กฟผ.เป็นองค์กรมืออาชีพ อย่าเล่นการเมืองกับกฟผ.
ขอบคุณผู้อ่านจำนวนมากที่ส่งข้อมูลกลับมาเรื่อง “คนไทยไม่ต้องการรัฐบาลเสียงข้างมาก อยากได้รัฐบาลที่มีคุณธรรม” บทความครั้งที่แล้ว
ผมคิดว่า คนไทยจำนวนหนึ่งไม่พอใจกับรัฐบาลเสียงข้างมาก ที่ทำอะไรมุ่งเอาแต่ผลประโยชน์ของตัว ถ้าพูดบ่อยๆ ก็คงจะมีคนกล้าออกมาแสดงจุดยืนมากขึ้นเพราะประเทศไทยจะต้องอยู่รอดในระยะยาวต้องเน้นประโยชน์เพื่อส่วนรวม ต้องอยู่อย่างมีศักดิ์ศรีในสายตา ASEAN และสายตาชาวโลก การมีโลกไร้พรมแดนก็มีข้อดี คือทำให้ได้เปรียบเทียบคุณภาพของนักการเมืองแต่ละประเทศว่ามีมาตรฐานอย่างไร
สัปดาห์นี้ รัฐมนตรีพลังงานเปิดประเด็นว่า ไฟฟ้าเดือนเมษายนจะวิกฤติแน่ๆ เพราะพม่าจะหยุดส่งก๊าซช่วงหนึ่ง คำสัมภาษณ์ของท่านสร้างความหวาดวิตกให้แก่ธุรกิจและคนไทยทั่วๆ ไป เพราะในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา ไฟฟ้าบ้านเรา ภายใต้องค์กรที่เรียกว่า EGAT หรือ กฟผ.เป็นองค์กรชั้นนำในระดับ ASEAN เริ่มตั้งแต่ผู้ว่าฯรุ่นแรก คุณเกษม จาติกวณิช พล.อ.อ.กำธน สินธวานนท์ มาถึง ท่านปัจจุบัน คุณสุทัศน์ ปัทมสิริวัฒน์ ถือว่ามีความสำเร็จอย่างสูง มีไฟฟ้าใช้อย่างพอเพียงและสม่ำเสมอ (Reliability) โอกาสไฟฟ้าดับไม่ปรากฏมาหลายสิบปีแล้ว
.jpg)
ยิ่งในช่วงเศรษฐกิจขยายตัว มีธุรกิจต่างชาติมาลงทุน 20 ปีที่ผ่านมาความต้องการไฟฟ้าขยายอย่างมาก กฟผ.ทำหน้าที่ได้ดีมีไฟฟ้าพอเพียงรองรับได้ ถือว่าเป็นความสำเร็จในการดึงนักลงทุนจากต่างประเทศมาในช่วงหลังๆ การไฟฟ้าจึงต้องพัฒนาทุนมนุษย์ในทุกระดับ เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว อย่างน้อยก็ 3-4 เรื่อง ช่วยในการอธิบายความจำเป็นในการสร้างโรงไฟฟ้าโรงใหม่ๆ กับชุมชนและ NGOs ให้เข้าใจเรื่องการบริหารแหล่งพลังงานไฟฟ้าระหว่างประเทศเพื่อนบ้านโดยเฉพาะ พม่า ลาวมาเลเซีย และสุดท้าย บริหารนโยบายรัฐบาลและนักการเมือง ซึ่งในอดีต ผู้นำการไฟฟ้าเป็นวิศวกรมืออาชีพเก่งๆ จากมหาวิทยาลัยชั้นนำของเมืองไทย แต่เนื่องจากความสำเร็จของโครงการสร้างโรงไฟฟ้าในอดีตเป็นจุดอ่อนเพราะอาจจะไม่ได้คำนึงถึงสิ่งแวดล้อมหรือความรู้สึกของชุมชนมากเท่าที่ควร ยิ่งในยุคคุณทักษิณ แรกๆ จะเข้ามาแปรรูป กฟผ. เหมือนที่เคยทำสำเร็จที่ ปตท. แต่เดชะบุญ ทำไม่สำเร็จ การมาบริหารอีกครั้งจะเป็นอย่างไรมองนโยบายไฟฟ้าในอนาคตอย่างไร ปัจจุบันรัฐบาลควรกำหนดนโยบายให้ประชาชนได้ใช้ไฟฟ้าในราคาย่อมเยา ไม่แพงเกินไป ดังนั้นจึงขอให้รัฐบาลอย่าเล่นการเมืองเท่านั้น ขอให้ช่วยดูแลและสนับสนุน 2-3 เรื่อง
