Who Hold The American Debt

วันอาทิตย์ที่ 11 กันยายน 2016 เวลา 00:00 น. Pudit Sukhasvasti บทความ - การเงิน
พิมพ์

 "อเมริกากับการดูดเงินออมทั่วโลกไปปรนเปรอมาเฟียการเงินวอลล์สตรีท ... เพื่อครองการเงินโลก = สาเหตุของสงครามโลกครั้งที่ 3"

... "อเมริกา" โดยการนำของ Bank Cartel หรือกลุ่มมาเฟียทางการเงิน การธนาคารของโลกได้พยายามที่จะ "ดูดเอาเงินออม" ของทั่วโลกไปใช้พัฒนาประเทศตัวเองและไปเก็งกำไรสร้างความยิ่งใหญ่พุงกางกับ "วอลล์สตรีทและBank Cartel" ( เช่น โดยผ่านการขายเงินกระดาษดอลล่าร์ที่ไม่มีสินทรัพย์ใดๆในการค้ำเพื่อผลิตเงินออกมา ค่าเงินต่ำคนชั้นล่างต้องทำงานหนักมากกว่าเดิม ทำให้เงินเฟ้อไปทั่วโลก และดูดเงินจาก ธนาคาร ประกันภัยไปประเคนวอลล์สตรีท เพื่อจะไปปรนเปรอคนชั้นสูง )

... โดยวิธีการทำนั้นอเมริกาพยายามที่จะ "ดูดเงินออม" จากทั่วโลกโดยเฉพาะจากเอเชียและประเทศตลาดเกิดใหม่เช่นกลุ่ม BRICS ที่ยี่สิบปีมาหลังมีเงินเก็บเยอะมาก โดยผ่านทาง "ตลาดหุ้น ธนาคาร วาณิชธนกิจ การประกันภัย พันธบัตร" หรือการค้าเงินดอล่าร์ โดยสามอย่างแรกนั้น ( ธนาคาร วาณิชธนกิจ การประกันภัย ) อเมริกาพยายามดันกฎหมายการ "ควบรวมกิจการ" ที่จะทำให้เงินออมจาก การประกันภัย และ ธนาคาร ผ่านตกมาอยู่ในกระเป๋าของ "วาณิชธนกิจ" ที่เป็นตัวละครหลักในการเอาเงินไป "เก็งกำไร" ใน "ตลาดหุ้น" เงินออมทั่วโลกจะตกไปอยู่ในนั้น เพื่อให้นักลงทุน นายหน้า นายธนาคารสามารถปั่นสร้างกำไรได้มากยิ่งขึ้น Bank Cartel หรือกลุ่มมาเฟียทางการเงิน วอลล์สตรีทยิ่งกล้ามใหญ่ตัวโตคับฟ้ามากขึ้นอีก

... โดยพยายามบีบปั่นป่วนให่การซื้อขายแบบอื่นดูไร้ค่า ไม่มีกำไรมากเท่าแม้แต่การค้าทองก็มีพวกพยายามทุบราคาทองเพื่อให้คนเหนื่อยหน่ายหันไปค้าและเก็งกำไรในตลาดหุ้นแทน

... สิ่งนี้เองที่ทำให้เกิดความไม่สมดุลในโลกและเกิดสงครามโลกในที่สุด

... หลังจากที่เอเชียและตลาดเกิดใหม่เศรษฐกิจเติบโตเกิดเงินออมมากมาย อเมริกาก็พยายามดึงเงินเหล่านี้มาจากประเทศเหล่านั้น ( อเมริกาลอกแบบอังกฤษในอดีต ) เช่นขายเงินดอลล่าร์ให้เป็นเงินเก็บในรูป “ทุนสำรองเงินตราระหว่างประเทศ” หรือ “พันธบ้ตรรัฐบาล” เป็นต้น ซึ่งทั้งโลกตอนนี้มีเงินดอลล่าร์เป็นเงินเก็บเป็นอันดับหนึ่งของโลก ทั้งๆเงินนั้นผลิตออกมาจากกระดาษเปล่าๆ ไม่มีทองค้ำประกันการผลิตเลย

... เอเชียและทั่วโลกโดยเฉพาะประเทศเกิดใหม่ จึงคือ "เจ้าหนี้ของอเมริกา" ที่ปล่อยเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำในระยะยาวให้อเมริกาเอาเงินไปถลุงเล่นพัฒนาประเทศและ “เก็งกำไรจนเพลิน” ในตลาดหุ้นแต่เมื่อคิดเสร็จสรรพแล้วดอกเบี้ยที่ได้คืนแทบจะไม่ได้อะไรเพราะอเมริกาพยายามทำเงินตัวเองให้แข็งทำให้อัตราแลกเปลี่ยนตอนที่จ่ายดอกเบี้ยคืนมาน้อยมาก นี่คือหลักการของอเมริกา ได้เงินใช้ฟรีๆ เหมือน "ประเทศแห่งธนาคาร"

