Thaiihdc.org

  • เพิ่มขนาดตัวอักษร
  • ขนาดตัวอักษรปกติ
  • สดขนาดตัวอักษร
Thaiihdc.org

เครียด บ้า ฆ่าตัวตาย ไม่มีคนฟัง ดร.เสรี พงศ์พิศ

พิมพ์ PDF

#เครียด บ้า ฆ่าตัวตายไม่มีใครฟัง

 รัฐทุ่มเทการแก้ปัญหาโควิดระบาด จัดหาวัคซีน จัดรายการลดแลกแจกแถม แต่ก็เหมือนหยอดน้ำข้าวคนไข้โคม่า สังคมไทยอยู่ในสภาพนี้ คนจำนวนมากเป็นทุกข์ไม่ได้รับการเยียวยา ไม่ได้รับการใส่ใจในการแก้ไขปัญหา จึงมีคนเครียด บ้า ฆ่าตัวตายไม่น้อย แต่ส่วนใหญ่ตายทั้งเป็น

 ที่เป็นข่าวฆ่าตัวตายสองปีนี้มีอยู่เรื่อยๆ แต่ที่ไม่เป็นข่าวมีมากกว่า และที่เครียดจนเรียกว่าป่วยทางจิตคงมีมากกว่า 3 ล้านคนอันเป็นตัวเลขที่ผู้เกี่ยวข้องมักแจ้ง ที่ไม่ได้แจ้งและไม่ได้รับการเยียวยาคงมากกว่าหลายเท่า

 โควิดมาซ้ำเติม  เพิ่มจำนวนคนป่วย คนทุกข์ คนเครียด แต่ก็ไม่เห็นรัฐบาล หน่วยงานต่างๆ ให้ความสนใจ ได้แต่ทุ่มเททุกอย่างกับการแก้ปัญหาโรคระบาด ไม่มีการนำเรื่องนี้มาวิเคราะห์และหาวิธีการแก้ไข อย่างน้อยมีกลไกเพื่อบรรเทาสถานการณ์ที่ย่ำแย่ ที่ยิ่งเลวร้ายหนักยิ่งขึ้นไปอีกเพราะข้าวยากหมากแพง

 โควิดมาขยายความเหลื่อมล้ำให้กว้างออกไป คนจนเพิ่มขึ้น คนป่วยมากขึ้นทั้งทางกายทางจิต คนตกงาน เงินออมหมด ไม่มีแม้แต่เงินซื้อข้าวกิน แม้จะมีรายการแจกเงิน แต่คนจำนวนไม่น้อยก็ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง และที่ได้รับก็ “ไม่พอยาไส้” ไม่มีระบบรองรับ ความเจ็บป่วยครั้งนี้สาหัสนัก ยาแก้ปวด บรรเทาได้ชั่วคราวเท่านั้น

 สังคมไทยต้องการ “คนฟัง” มากกว่าคนพูด ต้องการให้รัฐบาลฟัง ให้พรรคการเมืองฟัง นักการเมืองฟัง ให้ข้าราชการฟัง ฟังเสียงของประชาชนมากกว่านี้ พูดให้น้อยลง เทศน์ให้น้อยลง สั่งและสอนให้น้อยลง แล้วจะเข้าใจปัญหาและความทุกข์ของประชาชนมากกว่านี้ และจะตอบสนองและแก้ปัญหาได้ดีกว่านี้

 เมื่อ 30 ปีก่อนตอนที่เกิดรสช.  เกิดรัฐบาลที่พลเอกสุจินดา คราประยูร เป็นนายกรัฐมนตรีนั้น คุณโฆสิต ปั้นเปี่ยมรัษฏ์ เป็นเลขาธิการนายกรัฐมนตรีได้ไปเชิญปราชญ์ชาวบ้านสองท่าน คือ ผู้ใหญ่วิบูลย์ เข็มเฉลิม จากแปดริ้ว กับพ่อบัวศรี ศรีสูง จากมหาสารคาม มาเป็นที่ปรึกษานายกฯ

 บรรดานักวิชาการและเอ็นจีโอต่างก็ทักท้วงแนะนำพ่อบัวศรีว่า อย่าไปเป็นที่ปรึกษาให้เผด็จการ พ่อบัวศรีตอบว่า “ตั้งแต่เปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 มา มีรัฐบาลทหาร รัฐบาลพลเรือนไหนที่เคยฟังเสียงชาวไร่ชาวนาบ้าง ถ้าหากพวกเขาเชิญผมไปเป็นที่ปรึกษา ผมจะไป อยากได้ลูกเสือต้องเข้าถ้ำเสือ”

 พ่อบัวศรีนั่งเครื่องบินไปกรุงเทพฯ เพื่อเข้าประชุมครั้งแรกปรากฎว่าป่วยหนัก เข้าโรงพยาบาล และถึงแก่กรรม 6 เดือนต่อมา และพลเอกสุจินดาก็เป็นนายกรัฐมนตรีเพียง 47 วันอย่างที่ทราบกัน

 เล่าเรื่องนี้ไม่ใช่เพราะเห็นด้วยกับรัฐบาลทหาร แต่เห็นด้วยกับพ่อบัวศรีว่า ที่ผ่านมามีรัฐบาลไหนที่ฟังเสียงของชาวไร่ชาวนาจริงๆ บ้าง เพราะคงได้ยิน แต่ไม่ฟัง ถ้าฟังจริง คงแก้ปัญหาได้ดีกว่านี้

 และคงจะสร้างระบบเศรษฐกิจที่ อี เอฟ ชูมาเคอร์ คนเขียน “เล็กนั้นงาม” ตามชื่อเต็มของหนังสือที่ว่า เป็น “เศรษฐกิจที่เห็นหัวประชาชน” (Small is Beautiful: Economics as if People Mattered) คือ เข้าใจคนจน ชาวไร่ชาวนา กรรมกร คนรากหญ้า คนชายขอบ ซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ

 นักจิตวิทยา นักจิตบำบัด ทราบดีว่า การให้การปรึกษา (counseling) นิยมเรียกว่า ให้การปรึกษา มากกว่าให้คำปรึกษา เพราะเป็นกระบวนการไปกลับสองทาง ระหว่างนักจิตวิทยากับคนไข้ โดยหัวใจของกระบวนการอยู่ที่การฟังและการตั้งคำถามที่เหมาะสม ถูกที่ถูกเวลา ไม่ใช่การให้คำปรึกษา คือ ไปสั่งไปสอนคนไข้ให้ทำอย่างโน่น บริโภคอย่างนี้

 ผู้เชี่ยวชาญเหล่านี้บอกว่า คนไข้มีปัญหาทุกข์ร้อน อยากบอกความในใจ อยากระบายความทุกข์ จึงต้องการคนฟังมากกว่าคนมาสอนเขาทันทีที่เห็นหน้า เหมือนกับรู้แล้วว่าปัญหาเขาคืออะไร แบบที่แพทย์ทั่วไปมักทำกัน บางคนแค่เห็นหน้าคนไข้ไม่ถามสักคำก็เขียนใบสั่งยาแล้ว

 การพัฒนาประเทศก็เหมือนกัน มีสูตรสำเร็จของ “คุณพ่อรู้ดี” รู้ว่าชาวบ้านต้องการอะไร

 

โรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

พิมพ์ PDF

หมายเหตุ : มีผู้ส่งบทความมาให้ อ่านแล้วประทับใจมาก เห็นว่า เป็นเรื่องที่ดี จึงนำมาให้ได้อ่านกัน (ขอโทษที่ไม่ทราบชื่อผู้เขียน) แต่จำเป็นที่จะต้องออกตัวไว้ก่อนว่า ผมไม่ใช่ผู้เขียน ได้แชร์ต่อมาอีกที

