พลังของความไว้วางใจ
หนังสือTheTruth About Trust : How It Determines Success in Life ,Love, Learning, and More
เขียนโดยศาสตราจารย์ DavidDeSteno หัวหน้ากลุ่มวิจัย Social
Emotions มหาวิทยาลัย NortheasternUniversity บอกว่า
ความไว้วางใจต่อกันและกันเป็นหัวใจของปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคล ในทุกด้าน ไม่ใช่เฉพาะในเรื่องชีวิตสมรส
การทำธุรกิจและเมื่อเข้ารับบริการทางการแพทย์
ผมตีความว่า ความไว้เนื้อเชื่อใจต่อกันและกันเป็นพื้นฐานทางอารมณ์ของมนุษย์ที่เป็นสัตว์สังคม และเป็นสัตว์ที่มีช่วงชีวิตอ่อนแอยาวนานในวัยเยาว์
ชีวิตต้องพึ่งพาคนอื่นในหลากหลายสถานการณ์ ที่เรียกว่ามี inter-dependence ในพัฒนาการตอนเป็นเด็ก
มนุษย์ต้องพัฒนาตนเองให้มีคุณลักษณะทั้งด้าน independence และ inter-dependence ไปพร้อมๆ กัน สองคุณลักษณะนี้หาดดูผิวเผินขัดแย้งกัน แต่จริงๆ แล้วมันส่งเสริมกันได้ คือคนที่มีความมั่นคงในตนเอง จะมีความสัมพันธ์พึ่งพาต่อกันกับผู้อื่นได้ดี คือคนที่ trust ตนเองได้ดี จะ trustคนอื่นได้ดีด้วย
ผมตีความว่าtrustช่วยให้สมองใช้พลังงานน้อย จิตใจผ่องใส แต่มนุษย์เราต้องฝึกทักษะในการไว้ใจคน ว่าใครไว้ใจได้
และใครไม่น่าไว้วางใจ ความสามารถนี้วิวัฒนาการขึ้นในมนุษย์และลิง จึงเป็นคุณสมบัติที่เป็นทั้ง
สัญชาตญาน
และเป็นสิ่งที่ต้องฝึก หนังสือเล่าการทดลองในลิงเพื่อทำความเข้าใจกลไกทางจิตวิทยาของความไว้วางใจ
ความสามารถในการไว้วางใจเป็นทั้งจิตสำนึกและจิตใต้สำนึก ส่วนจิตใต้สำนึกอยู่กับเส้นประสาทสมองเส้นที่๑๐
ชื่อ vagus nerve ซึ่งเป็นเส้นประสาทสมองที่ยาวที่สุด
คือผ่านคอ ลงไปที่หน้าอกและลงไปในท้อง และน่าจะเป็นเหตุให้ฝรั่งบอกว่าตัดสินใจโดยใช้ gut
feeling ซึ่งรวดเร็ว และในหลายกรณีใช้ได้ผล แต่ก็มีหลักฐานเตือนว่า
อย่าเชื่อ gutfeeling นัก เพราะมันไม่ถูกเสมอไป
ตรงกับที่บอกในหนังสือว่าอย่าไว้ใจตนเองเสมอไป หรือแม้ตัวเราเองก็อย่าไว้วางใจนัก ในหลายกรณีตัวเราเองก็อาจผิด โดยเฉพาะพฤติกรรมของตัวเองในอนาคต
ศ. DeSteno มีผลวิจัยมาเล่าด้วย ว่าคำพูดกับพฤติกรรมจริงๆของคนเราแตกต่างกันได้มากเพียงไร กล่าวใหม่ว่าคนจำนวนมากพูดอย่างทำอย่าง โดยอ้างเหตุผลสนับสนุนพฤติกรรมที่ไม่ถูกต้องของตนได้สารพัดเหตุผล ที่ภาษาจิตวิทยาเรียกว่าเป็นพฤติกรรม rationalization ที่ภาษาไทยพื้นบ้านเรียกว่า
“เอาสีข้างเข้าถู”