... เพราะใครก็ตามที่พยายามทำให้ค่าเงินดอลล่าร์ของอเมริกาตกต่ำ เช่น กัดดาฟี กับ ซัดดัม ฮุสเซนพยายามจะใช้เงินสกุลดีน่าร์และยูโรในการซื้อขายน้ำมัน ที่จะมีผลให้ดอลล่าร์ตกต่ำลง และต้องจ่ายดอกเบี้นเงินกู้ดังกล่าวมากขึ้น ก็ต้องมีอันเป็นไปทุกคน โดยอ้างว่าเป็นเผด็จการบ้าง มีอาวุธร้ายแรงบ้าง หรือแม้แต่ นายโดมินิค สเตราน์ คาห์น ผู้ว่า IMF ที่พยายามลดบทบาทความสำคัญและปริมาณเงินดอลล่าร์ในตระกร้าของ IMF ลงก็ต้องมาโดนคดีการลวนลามแม่บ้านในโรงแรมเสียอนาคตทางการเมืองที่สดใสไปอีกคน

... โดยอเมริกามีหลายวิธีการในการเอาเงินออมทั่วโลกไปในตลาดเก็งกำไร เช่น ยกเลิกกฎหมาย “กลาสส์และสตีกัล” ( 1933 - 1987 ) ที่เหมือนกำแพงกั้นไม่ให้ธนาคารกับวาณิชธนกิจเชื่อมต่อกันได้ เพราะไม่อยากให้เงินฝากของคนอเมริกาถูกดูดไปให้นักเก็งกำไรสร้างกำไรให้พวกวอลล์ สตรีท ที่ชอบอ้างว่าเอาเงินไปลงทุน ทั้งที่ความจริงเงินลงทุน Real Sector มีไม่กี่เปอร์เซนท์เท่านั้น

... นอกจากแก้ไขกฎหมายเช่นนั้นแล้วก็แก้ไขกฎหมายการควบรวมกิจการ ทั้งระหว่างธนาคาร หรือระหว่าง ธนาคาร ประกันภัย และวาณิชธนกิจ เพื่อรวมเงินออมทั่วโลกไปกองที่เดียวกันในตลาดเก็งกำไร ที่ยื่งทำให้พวกวอลล์สตรีท หรือ Bank Cartel ร่ำรวยมากขึ้น ครอบครองโลกได้เบ็ตเสร็จมากขึ้นอีก

... โดยการที่ระบบโลกออนไลน์เป็นดิจิตัลยิ่งทำให้การทำงานของเครือข่ายพวกเขาง่ายดายมากขึ้น

... พวกเขาพยายามสนับสนุน “การแปรรูปรัฐวิสาหกิจ” เพื่อจะเอาทรัพย์สินของรัฐในประเทศต่างๆในหลายรูปแบบของทั่วโลกเอาไปเป็น “ตัวดึงดูด” ให้ตลาดหุ้นเป็นแหล่งการฝากเงินออมเงินที่ดีน่ายั่วยวนที่สุดแห่งเดียวของโลกต่อไปอีก โดยอ้างเหตุผลต่างๆมากมาย ว่ารัฐดูแลไม่ดีเท่าเอกชน ( รวมทั้งระบบการศึกษาเอง เช่นมหาวิทยาลัยออกนอกระบบ ที่อาจารย์ไทยยังมองไม่เห็นผลร้าย )

... เงินออมทั่วโลกแทนที่จะเอาไปลงทุนในภาคการผลิตจริงๆ พัฒนาจริงๆ กลับเอาไปเก็งกำไรในตลาดหุ้น ตลาดเงิน ตลาดอนุพันธ์ซื้อขายล่วงหน้า เงินไปเน่าจนบวมเป่งเริ่มจะฟองสบู่แตกในเร็ววันแล้ว จนปี 2008 เกิดวิกฤติครั้งใหญ่แต่อเมริกาก็ไม่เข็ด