ม.ล.ชาญฌชติ ชมพูนุท

8 กุมภาพันธ์ ชมพูนุท


โรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ต้องขอบคุณพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่พูดถึงโรงเรียนนี้เมื่อวันก่อน

เพราะถือเป็นสื่อประชาสัมพันธ์ที่ทรงพลังมาก ใช้งบโฆษณา 10ล้านยังทำไม่ได้ขนาดนี้เลย

เพราะแค่พล.อ.ประยุทธ์ สั่งจับตา  เราก็รู้แล้วว่าโรงเรียนนี้น่าสนใจ ต้องไม่ใช่โรงเรียนแบบ “อำนาจนิยม” แน่ๆ

จากนั้นไม่กี่วันคนหันมาสนใจว่าโรงเรียนนี้สอนกันแบบไหน  คนระดับนายกรัฐมนตรีถึงสั่งให้จับตามอง

และเมื่อทุกคนเข้าไปอ่าน เข้าไปศึกษา  ผมเชื่อว่าทุกคนจะตกใจ  เพราะนี่คือ “โรงเรียนในฝัน” ของคนจำนวนมาก

หลายคนคงรู้สึกว่าทำไมรุ่นเราถึงไม่มีโรงเรียนแบบนี้ หรือเสียดายที่ไม่ได้ส่งลูกเข้าเรียนโรงเรียนนี้

 

ผมเพิ่งรู้จักโรงเรียนนี้จากโพสต์ของคุณวีรพร นิติประภา นักเขียนซีไรท์  เธอได้รับเชิญไปสอนในโรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สิ่งที่คุณวีรพรประทับใจมากที่สุด คือ นักเรียนทุกคนตั้งใจฟัง

และ”กล้าสบตากับเธอ” น้องๆ ที่นี่สบตาเราค่ะ เขาไม่หลบตาผู้ใหญ่ เขามองกลับมาตรงๆ นิ่งๆ สุภาพ ม่านตาเปิดกว้าง

เรื่องนี้สำคัญมากค่ะ เด็กไทยไม่เหมือนเด็กอื่นๆ ในโลก จะเรียกได้ว่าผิดมนุษย์มนาก็ได้ เด็กไทยหลบตาผู้ใหญ่ตลอดเวลา เขาไม่มองดูคุณ และแน่นอนเขาไม่เห็นคุณ เขาไม่สนใจจะมองเห็นคุณ แต่ที่แย่กว่าอะไรทั้งหมด นั่นทำให้เรามองไม่เห็นพวกเขาด้วย เขาไม่อยากให้เราเห็นเขา เรามองไม่เห็นตาเขา เราไม่มีโอกาสรู้เลยว่าเด็กที่อยู่ข้างในรู้สึกหรือคิดอะไร ที่นี่โรงเรียนสามารถทำให้เด็กๆ สบตาผู้ใหญ่ได้ “ เป็นมุมมองที่คมคายแบบ “ซีไรท์”  อ่านจบก็สนใจ แต่ยังไม่ได้สนใจมากเท่ากับตอนที่พล.อ.ประยุทธ์ พูดถึงโรงเรียนนี้

ผมรีบหาข้อมูลของโรงเรียนและพบบทสัมภาษณ์เต็มๆของ รศ.ดร.อนุชาติ  พวงสำลี ประธานบริหารโรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ยิ่งอ่านยิ่งประทับใจ อยากให้ทุกคนได้อ่านกันเต็มๆ อ่านจบแล้วอย่าลืมขอบคุณพล.อ.ประยุทธ์ ด้วยนะครับ ผมเชื่อว่าเปิดรับนักเรียนรุ่นใหม่เมื่อไร คิวยาวแน่นอน

………

 

รศ.ดร.อนุชาติบอกว่าที่ผ่านมาการศึกษาคือความทุกข์ของแผ่นดิน ใครที่ผ่านระบบการศึกษาหรือใครที่เกี่ยวข้องกับการศึกษามีความทุกข์ทั้งสิ้นในรูปแบบต่างๆ กัน ผู้เรียนเองซึ่งเป็นปลายน้ำที่สุดก็ทุกข์หนัก  เด็กไม่อยากมาโรงเรียน การเรียนหนังสือเป็นเรื่องขมขื่นทรมานที่สุดในชีวิต เมื่อเราพูดถึงคำว่าการทำโรงเรียนจึงไม่ใช่การสอนหนังสือแต่มันเป็นการพูดถึงการปั้นระบบนิเวศหนึ่งอันขึ้นมา” ต้องเปลี่ยนจากมุมที่เล็กที่สุด เราไม่รู้หรอกว่าเด็กจะรอดหรือไม่รอด แต่เราเชื่อว่าถ้าเราใส่ภูมิคุ้มกันให้มากเท่าไหร่มันจะไปได้เยอะเท่านั้น เราเชื่อว่าถ้าเราปลูกฝังเมล็ดพันธุ์แห่งความดีอยู่ในตัวลึกเท่าไหร่มันก็จะยิ่งคงทนเท่านั้น แล้วมันจะไปปรับตัวเองในสังคมวงกว้าง” มากไปกว่านั้น เราทุกคนรู้ดีว่าโลกมันเปลี่ยนแล้ว เปลี่ยนเร็วขึ้นทุกวัน จำเป็นต้องสร้างโมเดลการเรียนรู้ใหม่

เราไม่รู้ว่าโมเดลใหม่มันไปรอดหรือไม่รอดนะ แต่เรารู้อยู่แล้วว่าโมเดลเก่าพาสังคมล้มเหลว เราไม่ทำ”

 

หลักสูตรเป็นอย่างไร?

เราร่างหลักสูตรกันบนความฝัน เราเต็มที่ ไม่ใช้รายวิชาของ สพฐ. ทั้งหมด แต่ดูเป็นตัวอย่าง ทั้งหมดนี้อยู่ภายใต้หลักการไม่ใช่ทฤษฎี แต่เน้นการเกิดประสบการณ์ตรง ที่นี่ไม่ใส่เครื่องแบบ ไม่สนใจเรื่องทรงผมแต่เราต้องคุยกันก่อนนะว่าทำไมเด็กไม่ต้องใส่เครื่องแบบ ต้องตั้งคำถามกันเองเพื่อตรวจสอบว่าเราเข้าใจตรงกันไหม นั่นเพราะเราไม่เชื่อว่าการแต่งเครื่องแบบคือคำตอบ  เราไม่ใช้เครื่องแบบ เรามีเสื้อยืดตราโรงเรียน 2 ตัวใส่เฉพาะวันอังคารและศุกร์ที่มีตลาดนัด เพื่อแยกแยะเด็กของเรากับคนภายนอก เนื่องจากโรงเรียนไม่มีขอบรั้วที่มิดชิด นอกจากนั้น ก็ใส่ในวันที่มีพิธีการหรือออกนอกสถานที่ดูงาน

