ศ.(พิเศษ) ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ :
“บูรพาภิวัตน์ เอเชียคืออนาคต”
เสาร์ที่ผ่านมาผมบรรยายให้ครูแนะแนวจากทั่วประเทศกว่าร้อยคน จัดที่โรงแรมดุสิตพัทยา โดยมหาวิทยาลัยรังสิต
ครูอาจารย์ทั้งหลายก้มหน้าทุ่มเททำงานในหน้าที่จนไม่มีเวลาติดตามความคืบหน้าหรือการเปลี่ยนแปลงของโลก ของภูมิภาคและของประเทศไปบ้าง จึงถือโอกาสนี้เล่าอะไรให้บูรพคณาจารย์เหล่านั้นฟัง
สถานการณ์โลก
1. จีนมี OBOR (One Belt One Road) เพื่อเชื่อมโลก รถไฟความเร็วสูงจากปักกิ่งสู่ลอนดอน จีนและสหรัฐมีบทบาทในประเทศไทยและอาเซียนสูงกว่าญี่ปุ่นและยุโรป
มหานโยบายต่างประเทศของจีน “One Belt One Road หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง” หมายถึง เส้นทางสายไหมทางบก และทางทะเล เชื่อมยุโรปกับเอเชียเข้าด้วยกัน เป็นแนวคิดที่ทะเยอทะยานในทางบวก ถือเป็นยุทธศาสตร์ระดับโลก
ทางบก ใช้รถไฟความเร็วสูงเชื่อมจากปักกิ่ง ผ่านเอเชียกลาง ยุโรปตะวันออก ตะวันตก ไปถึงอังกฤษ และสเปน ส่วนทางทะเล ก็จะเชื่อมลงทางทะเลจีนใต้ มหาสมุทรอินเดีย ซึ่งต้องผ่านทางใต้ของประเทศไทย
2. สหรัฐเริ่มปรับสมดุลด้านการต่างประเทศ (Rebalancing) นโยบายกลับมาซบเอเชีย
จากเดิมให้ความสำคัญและไปวุ่นวายกับสงครามตะวันออกกลาง ทุบกำแพงเบอร์ลิน เหตุการณ์ 911 สงครามอิรัก อัฟกานิสถาน แล้วยังมี ISIS และสงครามในซีเรียอีก
ตอนนี้ สหรัฐอเมริกาพยายามกลับมาสู่เอเชีย Balancing to Asia โดยเฉพาะเอเชียตะวันออก และอาเซียน สหรัฐทิ้งเราไปตั้งแต่สงครามเวียดนาม ตอนนี้ต้องกลับมาเพื่อถ่วงดุลอำนาจกับจีน จีนเติบโตขึ้นทุกวันในแบบก้าวกระโดด กล่าวคือ โตแบบจี้ก้นอเมริกา ขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลกรองจากสหรัฐเท่านั้นเอง
3. ข้อขัดแย้งในทะเลจีนใต้ - ไทยเป็นตัวกลาง
จีนมีข้อพิพาทเกี่ยวกับพื้นที่ทางทะเล หมู่เกาะต่างๆ ในทะเลจีนใต้หลายจุด อาทิ ขัดแย้งกับไต้หวัน ฟิลิปปินส์ เวียดนาม บรูไน ฉะนั้น จีนจึงพยายามให้อาเซียน (กัมพูชา และลาว) วางตัวเป็นกลาง เพื่อให้เกิดการเจรจาทวิภาคีกับประเทศคู่ขัดแย้ง ด้านสหรัฐอเมริกาก็พยายามใช้เวียดนามและฟิลิปปินส์มาคานอำนาจจีน
ส่วนไทยอยู่ตรงกลาง...
