ปฏิรูปการศึกษา ๒๕๖๐ (ปฎิรูปอย่างไร)

วันอาทิตย์ที่ 17 กันยายน 2017 เวลา 00:00 น. ศ.ประเวศ วะสี บทความ - การศึกษา
พิมพ์

.

ปฏิรูปอย่างไร

 

ทำ ๑๐ อย่างต่อไปนี้

(๑)    กระทรวงศึกษาธิการทำหน้าที่ส่งเสริมทางนโยบายและวิชาการ

มีคณะกรรมการอิสระเพื่อการปฏิรูปการศึกษาเป็น Think tank มีสถาบันวิจัยระบบการศึกษาที่เป็นอิสระ และมีคุณภาพสูงเป็นเครื่องมือ

(๒)   ปฏิรูปการศึกษาโดยเอาพื้นที่คือจังหวัดเป็นตัวตั้ง

ขณะนี้มีความพยายามริเริ่มใหม่ๆ ในการศึกษาในพื้นที่จังหวัด โดย กลุ่มครูบ้าง โรงเรียนบ้าง ชุมชนบ้าง องค์กรปกครองท้องถิ่นบ้าง องค์กรพัฒนาเอกชนบ้าง ภาคธุรกิจบ้าง ฝ่ายนโยบายควรส่งเสริมความริเริ่มใหม่ๆ ในพื้นที่ มีการทำ mapping นวัตกรรมเหล่านี้ในทุกพื้นที่ นำมาชื่นชม แลกเปลี่ยนเรียนรู้ เพื่อการขยายตัวและต่อยอดให้ดียิ่งๆ ขึ้น

ในแต่ละจังหวัดควรมีกลไกลประสานงานการปฏิรูปการศึกษาที่ไม่เป็นทางการ ทำงานคู่ขนานและประสานกับกลไกที่เป็นทางการคือคณะกรรมการการศึกษาจังหวัด ในบางจังหวัดมีการก่อตัวของกลไกลเหล่านี้ขึ้นมาเอง เช่นที่เรียกว่า สภาการศึกษาจังหวัดกระบี่โดยภาคธุรกิจ ภาคีปฏิรูปการศึกษาจังหวัดเชียงใหม่ บางจังหวัดเรียกมูลนิธิบ้าง สมาคมบ้าง ควรมีการศึกษารวบรวมกลไกจังหวัดที่เกิดขึ้นเองเหล่านี้ และวิเคราะห์จุดอ่อนจุดแข็ง

วิธีหนึ่งที่อาจพิจารณาคือมีการก่อตั้งมูลนิธิเพื่อจังหวัด... โดยเติมชื่อจังหวัดแต่ละจังหวัดลงไป เป็นที่รวบรวมของคนเก่าคนแก่ที่มีบารมีและสนใจพัฒนาจังหวัดบ้านเกิดของตน มูลนิธิเพื่อจังหวัด... มีหน้าที่ส่งเสริมการพัฒนาจังหวัดอย่างบูรณาการโดยเอาชุมชนท้องถิ่นเป็นตัวตั้ง และประสานการปฏิรูปการศึกษาในจังหวัดด้วย ข้อสำคัญมูลนิธิต้องมีผู้ประสานงานซึ่งรู้เรื่องการพัฒนาในพื้นที่เป็นอย่างดี ในทุกจังหวัดมีกลุ่มคนที่เรียกว่าประชาคมจังหวัด ซึ่งทำงานพัฒนาเรื่องต่างๆ ในพื้นที่มาหลายปีและมีความสัมพันธ์กับองค์กรต่างๆ ระดับประเทศจำนวนมาก คณะทำงานของมูลนิธิเพื่อจังหวัด... น่าจะมาจากกลุ่มคนที่เรียกว่าประชาคมจังหวัดดังกล่าว

(๓)   กระทรวงศึกษาธิการมีนโยบายให้โรงเรียนในพื้นที่จัดการตนเองและมีสัมพันธภาพทางราบในพื้นที่ โดยโรงเรียนมีคณะกรรมการโรงเรียน (Board) ซึ่งเป็นผู้นำในพื้นที่ โรงเรียนขนาดเล็กในตำบล ซึ่งมีประมาณ ๕ โรงเรียน / ๑ ตำบล อาจมีคณะกรรมการร่วมทั้งตำบลก็ได้ กระทรวงศึกษาควรส่งเสริมให้โรงเรียนปฏิรูปการเรียนรู้โดยแนวทางกว้างๆ แต่ไม่บังคับในวิธีการและรายละเอียด ให้โรงเรียนคิดร่วมกับภาคีในพื้นที่ เช่น

·    การเรียนรู้เพื่อความเข้มแข็งของชุมชนท้องถิ่น ร่วมกับองค์กรชุมชนท้องถิ่น บางตำบลตั้งมหาวิทยาลัยตำบลขึ้นมา ซึ่งต่อไปอาจมีในทุกตำบล