เราไม่มีวิชาลูกเสือเนตรนารี เราไม่สอนวิชาชื่อพระพุทธศาสนา เด็กไม่ต้องมายืนเคารพธงชาติตอนเช้า ไม่มีสวดมนต์ตอนเช้า  แต่เรามีคำตอบในการอธิบายสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด เราจะสร้างเด็กแบบไหน เราจะใช้อะไรมาเป็นกติกาในการออกแบบความมีระเบียบวินัยให้เด็กซื้อหรือบายอินกับเรา  ยกตัวอย่าง แทนที่จะยืนอบรมหน้าเสาธง สวดมนต์ตอนเช้า เรามีชั่วโมงโฮมรูมที่เราให้คุณค่าและความสำคัญกับ 30 นาทีของทุกวัน  นี่จะถือเป็นนาทีทองที่เด็กๆ ในแต่ละห้องจะมาพบกับครูประจำชั้น 2 คน นอกจากจะเป็นการสื่อข้อมูลข่าวสารของทางโรงเรียน  ครูประจำชั้นจะพาเด็กคุย ถามไถ่สารทุกข์สุกดิบ หรือทำกิจกรรมเล็กๆ ปรับจูนสมาธิเพื่อเตรียมความพร้อมก่อนเข้าสู่การเรียนคาบที่ 1  ส่วนการสวดมนต์นั้นก็สามารถฝึกฝนทำได้อยู่แล้วในคาบเรียนวิถีศรัทธา เราไม่เคร่งครัดเรื่องทรงผม เด็กมัธยมที่นี่ประมาณ 30% ย้อมสีผม จะย้อมสีอะไรก็ปล่อยเขา  การแต่งตัวก็มีบ้างที่เกินพอดี เช่น ใส่กางเกงขาสั้นเกินก็ให้ครูกับเด็กเขาคุยกันเองว่าอันนี้คือสิ่งที่คุณครูไม่สบายใจนะ อิสระแค่ไหนก็ตาม มันสามารถอยู่ได้ด้วยการที่เด็กต้องรู้สึกว่าเขาดูแลตัวเองได้ รู้จักรักษาความสะอาด

มีวิธีที่จะสร้างสิ่งแวดล้อมแบบ “อิสระแต่เขาควบคุมตัวเอง” ในโรงเรียนได้อย่างไรบ้าง?

เราคิดว่าการให้อิสระกับสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งสำคัญสำหรับเด็กๆ เพราะเขากำลังอยู่ในวัยที่กำลังค้นหาอัตลักษณ์ของตัวเอง เขาจะค้นหาไปเรื่อย เรามีหน้าที่คอยประคับประคอง ชี้ข้อดีข้อเสียให้กับเขา

เราเปลี่ยนลูกเสือเนตรนารีเป็นวิชาอยู่รอดปลอดภัย รื้อเนื้อหาใหม่หมด ไม่มีถักเชือกเงื่อนปมแต่ซ้อมหนีไฟให้เป็น เวลาไฟไหม้ ดับไฟเป็นไหม ปฐมพยาบาลให้เป็น

ว่ายน้ำเราก็จะไม่มุ่งเรื่องกีฬาเพื่อความเป็นเลิศแต่เอาเรื่องพัฒนาการทางด้านร่างกายก่อน วิชาว่ายน้ำของเด็ก ม.1 เทอม 1 พอหนึ่งเทอมผ่านไปครูพละจะต้องตอบโจทย์ว่า ถ้าเด็กตกน้ำ เด็กต้องรอดหรือจะดีขึ้นไปอีกถ้าสามารถช่วยคนอื่นได้ด้วย เอาแค่นี้ ไม่ต้องมาผีเสื้อกับผม

ส่วนเทอมต่อๆ ไปก็ค่อยพัฒนากันต่อ ที่นี่เรามีนักกีฬาระดับแข่งขันหลายคนเหมือนกันนะ

นอกจากนี้ เราพบว่าการสอนเพศศึกษาในโรงเรียนมันล้มเหลวโดยสิ้นเชิง ยิ่งสอนยิ่งทำให้เด็กเก็บกด

เราจึงเปลี่ยนเป็นวิชาวัยรุ่นศาสตร์ 1-6 วัยรุ่นศาสตร์ 1 สำหรับเด็ก ม.1 เรียนเรื่อง Anatomy ให้รู้จักร่างกายตัวเอง ทำความสะอาด ฮอร์โมน เห็นตัวเองว่าเริ่มเติบโตยังไง ร่างกายเปลี่ยนแปลงยังไง เช่น ขนาดของอวัยวะเพศ หรือ ประจำเดือน เด็กจะได้รู้จักตัวเอง เคารพตัวเอง รู้ว่าตอนนี้ขุ่นมัว อารมณ์ไม่แจ่มใสเพราะอะไร เป็นต้น

วัยรุ่นศาสตร์ 2 ให้รู้จักพัฒนาการด้านความสัมพันธ์กับเพื่อน ครอบครัว สังคม มันก็จะขยับเป็นพัฒนาการตามความเป็นวัยรุ่นของเขา พอเราวางเส้นทางแนวนี้ให้ ครูก็ไปออกแบบการสอนเอาเอง  ครูจะสอนแม้กระทั่งเด็กผู้ชายจะต้องเลือกซื้อกางเกงในแบบไหน เลือกผ้าที่ใส่แล้วสบาย ผู้หญิงจะใส่เสื้อชั้นในอย่างไร ฯลฯ เรื่องแบบนี้จะถูกทำให้เป็นเรื่องปกติ อันนี้เรียกว่ารื้อสร้างหลักสูตรใหม่

ที่นี่จะไม่มีฝ่ายปกครอง แต่มีฝ่ายสนับสนุนนักเรียนและกิจกรรม ถามว่าสนับสนุนอย่างไร นักเรียนตีกัน ทะเลาะกันหรือทิ้งขยะเกลื่อนโรงเรียน ฝ่ายสนับสนุนฯ จะมีหน้าที่คอยดูแลปัญหาเรื่องพฤติกรรมทั้งหลาย  เช่น เด็กๆ กินน้ำ สิ่งที่เกิดขึ้นคือ กินตรงไหนแก้วน้ำก็วางอยู่ตรงนั้น เลยเกิดขยะเต็มโรงเรียน มันก็จะง่ายมากถ้าประกาศว่าต่อไปนี้เด็กๆ ห้ามทิ้งขยะ ให้เพื่อนหัวหน้าห้องจดชื่อรายงานครูเลย แต่เราเปลี่ยนวิธีการหมด ปล่อยไปแล้วบอกแม่บ้าน “ไม่เก็บ ให้ทิ้งไว้”

ภายใน 1 อาทิตย์ขยะมันก็สะสม แล้วครูก็ไปถ่ายรูปโพสต์ลง Facebook พิมพ์ว่าทำไมโรงเรียนเราสกปรกจัง จนเด็กๆ บอกครูเองว่า “มาช่วยกันเถอะ” แล้วตรงนี้ก็จะเป็นโอกาสของเราที่จะชวนกันคุยต่อว่า เราจะช่วยกันทำอย่างไรดี ถ้าเราอยากเห็นโรงเรียนของเราสะอาด ไม่รู้ระยะยาวจะเป็นยังไงนะ แต่ว่าถึงที่สุดมันมีชมรมสิ่งแวดล้อมเกิดขึ้นจากเรื่องเล็กๆ แบบนี้  เราเชื่อว่าการปลูกฝังวินัย จิตสำนึกที่ดี น่าจะทำอย่างไรให้เขาเกิดความตระหนักอย่างแท้จริง ในฐานะครู เรามีหน้าที่สร้างกระบวนการเรียนรู้ ต้องอดทนรอคอย ประคับประคองเส้นทาง เชื่อว่าผลลัพธ์จากกระบวนการเช่นนี้น่าจะยั่งยืนกว่าการบังคับสั่ง  อีกอย่างหนึ่งที่เราปลดล็อกหลักสูตร คือ โรงเรียนเราไม่ออกเกรด และบอกพ่อแม่ผู้ปกครองด้วยว่าโรงเรียนนี้จะไม่สนับสนุนเรื่องการแข่งขันใดๆ ลืมไปเลยการติดป้ายหน้าโรงเรียนว่าเด็กคนนี้ประกวดอะไร ชนะเลิศอะไรมา หรือเป็นนักกีฬาดีเด่น  พ่อแม่ที่มีลูกเป็นนักกีฬาได้ถ้วยแล้วเอามาให้โรงเรียน เราไม่เอา อยากให้ลูกเรียนเสริมอะไร กีฬา ศิลปะ หรือวิชาการเราไม่ห้าม เพราะทักษะบางอย่างโรงเรียนก็จัดให้ไม่ได้ ทว่าเราไม่สนับสนุนให้โรงเรียนพาไปเอง เราไม่สนับสนุนให้พ่อแม่จ่ายเงินเพิ่มเพื่อพาลูกไปติววิชาการ เราเชื่อว่าสาระความรู้ที่อยู่ในหลักสูตรน่าจะเพียงพอแล้ว

กับนิยามว่าเน้นกิจกรรมมากกว่าวิชาการ เป็นปัญหาต่อโรงเรียนมากน้อยแค่ไหน ?