ข้อสังเกตคือ ตอนสหรัฐรบกับโซเวียต เรียกว่า ตัดสัมพันธ์ เป็นสงครามเย็นเต็มรูปแบบ แต่กับจีน ยังค้าขายกันอยู่ มีสัมพันธ์กันอยู่ แต่ก็แข่งขันกันรุนแรง ต่อสู้ผ่านการแผ่อิทธิพลเหนือประเทศในเอเชีย
4. บูรพาภิวัตน์ - เอเชียคืออนาคต
"บูรพาภิวัตน์" คือจีนกับอินเดียผงาด เอเชียกำลังจะรวยขึ้น ทั้งจีนและอินเดีย อินเดียใกล้ไทยทางทะเล จีนใกล้ไทยทางเหนือ เพราะฉะนั้น "บ้านเราคือทำเลทอง"
นักท่องเที่ยวจากมาเลเซีย 3 ล้าน แต่นักท่องเที่ยวจีน 10 ล้าน ไปไหนเจอแต่พี่จีน นักท่องเที่ยวจีนเป็นนักจ่ายเงินมือฉมัง คนจีนสนใจเครื่องสำอาง 2 ชาติ คือเกาหลีและไทย ประชากรหญิงจีนมี 700 ล้านคน ถ้าคนจีนอยากสวย หมายถึง โอกาสทางธุรกิจขนาดยักษ์
มีการเติบโตด้านเศรษฐกิจอื่นๆ อีก แต่การเติบโตทางเศรษฐกิจนี้มีข้อจำกัดคือ จีนเคยออกนโยบายคุมกำเนิด เพราะฉะนั้น ในอนาคตจะกลายเป็นสังคมสูงอายุ ไม่มีวัยหนุ่มสาวใช้แรงงาน เศรษฐกิจจะชะงัก ในขณะที่ อินเดียไม่มีการคุมกำเนิด ยังเติบโตได้อีกยาว
.................................
แล้วประเทศไทย... เรามีอะไร?
หนึ่ง เราเป็นประเทศรวยทรัพยากร ไม่ได้มีแค่ข้าวหรือยางพารา เนชันแนลจีโอกราฟิกบอกว่า ป่าประเทศไทยเป็นป่าชั้นดีไม่แพ้แอมะซอน มีพื้นที่สงวนชีวมณฑลถึง 4 แห่ง หรืออย่างห้วยขาแข้ง ทุ่งใหญ่นเรศวร หรือป่าทางระนองเป็นที่ที่มีสัตว์ป่าอุดมสมบูรณ์อันดับหนึ่งของโลก สัตว์เดินข้ามประเทศมาจากพม่า อินเดีย ส่วนเขาใหญ่หรือก็มีสัตว์ข้ามมาจากกัมพูชา
ป่าเหล่านี้ สามารถพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศ ซึ่งเป็นการท่องเที่ยวระดับ high-end ราคาแพง นักท่องเที่ยวสีเขียวมีกำลังจ่ายมาก ถ้าทำได้จะเป็นตลาดขนาดใหญ่ แล้วรายได้เหล่านี้ จะถูกนำกลับมาพัฒนาและอนุรักษ์ป่าให้เป็นป่าชั้นหนึ่งของโลกได้
สอง เรามีสองมหาสมุทร ซ้ายมหาสมุทรอินเดีย ขวามหาสมุทรแปซิฟิก (อเมริกาก็มี 2 มหาสมุทร แอตแลนติกและแปซิฟิก)
สาม เรามีจังหวัดติดทะเล 23 จังหวัด
สี่ เรามีจังหวัดติดชายแดน 31 จังหวัด
เพราะฉะนั้น ด้านการศึกษา เด็กของเราควรรู้เรื่องเอเชียมากขึ้น เช่น เด็กทางเหนือควรรู้ภาษาจีนและพม่าจนถึงอ่านเขียนได้แตกฉาน เด็กอีสานควรพูดอ่านเขียนลาวและเวียดนามได้ ทางอีสานใต้ควรพูดเขมรได้ ส่วนทางใต้ควรพูดมลายูให้ได้ เป็นต้น เราต้องเตรียมเด็กของเราให้ข้ามไปทำงานในลาว พม่า เขมร เวียดนาม จีน
ภาษาอังกฤษเป็นภาษาสำคัญ แต่... ภาษาเพื่อนบ้านก็สำคัญไม่แพ้กัน ตอนนี้เศรษฐกิจไม่ได้บูมอยู่ที่ยุโรปและสหรัฐอีกต่อไป แต่บูมอยู่แถวบ้านเรา คือ ทั้งเอเชียและอาเซียน
สถานการณ์โลกสมัยใหม่ เป็นประโยชน์กับประเทศไทยมากอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน... ตอนสงครามเวียดนาม และยุคล่าอาณานิคม เราเป็นด่านหน้ารับสงคราม แต่ยุคนี้ เราเป็นด่านหน้าเช่นกัน แต่เป็นด่านหน้ารับเงิน
ห้า เรามีหลายเมืองที่เรียกว่าเป็นมหานครสำคัญของโลก (อันดับ 1 กรุงเทพฯ, อันดับ 9 ภูเก็ต, อันดับ 13 เชียงใหม่, อันดับ 26 พัทยา) กรุงเทพฯ ที่เรารังเกียจ คิดว่าสกปรก จำได้แต่ว่าน้ำท่วม อากาศแย่ พอสำรวจออกมา ชนะปารีส โตเกียว สิงคโปร์ ฮ่องกง เพราะฉะนั้น เราไม่ธรรมดา!