·    อาชีวศึกษาร่วมกับกศน. วิทยาลัยเทคนิค วิทยาลัยอาชีวะ วิทยาลัยชุมชน ภาคธุรกิจ


·    เพื่อความเข้มแข็งทางวิชาการร่วมกับมหาวิทยาลัย

โดยวิธีนี้โรงเรียนจะไม่แยกตัวอยู่โดดเดี่ยว แต่มีสัมพันธภาพทางราบกับองค์กรต่างๆ ในพื้นที่ตามแนวคิดบูรณาการ ในแต่ละจังหวัดควรมีมหาวิทยาลัยอย่างน้อย ๑ แห่ง ทำงานร่วมกับพื้นที่ ที่เรียกว่า ๑ มหาวิทยาลัย / ๑ จังหวัด สถานศึกษาทุกชนิดในพื้นที่ต้องเชื่อมโยงสนับสนุนซึ่งกันและกันไม่ใช่แยกส่วนไม่เกี่ยวข้องกัน

(๑)    การพัฒนาคุณภาพเด็กและเยาวชนในระดับตำบล คุณภาพเด็กและเยาวชนเป็นอนาคตของประเทศ มีการพูดทางวิชาการและนโยบายมานานพอสมควร ประเด็นสำคัญอยู่ที่การปฏิบัติในพื้นที่ให้ได้ผลจริง อบต.และเทศบาลทั่วประเทศได้ตั้งศูนย์เด็กเล็กขึ้น แต่ก็ยังขาดความมั่นใจเรื่องความทั่วถึงและคุณภาพ อีกทั้งมีความรีบด่วนเพราะการเสียโอกาสมีต้นทุนสูง ถ้าดูตามรูปข้างล่างนี้จะเห็นช่องว่างคือ ระหว่างนโยบาย วิชาการ และการปฏิบัติระดับตำบล  คืออะไรที่ขาดไป ซึ่งจะโยงนโยบาย วิชาการ และการปฏิบัติระดับตำบลให้ได้ผลดีจริง

น่าจะเป็นกลุ่มคนขนาดไม่ใหญ่นัก ซึ่งอาจเรียกว่า สถาบันเพื่อเด็กเยาวชนและครอบครัวระดับตำบล (สดยต.) มีความเชี่ยวชาญเรื่องเด็กเยาวชนและครอบครัวและมีทักษะการจัดการเชิงระบบ สดยต.หนึ่งลองทดลองปฏิบัติใน ๑๐ ตำบล หรือ ๑ อำเภอ สดยต.อาจจะเป็นมูลนิธิ หรือมาจากมหาวิทยาลัย หรือมาจากภาคธุรกิจ หรือมาจากหน่วยราชการ เป็นเรื่องที่ต้องช่วยกันทุกฝ่าย เพราะเป็นอนาคตของประเทศ

เครือข่ายพัฒนาเด็ก เยาวชน และครอบครัวระหว่างผู้ปฏิบัติ สดยต. ฝ่ายวิชาการ และฝ่ายนโยบายจะเชื่อมโยงด้วยการเรียนรู้ร่วมกันผ่านการปฏิบัติที่ขยายตัวและเพิ่มคุณภาพขึ้นเรื่อยๆ เพื่อคุณภาพเด็กและเยาวชนทั้งประเทศ

(๑)    สถาบันวิจัยและพัฒนาการเรียนรู้ เริ่มแรกต้องทำ mapping ว่ามีผู้เชี่ยวชาญการปฏิรูปการเรียนรู้อยู่ที่ใดบ้าง และชักชวนให้ก่อตัวเป็นสถาบันวิจัยและพัฒนาการเรียนรู้ กระทรวงศึกษาธิการควรทำนโยบายให้ทุกมหาวิทยาลัย พัฒนาสถาบันวิจัยและพัฒนาการเรียนรู้ที่มีผู้เชี่ยวชาญการปฏิรูปการเรียนรู้มาจากคณะและสถาบันต่างๆ ไม่จำกัดอยู่ที่อาจารย์คณะครุศาสตร์ หรือศึกษาศาสตร์เพราะการเรียนรู้มีอยู่ในทุกคณะและสถาบัน สถาบันวิจัยและพัฒนาการเรียนรู้ จะเป็นเครื่องมือในการปฏิรูปการเรียนรู้ในทุกมหาวิทยาลัย และช่วยพัฒนาครูทั้งมวลให้เป็นผู้เชี่ยวชาญในการอำนวยการเรียนรู้แบบที่เรียกว่าปฏิรูปการเรียนรู้

ควรปฏิรูปการผลิตครู โดยรับผู้ที่จบปริญญาตรีแล้วในสาขาที่ต้องการและมีฉันทะแน่วแน่แล้วที่จะเป็นครู มาเรียนวิชาครู ๒ ปี เพื่อพัฒนาให้เป็นครูในอุดมคติ