ลึกๆ แล้ว จะพูดอะไรก็พูดไป แต่ใน 2 ปีที่ผ่านมา เด็ก ม.4 ม.5 ที่นี่ผ่านกระบวนการสอบ o-net ตอนม.3 เด็กไปสอบตามความสมัครใจ ไม่บังคับ ก็ไปกัน 80% ไม่ติวล่วงหน้า มีแค่ 1 ชั่วโมงแนะนำว่าสิ่งที่จะไปเผชิญไม่เหมือนกับที่ครูเคยสอนมาเลยนะ ข้อสอบหน้าตาเป็นอย่างนี้ แล้วลูกก็ไปทำในมุมของลูก สอบ 4 วิชา ภาษาอังกฤษ คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ทั่วไป ภาษาไทย

ปีแรกเราจุดธูปนะ ขอให้รอด ขอให้รอด (หัวเราะ)

ที่นี่เน้นเรียนภาษาไทย วรรณกรรม ภาษาอังกฤษเข้มข้น คะแนน 2 ปีที่ผ่านมาอยู่ระดับท็อปของประเทศ คณิตศาสตร์กับวิทยาศาสตร์ลงมาหน่อยหนึ่ง แต่เกาะกลุ่มสาธิต ไม่ขี้เหร่

แต่สิ่งที่เราเห็นมากกว่าคือเด็กคนหนึ่งเขียนร้อยกรองรวมเล่มของสำนักพิมพ์ผีเสื้อ ได้ตีพิมพ์ตั้งแต่อยู่ม.3 เรื่องถ่ายทำตัดต่อวิดิโอมีเยอะมาก อีกคนเขียนการ์ตูนเก่ง เลยให้มาช่วยครูทำสื่อการสอนสวยๆ มีความสามารถที่เขาปั้นของเขาเองเยอะมาก

นั่นแปลว่ามันมีเรื่องแบบนี้อยู่ในตัวเด็กเยอะมาก เราคิดว่ามันเป็นมุมที่ระบบการศึกษาไม่ส่งเสริม


 

ความสัมพันธ์ ไทย-จีน

พิมพ์ PDF

สงคราม 16 วัน จีนบุกโจมตีเวียดนาม เมื่อ พ.ศ.2521

ความจริง ที่ต้องบอกต่อ...ให้ลูกหลาน ทั้งประเทศ ได้รับรู้ไว้

       หลังจากที่สหรัฐอเมริกาพ่ายแพ้สงครามเวียดนาม   ทหารเวียดนามได้ยึดอาวุธยุทโธปกรณ์ อันทันสมัยไว้มากมาย ทั้งเครื่องบินรบ รถถัง ปืนใหญ่ และอาวุธประจำกาย ซึ่งมีประสิทธิภาพสูงสุดของโลกในขณะนั้น

ทำให้กองทัพเวียดนามแข็งแกร่งขึ้นเป็นอันดับ 3 ของโลก

ทหารเวียดนาม จึงมีความกระหายสงครามเป็นอย่างยิ่ง ประกาศยึดลาว กัมพูชา และ ไทยต่อทันที ในเวลาเพียงไม่นาน ทั้งลาวและกัมพูชา ก็ตกเป็นของเวียดนาม

        นายพลโว เหงียนเกี๊ยบ ผู้บัญชาการกองทัพเวียดนามเจ็บแค้นมาก ที่ไทยยอมให้สหรัฐอเมริกา มาตั้งฐานทัพ และใช้เครื่องบินรบ บินขึ้นจากสนามบินอู่ตะเภา และสนามบินใน จ.อุบลราชธานี ขนระเบิดไปถล่มเวียดนามนับหมื่นเที่ยวบิน 

       กองทัพเวียดนามขนอาวุธทุกชนิดที่มี รถถังจำนวนมาก มาประชิดชายแดนไทยเป็นแนวยาวหลายร้อยกิโลเมตร  นายพลเวียดนามประกาศว่า จะนำทหารเข้าไปกินข้าวที่กรุงเทพฯ ให้ได้ภายใน 3 วัน

        นายกรัฐมนตรีไทยในขณะนั้น  คือหม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช  เรียกประชุมด่วน และขอให้ พลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ  แจ้งไปยังสหรัฐอเมริกาว่า เรากำลังจะถูกเวียดนามบุก

         สหรัฐอเมริกา ตอบกลับมาว่า ขอให้เราช่วยตัวเอง เพราะสหรัฐเพิ่งถอนทัพจากเวียดนาม ไม่อาจช่วยอะไรได้อีกต่อไป รัฐบาลไทย  จึงได้ขอใช้อาวุธ ที่ยังตกค้างอยู่ที่ไทย  สหรัฐฯ ไม่อนุญาตให้ไทยใช้อาวุธของอเมริกัน ที่ตกค้างจากสงครามและฝากเก็บไว้ในดินแดนไทย

        หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ เรียกประชุมผู้นำเหล่าทัพทันที และถามในที่ประชุมว่า ด้วยศักยภาพที่มีอยู่ตอนนี้ เราจะสู้เวียดนามได้กี่วัน .... ผู้บัญชาการทหารของกองทัพไทยตอบว่าประมาณ 4 วัน (มากกว่าที่นายพลเวียดนามบอกไว้ 1 วัน)

        หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ หันไปบอกกับพลเอกชาติชายที่นั่งอยู่ข้างๆ ว่า.....เราต้องรีบไปจีนด่วนที่สุด....

        หลังจากนั้นไม่นาน ผู้นำไทยก็ได้เข้าพบ “โจวเอินไหล” นายกรัฐมนตรีของจีน  ประโยคแรก ที่โจวเอินไหล ทักทายพลเอกชาติชายคือ “เป็นไงบ้างหลานรัก”   (พ่อของพลเอกชาติชาย คือ พลเอกผิน เป็นเพื่อนร่วมรบกับโจวเอินไหลในครั้งสงครามเชียงตุง)

          การเชื่อมความสัมพันธ์เป็นไปอย่างชี่นมื่น ทั้งที่ก่อนหน้านั้นเราไปให้ความสำคัญกับไต้หวันมากกว่าจีนแผ่นดินใหญ่ รับรองไต้หวันเป็นประเทศ  แต่โจว เอิน ไหลไม่คิดมาก  และ ยังเปิดโอกาสให้ได้พบกับ “เหมาเจ๋อตุง” ประธานพรรคคอมมิวนิสต์ และ “เติ้ง เสี่ยวผิง” รองนายกรัฐมนตรี ผู้ซึ่งได้รับการวางตัวให้เป็นผู้นำจีนรุ่นต่อไป

          เวียดนามวุ่นวายกับลาวและกัมพูชาอยู่ 2 ปี ในเดือนมิถุนายน ปี พ.ศ. 2521  เวียดนามยกกำลังพล 400,000 นาย พร้อมอาวุธทันสมัยที่สุดในยุคนั้น เตรียมบุกไทย

ทางรัฐบาลได้มอบหมายให้ พันเอกชวลิต ยงใจยุทธ เดินทางไปจีน เพื่อขอความช่วยเหลือตามที่ มรว.คึกฤทธิ์ได้กรุยทางไว้

