะ" คือ ถ้ารู้แล้วก็ได้แน่ใจ ถ้ายังไม่รู้ ก็ได้รู้   ไม่มีใครตอบว่า "รู้แล้วๆๆ" อย่างในสมัยนี้ ยกเว้นครอบครัวที่ด้อยคุณภาพ

ผมขอถามพวกเราว่า มีครอบครัวใดบ้างที่ไม่ไดัยินลูกหลานตอบท่านว่า "รู้แล้วๆๆ" ผมว่าไม่มีสักครอบครัว   ถ้าลูกหลานตั้งแต่อายุ 40 ปีลงมา เขาไม่เชื่อผู้ใหญ่กันแล้ว   ยกเว้นคนที่เขาบูชา  ซึ่งคนนั้นเรามักเห็นว่าเป็นคนเลว    สำหรับผมไม่มีลูก มีแต่หลานจากน้องสาวน้องชายและญาติอื่นๆ ก็ยังได้ยินคำว่า "รู้แล้วๆ" อยู่บ้าง คุยกับลูกหลานสมัยนี้ไม่สนุกเลย กว่าจะเอ่ยถ้อยคำออกมาแต่ละประโยค ต้องกรองแล้วกรองอีกว่า เราพูดไปแล้ว เขาจะมีปฏิกริยาร้ายตอบเราอย่างไรบ้าง คุยกับคนสมัยใหม่ช่างเหนื่อยเสียจริง ถ้าไม่กลั่นกรองคำพูดให้ดี รับรองว่า ได้เสียใจ ยิ่งได้ยินพ่อแม่ของเขาบอกว่า เด็กสมัยนี้ เขารู้สึกอย่างไรก็พูดโพล่งไปทันที ไม่ต้องคิด ก็ยิ่งน่ากลัวมากขึ้นอีก

ผิดกับตอนที่ผมเป็นอาจารย์ ม. เกษตรศาสตร์ นิสิตที่เรียนระดับมหาวิทยาลัยอยู่ในวัยหนุ่มสาว ผมสอนเรื่องชีวิต เรื่องสังคมให้เขาบ่อยๆ เขาตั้งใจฟังมาก  ตั้งใจยิ่งกว่าเรียนวิชาการเสียอีก เช่น สอนว่า ถ้าไม่ให้ชีวิตวิบัติเรื่องการเงิน ก็ต้อง : "ไม่หุ้น ไม่กู้ ไม่ค้ำประกัน ไม่เล่นการพนัน ไม่คบคนชั่ว" เขาก็นำคำสอนไปใช้ในชีวิต และบอกผมว่า เขารอดภัยมาได้จากการทำตามคำสอนของผม ส่วนอาจารย์อื่นเขาไม่สอนเรื่องชีวิต   เขาคิดว่าโตกันแล้ว ไม่ต้องสอนแล้ว      ความจริงแล้วตรงข้ามเลย เป็นความเชื่อที่ผิด วัยหนุ่มสาวนี้แหละเขาเปิดหูฟัง อยากรู้เรื่องชีวิตมากๆ    ผมไม่แน่ใจว่ายุคนี้จะเป็นอย่างที่ผมเล่าหรือไม่   เช่น ถ้าสอนเขาว่า อย่าเล่นบิทคอยน์ บิทคับ เขาคงเถียงว่า “รู้แล้ว  รู้แล้ว”  ไม่ฟังเรา   แล้วคิดในใจว่า "ไอ้โง่เอ๋ย... โลกเขาไปกันถึงไหนแล้ว"

ผมไม่ได้ยืนยันว่า คนโบราณรู้ดีกว่าคนสมัยใหม่ แต่ก็มีบางเรื่องที่คนอายุมากมีประสบการณ์มากกว่า เพราะว่าเคยเห็นเคยผิดพลาดมาแล้ว จึงเป็นห่วง แล้วทำไมเตือนกันไม่ได้     ผมเห็นว่า ความคิดของคนสมัยนี้ส่วนมาก เป็นดังกล่าวนี้   คงยังมีคนหนุ่มสาวอีกจำนวนหนึ่ง ไม่เป็นอย่างนี้

