นำความ “ประชาธิปไตยสายตรง”
ผมขอนำแนวคิดเรื่อง “ประชาธิปไตยสายตรง” มาโพสท์
เพื่อการเรียนรู้ร่วมกันสักหลายตอน โดยวันนี้นำข้อเขียนเก่าเรื่อง “สภาประชาชน”
ที่มีคนอ่าน (ในเวปต์เก่า) และแชร์มากที่สุดเมื่อหลายปีก่อน (๒๕๕๖ ก่อนรัฐประหาร ๑
ปี) ตอนที่กำลังวุ่นวายทางการเมืองและทุกฝ่ายช่วยกันหาทางออก
บทความต่อไป “ประชาธิปไตยชุมชน” เขียนเมื่อปลายปี ๒๕๖๑
หลังการสัมมนาที่มหิดลโดยผู้นำพรรคการเมือง นักวิชาการและผมได้เข้าร่วมอภิปราย
ต่อจากนั้น ข้อเขียนใหม่ ผมจะเล่าเรื่องประชาธิปไตยทางตรง (direct democracy) ที่สวิส
และลิคเตนชไตน์ ว่าเขาทำกันอย่างไร พอจะเป็นแบบอย่างหรือแนวทาง
โดยไม่ต้องถึงกับเป็นโมดงโมเดลอะไร เพราะบ้านเขาบ้านเราแตกต่างกันมาก
แต่ก็น่าจะมีบทเรียนให้เราเรียนรู้และนำคุณค่าและวิธีการดีๆ
บางอย่างมาประยุกต์ใช้ได้ อย่างน้อยในระดับชุมชน อบต. เทศบาล
ซึ่งมีขนาดเหมือนกับเทศบาลของสวิส และชุมชนบ้านเราในอดีตก็ดูแลกันเอง
ปกครองกันเองมาตลอดจนเกิด “รัฐชาติ” เมื่อร้อยกว่าปีนี้เอง
และเหมือนกับลิคเตนไชต์ทั้งประเทศ ซึ่งมีประชากรเพียง 38,000 คน มี ๑๑ เทศบาล
มีคนไทยอยู๋ที่นั่นกว่า ๕๐๐ คน ประเทศเล็กที่สุดในโลกประเทศหนึ่งแห่งนี้ เป็นระบอบ
constitutional monarchy มีเจ้าชายเป็นประมุข
มีสภา บางคนเรียกโดยใม่ขัดเขินว่าเป็นระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชด้วยซ้ำ
(เพราะเจ้าชายเขามีอำนาจมากที่สุด
แต่ใช้น้อยที่สุดเพราะมีจิตใจเป็นประชาธิปไตยยิ่งกว่าประมุขทางการเมืองที่มาจากการเลือกตั้งในหลายประเทศ)
เป็นประเทศที่ประชาชนทุกคนมีส่วนร่วมทางตรง และมีรัฐธรรมนูญที่อนุญาตให้ชุมชนใด
เทศบาลบาลใดอยากแยกออกไปเป็นอิสระ หรือไปอยู่กับประเทศอื่น (สวิส
ออสเตรียที่อยู่ติดกัน หรือเยอรมันที่อยู่ใกล้กัน) ก็ทำได้เลย
แต่ยุส่งท้าทายเท่าไรก็ไม่มีใครอยากไป เพราะเป็นประเทศที่ร่ำรวยทีสุดในโลก
อาชญากรรมน้อยที่สุด อยู่ประเทศเล็กๆ นี้อยู่ดีกินดี มีความสุขอยู่แล้ว ใครบอกว่า
รัฐในอุดมคติไม่มี เป็นเพียงยูโธเปีย !