          เสนาธิการทหารของจีนประชุมกันและแนะนำว่า ควรปล่อยให้เวียดนามบุกเข้ายึดกรุงเทพฯ ก่อน แล้วค่อยส่งกองทัพจีนตามไปปลดแอกให้ แต่

เติ้งเสี่ยวผิง ลุกขึ้นตบโต๊ะในที่ประชุม แล้วกล่าวด้วยเสียงอันดังว่า "ช่วยเหลือมิตร ต้องช่วยให้ทันการณ์"

           เดือนพฤศจิกายน 2521   เติ้งเสี่ยวผิง  เดินทางมาดูสถานการณ์ที่ประเทศไทย และรีบกลับไปทันที  หลังจากนั้น 2 เดือน ในเดือนมกราคม 2522  กองทัพจีนพร้อมกำลังพล 500,000 นาย  รถถัง 5,000 คัน เครื่องบิน 1,200 ลำ  ได้เปิดสงครามสั่งสอนเวียดนาม

                กองทัพจีน เข้าตีทางภาคเหนือของเวียดนามอย่างรุนแรง เวียดนามถอนทัพที่ประชิดชายแดนไทย กลับไปรับศึกจีน  จีนรุกไปถึงฮานอย จนทหารเวียดนามเสียชีวิตประมาณ 50,000 นาย และ เวียตนาม ถอนทัพกลับในทันที โดยใช้เวลาทั้งหมดเพียง 16 วัน 

           ย้อนไปนานกว่านั้น  เมื่อครั้งกรุงศรีอยุธยาแตก ราชสำนักชิง รีบส่งข้าหลวง ลงเรือสำเภามาดูสถานการณ์ในไทย และ ให้รายงานต่อราชสำนักทางปักกิ่ง อยู่ตลอดเวลา ในบันทึกภาษาจีนเขียนไว้ว่า  จักรพรรดิเฉียนหลง ทรงประสงค์จะรู้ข่าวคราว ของสยามถึงขนาดกระวนกระวาย เรียกประชุมกลางดึกหลายครั้ง จะเห็นได้ว่า จักรพรรดิจีนทรงให้ความสำคัญกับสยามเพียงใด

        ในจดหมายเหตุของราชวงศ์ชิงได้บันทึกถึง ครั้งที่จีนยกทัพตีภาคเหนือของพม่าไว้ว่า  ขณะที่กองทัพจีนบุกพม่า จักรพรรดิเฉียนหลง ได้ทรงติดต่อกับ “เจิ้งเจา” (สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ) หลายครั้ง ดังนั้น

ข้อสงสัยที่ว่า จีนยกทัพตีพม่า ก็เพื่อดึงทัพของเนเมียวสีหบดีกลับไป ย่อมจะเป็นจริงเพราะถ้าทัพใหญ่ของพม่า  ยังคงอยู่ที่อยุธยา กองทัพพระเจ้าตากฯ ซึ่งมีทหารเพียงหลักพันนายเท่านั้น ย่อมไม่มีทางจะเอาชนะได้เลย  และ ชาติไทยก็อาจจะหายไปจากแผนที่โลกในปัจจุบันก็ได้

    ........ ตลอดระยะเวลาหนึ่งพันปี ที่ผ่านมา เห็นได้ว่าจีนให้ความสำคัญกับไทยมากๆ  ในฐานะมิตรประเทศที่มีความผูกพันอย่างแนบแน่น

 

Cr.ทันตแพทย์ สม สุจีรา


 

นายกขยับหมาก เปลวสีเงิน

พิมพ์ PDF

นายกฯ 'ขยับหมาก'

******************

    การเมืองเหมือน "หมากรุก"

    "ฝ่ายตรงข้าม" ดาหน้ากันขึ้นไปเป็นแผง ทั้งเบี้ย ยันขุน

    นายกฯ แค่ขยับโคนตัวเดียว ตาค้างกันทั้งกระดาน!

    เมื่อวาน (๙ พ.ย.๖๕) ท่านลงนามแต่งตั้ง "ดร.ไตรรงค์  สุวรรณคีรี" ที่ลาออกจากพรรคประชาธิปัตย์ เมื่อ ๒๗ ตุลา

    เป็น "ที่ปรึกษาประจำตัว" อีกคน

    เท่ากับตอนนี้ นายกฯ มี ๒ ที่ปรึกษา ครบ "แขนซ้าย-แขนขวา"

    ข้างหนึ่ง "พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค" ชำนาญกฎหมาย

    อีกข้าง "ดร.ไตรรงค์" ชำนาญเศรษฐศาสตร์ ที่ปรึกษา "ป๋าเปรม" สมัยป๋าเป็นนายกฯ ๘ ปี

    จาก ๘ ปี "ป๋าเปรม" ถึง ๘ ปี "พลเอกประยุทธ์"!

    จะใช้คำว่า "ลุงตู่" กับ ดร.ไตรรงค์ ก็ไม่เหมาะ เพราะนับโดยพรรษา ลุงตู่ เกิด ๒๔๙๗ แต่ ดร.ไตรรงค์ เกิด  ๒๔๘๗ ห่างกันตั้ง ๑๐ ปี!

    ย้อนกลับไปสมัย ๖ ตุลา ดร.ไตรรงค์ เป็น "เลขาส่วนตัว" ท่านอาจารย์ "ป๋วย อึ๊งภากรณ์"

    ก็อย่างที่บอก ในโลกนี้ไม่มีอะไรบังเอิญ ทุกอย่างถูกจัดสรรลงตัวไว้ล่วงหน้าหมดแล้ว

    อยู่แต่ว่า จะปรากฏ "ตอนไหน-เวลาไหน" เท่านั้น!

    ดร.ไตรรงค์ จบเศรษฐศาสตร์ แต่ไม่บ้าทฤษฎีและติดอยู่ในตำราเหมือนนักเศรษฐศาสตร์-รัฐศาสตร์บางคน

    จะเห็นว่า ดร.ไตรรงค์ ต่างกับพวกอาจารย์มากอีโก้ โม้ทฤษฎี ที่ชอบสวมเสื้อนอก ออกจ้อตามจอ

    ส่วนใหญ่ พวก "หัวลูกเต๋า" เรียนมา-จำมาอย่างไหน  ก็ติดตำราอยู่แค่นั้น ไม่รู้จักพลิกแพลงใช้

    ส่วน ดร.ไตรรงค์ ท่านทะลุเปลือกตำราในห้องสอน ไปสู่ปฏิบัติการสร้างและพัฒนาชาติ ซึ่งมันคนละโลกกับในตำรา

    จดหมายลาออกจากประชาธิปัตย์ของท่าน ประเด็นสำคัญอยู่ตรงว่า......

   "ผมขอมีลมหายใจเป็นของตนเอง" สักครั้ง!

    การมาเป็นที่ปรึกษาให้นายกฯ ในภาวะที่ใครๆ ก็พูดว่า "นายกฯ ขาลง" ดังนั้น เรื่องตำแหน่ง ลาภ ยศ เลิกพูด

    ถ้าอย่างนั้น ดร.ไตรรงค์ มาทำงานให้นายกฯ ประยุทธ์เพราะอะไร?

เพราะ "ผมขอมีลมหายใจเป็นของตนเอง" สักครั้ง

    และลมหายใจนั้่น เคียงลมหายใจพลเอกประยุทธ์

    ในความเป็น "คนจริง-นักเลงจริง" เท่านี้...จบ!

    ๒ ที่ปรึกษาซ้าย-ขวา จะช่วยนายกฯ "สร้างประเทศ" ได้แบบไหน อย่างไร อ่านนี่ซักหน่อยปะไร

.......................................