แล้วจิตใจของเขาเป็นอย่างไร  เขาก็เป็นอย่างนี้

1.คิดตื้นชั้นเดียว ได้ฟังแล้ว ไม่ต้องคิดมาก เชื่อเลย ไม่เฉลียวใจว่า เรื่องนี้มีอะไรซ่อนเงื่อนอยู่บ้าง ฉะนั้นถ้าใครประดิษฐ์เรื่องให้ถูกใจ ก็เชื่อทันที

2.  ไม่จำเป็นต้องรู้ว่า ทำอย่างนี้ดี อย่างนี้ไม่ดี เช่น หญิงสาวเดินเปิดสะดือโชว์ ก็ไม่ต้องคิดว่า  ควรหรือไม่ควร คิดเพียงว่า ทำเพราะว่าอยากทำ และทุกคนมีอิสรภาพที่จะทำอย่างไรก็ได้ ขนบธรรมเนียม แม้กฎหมาย ไม่สำคัญเท่าความคิดของตน

3. ผลปัจจุบัน สำคัญกว่าผลในอนาคต คนสมัยนี้จึงไม่สนใจความยั่งยืน เลือกอาชีพที่รายได้มาก ไม่ต้องมั่นคงก็ได้   มีคู่ครองก็คิดอยู่กันชั่วคราว  ถ้าไม่พอใจก็เลิกกันไป จะซื้อของก็ไม่ต้องคิดว่า จะใช้ได้ทนหรือไม่  เอาสวยไว้ก่อน เมื่อเสียแล้ว จะมีอะไหล่ซ่อมได้หรือไม่ ไม่ต้องคิด

4.ไม่มีชาติ ไม่มีศาสนา   มีตัวเองคนเดียวก็พอ   ไม่ต้องมีเพื่อนแท้ เอาตนเองเป็นศูนย์กลาง โลกนี้มีเขาเพียงคนเดียว อยู่ได้คนเดียว วันๆนั่งหน้างอ ไม่ยิ้ม ไม่พูดกับใคร ไม่ปรึกษาใคร เมื่อชีวิตผิดหวัง ก็ซึมเศร้า และฆ่าตัวตาย

ฉะนั้นเราต้องทราบเรื่องของคนยุคใหม่ จะได้ทำใจถูก พูดได้ถูก และ ไม่ต้องหวังว่า จะฝากอนาคตประเทศชาติไว้กับพวกเขา เพราะว่า เขาไม่มีชาติ ไม่มีประเทศ ไม่มีศาสนา  ไม่ต้องการกฎหมาย  ไม่ต้องการประเพณี     มีแต่เขาคนเดียวในโลกของเขา

ท่านผู้ใด มีลูกหลานผิดจากที่ผมกล่าว จงดีใจเถิดว่า เทวดามาเกิดในตระกูลของท่าน

สาเหตุสำคัญที่ทำให้เขาเป็นคน “รู้แล้วรู้แล้ว”

การเกิดผลอะไรขึ้นมาอย่างหนึ่ง เกิดจากหลายสาเหตุ   โรครู้แล้วรู้แล้ว ก็เกิดจากหลายสาเหตุ  สาเหตุที่สำคัญที่หลายท่านช่วยกันหามา มีดังนี้