(๒)   ยุทธศาสตร์การสื่อสารเพื่อการเรียนรู้ เทคโนโลยีการสื่อสารสมัยใหม่จะช่วยให้ทุกคนเข้าถึงความรู้และครูที่ดีที่สุด ควรมีคณะบุคคลที่เข้าใจเรื่องการศึกษาและเทคโนโลยีการสื่อสารเป็นอย่างดี มาทำยุทธศาสตร์การสื่อสารเพื่อการเรียนรู้ของคนทั้งมวล โดยทำให้เหมาะกับความหลากหลายของผู้เรียนและเรื่องที่เรียน ถ้าทำได้ดีจะช่วยให้สังคมไทยเป็นสังคมแห่งการเรียนรู้ที่มีคุณภาพสูง

(๓)   นโยบาย ๑ มหาวิทยาลัย / ๑จังหวัด กระทรวงศึกษาธิการทำนโยบาย ๑ มหาวิทยาลัย / ๑ จังหวัด ให้เป็นจริง มหาวิทยาลัยมีหน้าที่สนับสนุนความเข้มแข็งในพื้นที่ ๑ จังหวัด กระทรวงศึกษาธิการควรทำนโยบายให้มหาวิทยาลัยทุกแห่งมีสถาบันวิจัยและพัฒนาการเรียนรู้ตามแนวทางปฏิรูปการเรียนรู้ เพื่อปฏิรูปการเรียนรู้ในมหาวิทยาลัยเอง และสนับสนุนการปฏิรูปการเรียนรู้ในโรงเรียนทั้งหมดในพื้นที่ ๑ จังหวัด

(๔)   นโยบายภาคธุรกิจ กับการจัดการศึกษา มหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติโดยมูลนิธิปอเต๊กตึ้ง สถาบันปัญญาภิวัฒน์ โดยบริษัทซีพีออล ซึ่งส่งเสริมการเรียนรู้จากการปฏิบัติงาน และผลิตบัณฑิตมาได้ ๑๐,๐๐๐ คนแล้ว โรงเรียนกำเนิดวิทย์และสถาบันวิทยสิริเมธี โดยปตท. เหล่านี้เป็นตัวอย่างของการที่ภาคธุรกิจเข้ามามีบทบาทจัดการการศึกษา เพื่อสร้างคนไทยที่เก่งทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ภาคธุรกิจทำงานอยู่กับความเป็นจริง มีพลังมาก และมีการจัดการสูงกว่าภาครัฐ รัฐบาลควรมีนโยบายชักชวนส่งเสริมให้ภาคธุรกิจเข้ามามีบทบาทในการจัดการศึกษา จะเบาภาระภาครัฐไปได้เป็นอันมาก และจะเป็นการปฏิรูปการศึกษาไปในตัว หอการค้าจังหวัดในทุกจังหวัดควรร่วมมือกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและภาคการศึกษา ส่งเสริมการศึกษาเพื่อสัมมาชีพเต็มพื้นที่ ซึ่งก็จะเป็นการบูรณาการศึกษาเข้ากับการพัฒนา ภาคธุรกิจจะเป็นพลังยิ่งใหญ่ของการปฏิรูปการศึกษา

(๕)    กระทรวงศึกษาธิการขับเคลื่อนการปฏิรูปการศึกษาโดยสูตร RCN

R = Research การวิจัยให้รู้ทั่วประเทศว่าใครกำลังทำอะไรดีๆ

C = Communication นำผลการวิจัยมาเผยแพร่ให้ทราบทั่วกันอย่างกว้างขวาง

N = Networking ส่งเสริมให้เชื่อมโยงเป็นเครือข่ายในระดับต่างๆ และระดับชาติ เครือข่ายการปฏิรูปการศึกษาจะมีชีวิตที่เติบโตและเพิ่มคุณภาพขึ้นเรื่อยๆ จากการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างกัน

(๖)         จัดประชุมสุดยอดการศึกษา (Education Summit) เป็นประจำทุกปี โดยมีทั้งฝ่ายปฏิบัติ ฝ่ายวิชาการ และฝ่ายนโยบาย ร่วมประชุมเพื่อชื่นชมผลสำเร็จ แลกเปลี่ยนเรียนรู้ต่อยอด พัฒนานโยบายเพิ่มเติม และมีการสื่อสารอย่างกว้างขวาง

 

          ทั้ง ๑๐ ประการนี้ ถ้าทำอย่างเชื่อมโยงกันครบวงจรกระบวนการปฏิรูปการศึกษาก็จะขับเคลื่อนไปอย่างต่อเนื่อง ก่อความสุขให้แก่ทุกคนที่เกี่ยวข้อง และประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม


แก้ไขล่าสุด ใน วันอาทิตย์ที่ 17 กันยายน 2017 เวลา 18:47 น.