    ดร. ไตรรงค์ สุวรรณคีรี

    #ยุทธศาสตร์ #นโยบาย #การประชุม APEC

    เมื่อผมเขียนใน Facebook ชื่นชมว่าประเทศไทยโชคดีที่มีนายกรัฐมนตรี อย่างน้อย 2 ท่าน ที่เป็นคนซื่อสัตย์

    และได้เป็นผู้นำรัฐบาลเป็นระยะเวลานานพอที่จะคิดเรื่องยุทธศาสตร์ระยะยาวให้เกิดความมั่นคงทางเศรษฐกิจแก่ประเทศในอนาคตได้

    ก็มีผู้อ่านบางท่านตำหนิว่า.......

    นายกฯ ที่ซื่อสัตย์ของไทยมิได้มีเพียง 2 ท่านเท่านั้น ซึ่งเป็นข้อตำหนิที่ถูกต้องที่สุด

    เพราะตลอดประวัติศาสตร์การเมืองไทย เคยมีนายกรัฐมนตรี ที่ไม่มีชื่อเสียเกี่ยวกับการโกงกินคอร์รัปชันอยู่อีกหลายท่าน

    เช่น พระยามโนปกรณ์นิติธาดา, นายทวี บุณยเกียรติ,  ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช, นายควง อภัยวงศ์, นายสัญญา  ธรรมศักดิ์

    นายธานินทร์ กรัยวิเชียร, นายอานันท์ ปันยารชุน, พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์, นายชวน หลีกภัย และนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นต้น

    แต่ที่ผมเอ่ยชื่อเพียง 2 ท่าน คือ พล.อ.เปรม และ  พล.อ.ประยุทธ์ นั้น

    ผมหมายถึงนายกฯ ที่ซื่อสัตย์ และได้เป็นหัวหน้ารัฐบาลบริหารประเทศเป็นระยะยาวติดต่อกัน

    จนสามารถมียุทธศาสตร์ มีนโยบาย ในการวางโครงสร้างเพื่อความเจริญและมั่นคงต่อเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาวได้

    เช่น พล.อ.เปรม ได้สร้างท่าเรือน้ำลึกและเขตเศรษฐกิจมาบตาพุด ท่าเรือน้ำลึกแหลมฉบัง

    และเป็นคนแรก ที่สั่งให้มียุทธศาสตร์ระยะยาวสำหรับ  3 จังหวัดภาคใต้ ไว้ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ

    ส่วน พล.อ.ประยุทธ์ ก็เป็นคนแรก ที่สั่งให้มีการวางยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี (พ.ศ.2561-2580) สร้างเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC)

    รวมทั้งมีการปรับปรุงการคมนาคมทั้งทางราง ทางน้ำ และทางอากาศ มากที่สุดในประวัติศาสตร์

    นายกฯ ที่ซื่อสัตย์คนอื่นๆ อาจจะซื่อสัตย์จริง แต่มิได้มีผลงานในการปรับเปลี่ยนโครงสร้างทางเศรษฐกิจใดๆ

    ไม่มีการวางยุทธศาสตร์ระยะยาวเพื่ออนาคตประเทศ  จึงไม่มีการลงมือทำแผนเพื่อสนองยุทธศาสตร์ที่ให้เห็นได้อย่างชัดเจน

    ทั้งนี้ อาจจะเป็นเพราะในยุคของท่านเหล่านั้น มีเวลาให้ท่านบริหารประเทศสั้นเกินไป

    หรืออาจเพราะมีปัญหาเฉพาะหน้าทางการเมืองจากพวกอกหัก คอยก่อกวน จนไม่มีเวลาคิดวางแผนอะไรในระยะยาวให้กับประเทศได้

    หรืออาจไม่มีความคิดเช่นนั้นอยู่ในสมองก็เป็นไปได้

    ที่น่าเสียดายก็คือ ในช่วงของรัฐบาลเผด็จการของจอมพล ป. พิบูลสงคราม รัฐบาลเผด็จการจอมพลสฤษดิ์  ธนะรัชต์ และช่วงของรัฐบาลจอมพลถนอม-ประภาส

    แต่ละท่าน เป็นผู้นำรัฐบาลในระยะยาวพอสมควร มีเสถียรภาพเพราะได้รับการสนับสนุนเต็มที่จากสหรัฐอเมริกา

    แต่ก็ไม่เคยมีวิสัยทัศน์ที่คิดจะวางยุทธศาสตร์ระยะยาวให้กับประเทศเลย

    ช่างแตกต่างจากรัฐบาลของนายพลปัก จุงฮี จอมเผด็จการของเกาหลีใต้ ในช่วงเวลาไล่เลี่ยกัน (พ.ศ.2504-2521)

    ได้รับการสนับสนุนเต็มที่จากสหรัฐอเมริกาเช่นเดียวกัน แต่นายพลปัก จุงฮี มีวิสัยทัศน์กว้างไกล.......

    ได้สั่งให้ลูกน้องที่ใกล้ชิดไปจัดการทำแผนยุทธศาสตร์ระยะยาว ทั้งๆ ที่ลูกน้องคนนั้นมิได้เป็นนักเศรษฐศาสตร์แต่อย่างใด

    ต้องพูดความจริงกันเสียสักครั้งหนึ่งว่า.....

    เบื้องหลังความสำเร็จในการพัฒนาประเทศ จากประเทศด้อยพัฒนา (Less Developed Country-LDC)

    เป็นประเทศพัฒนา (Developed Country-DC) ของหลายๆ ประเทศ

    ล้วนใช้นักเศรษฐศาสตร์น้อยมาก อาจจะเป็นเพราะนักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่ มักติดยึดในทฤษฎีการค้าเสรีตามที่เคยเรียนมาจากประเทศตะวันตก

    ซึ่งโลกได้พิสูจน์แล้วว่า การให้ทุกประเทศมีการค้าเสรีตามนโยบาย Washington Consensus ที่คิดขึ้นโดยนักเศรษฐศาสตร์อเมริกันและอังกฤษนั้น

    ประเทศเล็กๆ ที่ด้อยพัฒนา มีแต่ถูกสูบเลือด ถูกเอาเปรียบจากประเทศที่พัฒนาแล้ว

    วิกฤตเศรษฐกิจก็เกิดขึ้น เพราะการบ้าทฤษฎีเศรษฐกิจเสรีนั้นแหละ

    ตัวอย่างประเทศใกล้ตัวของเราที่ใช้นักเศรษฐศาสตร์น้อยมากก็คือ จีน ไต้หวัน เกาหลีใต้ และญี่ปุ่น

    ประเทศญี่ปุ่น นั้น ใช้นักกฎหมายเป็นส่วนใหญ่ในการวางยุทธศาสตร์ระยะยาว

    ไต้หวัน ใช้วิศวกร และนักวิทยาศาสตร์ เป็นส่วนใหญ่ ในการวางยุทธศาสตร์ดังกล่าว

    เกาหลีใต้ก็เช่นเดียวกับไต้หวัน ภายใต้การนำของนายพลปัก จุงฮี ผู้เป็นเผด็จการยิ่งกว่าจอมพลสฤษดิ์

    ปกครองประเทศเกาหลีใต้ติดต่อกันถึง 18 ปี

    แต่ปัก จุงฮีกลับใช้ผู้ช่วยประธานาธิบดี คือ นายโอ  วอนชุล (Oh Won Chul) ซึ่งเป็นวิศวกรให้เป็นผู้รับผิดชอบในการยกร่างแผนเศรษฐกิจและกำหนดยุทธศาสตร์ระยะยาว

    นาย Won Chul ได้ร่วมกับวิศวกรและนักวิทยาศาสตร์อื่นๆ อีกประมาณ 20 คน โดยกำหนดยุทธศาสตร์ด้วยความเห็นชอบของประธานาธิบดี

    ว่า#ต้องสร้างประเทศเกาหลีด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม

    ทั้งนี้ ก็เพื่อเปลี่ยนประเทศ จากการเป็นผู้ส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมเกรดต่ำๆ ให้กลายเป็นประเทศ ที่สามารถส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมคุณภาพสูง เหนือกว่าคู่แข่งขันใดๆ ในโลกให้ได้

