การศึกษาไทยต้องเอาใจใส่การช่วยเด็กพัฒนาอัตลักษณ์.

วันพุธที่ 21 มกราคม 2015 เวลา 00:00 น. ศ.นพ วิจารณ์ พานิช บทความ - การศึกษา
พิมพ์

นี่คือส่วนที่ขาดของการศึกษาไทย และผมคิดว่ามีส่วนทำให้เกิดปัญหาติดยาเสพติด ตั้งครรภ์วัยรุ่น และปัญหาสังคมอื่นๆ ในเด็กและวัยรุ่น ที่จริงมี Chickering Theory of Identity Development ออกมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1969 และมีสอนในวิชาครู แต่การศึกษาไทยไม่ได้เอามาปฏิบัติอย่างจริงจัง เพราะมัว "สอนเพื่อสอบ"

ที่จริงน่าจะเรียกว่า ทฤษฎีของชิกเกอริ่งว่าด้วยการพัฒนา ๗ มิติ มากกว่า เพราะการพัฒนาอัตลักษณ์เป็นเพียง ๑ ใน ๗ มิติ อันได้แก่

เพราะการศึกษาไม่เอาใจใส่มิติด้านการพัฒนาอัตลักษณ์ และเป้าหมายในชีวิต เมื่อโตเป็นวัยรุ่น ชีวิตจึงเคว้งคว้าง เมื่อเผชิญกับแรงกระตุ้นทางเพศภายใน และแรงชักจูงหรือกดดันจากเพื่อน (peer pressure) จึงเสียคนง่าย ยิ่งทักษะในการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น แบบผู้ใหญ่ต่อผู้ใหญ่ (ข้อ ๔) อ่อนแอ ก็ยิ่งเสียคนง่ายขึ้น เพราะไม่รู้จักหลีกเลี่ยงปฏิสัมพันธ์ที่มีผลทางลบ

การศึกษาแบบเน้น "สอน" หรือถ่ายทอดความรู้สำเร็จรูป เน้นให้จำไว้สอบ จะไม่พัฒนาข้อใดๆ เลยใน ๗ ข้อข้างบน

จะพัฒนามิติทั้ง ๗ ได้ ต้อง "สอนแบบไม่สอน" คือจัดการศึกษาแบบ constructionism ให้เด็กเรียนรู้จากการปฏิบัติของตนเอง ตามด้วยการคิดใคร่ครวญไตร่ตรอง (reflection/AAR) ครูต้องมีทักษะการโค้ชให้ศิษย์ใคร่ครวญไตร่ตรองร่วมกัน แล้วเกิดการพัฒนามิติทั้ง ๗ ของชิกเกอริง

ครูต้องเรียนรู้ ใน "ชุมชนเรียนรู้ครูเพื่อศิษย์" เพื่อพัฒนาวิธีการทำหน้าที่โค้ช/คุณอำนวย ให้ศิษย์ได้พัฒนามิติทั้ง ๗ อย่างลึกซึ้ง และสนุกสนาน เกิดการเรียนรู้แบบที่เรียกว่า Mastery Learning และ Transformative Learning ทั้งในตัวครู และในตัวศิษย์


วิจารณ์ พานิช

๒๒ ธ.ค. ๕๗

 

แก้ไขล่าสุด ใน วันพุธที่ 21 มกราคม 2015 เวลา 23:33 น.