Leading People

วันพฤหัสบดีที่ 21 พฤษภาคม 2015 เวลา 00:00 น. คุณพจนารถ ซีบังเกิด บทความ - การศึกษา
พิมพ์

หัวข้อ Leading People

โดย คุณพจนารถ ซีบังเกิด

ผู้ก่อตั้ง Jimi The Coach และThailand Coaching Academy

20 พฤษภาคม 2558

คุณพจนารถ: คนที่มาโค้ช เพราะเขาต้องการให้ Value ตัวเอง เปิดโรงเรียน Thailand academy coaching เป็นแห่งแรกในประเทศไทย

ตอนแรกไม่มีโรงเรียน รวมเงินกับเพื่อนเช่าโรงแรม เพื่อให้ความรู้ว่าการโค้ชหมายถึงอะไร เพื่อให้การโค้ชนั้นมีคำตอบให้กับทุกคน

โค้ชปราชญ์ชาวบ้านต่างๆ และลงลึกถึงชุมชนด้วย

คำถาม:

1. โค้ชกับ Mentor ต่างกันอย่างไร

คุณพจนารถ: ดูจาก TAPS Model กล่าวว่า การสอนคนต้องมาจากการถามด้วย มีการโฟกัสที่ปัญหา และ วิธีแก้ไข

ถ้ามีปัญหาแล้วมีใช้วิธีถาม เรียกว่า Counselling หรือ คล้ายกับจิตแพทย์

ส่วนคนที่เจอปัญหาแล้วบอก คือ Managing และ Consulting

ส่วนคนที่เจอวิธีการแก้ไขปัญหาและบอก คือ Teaching และ mentoring

ส่วนcoaching ต้องถาม และหาวิธีแก้ไขปัญหา แต่บางคนยังไม่ศรัทธาผู้โค้ช เพราะยังไม่มีศรัทธา

เวลาถามอย่าถามว่า why ให้ถาม what จะเปิดพื้นที่ให้คนอธิบายมากกว่า

หากจะเน้นไปที่ result จะต้องทำอย่างไร มีเคสหนึ่ง เมื่อขึ้นโพเดียมจะมีอาการกรดไหลย้อน หรือ มีเคสหนึ่งจะไปเมืองนอก จะต้องปวดท้องตลอด ที่เป็นเช่นนี้เพราะมีการล็อคresult อยู่แล้ว

เมื่อถามว่าเชื่อเรื่องชาติที่แล้วหรือไม่ คิดอะไร คนเป็นโค้ชต้องไม่งมงาย ทักษะ Mindset อยู่ที่โค้ช เพราะความเชื่อเป็นเรื่องส่วนตัว

มีคำจำกัดความของคำว่า Coach คือ การเป็นเพื่อนคู่คิด

หากเราต้องการ work life balance ต้องตั้งเป้ากับทุกด้าน กับชีวิต เช่น

การทำงาน

ครอบครัว

พัฒนาตัวเอง

การพักผ่อน

สังคม

เงิน

สุขภาพ

ความรัก เป็นเรื่องที่ส่งออก และรับเข้าด้วย ต้องถามว่าเรารักเขาแล้วต้องการอะไรตอบแทน ถ้ารักเท่าไหร่ก็ไม่พอ เติมเท่าไหร่ก็ไม่เต็ม จะไม่สำเร็จในความสัมพันธ์

ถ้าเรารักใครต้องดูว่าถังรั่วอยู่ที่ใคร

ต้องล็อคเป้าที่ outcome ว่าต้องการอะไร แล้วจะทำให้โค้ชคนได้ทุกarea

คนส่วนใหญ่หรือในองค์การ คิดว่า Coaching คือการสอนงาน จริงๆแล้วต้องแปลเป็นเพื่อนคู่คิดมากกว่า

ความหมายของการโค้ช คือ การโค้ชเป็นการทำงานร่วมกันระหว่างโค้ชและผู้ได้รับการโค้ช เพื่อกระตุ้น และจุดประกายความคิด ด้วยกระบวนการที่สร้างสรรค์ เพื่อให้ผู้ได้รับการโค้ช เกิดแรงบันดาลใจในการที่จะนำเอาศักยภาพและความสามารถที่ถูกบดบังหรือซ่อนอยู่ ออกมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด

การเป็น Life coach คือ Life Coaching เป็นการทำงานร่วมกันระหว่างโค้ชและผู้ได้รับการโค้ช เพื่อเป็นเพื่อร่วมเดินทางพาผู้ได้รับการโค้ชจากจุดที่อยู่ปัจจุบัน ไปบรรลุเป้าหมายที่ต้องการในทุกด้านของชีวิต ด้วยการกระตุ้น และจุดประกายความคิด โดยใช้ทักษะและกระบวนการที่สร้างสรรค์ในหลายรูปแบบ เพื่อให้ผู้ได้รับการโค้ชตระหนักรู้ถึงศักยภาพที่แท้จริงของตนเอง ด้วยตนเอง เข้าใจ และขจัดอุปสรรคที่อาจมีภายในตัวตน ตัดสินใจเลือกเส้นทางการดำเนินชีวิตโดยอิสระ เพื่อนำเอาศักยภาพและความสามารถที่มีและอาจยังซ่อนอยู่ ออกมาใช้พาตนเองไปสู่เป้าหมายที่ต้องการอย่างสมดุล มีจริยธรรม มีความสุข และอิ่มเอม.............