1. สื่อโซเชียล  ทำให้เขาติดต่อกับคนเสมือนจริง  ไม่มีตัวตนให้เห็น  แต่ติดต่อสื่อสารกันได้  ทำให้เขาไม่ต้องการติดต่อคบหากับใคร  เขามีเพื่อนในอากาศอยู่มากมายแล้ว  เขาจึงอยู่กับโทรศัพท์ได้นาน  โดยไม่สนใจผู้ใด  บุคลิกกลายเป็นคนเฉย  หน้าเงียบหน้างอ   ไม่สนใจใคร  ไม่อยากพูดกับใคร  นั่งกดโทรศัพท์ไปเรื่อยๆก็เป็นการพูดคุยแล้ว   ถ้ามีใครมาถามอะไรเขา  เขาจะหงุดหงิดใส่ทันที  เพราะว่า ทำให้เขาเสียเวลาต้องออกจากโลกโซเชียลมาคุยกับคนที่เขาไม่ได้ให้ค่า                                                                                                     ประการสำคัญ  เขารู้เรื่องวิธีการใช้โทรศัพท์ดีกว่าผู้ใหญ่มาก  ผู้ใหญ่มักต้องพึ่งเขาในการใช้โทรศัพท์   ก็ยิ่งทำให้เขาคิดว่า ผู้ใหญ่โง่กว่าเขามาก  ถ้าฉลาดกว่าเขาก็ไม่ควรถามเขา  เขาจึงไม่ให้ค่าผู้ใหญ่

2. การเคลื่อนตัวของจักรวาล  คือ โลก ดวงดาวที่อยู่รอบๆทั่วจักรวาล  ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ทั้งหลาย  เคลื่อนตัวไปเรื่อยๆในอวกาศที่ว่าง   ทำให้พลังจักรวาลที่ออกมาจากดวงดาวเหล่านี้เปลี่ยนไปเรื่อยๆ  พลังจักรวาลมีผลต่อจิตใจและ DNA ของมนุษย์และสัตว์    นิสัยและความคิดของคนจึงเปลี่ยนไปจากเดิมด้วยอำนาจของพลังจักรวาลที่เปลี่ยนไป    

3. ในแง่ของศาสนา  โดยเฉพาะพุทธศาสนา  มีกฎแห่งกรรมเป็นคำอธิบาย   มนุษย์มีใจบาป  ทำลายคนและสัตว์มากมายมาเป็นเวลานาน  โดยเฉพาะการฆ่าสัตว์ และ กินสัตว์เป็นอาหาร    ศาสนาพุทธ-คริสต์-อิสลาม ที่เคยห้ามคนฆ่าสัตว์  หรือห้ามกินเนื้อสัตว์  ก็อะลุ่มอล่วยให้กินเนื้อสัตว์ได้ แต่อย่าฆ่า  หรือฆ่าได้เพื่อเป็นอาหาร   การก่อเวรเช่นนี้  ผลแห่งบาปทำให้มนุษย์อยู่กันอย่างไม่มีความสุข  และสัตว์ที่มนุษย์ฆ่าหรือกิน อาจมาเกิดเป็นลูกหลานเพื่อทวงหนี้กรรมบาปก็เป็นไปได้    โดยทำให้พ่อแม่และญาติผู้ใหญ่ไม่สบายใจ

4. สังคมรอบตัวมีแต่ความรีบเร่ง   ไม่มีเวลาที่จะทำชีวิตให้ประณีต   คนหนุ่มสาวไม่มีเวลาเอาใจผู้ใหญ่  ไม่มีเวลาที่จะทำความดีให้ใคร  เพราะว่าเวลารัดตัวเหลือเกิน   การพูดจาไม่ต้องสุภาพ  ไม่มีเวลาจะปั้นคำสุภาพ    ไม่มีเวลาจะพูดจะทำตามสมบัติผู้ดี  ไมมีเวลาจะนึกถึงความทุกข์ของใคร  เพราะว่าตัวเองก็เดือดร้อนมากแล้ว

