อย่าแกว่งเท้าหาเสี้ยน โดย ศ. ดร. เขียน ธีระวิทย์

วันศุกร์ที่ 28 เมษายน 2017 เวลา 00:00 น. ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช บทความ - การศึกษา
พิมพ์

อย่าแกว่งเท้าหาเสี้ยน โดย ศ. ดร. เขียน ธีระวิทย์


Prof. Vicharn Panich

 เรื่องพิพาทพื้นที่บริเวณทะเลจีนใต้นี้ คู่พิพาทต้องแก้ปัญหากันเอง  

อย่าแกว่งเท้าหาเสี้ยน

ในรอบสองสัปดาห์ที่ผ่านมานี้ (6-21 เม.ย. 60) มีข่าวใหญ่-ข่าวร้ายเกิดขึ้นในโลกหลายแห่ง ส่วนมากเกิดขึ้นจากน้ำมือของผู้นำอภิมหาอำนาจโลก ประธานาธิบดีโดนาลด์ ทรัมพ์ (Donald Trump) ท่านรื้อฟื้นการทูตสมัยหิน (อำนาจคือความชอบธรรม) มาใช้ ข่มขวัญศัตรูและคู่แข่งโดยใช้กลเม็ด “ตีวัวกระทบคราด” ทรัมพ์เชิญสีจิ้นผิงประธานาธิบดีจีนไปเยือนสหรัฐฯ (6-7 เม.ย.) ท่านมีวิธีต้อนรับประมุขรัฐต่างประเทศที่ประหลาด ในการพบปะเจรจาความเมืองกันครั้งแรกสามชั่วโมง (6 เม.ย.) ทรัมพ์แจ้งข่าวสดๆ ให้สีจิ้นผิงทราบว่า ท่านเพิ่งสั่งให้เรือรบในทะเลเมดิเตอร์เรเนียนยิงจรวด Tomahawk 59 ลูก ถล่มฐานทัพอากาศของซีเรีย

ทรัมพ์ควรรู้ว่าจีนกับซีเรียนั้นมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน และต้องรู้แน่ว่ารัสเซียได้ช่วยรัฐบาลซีเรียปราบฝ่ายกบฏและฝ่ายก่อการร้ายมานานกว่าสองปีแล้ว และคงรู้ด้วยว่าจีนกับรัสเซียเป็นมหามิตรที่ดีต่อกัน ทรัมพ์ต้องการบีบให้จีนเลือกข้างหรือเปล่า? จะเลือกข้างรัสเซีย-ซีเรียหรือจะเลือกสหรัฐฯ ซึ่งเป็นคู่ค้าอันดับหนึ่งของจีน? หรือต้องการโจมตีซีเรียกระทบคราดรัสเซีย-จีน เพื่อข่มขวัญให้จีนช่วยสหรัฐฯ ในการบีบบังคับให้เกาหลีเหนือปลดอาวุธนิวเคลียร์? ในโอกาสพบเจรจากัน 2 ครั้งภายใน 2 วัน เป็นเวลานานประมาณ 5 ชั่วโมงนั้น ทรัมพ์บอกสีจิ้นผิงว่า ถ้าจีนไม่ช่วยปลดอาวุธนิวเคลียร์เกาหลีเหนือ สหรัฐฯจะจัดการเอง

สีจิ้นผิงตอบโต้ทรัมพ์ด้วยมารยาททางการทูตอย่างไรในฐานะแขกผู้รับเชิญนั้นน่าทึ่งมาก แต่ไม่อยู่ในประเด็นที่จะเอามาเผยในที่นี้ บอกได้เพียงสั้นๆ ว่า ทรัมพ์ประทับใจมาก ชมสีและภรรยาว่า “great” (ยิ่งใหญ่) ต่อมาทรัมพ์ให้สัมภาษณ์ผ่าน TV Fox News ย้ำความยิ่งใหญ่ประธานาธิบดีจีน แต่เมื่อถูกถามว่า แล้วได้อะไรจากผู้นำจีนบ้าง ท่านตอบตรงๆ ว่า “ไม่ได้อะไรเลย” (nothing)