Life coach และ Coaching ต่างกันอย่างไร

Coaching สิ่งที่อยู่รอบๆคนก็คือ พฤติกรรม คำพูด บุคลิกภาพ

แต่ Life coach อยู่ภายในตัวเองทั้งธาตุแท้ Belief value needs และ fear

การพรีเซนต์ ต้องใจความมั่นใจ มีจิตใจเป็นผู้ให้ ว่าจะต้องถ่ายทอดความรู้ Life coach คือ จะเข้าไปเจาะสิ่งเหล่านี้ คือ ดึงความกล้าออกมา

ถ้าเราจะเปลี่ยนความเชื่อ ต้องเชื่อว่าจะพรีเซนต์ได้ดี เชื่อว่าคนจะสนใจฟัง

Value เป็นความเชื่อที่ยึดถือเป็นสารนะ การพรีเซนต์ได้ดี ต้องมีค่านิยม ดังนี้

มีโอกาสเปิดร้านอาหาร ขายแอลกอฮอล์ด้วย ต้องเคารพกฎหมายว่าต้องไม่ให้ลูกค้าเมาเกินไป เมื่อก่อนเป็นคนใจร้อนมาก ฆ่าได้หยามไม่ได้ แต่ปัจจุบันนี้เมื่อเรียนศาสตร์นี้ใจเย็นลงและมีเหตุผลขึ้นมาก

Human is not there behavior อย่าตัดสินคนที่พฤติกรรม เพราะพฤติกรรมเปลี่ยนได้ เวลาขึ้นอยู่กับความเต็มใจในการอยากเปลี่ยนของแต่ละคน

ต้องเชื่อว่าเราเป็นได้มากกว่าที่เราคิด ว่าเราเป็น : ถ้าเราไม่ได้ใช่ธาตุแท้ตามที่ตัวเองมีเราก็จะไม่ fulfill

ภาษารัก 5 ภาษา

การแสดงออกที่หมายความว่า "รัก" ของแต่ละคนอาจแตกต่างกัน Dr. Gary Chapman อธิบายไว้ว่า ภาษารักมี 5 แบบคือ

1.คำพูด ไม่เพียงแต่คำว่า "ฉันรักคุณ" แต่เป็นคำพูดประจำวันตามสถานการณ์ เช่น "คุณใส่ชุดนี้แล้วดูดีจัง" สำหรับภรรยาบางคนอาจต้องการได้ยินคำพูดดีๆ เพื่อให้ได้กำลังใจ และเพื่อตอกย้ำว่าเธอยังเป็นที่รักอยู่เสมอ

2. การปรนนิบัติดูแล สามีบางคนจะพูดดีๆ หรือให้คำว่ารักหลุดจากปากก็ยากเย็นเหลือเกิน แต่เขาชอบดูแลเอาใจใส่ ซ่อมแซมบ้าน ล้างรถให้ ก็เป็นการพูดว่า "รัก" ในภาษาของเขา

3.การให้ของขวัญ คนบางคนชอบที่จะซื้อของขวัญให้ในทุกเทศกาล เพื่อบ่งบอกว่า "รักนะ"

4.การใช้เวลาที่มีคุณภาพด้วยกัน บางคนก็ชอบที่จะใช้เวลากับคนที่รักอย่างมากที่สุด ซึ่งไม่ได้หมายถึง สามีเล่น facebook ส่วนภรรยาดูละคร ลูกเล่น ipad เวลาคุณภาพคือการพูด การฟัง การให้ความสนใจกันและกันอย่างเต็มที่

5.การสัมผัส บางคนก็นิยมระบบสัมผัส จับมือ กอด ตบไหล่ จะสร้างความอบอุ่นใจและมีความหมายกับเขามากๆ

คำถาม

1. พ่อ แม่ ลูก นั่งแท็กซี่ เกิดอุบัติเหตุ พ่อแม่เสียชีวิต ลูกรอดคนเดียว พอต่อมาลูกมีครอบครัว ไม่ยอมปล่อยให้ลูกดำเนินชีวิตเอง เป็นเพราะอะไร

อ.พจนารถ : แผนที่ที่เราเห็นเป็นภาพฝังใจ เป็นคนไม่ปล่อยลูก เกิดจาก

- ไม่อยากให้เกิดอุบัติเหตุ

- ห่วงลูก

ความกลัว คือ กลัวเด็กดูแลตัวเองไม่ได้

ค่านิยม คือ พ่อที่ดีต้องดูแลลูกอย่างใกล้ชิด

6 Core need ของมนุษย์

1. Certainty

2. Variety

3. and connection

4. Significance

5. Growth

6. Contribution

วันนี้ทุกคนจะสนใจ และสิ่งที่อ.เล่าให้ฟังมีประเด็นที่ฟังแล้วสะกิดอารมณ์ เป็นสิ่งใหม่ ปัญหาเดิมแต่มีวิธีการคิด แก้ปัญหาใหม่ๆ6 Core need ของมนุษย์ จะโยงกลับเข้ามาสิ่งที่ทุกคนเป็นได้ หลายคนเอาไปกันศักยภาพของตัวเอง ตัวอย่างในวันนี้ไประยุกต์ใช้และดึงศักยภาพทีมงานเพื่อเสริมสร้างองค์กรต่อไป

ตัดลอกจาก บทความของ ศ.ดร.จีระ หงส์ลดารมภ์ เผยแพร่ใน gotoknow

https://www.gotoknow.org/posts/590395

แก้ไขล่าสุด ใน วันพฤหัสบดีที่ 21 พฤษภาคม 2015 เวลา 22:09 น.