                                                     ฯลฯ

เพียง 4 สาเหตุนี้  ก็เพียงพอที่จะทำให้ลูกหลานเราเปลี่ยนแปลงไปเป็นคน “รู้แล้ว รู้แล้ว”   ถ้าเราจำเป็นต้องอยู่ร่วมกับเขา  เราก็ต้องทำใจว่า “มันเป็นเช่นนั้นเอง  เพราะว่ามันมีเหตุให้เป็นไป”  และท่านต้องยอมเสียเวลากลั่นกรองคำพูดที่จะพูดกับเขาให้เหมาะสมที่เขาจะไม่ตอบท่านว่า “รู้แล้ว รู้แล้ว”  ท่านจะได้ไม่ต้องช้ำใจน้ำตาตกใน  ไม่ต้องเสียใจในความรักที่มอบให้เขา   โดยที่เขาไม่ต้องการเลยสักนิดเดียว

 

ขอให้ท่านโชคดี   ที่ผมเขียนมานี้   ท่านคง”รู้แล้ว  รู้แล้ว”  เพราะว่าโดนมามากแล้วใช่ไหม?

 

บุญ ไท


 

คิดนอกกรอบ 2

พิมพ์ PDF

 

ความจำในอดีต ของ ม.ล.ชาญโชติ ชมพูนุท

พิมพ์ PDF
วันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2558 ผมมีกำหนดลงไปที่เกาะ พี พี เพื่อช่วยเป็นที่ปรึกษาและเป็นโค้ช ให้กับผู้บริหารโรงแรมในด้านการทบทวนและปรับปรุ่งแผนตลาดให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงสำหรับปี 2558-2560 แต่ไม่สามารถดำเนินการได้เนื่องจากมีกรณีด่วนเรื่องประสิทธิภาพในการบริหารจัดการด้านทรัพยากรมนุษย์ในระดับผู้จัดการฝ่าย จนทำให้ผู้บริหารที่จะเข้าร่วมประชุมจัดทำแผน ไม่มีสมาธิในการทบทวนด้านแผนการตลาด โชคดีที่ผู้ว่าจ้างผมได้มอบหมายให้ผมช่วยให้การปรึกษาด้านการบริหารจัดการด้านทรัพยากรมนุษย์ด้วย ผมจึงได้เปลี่ยนจากการประชุมทบทวนและจัดทำแผนตลาดไปเป็นการโค้ชผู้จัดการในการแก้ไขปัญหาด้านการบริหารจัดการผู้จัดการระดับกลางถึงระดับสูงที่มีปัญหาซ้ำซากอยู่เป็นประจำ ปัญหาเดิมๆ แต่เปลี่ยนคนที่ได้รับปัญหา ผมเริ่มสอนและโค้ชให้ผู้จัดการพิจารณาเรื่องที่เกิดขึ้นอย่างรอบครอบ ดึงผู้เกี่ยวข้องทุกคนเข้ามามีส่วนร่วมในการ ตีปัญหาให้แตกและแก้ไขให้ถูกจุด ใช้เวลาถึง 3 วันเพื่อเรียนรู้ร่วมกัน โดยการใช้กรณีของจริงที่เกิดขึ้น
ปัญหาได้ถูกแก้ไข อย่างถูกต้อง ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกคนได้เรียนรู้ และทำความเข้าใจจากสิ่งที่เกิดขึ้น วิธีการแก้ไขที่ถูกต้อง ทำให้ขวัญและกำลังใจของพนักงานในทุกระดับ ดีขึ้น การจัดทำแผนตลาดเลื่อนออกไปเป็นกลางเดือน มีนาคม เมื่อการจัดทำแผนตลาดเสร็จสมบูรณ์ จะต่อด้วยแผนการบริหารจัดการทรัพยากรมนุษย์เพื่อให้สอดคล้องกับแผนตลาด
ปัญหาใหญ่ๆในด้านการบริหารจัดการคน ส่วนมากจะเป็นเรื่องการสื่อสาร ความไม่ชัดเจน และการวางตำแหน่งงานที่ไม่เหมาะสมกับความสามารถและทักษะ ตำแหน่งงานหลายๆตำแหน่งไม่สามารถหาผู้ที่เหมาะสมได้ จึงได้ดันคนเข้าไปรับตำแหน่งเพื่อให้คบตามตำแหน่งที่วางไว้ โดยไม่คำนึงถึงความสามารถ ผลออกมาล้มเหลว ถือว่าเป็นการทำลายคน ปัญหาเหล่านี้เกิดขึ้นกับสถานประกอบการ SMEs เกือบทุกแห่ง ผู้ประกอบการไม่สร้างคน เพราะถือว่าเมื่อสร้างแล้วเขาก็ไปอยู่ที่อื่น จึงไม่ยอมลงทุนในด้านคน ทำให้คนขาดแคลน โทษว่าคนไม่มีคุณภาพ ไม่อดทน
ผมขอยืนยันว่าคนทุกคนมีความสามารถและเป็นทรัพยากรที่สำคัญที่สุด ทุกคนต้องช่วยกันสร้างไม่ใช่คอยแต่จะทำลาย เช่นเดียวกับป่าไม้ เราคิดแต่จะตัดไม้มาใช้ทำเฟอร์นิเจอร์ หรือสร้างบ้าน แต่ไม่เคยปลูกทดแทน ในที่สุดป่าไม้ก็หมด ทำให้เกิดผลตามมามากมาย เช่นเดียวกับคน เรามีแต่ตักตวง คิดแต่จะใช้ แต่ไม่เคยส่งเสริม สร้างคุณค่าให้กับคน เราส่งเสริมการศึกษาแต่เราไม่สร้างคน
ม.ล.ชาญโชติ ชมพูนุท
2 มีนาคม 2558
ความรู้สึกทั้งหมด
Somchai Eaglenest, Sukjai Kanchanachawee และ คนอื่นๆ อีก 59 คน
แชร์
 