... และวิกฤติครั้งนี้เองที่เกิดความไม่สมดุลของการพยายามครอบครองการเงินโลกของอเมริกา “จีน” เริ่มพยายามตีตัวออกห่างจากดอลล่าร์ โดยการรวมตัวกันบีบให้ลดสัดส่วนดอลล่าร์ในระบบการเงินโลกลง โดยพยายามตั้งองค์ทางการเงินมาแข่งเช่น AIIB หรือธนาคารของกลุ่ม BRICS เป็นต้น ซึ่งนักวิเคราะห์หลายคนชี้ว่า เรื่องนี้เองที่เป็นสาเหตุให้ “อเมริกา” สร้าง “สงครามยูเครน” ขึ้นมาเพื่อตัดกำลัง “รัสเซีย” ซึ่งเป็นสมาชิกของสำคัญของกลุ่มนี้ในยุโรป เพื่อรักษาอำนาจทางการเงิน ที่อังกฤษเคยสอนอเมริกาว่า “ถ้าอยากครองโลกต้องครอบครองระบบการเงินโลกให้ได้ก่อน”

... แถม "จีน" จะไปเน้นการพัฒนาตลาดภายในประเทศลดการส่งออกไปอเมริกา ยุโรปน้อยลง ยิ่งทำให่เศรษฐกิจโลกและดอลล่าร์ลดค่าลงเรื่อยๆ ที่อเมริกายอมรับไม่ได้

... และจากวิกฤติปี 2008 หลายประเทศได้เรียกร้องให้มีการทบทวนระบบการเงินโลกใหม่ ทั้งลดอำนาจของวอลล์สตรีทลง กลับมาใช้กฎหมาย “กลาสและสตีกัลล์” อีกครั้ง เพิ่มมาตรการลงโทษบริษัทในวอลล์สตรีทที่สร้าง CDO, CDS มาป่วนกิเลสชาวโลก พยายามรั้งกฎหมายเปิดเสรีทางการเงินถ้าประเทศใดๆยังไม่พร้อม แต่ทุกอย่างที่ร้องไป อเมริกาก็ทำเฉยเสีย เพราะมันคือการเสียอำนาจทางการเงินของอเมริกา คืออำนาจในการครองโลกของพวก Bank Cartel

... ดังนั้นสาเหตุที่แท้จริงของ “สงครามโลก ครั้งที่ 3 “ นั้น คือความไม่สมดุลทางการเงินที่ประเทศมหาอำนาจเดิมพยายามรั้งเอาไว้ โดยการสร้างสถานการณ์ต่างๆขึ้นมาเพื่อแค่เป็นข้ออ้างในการรักษาอำนาจตัวเองไว้ให้นานที่สุดนั้นเอง

... ในตอนนี้หลายประเทศในทั่วโลกโดยเฉพาะจากการนำของประเทศ BRICS ได้เริ่มปล่อยเงินดอลล่าร์ออกจากการครอบครองแล้วในหลายรูปแบบ ทั้งปล่อยทุนสำรองเงินตราระหว่างประเทศให้เป็นดอลล่าร์น้อยลง ทั้งไม่สนใจซื้อพันธบัตรเศษกระดาษที่ไร้ค่าของอเมริกา หันมาใช้เงินสกุลของตัวเองในการค้าขายกู้ยืมทำให้ค่าเงินดอลล่าร์เริ่มตก และอเมริกาเริ่มร้อนตัว และไม่อยากจ่ายดอกเบี้ยแพง ( ไม่ต้องพูดถึงเงินต้นที่ท่วมหัวมากมาย เอาเงินอนาคตมาใช้ สร้างหนี้ให้ลูกหลานอเมริกัน ) และเกิดเป็นว่าที่ "สงครามล้างหนี้" ขึ้นมา

... ถึงเวลาแล้วหรือยังที่รัฐบาลไทยจะลดการครองดอลล่าร์ในทุนสำรองเงินตราระหว่างประเทศแล้วหันมาสะสมทองแบบที่หลวงตาบัวแนะนำ ลดการเล่นหุ้นเพื่อสร้างให้วอลล์สตรีทร่ำรวย สร้าง "การออมแบบใหม่ที่ยั่งยืนและพอเพียง" เช่นระบบสหกรณ์ในแต่ละชุมชนในหลายระดับ ไม่เปิดเสรีทางการเงินแบบไม่มีการควบคุมและรอบคอบ ไม่แปรรูปรัฐวิสาหกิจและสถาบันการศึกษา แล้วหาแนวทางของเราเองในการเอาเงินออมมาสร้างความเจริญให้เราเองแม้จะรวยช้าแต่ก็มั่นคงกว่า

... ผีเสื้อที่อยากเป็นนกอินทรีย์นั้นไม่มีทางจะเป็นไปได้ เพราะถึงวันหนึ่งที่เริ่มโตก็จะถูกนกอินทรีย์จิกตายในท้ายที่สุด

คัดลอกจาก face book บน Time line Pudit Sukhasvasti

แก้ไขล่าสุด ใน วันอาทิตย์ที่ 11 กันยายน 2016 เวลา 22:56 น.