-ถ้าจะสร้างโรงไฟฟ้าใหม่ รัฐบาลควรจะช่วยทำความเข้าใจกับ NGOs อย่าให้ กฟผ.รับผิดชอบฝ่ายเดียว
-นอกจากกระทรวง ในระดับรัฐมนตรีแล้ว ควรจะเน้นคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน “Regulator” ให้ร่วมกันกำหนด
นโยบายและรับผิดชอบเรื่องการสร้างความเข้าใจกับชุมชนในการมีโรงไฟฟ้าใหม่ๆ
เรื่อง “นิวเคลียร์” ถ้าจำเป็น ควรเดินหน้า เตรียมการให้พร้อม
-เน้นนโยบายประหยัดพลังงานอย่างเป็นรูปธรรม
-เน้นนโยบายสนับสนุนพลังงานทดแทน
-และเน้นนโยบายพลังงานสีเขียว
.jpg)
ผมออกความเห็นได้เพราะผมได้เข้ามาพัฒนาผู้นำใน กฟผ.มา 9 รุ่นแล้ว ประมาณ 8 ปีต่อเนื่อง ได้เห็นความพยายามของ กฟผ.ในการบริหารการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญที่สุด คือการปรับตัวให้ผู้นำเข้ากับการเปลี่ยนแปลงและบริหารนโยบายรัฐบาลให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชน แต่วิชาที่สอนยากที่สุดคือการบริหารนักการเมืองที่ไม่หวังดีกับประเทศของเรา องค์กร กฟผ. มีศักยภาพมากมาย และมีวิศวกรเก่งๆ กว่า 2,000 คน ดังนั้นสมควรได้รับการสนับสนุนจากการเมืองให้เป็นองค์กรมืออาชีพอย่างแท้จริง
ถ้าเมืองไทยมีธนาคารชาติและมี กฟผ.เป็นองค์กรที่เข้มแข็ง ทำประโยชน์ต่อประเทศไทยระยะยาว ก็จะมีความเป็นไปได้สูงขึ้น ที่ประเทศจะอยู่ได้อย่างยั่งยืนแน่นอน
อาทิตย์ที่ผ่านมา ผมได้ไปร่วมงาน Safe in the City ขอบคุณผู้จัดคือคุณราเชนทร์ ชัยวัน นายกสมาคมผู้รักษาความปลอดภัยโรงแรม HOSAT และคุณลำเพาพรรณ ลีรพันธุ์ ต้องยอมรับว่าเรื่อง Safety เป็นปัญหาใหญ่ของประเทศเพราะประเทศสูญเสียมูลค่าของทุนมนุษย์ปีละหลายแสนล้าน จากความไม่ปลอดภัย
-จากภัยธรรมชาติ
-จากการบาดเจ็บจากการทำงาน
-จากอุบัติเหตุในท้องถนน
-จากอัคคีภัย
จึงต้องใช้มาตรฐานความปลอดภัยของ ASEAN มาเปรียบเทียบ เช่น มาตรฐานความปลอดภัยของสิงคโปร์เป็นอย่างไร สูงกว่าประเทศไทยมากแค่ไหน ตัวละครที่จะช่วยเรื่องความปลอดภัยมีตั้งแต่รัฐ เอกชน นักวิชากร NGOs ต้องร่วมกันสร้างวัฒนธรรมของความปลอดภัยลดการสูญเสียอย่างมีประสิทธิภาพ
สิ่งที่ยากที่สุดในประเทศของเราคือ “ป้องกัน” ไม่ให้เกิดขึ้นมาช่วยกันสร้างวัฒนธรรมการป้องกันความปลอดภัยไม่ให้เกิดขึ้นอย่าแก้ที่ปลายเหตุเมื่อเกิดขึ้นแล้วความเสียหายจะมาก
ศ.ดร.จีระ หงส์ลดารมภ์
เลขาธิการมูลนิธิพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ระหว่างประเทศ
www.gotoknow.org/blog/chiraacademy
แฟกซ์ 0-2273-0181