#สภาประชาชน
ถ้าไปค้นหาในรัฐธรรมนูญไทยที่ใช้กันวันนี้คงไม่พบคำว่า
“สภาประชาชน” แต่รัฐธรรมนูญมาจากประชาชน และ “เจตจำนง”
ของประชาชนยิ่งใหญ่กว่ารัฐธรรมนูญที่เขียนออกมาเป็นตัวหนังสือ
เพราะเจตจำนงนั้นคือหัวใจของอธิปไตยของปวงชน
(อังกฤษถึงไม่มีรัฐธรรมนูญเป็นลายลักษณ์อักษร) เมื่อประชาชนเลือกผู้แทนเข้าไปในสภา
ไม่ว่าด้วยวิธีเลือกตั้งลงคะแนนหรือด้วยการสรรหา ซึ่งเป็นวิถีประชาธิปไตยทั้งนั้น
แล้วผู้แทนเหล่านั้นต้องการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อประโยชน์ของตนเองมากกว่าเพื่อสนองตอบเจตจำนงของประชาชน
และศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าผิด พวกเขาย่อมหมดความชอบธรรมที่จะทำหน้าที่ต่อไป
ถ้ายังยื้อเพื่ออยู่ในอำนาจ ประชาชนก็มีสิทธิลุกขึ้นมาร่วมมือกันหาทางออกจากวิกฤติ เรื่องเช่นนี้ไม่ได้มีแต่ในประเทศไทย
หลายประเทศทั่วโลกก็เกิดสภาประชาชนในรูปแบบต่างๆ
โดยเฉพาะในช่วงการเปลี่ยนแปลงประเทศจากระบอบหนึ่งไปสู่อีกระบอบหนึ่ง และที่สุด
สภาประชาชนก็เป็นฝ่ายชนะ ไปดูประวัติศาสตร์ของเยอรมันตะวันตกตะวันออกเมื่อรวมชาติ
และประเทศต่างๆในยุโรปตะวันออกในระยะ 20 ปีที่ผ่านมา
สภาประชาชนไม่ใช่เรื่องใหม่ในสังคมไทย เพียงแต่คำว่า “สภา”
ทำให้เกิดความสับสน และถูกโยงไปหาคำอธิบายและสิทธิอำนาจในรัฐธรรมนูญซึ่งไม่ปรากฏ
เพราะคำว่า “สภา” ในที่นี้เป็นความหมายเชิงเปรียบเทียบ เช่นเดียวกับที่เราเรียก
ธนาคารข้าว ธนาคารควาย ธนาคารเลือด เราเรียกมหาวิทยาลัยชาวบ้าน
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน มหาวิทยาลัยชีวิต
ที่ตำบลไม้เรียง อำเภอฉวาง จังหวัดนครศรีธรรมราชมี
“สภาผู้นำ” มาได้ประมาณ 20 ปีแล้ว
ผู้นำสำคัญของไม้เรียงคือลุงประยงค์ รณรงค์ ซึ่งได้รับรางวัลแมกไซไซเมื่อปี 2547
ในฐานะผู้นำชุมชนดีเด่นแห่งเอเชีย
ไม้เรียงได้รับการยกย่องว่าเป็นต้นแบบการพัฒนาชุมชนโลกเลยก็ว่าได้
เพราะได้รับคำชื่นชมจากธนาคารพัฒนาเอเชียและโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ
และสื่ออย่าง CNN ได้เผยแพร่เรื่องราว
แนวคิดและวิธีการพัฒนาของชุมชนนี้ไปทั่วโลก
สภาผู้นำของไม้เรียงเกิดจากข้อตกลงของชาวบ้านจากทั้งตำบลว่า
ควรมี”แกนนำภาคประชาชน” ขึ้นมากำกับ ดูแล และช่วยกันพัฒนาท้องถิ่น
ไม่ใช่ปล่อยให้เป็นเพียงหน้าที่ความรับผิดชอบของคนที่ได้รับเลือกเข้าไปใน
อบต.หรือกำนัน ผู้ใหญ่บ้านเท่านั้น ที่ประชุมชาวบ้านตกลงให้แต่ละหมู่บ้านในตำบลไม้เรียงเลือกผู้แทนของตนเองมาหมู่บ้านละ
5 คน8 หมู่บ้านรวม 40 คน
ชาวบ้านสามารถเลือกกำนันผู้ใหญ่บ้าน อบต.