ประเด็นสำคัญข้อหนึ่งที่ทรัมพ์ต้องการให้จีนช่วยคือ ใช้อิทธิพลบังคับเกาหลีเหนือให้ปลดอาวุธนิวเคลียร์และเลิกพัฒนาจรวดนำวิถีระยะทำการไกล แต่ปรากฏว่าสีก็คงใช้วาทะทางการทูตเหมือนเดิมคือ “ต้องแก้ปัญหาโดยวิถีทางการเมือง” (ไม่ใช่กำลัง) สีคงมีศิลปะทางการทูตพูดง่ายๆ ให้ทรัมพ์ตีความเอาเองว่าจีนไม่ยอมช่วยหรือช่วยไม่ได้ เพียงแค่นี้ทรัมพ์ก็ได้คำตอบแล้วว่าตนต้องใช้วิธีการของตนเอง

วิธีการของทรัพย์นั้นง่ายมาก ย้อนยุคกลับไปใช้ “การทูตเรือปืน” นอกจากสั่งให้กองทัพเรือยิงจรวดใส่ฐานทัพอากาศของซีเรียแล้ว วันที่ 13 เมษายน สองวันก่อนที่เกาหลีเหนือจะทำพิธีสวนสนามเฉลิมฉลองวันเกิดครบรอบ 105 ปีของบิดาแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลี(คิมอิลซ็อง) ทรัมพ์สั่งให้เครื่องบินทิ้งระเบิดไปหย่อน MOAB ลงที่ฐานที่มั่นของพวกต่อต้านรัฐบาลอัฟกานิสถาน ซึ่งสหรัฐฯ ร่วมรัฐบาลทำสงครามปราบปรามอยู่ (มีคนตายประมาณ 100 คน) กระบอกเสียงของอเมริกาผู้ยิ่งใหญ่พากันประโคมข่าวคำคุยโวของกรุงวอชิงตันว่า MOAB เป็นแม่ของมวลระเบิดธรรมดา (แม้จะเป็นอาวุธทำลายหมู่ แต่ไม่ถูกจัดอยู่ในจำพวกอาวุธนิวเคลียร์) ที่มีอำนาจทำลายรุนแรงที่สุดในโลก นอกจากนั้นในโอกาสที่เกาหลีเหนือจัดงานสวนสนามอันยิ่งใหญ่นั้น สหรัฐฯ ยังได้ส่งทหารไปซ้อมรบกับพันธมิตรญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ ณ อาณาบริเวณประชิดกับพรมแดนเกาหลีเหนืออีกด้วย เพื่อยกระดับการข่มขู่เกาหลีเหนือให้สูงขึ้น สหรัฐฯ กุข่าวขู่เกาหลีเหนือว่ากองเรือบรรทุกเครื่องบิน USS Carl Vinson พร้อมด้วยเรือปืนจู่โจมอันเกรียงไกรกำลังเคลื่อนทัพเข้าสู่คาบมุทรเกาหลี ทั้งหมดนี้ สื่อมวลชนทั่วโลกประโคมข่าวครึกโครมสมดังที่ทรัมพ์ต้องการ แต่ดูเหมือนคิมจองอืน ผู้นำเกาหลีเหนือไม่สะทกสะท้านมากนัก เพียงประกาศจุดยืนออกไปว่า เกาหลีเหนือจะไม่โจมตีฝ่ายอเมริกาก่อน แต่จะตอบโต้ทันทีถ้าถูกโจมตี

ในช่วงสองสัปดาห์แห่งความตึงเครียดนั้น สื่อมวลชนในอาเซียนโหมแพร่กระจายเหตุการณ์กันอย่างร้อนรน มีบทความ-บทวิเคราะห์มากมายแพร่ข้อคิด-ข้อเสนอแนะของนักวิชาการและผู้เชี่ยวาญแนะให้เพิ่มบทบาทของอาเซียนในการแก้ปัญหาเอเชียให้มากขึ้น รวมทั้งแก้ปัญหาข้อพิพาทในทะเลจีนใต้ด้วย ข้อคิด-ข้อเสนอแนะให้ไทยมีบทบาทมากขึ้นในการใช้อาเซียนเป็นเวทีแก้ปัญหาในคาบสมุทรเกาหลีและปัญหาทะเลจีนใต้ นี่แหละที่ทำให้ผมขาดความอดทนในการแสดงความเห็นแย้ง ผมว่าปัญหาทั้งสองนี้ไทยและอาเซียนทำอะไรไม่ได้หรอก นอกจากเสียเวลาและเงินทองประชุมกันซ้ำซากเหมือนเรื่องอื่นๆ ของการประชุมอาเซียนนั่นแหละ ผมมีเหตุผลย่อๆ ทั้งสองเรื่องดังนี้