    โดยเฉพาะทางด้านการผลิตเครื่องจักรและเครื่องใช้ไฟฟ้า (Electronics) เหล็กกล้า (Steel) และการก่อสร้างเรือขนาดใหญ่ทั้งเรือสินค้าและเรือรบ (Ship building) เป็นต้น

    ยุทธศาสตร์เหล่านี้ ได้ประกาศไว้ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจฉบับที่ 2 (พ.ศ.2510-2514)

    หลังจากนั้น การกำหนดนโยบายเพื่อวางแผนผลิตแรงงานให้ทันกับความต้องการของอุตสาหกรรมดังกล่าวในอนาคต โดยเฉพาะการผลิตวิศวกร นักวิทยาศาสตร์ นักฟิสิกส์

    ผู้สำเร็จขั้นกลางระดับอาชีวะที่สามารถจะทำงานร่วมกับเครื่องจักรที่ใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ได้ #จนปัจจุบันอุตสาหกรรมดังกล่าว ก็ไม่เป็นสองรองใคร

    เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ของเราก็ต้องการแรงงานที่มีคุณภาพจริงๆ

    คือรู้งานในการทำงานกับเครื่องจักรและเทคโนโลยีสมัยใหม่จากประเทศต่างๆ ได้ เมื่อมันเสีย ก็สามารถซ่อมแซมได้ทันที

    แรงงานประเภทนี้ ไม่จำเป็นต้องเรียนจบมีดีกรี ตรี โท  หรือเอก

    ความรู้ความเข้าใจของกลไกทางเทคโนโลยีที่ต้องใช้กับเครื่องจักรสมัยใหม่จากทั่วโลกที่จะมาลงทุนในเขต EEC  ต่างหาก ที่สำคัญกว่าสิ่งใดๆ

    #จะต้องใช้งบประมาณเท่าใดก็ต้องยอมครับ

    นอกจากประเทศไทยต้องมี #นโยบายการศึกษาเพื่อผลิตแรงงานที่จำเป็นสำหรับอุตสาหกรรม เหมือนอย่างที่เกาหลีใต้เคยมีตั้งแต่สมัย ประธานาธิบดีปัก จุงฮี แล้ว

    การแลกเปลี่ยนการฝึกแรงงานกับประเทศผู้เป็นเจ้าของเครื่องจักรที่ใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ จึงน่าจะเป็นเรื่องจำเป็นในการทำความตกลงกันให้ได้ในการประชุม APEC ในครั้งนี้ด้วย

.......................................

    ขยับหมากตาเดียว ยังตาค้างกัน

    ขยับอีกตา ต้นปีหน้า...

    มิตกใจ จน "หลานตา" คลอดก่อนกำหนดรึนั่น!?

.

คนปลายซอย

เปลว    สีเงิน

ไทยโพสต์

๑๐ พฤศจิกายน ๒๕๖๕


 

จีนเปิดประเทศ มุมมองบนปรากฎการณ์ที่ไทยต้องคิดวิเคราะห์ให้ลึก

พิมพ์ PDF

“จีนเปิดประเทศ”    มุมมองบนปรากฏการณ์ที่ไทยต้องคิดวิเคราะห์ให้ลึก

จีน

 ประธานาธิบดี 1 คน : ปธน. สี จิ้น ผิง

 พูลิตบูโร 7 คน

 สมาชิกระดับสูง/คณะมนตรีรัฐกิจ 35 คน

 สมาชิกรัฐสภาประชาชน 2,980 คน

 สมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์(คนเก่ง/ฉลาด) 90 ล้านคน (ได้มาจากกระบวนการ Ranking อย่างเป็นลำดับจากเล็กจนโต)

 จีนดี 1,100 ล้านคนเศษ   จีนเทา 200 ล้านคนเศษ  (รวม 1,410 ล้านคน)

 มณฑล 23 มณฑล (รวมไต้หวัน)

ปรัชญาจีน

 “ชาวจีน ไม่ว่าจะอยู่ ณ แห่งหนใด ก็ถือว่าเป็นชาวจีนทั้งสิ้น”

 “เลือด ย่อมข้นกว่า น้ำ”

 จีนจะไม่เข่นฆ่าคนชนชาติจีนด้วยกันเองโดยเด็ดขาด”

กลยุทธ์

 “เปิดประเทศจีน”

  ก. ประเทศจีนต้องเป็นที่อยู่อาศัยของชาวจีนดี 1,100 ล้านคนเศษ

   ปธน. สี จิ้น ผิง ต้องดูแลจีนดี 1,100 ล้านคนให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี

   ปธน. สี จิ้น ผิง ต้องสร้างความเท่าเทียมในสังคมบนแผ่นดินจีน จีนรวยต้องแบ่งปันจีนยากจน (จีนเทาไม่ยินดีกับนโยบายนี้)

  ข. จีนเทา 200 ล้านคนเศษหากอยู่ในเมืองจีนไม่ได้ก็เปิดโอกาศให้สามารถออกไปใช้ชีวิตในต่างประเทศได้ ด้วยนโยบาย “เปิดประเทศ”  เปิดช่องมิให้จีนเทาในจีนจนตรอก

   ปธน. สี จิ้น ผิง อนุญาตให้ออกนอกประเทศตาม “นโยบายเปิดประเทศ” ระบายจีนเทาออกนอกประเทศครั้งใหญ่เป็นประวัติศาสตร์

   ปธน. สี จิ้น ผิง  ไม่อนุญาตให้นำเงินหยวนออกนอกประเทศ แต่ให้โอกาสไปหาลู่ทางสร้างฐานะความร่ำรวยในต่างประเทศได้  (จะไม่บังคับว่าจะต้องทุกข์ใจอยู่ในประเทศจีนภายใต้กฎเกณฑ์ข้อบังคับอย่างเข้มข้น : ระบบกำกับควบคุมแม่นยำ/ฉลาดที่ใช้ในประเทศจีนอย่างเต็มรูปแบบเพื่อสร้างความสงบสันติสุข  ปราศจากการทุจริตคอรัปชั่น)

   ปธน. สี จิ้น ผิง ไม่รับประกันใดๆในความประพฤติของจีนเทาหากไปสร้างความเดือดร้อนให้กับประเทศใดๆ    จะไม่ตามจับกุมนำตัวมาลงโทษ   แต่ห้ามกลับจีนหากกระทำตนและถูกประกาศว่าเป็นบุคคลไม่พึงประสงค์ 

  การเปิดประเทศครั้งใหญ่ของจีน แท้จริงก็คือ “การปล่อยปีศาจจีน “จีนเทา” ออกนอกประเทศ” มิให้เป็นเสี้ยนหนามแผ่นดินจีน

ไทยกับการเปิดประเทศจีน

 “เงินซื้อได้ทุกอย่างในประเทศไทย”

  1. จีนเทา 200 ล้านคนเศษ หลั่งไหลเข้ามาประเทศไทยหวังมาตั้งรกรากสร้างความร่ำรวยในประเทศไทย สร้างอาณาจักรจีนเทานอกประเทศจีน

    ประเทศไทยในความคิดของจีนเทา ดังนี้

     ก. อุดมสมบูรณ์-ทรัพยากรมีมาก 

     ข. คนเก่งไม่ได้ทำหน้าที่ปกครองบ้านเมือง-การปกครองบ้านเมืองเป็นหน้าที่ของนักการเมือง/นักปกครอง-ข้าราชการกังฉิน(ด้อยคุณภาพ)ซึ่ง “เงิน(หยวน-บาท)ซื้อได้ทั้งหมด”