หรือผู้มีตำแหน่งในชุมชนมาร่วมได้แต่ทุกคนที่มาต้องไม่มาตามตำแหน่ง
ต้องถอดหัวโขนออกหมด ทุกคนเป็นประชาชนเท่าเสมอกัน
มูลนิธิหมู่บ้านเสนอให้ตั้งชื่อองค์กรนี้ว่า “สภาผู้นำ”
ซึ่งชาวบ้านก็เห็นว่าชื่อเหมาะสมดี
ความจริง สภาผู้นำชุมชนไม้เรียงค่อยๆ วิวัฒนาการมาจากกลุ่มผู้นำ
12 คน
ที่รวมกันหาทางออกให้ชุมชนตั้งแต่ปี 2524 เริ่มจากการแก้ปัญหาราคายางพารา
ไปเรียนรู้จากหน่วยงานของรัฐและเอกชน
ไปดูโรงงานรมควันยางแล้วมาสร้างโรงงานอบยางของตนเองในปี 2527
ด้วยการลงทุนลงหุ้นของชาวบ้านทั้งหมดเป็นเงิน 1 ล้านบาท จากนั้นก็ค่อยๆ
จัดระบบเศรษฐกิจชุมชนทำแผนแม่บทยางพาราไทย แผนแม่บทชุมชน วิสาหกิจชุมชน
ซึ่งล้วนเกิดจากการเรียนรู้และพัฒนาร่วมกันของชุมชนคนไม้เรียงที่ถูกนำไปใช้กันทั่วประเทศ
รวมทั้ง “สภาผู้นำ” ที่มีผู้แทน 5 คนจากแต่ละหมู่บ้านดังกล่าว
หลายปีก่อน มีการเสนอกฎหมาย “สภาองค์กรชุมชน”
โดยเอาความคิดจากสภาผู้นำไม้เรียงมาปรับประยุกต์
แนวคิดที่ลุงประยงค์และผู้นำในระดับชาติหลายคนไม่เห็นด้วย
เพราะสภาผู้นำของประชาชนเป็นสภาคู่ขนานที่มีสิทธิอำนาจในตัวเองอยู่แล้ว
ทำไมต้องออกกฎหมายไป “ครอบ” อำนาจของประชาชนอีก เป็น “ขบวนการ” (movement) ที่มีชีวิต
มีพลัง กลับไปตีกรอบแช่แข็งให้เป็น “สถาบัน” (institution) จะด้วยเหตุผลเพราะต้องการงบประมาณสนับสนุนหรืออะไรก็แล้วแต่
วันนี้มีข้อพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า สภาองค์กรชุมชนก็ไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเช่นเดียวกับสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจสังคมแห่งชาติซึ่งตั้งขึ้นมาแล้วก็มีกฎหมายรองรับ
มีงบประมาณสนับสนุน แต่ไม่มีชีวิตจิตวิญญาณขับเคลื่อน แทบไม่มีบทบาทอะไรเลย
การที่ประชาชนรวมตัวกันเพื่อแก้ปัญหาและพัฒนาตนเอง
เป็นสิทธิตามรัฐธรรมนูญ วันนี้เราเห็นการรวมกลุ่มของชุมชนเป็นแสนๆ
กลุ่มในทุกหมู่บ้าน ตำบล อำเภอ จังหวัด ทุกอาชีพ ในชนบท ในเมือง
มากมายหลายระดับหลายรูปแบบ ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม การเมือง ที่โดดเด่นเห็นชัดมากในระยะหลังนี้เป็นสมัชชาประชาชนด้านสุขภาพที่จัดทั่วประเทศทั้งในระดับพื้นที่และในประเด็นต่างๆ
มีสมัชชาประชาชนที่จัดทำธรรมนูญสุขภาพในระดับ อบต. เทศบาล และระดับจังหวัด
มีกระบวนการที่กำลังเกิดเป็นสมัชชาประชาชนเพื่อให้จังหวัดจัดการตนเองเกิดธรรมนูญจังหวัด
เรื่องเหล่านี้ไม่เห็นจะต้องไปค้นหาในรัฐธรรมนูญว่าเขียนไว้หรือไม่ จะเรียกสมัชชา จะเรียกสภา จะเรียกเครือข่าย
จะเรียกชื่ออะไรไม่สำคัญเท่ากับความคิดที่ว่า ประชาชนจัดพื้นที่ จัดเวที
เพื่อแสดงตนเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยในการจัดการชีวิต ชุมชน สังคม ของตนเอง
เพราะการเคลื่อนไหวของประชาชนต่างหากที่เป็นพลังเพื่อการเปลี่ยนแปลง (dynamics) ที่แท้จริง ถ้ากลไกของรัฐไม่สามารถทำงานได้เพราะขาดความชอบธรรม
ประชาชน ผู้เป็นเจ้าของอธิปไตย (sovereignty) ก็ต้องลุกขึ้นมากำหนดกฎกติกาใหม่
สร้างสังคมใหม่ จะเรียกกลไกนี้ว่าอะไรไม่สำคัญ และไม่จำเป็นต้องรออะไรเลย
จัดกระบวนการสรรหาตัวแทนจากภาคส่วนต่างๆ เพื่อมาร่วมกันคิดหาทางออก
เสรี พงศ์พิศ สยามรัฐ 4 ธันวาคม 2556
< ย้อนกลับ | ถัดไป > |
---|