สำหรับปัญหาทะเลจีนใต้นั้น ไทยมิได้เป็นคู่พิพาท จึงไม่ควรเข้าไปยุ่งเกี่ยว บริเวณเกาะและพื้นทะเลที่พิพาทกันนั้นกว้างใหญ่ไพศาล จีน, ไต้หวัน, เวียดนาม, ฟิลิปปินส์, มาเลเซีย และบรูไน ต่างก็เข้ายึดพื้นที่ครอบครองกันมากบ้างน้อยบ้าง จีนอ้างกรรมสิทธิเหนือพื้นที่เป็นบริเวณกว้างที่สุด และยึดครองพื้นที่ไว้กว้างที่สุด ตามหลักวิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศผสมกับกฎหมายระหว่างประเทศ ในดินแดนที่ประเทศต่างๆ อ้างกรรมสิทธิทับซ้อนกันนั้น ท่านให้พิจารณา (1) หลักฐานทางประวัติศาสตร์ (2) การรับรองจากนานาประเทศ และ (3) การครอบครองอย่างมีประสิทธิภาพ ตามลำดับของความสำคัญ แต่ในทางปฏิบัติอันดับความสำคัญนั้นกลับกัน แต่จะใช้เกณฑ์ไดก็ตาม จีนก็ได้เปรียบประเทศอื่นๆ (ดู เขียน ธีระวิทย์, นโยบายต่างประเทศจีน (กองทุนสนับสนุนวิจัยและสถาบันเอเชียศึกษา จุฬาฯ 2541), น. 386-404)

สรุปโดยย่อคือ เรื่องพิพาทพื้นที่บริเวณทะเลจีนใต้นี้ คู่พิพาทต้องแก้ปัญหากันเอง เมื่อไทยเรามีข้อพิพาทเรื่องพรมแดนกับเพื่อนบ้าน เราก็ยึดหลักการเจรจาตกลงกันแบบทวิภาคี ถ้าตกลงกันไม่ได้ ก็คงจะต้องชี้ขาดกันด้วยกำลัง ใครยึดครอง-ครอบครองส่วนใดได้อย่างมีประสิทธิภาพ อาจมีการแย่งชิงพื้นที่กันบ้างบางครั้งบางคราว นานไปก็กลายเป็นเรื่องธรรมดา ดูเหมือนฟิลิปปินส์ภายใต้การนำของประธานาธิบดีโรดรีโก ดูแตร์เต กำลังปรับตัวอยู่กับจีนตามหลักการนี้ มาเลเซีย เวียดนาม ก็ได้ปรับตัวอยู่กับจีนมานานแล้ว ถ้าไม่มีสหรัฐฯ และญี่ปุ่นมาส่งเสริมให้พวกเขาตั้งตัวเป็นปฏิปักษ์กับจีน พวกเขาคงจะปรับตัวอยู่กับจีนฉันเพื่อนบ้านที่ดีต่อกันมานานกว่านี้เสียอีก

ผมว่าจะให้รัฐบาลของเราทำอะไรในเวทีการเมืองโลก ต้องดูก่อนว่าผลประโยชน์ของคนไทยอยู่ที่ไหน

เขียน ธีระวิทย์

บันทึกนี้เขียนที่ GotoKnow โดย Prof. Vicharn Panich ใน บันทึกการเมืองไทย


คัดลอกจาก: https://www.gotoknow.org/posts/627947

แก้ไขล่าสุด ใน วันศุกร์ที่ 28 เมษายน 2017 เวลา 10:50 น.