    ค. ไม่มีเงินหยวนมาจากจีน-แต่หากอยู่อาศัยทำมาหากินในเมืองไทยก็จะร่ำรวย(เงินบาท)ได้ในเร็ววัน “เงินต่อเงินบนคอรัปชั่นที่ชุกชุม-สร้างความร่ำรวยได้เป็นสัดส่วนทวีคูณ” อาจรวยกว่าทำมาหากินในจีนเสียด้วยซ้ำ”

  2. จีนเทา 200 ล้านคน ต่างมีมติเป็นเอกฉันท์จะไม่แก่งแย่งทำมาหากินกันเองในประเทศไทยให้เกิดความขัดแย้งระหว่างกันเอง  

    ประเทศไทยจะต้องถูกตั้งเป็นฐานปฏิบัติการจีนเทาเพื่อจีนเทาทุกคน 200 ล้านคน

     ศูนย์กลางจีนเทาแห่งประเทศไทยตั้งอยู่ ณ กทม. ตามกระทรวง/กรม-หน่วยราชการไทย

    ศูนย์ปฏิบัติการย่อยสาขา

     สาขา ณ ประเทศอาเซียน

     สาขา ณ ประเทศแถบเอเชีย

     สาขา ณ ประเทศเครือข่ายทั่วโลก

   ประเทศไทยคือดินแดนอาณาจักรแห่งใหม่ของจีนเทานอกประเทศจีน   ประเทศไทยไม่เป็นปฏิปักษ์กับจีนดี 1,100 ล้านคนและไม่เป็นศัตรูกับ ปธน. สี จิ้น ผิง     ปธน.สีฯ  จึงยินดีและไม่ว่าอะไร ยิงนัดเดียวได้นก2ตัว    เนื่องจากปรัชญาที่ว่า  “เลือดข้นกว่าน้ำ”   (สภาความมั่นคงต้องมองเห็นสภาพภัยคุกคามนี้)

    แหล่งอาหาร(พืชพรรณ- สัตว์แมลง)-แหล่งพลังงานชั้นดีแห่งดินแดนสุวรรณภูมิซึ่งไม่มีวันหมดสิ้น  กดราคาต่ำได้ตามอำเภอใจบนกระบวนการค้าขายข้ามชาติ(ต้นน้ำ: ที่ดิน/สวนเกษตร   -  กลางน้ำ: ล้ง/โลจีสติกส์/ขนส่งลำเลียง – ปลายน้ำ: การตลาดอิเล็กทรอนิกส์/ศูนย์กระจายสินค้า) ที่ชาวจีนเทากุมอยู่ในมือแบบเบ็ดเสร็จ 

    ประเทศไทยจะไม่ก่อปัญหาทิ่มแทงจีนดีเหมือนกับไต้หวันซึ่งเป็นหนามยอกอก

    ระบบคอรัปชั่นในประเทศไทยเอื้ออำนวยให้จีนเทาครอบครองประเทศไทยทั้งประเทศแบบครบวงจร   : ครอบงำนักการเมือง/นักปกครอง - ครอบงำข้าราชการ  - ครอบงำสถาบันการศึกษา/กลืนชาติไทยได้อย่างง่ายดาย (ต่างจากจีนบรรพบุรุษที่เคยร่วมสร้างชาติไทย)

    ลัทธิบูชาเงินของชนชาติไทย-กับ-ความยากจนของชนชาติไทยทำให้ชนชาติไทยขายทิ้งที่ดิน-สวน/ไร่/นา.../อาคารสถานที่สิ่งปลูกสร้างให้ตกไปอยู่ในมือจีนเทาได้แบบเบ็ดเสร็จก็ด้วยเงินกับระบบคอรัปชั่นที่แพร่หลายทุกหย่อมหญ้าในประเทศไทย (การปกครองท้องถิ่น-การปกครองส่วนภูมิภาค/การปกครองส่วนกลาง-รัฐไทย(รัฐสภา-รัฐบาล)/ยกมือในสภา-ซื้อตัวรัฐมนตรี/ตกลงซื้อขาย-ดำเนินธุรกิจขนาดยักษ์ในโครงการขนาดยักษ์(โครงการก่อสร้าง)ที่ใช้ชาติบ้านเมืองเป็นเดิมพัน-ซื้อนวัตกรรม+ที่ปรึกษาชาวจีน)

    ขั้วอำนาจแห่งใหม่เปลี่ยนไปจากเดิม นโยบายกับฐานปฏิบัติการทางทหารจีน(โดยทางอ้อมด้วยบริบทของจีนเทา)สามารถบันดาลให้ไทยเปลี่ยนขั้วจากใจฝักใฝ่อเมริกันกลายไปเป็นใจฝักใฝ่จีนดีได้ไม่ยาก    จีนเทาตอบแทนจีนดีได้ด้วยวิธีการ/หมากกลนี้ - การแลกเปลี่ยนจีนดี-จีนเทาลงตัว  ต่างกับจีนดี-จีนไต้หวันซึ่งไม่ลงตัว    จีนไต้หวันฝักใฝ่อเมริกันเต็มตัว100%)

 

 การเปิดประเทศของจีนยังสามารถวิเคราะห์ได้อีกหลายมิติมุมมองซึ่งมีผลกระทบระยะยาว

 การปฏิสัมพันธ์กับจีนดี/ปธน. สี จิ้นผิง  ถือเป็นความสำคัญยิ่ง  เพื่อสร้างธุรกิจสีขาวกับจีนดีโดยมิต้องพึ่งพาจีนเทา

 

 ชนชาติไทยต้องฝึกมองภาพประเทศไทย-ฝึกวิเคราะห์ปรากฏการณ์โลกที่มีผลกระทบต่อประเทศไทย! เพื่อความอยู่รอดของไทยเราเอง!!!


 


หน้า 2 จาก 556
Home

มูลนิธิศูนย์บูรณาการพัฒนามนุษย์ ์

 iHDC Profile
บัญชีรายชื่อกรรมการ
ใบสำคัญแสดงการจดทะเบียน การเปลี่ยนแปลงกรรมการของมูลนิธิ
เอกสารประชาสัมพันธ์ โครงการ HMTC.pdf
เอกสารแนะนำโครงการ HMTC 1.pdf
เอกสารโครงการ HMTC 2 คุณสมบัติผู้เข้าร่วมโครงการ.pdf
iHDC นิติบุคคล.pdf
iHDC บุคคล.pdf
iHDC บุคคลเครือข่าย.pdf
รายงานการประชุม 6 มีนาคม 2560.pdf
ข้อบังคับมูลนิธิ
ใบสำคัญแสดงการจดทะเบียนจัดตั้งมูลนิธิ
Ihdc-Profile and Roadmap 2016-2019 Mar 23 2560.pdf
รายงานการประชุมใหญ่คณะกรรมการมูลนิธิศูนย์บูรณาการพัฒนามนุษย์ 2559.pdf
คำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการ สาขาวิชาชีพ.pdf
รายงานการประชุมใหญ่วันที่ 18 ธ ค 2558 v 3.pdf
รายงานการประชุม วันที่ 24 ธันวาคม 2557 updated 4 มีนาคม 2558.pdf
iHDC-invitation Letter.doc
iHDC-Member Form Thai.doc
iHDC-Member Form English.doc
รายงานการประชุมกรรมการมูลนิธิศูนย์บูรณาการพัฒนามนุษย์ วันที่ 15 มกราคม 2556 ฉบับสมบูรณ์


thaibetter
พัฒนาประเทศไทยแบบทวีคูณ และยั่งยืน ( ททค )

Login


แบบสำรวจ

สถิติเว็บไซด์

สมาชิก : 5585
Content : 3038
เว็บลิงก์ : 26
จำนวนครั้งเปิดดูบทความ : 8560012

facebook

Twitter


ล่าสุด

บทความเก่า