King of Kings

พิมพ์ PDF

 


หน้า 10 จาก 558
Home

มูลนิธิศูนย์บูรณาการพัฒนามนุษย์ ์

 iHDC Profile
บัญชีรายชื่อกรรมการ
ใบสำคัญแสดงการจดทะเบียน การเปลี่ยนแปลงกรรมการของมูลนิธิ
เอกสารประชาสัมพันธ์ โครงการ HMTC.pdf
เอกสารแนะนำโครงการ HMTC 1.pdf
เอกสารโครงการ HMTC 2 คุณสมบัติผู้เข้าร่วมโครงการ.pdf
iHDC นิติบุคคล.pdf
iHDC บุคคล.pdf
iHDC บุคคลเครือข่าย.pdf
รายงานการประชุม 6 มีนาคม 2560.pdf
ข้อบังคับมูลนิธิ
ใบสำคัญแสดงการจดทะเบียนจัดตั้งมูลนิธิ
Ihdc-Profile and Roadmap 2016-2019 Mar 23 2560.pdf
รายงานการประชุมใหญ่คณะกรรมการมูลนิธิศูนย์บูรณาการพัฒนามนุษย์ 2559.pdf
คำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการ สาขาวิชาชีพ.pdf
รายงานการประชุมใหญ่วันที่ 18 ธ ค 2558 v 3.pdf
รายงานการประชุม วันที่ 24 ธันวาคม 2557 updated 4 มีนาคม 2558.pdf
iHDC-invitation Letter.doc
iHDC-Member Form Thai.doc
iHDC-Member Form English.doc
รายงานการประชุมกรรมการมูลนิธิศูนย์บูรณาการพัฒนามนุษย์ วันที่ 15 มกราคม 2556 ฉบับสมบูรณ์


thaibetter
พัฒนาประเทศไทยแบบทวีคูณ และยั่งยืน ( ททค )

Login


แบบสำรวจ

สถิติเว็บไซด์

สมาชิก : 5606
Content : 3049
เว็บลิงก์ : 26
จำนวนครั้งเปิดดูบทความ : 8600171

facebook

Twitter


บทความเก่า