ด้านการศึกษา เราต้องทำให้สอดคล้องเพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยวและบริการ ยอมรับก่อนเลยว่า คนไทยไม่ได้เก่งเรื่องศาสตร์แข็ง แต่เก่งศาสตร์อ่อน เช่น ศิลปะ บริการ ร้องเพลง
เราต้องสร้าง “ลัลล้า... อีโคโนมี” ชิวๆ สนุกๆ ไม่ทุกข์ไม่โศก เราต้องใช้เรื่อง “ลัลล้า” ให้เป็นเงิน
เราต้องจัดการศึกษาด้านลัลล้าให้มากขึ้น เด็กไทยขนาดสอนแต่วิชาการ ความลัลล้ายังโดดเด่นออกมาจากเด็กไทย
“ปลาต้องอยู่ในน้ำ... มันถึงจะเป็นอัจฉริยะ อย่าเอามันมาปีนต้นไม้” - การศึกษาไทยก็เช่นกัน เรายัดเยียดในสิ่งที่ไม่ใช่เราให้เด็กเราหรือเปล่า?
โลกเข้าไปสู่ Experience Economy แล้ว ไม่ได้ซื้อแค่สินค้า แต่ซื้อประสบการณ์ อาชีพเต้นกินรำกิน เอาแต่เล่น ลัลล้า พวกนี้แหละ จะกลายเป็นเงิน
เราต้องมองให้เห็นโอกาส ต่อยอดจากโอกาส ไม่ใช่เห็นแต่ปัญหา ถ้าเห็นโอกาส ไปไกลกว่า จะเห็นโอกาสได้ต้องมองโลก มองประเทศในทางบวก ครูอาจารย์ต้องเห็นก่อน ลูกศิษย์จะได้มองเห็นด้วย
ถ้าเห็นแต่ปัญหา ก็จะถูกพันธนาการด้วยปัญหา เป็นการมองโลกในแง่ร้าย
มันขึ้นอยู่กับวิธีคิด อย่างเรื่องนักท่องเที่ยวจีนก็คิดได้หลายแบบ คิดว่า “เขาเสียงดัง แย่งกันกิน” หรือ “เขามาช่วยเรา เอาเงินมาให้ประเทศเรา”
อย่ามองจีนและสหรัฐ ว่าเขายิ่งใหญ่ น่ากลัว แล้วเอาแต่หนี แต่ให้มองว่าเขาเป็นยักษ์ใหญ่ เราจะขี่หลังยักษ์และหากินหาเงินจากเขายังไง
เราต้องใจใหญ่ ต้องกล้า เราต้องฝึกให้คนรุ่นใหม่กล้า เพราะคนรุ่นเก่าใจฝ่อ ถูกสอนมาให้กลัว
พึงระลึกไว้ว่า กระแสบูรพาภิวัตน์ “เป็นคุณ” ต่อประเทศไทย
ป.ล. เรียบเรียงโดย ผศ. สมเกียรติ รุ่งเรืองวิทยะ ผู้ช่วยอธิการบดีฝ่ายองค์กรสัมพันธ์ มหาวิทยาลัยรังสิต
ขอบคุณ ดร.อนุชา เล็กสกุลดิลก ที่นำมาเผยแพร่ผ่านทางไลน์กลุ่ม iHDC
< ย้อนกลับ | ถัดไป > |
---|