คณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ สาขาปรัชญา จัดการสัมมนาทางวิชาการ เรื่อง “นโยบายด้านศาสนา : ของมีค่าที่ถูกลืม” วันที่ ๑๑ - ๑๒ พ.ค. ๕๕ ผมโชคดี ได้รับเชิญเข้าร่วม และบรรยายเรื่อง ความร่วมมือทางศาสนาในประชาคมอาเซียน จึงนำ narrated ppt มาฝากที่
ผมตั้งใจไปทำความเข้าใจว่านักวิชาการและวิทยากรที่มาพูด มองคุณค่าของศาสนาอย่างไร
ผมเพิ่งบันทึกความในใจเรื่องการถือศาสนาของผมที่นี่
บ่ายวันที่ ๑๑ ผมมีโอกาสได้ฟังส่วนหนึ่งของการอภิปรายเรื่อง “นโยบายในการส่งเสริมและทำนุบำรุงศาสนา : จากบริบทไทยไปบริบทอาเซียน” ส่วนของศาสนา ซิกข์ และศาสนาอิสลาม สิ่งที่ผมได้คือ ทั้งสองศาสนาเน้นการเรียนรู้สืบทอดหลักศาสนาภายในครอบครัว เน้นความเข้มแข็งของสถาบันครอบครัว วิทยากรจากทั้งสองศาสนาเน้นตรงกันอีกอย่างหนึ่งคือ การปฏิบัติ ที่อยู่กับเนื้อกับตัว ในทุกขณะจิตของชีวิต ข้อนี้ตรงกับความเข้าใจของผม ว่าการเรียนรู้จากการปฏิบัติ ที่เรียกว่าการฝึกฝนตนเอง เป็นเรื่องสำคัญที่สุดของชีวิต และเข้าใจว่าทุกศาสนาเน้นข้อนี้ แต่มีวิธีดำเนินการแตกต่างกัน
วันที่ ๑๒ พ.ค. ผมจึงเข้าร่วมประชุมตลอดวัน เริ่มจากการบรรยายของผมตาม narrated ppt ข้างต้น และเมื่อกลับมาไตร่ตรอง (AAR) ต่อที่บ้าน จึงเห็นว่า ศาสนาก็เช่นเดียวกับองค์กรหรือปัจจัยทางสังคมอื่นๆ (เช่น การศึกษา) ที่ตกอยู่ในสภาพที่ปรับตัวไม่ทันการเปลี่ยนแปลงของสังคม มีการพูดกันว่าวงการพุทธศาสนาไทยสื่อสารกับคนส่วนใหญ่ในสังคมไม่รู้เรื่อง
สังคมไทยทั้งสังคม ไม่มีกลไกปรับตัวให้แก่ระบบทางสังคมที่มีคุณค่าในอดีต ให้เปลี่ยนแปลงสอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของสังคม เพื่อให้ระบบทางสังคม (เช่นศาสนา) ยังดำรงคุณค่า (ในรูปแบบใหม่) ให้แก่สังคมต่อไปได้
ผมตีความว่า ระบบศาสนาต้องเรียนรู้มาก และปรับตัวมาก จึงจะดำรงคุณค่าแก่สังคมได้ แม้ว่าแก่นของศาสนาไม่เปลี่ยน แต่เปลือกหรือส่วนสัมผัสสื่อสารกับผู้คนในสังคมต้องเปลี่ยน เพื่อดำรงคุณค่าต่อคนส่วนใหญ่ในสังคมให้ได้ เป้าหมายคือเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวทางใจ ให้ยึดมั่น เชื่อมั่น ในคุณงามความดี เพื่อการอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข
ที่จริงจะว่าวงการศาสนาไม่ปรับตัวก็ไม่ถูกต้อง มีคนกล่าวในที่ประชุม (ตรงกับข้อสังเกตของผมเองด้วย) ว่าเดี๋ยวนี้วัดต่างๆ ในประเทศไทย ปรับตัวเป็น one stop service แก่ความเชื่อแบบงมงาย แก่ผู้มาสะเดาะเคราะห์ขอพร เป็นมีทั้งพระพุทธรูป เจ้าแม่กวนอิม ทั้งเทพฮินดู พระราหู ฯลฯ ให้กราบไหว้บูชา ไปที่เดียวได้พบสิ่งศักดิ์สิทธิ์ครบทุกประเภท
ผมได้เรียนรู้มากมายจากการบรรยายและการอภิปรายในวันนี้ แต่ผมแปลกใจ ที่ในช่วงการอภิปรายเรื่องศรัทธากับงานสร้างสรรค์ทางศาสนา วิทยากร ๖ ท่าน ไม่มีใครเอ่ยถึงงานสร้างสรรค์ หรืองานศิลปะ ที่เป็นเครื่องเอื้อต่อการเข้าถึงแก่นแท้ของศาสนาได้ดีขึ้น ซึ่งผมนึกถึงโรงมหรสพทางวิญญาณที่สวนโมกข์ และนึกถึงหอจดหมายเหตุพุทธทาส ที่กรุงเทพ มีแต่ ศ. ดร. วิรุณ ตั้งเจริญ ที่ยกเอาบทกวีของท่านพุทธทาสมาอ่าน ได้แก่ มองแต่แง่ดีเถิดโลกนี้คืออะไรแน่เป็นมนุษย์หรือเป็นคน
แต่กลอนชื่อ มองแต่แง่ดีเถิด ที่ ศ. ดร. วิรุณ ยกมา มี ๓ ตอน เพิ่มจากที่ผมค้นและลิ้งค์ไว้ข้างบน ๑ ตอน จึงขอนำตอนที่ ๓ มาลงไว้ ดังนี้
ไม่นานนัก จักมี ดีประดัง
จนกระทั่ง ถึงมี ดีอย่างยิ่ง
เมื่อพ้นดี จะถึงที่ นิพพานจริง
นับเป็นสิ่ง ควรฝึกแน่ “มองแต่ดี”
ขอนำบันทึกส่วนตัว ที่ผมใช้ iPad จดประกอบการฟังและคิดที่นี่ (link ไปยังไฟล์ ศาสนา_550511) ข้อความที่มีดอกจันทน์อยู่ข้างหน้าหมายถึงความคิดของผมที่ผุดขึ้นระหว่างฟัง
ท่านมหาหรรษา วิทยากรท่านหนึ่ง กล่าวว่า คนในประเทศออสเตรเลีย ร้อยละ ๗๐ บอกว่าตนไม่มีศาสนา ผมไม่เชื่อ ผมคิดว่าเขาไม่ถือศาสนาใดศาสนาหนึ่งโดยเฉพาะ แต่คนเราต้องการความเชื่อชุดหนึ่งสำหรับยึดถือหรือเป็นที่พึ่งทางใจ ซึ่งไม่จำเป็นต้องตรงกับศาสนาหนึ่งศาสนาใดทั้งหมด แต่ก็เป็นการยึดถือทางศาสนานั่นเอง
AAR อีกข้อหนึ่งของผมคือ ยังแตะศาสนาส่วนที่เป็นแก่น และส่วนที่เป็นการปฏิบัติในชีวิตประจำวันน้อยไป ผมพยายามบอก(ในการบรรยายของผม)ว่าต้องเน้นที่การสอดแทรกทักษะด้านใน คือทักษะด้านศาสนาธรรมที่เป็นแก่นเข้าไปใน PBL และครูต้องเอาเรื่องวิธีเป็น facilitator เพื่อปลูกและงอกงามทักษะด้านใน เอามา ลปรร. และวางแผนดำเนินการร่วมกันใน PLC เพราะทักษะด้านในเป็นส่วนสำคัญของ Life Skills ที่เป็นองค์ประกอบหนึ่งของ 21st Century Skills แต่ผมคงจะพูดไม่ชัด จึงเอามาย้ำไว้ ณ ที่นี้
ทักษะด้านในที่เป็นศาสนธรรมนี้ น่าจะเป็นศาสนธรรมสากล คือก้าวข้ามแต่ละศาสนา เข้าสู่ส่วนที่เหมือนกันของทุกศาสนา และทักษะนี้แหละที่จะช่วยลดความขัดแย้งระหว่างศาสนาลงได้
ส่วนหนึ่งของทักษะด้านในด้านศาสนธรรมสากลคือ EFของสมองนั่นเอง
วิจารณ์ พานิช
๑๒ พ.ค. ๕๕
< ย้อนกลับ | ถัดไป > |
---|