นอกจากใช้ประสาทอัตโนมัติแล้ว
ระบบประสาทด้าน trust ยังใช้ระบบฮอร์โมน เช่น oxytocin นักวิจัยทดลองพ่น oxytocinเข้าโพรงจมูก
ให้แก่ทีมที่กำลังร่วมกันตัดสินใจด้านการเงิน พบว่าทีมมีความเชื่อถือกันและร่วมมือกันดีขึ้น รวมทั้งเพิ่มความไม่ไว้วางใจทีมอื่นด้วย
จะเห็นว่าความไว้วางใจต่อกันและกันเป็นกลไกทางสรีรวิทยาที่เป็นธรรมชาติของมนุษย์ และเมื่ออยู่ในหมู่เพื่อนฝูงที่สนิทสนมไว้วางใจกัน เราจะรู้สึกสบายใจ
และผมมีความเห็นว่าในสังคมที่คนซื่อสัตย์ต่อกัน มีความไว้วางใจต่อกันและกันสูง
เป็นสังคมที่น่าอยู่ เป็นพื้นฐานของสังคมที่มีสุขภาวะสูง ดังที่เรารู้สึกเมื่อไปญี่ปุ่นและประเทศแถบสแกนดิเนเวีย
ในเมื่อคนเราตัดสินใจโดยอาศัยtrust จึงมีคนหาวิธีเข้าไปสร้าง trustเพื่อหาผลประโยชน์ ที่เรียกว่า manipulate
trust กล่าวได้ว่า
ที่ไหนมีผลประโยชน์ ที่นั่นมีการ “ปั่นความน่าเชื่อถือ” โดยเฉพาะในยุคโซเชี่ยลมีเดียเฟื่อง
ซึ่งคำตรงกันข้ามคือ
หลอกลวง
ผมมีความรู้สึกตลอดมาว่าการที่
กสทช. อนุญาตให้มีทีวีช่องขายสินค้า และอนุญาตให้โฆษกโฆษณาขายสินค้าอย่างที่ทำกันอยู่ เป็นกึ่งหลอกลวง และเป็นการ manipulate อารมณ์อยากได้ เป็นกระบวนการล่าเหยื่อ ที่ผมไม่อยากให้อนุญาตให้ใช้คลื่นทีวีเพื่อการนี้โดยเฉพาะ ผมมองว่ามันก่อผลเสียมากกว่าผลดีต่อสังคมภาพรวม ไม่ทราบว่าผมคิดมากไปหรือเปล่า
แต่การmanipulatetrust
โดยใช้ไอทีก็มีที่ใช้ในทางบวกด้วย
ดังตัวอย่างหุ่นยนตร์ดูแลผู้ป่วยชื่อLouise ที่ใช้ถ้อยคำเตือนและแนะนำการกินยา
และการปฏิบัติตัว แทนพยาบาล โดยใช้ถ้อยคำที่อ่อนโยนห่วงใยเหมือนพยาบาลตัวจริง ทำให้ผู้ป่วยเชื่อถือและปฏิบัติตัวได้ถูกต้อง
ที่น่าสนใจคือข้อสรุปจากผลวิจัยว่า
คนเรายิ่งตำแหน่งสูง มีอำนาจมาก หรือร่ำรวยมากยิ่งเชื่อถือคนอื่นน้อยลง และเป็นคนที่น่าเชื่อถือน้อยลงด้วย เขาอธิบายว่า เพราะในทางจิตวิทยา
คนที่อยู่ในฐานะนี้รู้สึกว่าตนมีความจำเป็นด้านการพึ่งพาคนอื่น (inter-dependence) น้อย ความเห็นแก่ตัวจึงสูง เพราะจิตใต้สำนึกบอกว่าตนไม่มีความจำเป็นในเรื่องการพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกันกับผู้อื่น เขาจึงไม่จำเป็นต้องเห็นแก่ผู้อื่น นักวิจัยสรุปว่า
คนที่อยู่ในกลุ่มเศรษฐฐานะสูงจะมีความไว้เนื้อเชื่อใจคนอื่นต่ำ
วิจารณ์
พานิช
๙ เม.ย. ๖๓
บันทึกนี้เขียนที่ GotoKnow โดย Prof. Vicharn Panich ใน สภามหาวิทยาลัย