การประชุมสรุป: การใช้ AI เพื่อการเรียนรู้การดำรงชีวิตตามหลักพุทธศาสนา
วันที่: 6 สิงหาคม พ.ศ. 2568 รายการ: เปลี่ยนเป็นเปลี่ยน ผู้ร่วมเสวนา: หม่อมหลวง ชันโชติ ชมจมพูนุช, ดร. รวิท ตาแก้ว, คุณ ปริญญา กระจ่างมน, คุณ ธนพงษ์ รัตนพรหม
ธีมหลักและการเชื่อมโยง
การเสวนานี้มุ่งเน้นไปที่การสำรวจบทบาทของปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในฐานะเครื่องมือสำหรับการเรียนรู้การดำรงชีวิต โดยบูรณาการเข้ากับหลักคำสอนของพุทธศาสนา ประเด็นสำคัญที่ถูกยกขึ้นมาคือการทำความเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างศาสตร์ ศิลปะ และศาสนา โดยเน้นว่าความรู้ทางศาสนา โดยเฉพาะพุทธศาสนา ใช้ทั้งเหตุผลและความรู้สึก ซึ่งเป็นสิ่งที่ AI ยังคงขาดไป หัวใจสำคัญของการเสวนาคือการตระหนักว่า AI เป็นเพียง "เครื่องมือ" และมนุษย์ในฐานะผู้ใช้งานต้องเข้าใจขีดจำกัดและศักยภาพของมัน เพื่อนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดและอยู่ในกรอบของศีลธรรม
ประเด็นสำคัญจากแหล่งที่มา
1. องค์ความรู้ของมนุษย์: ศาสตร์ ศีล และศาสนา
- ดร. รวิท ชี้ให้เห็นว่าความรู้ของมนุษย์แบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม: ศาสตร์ (เหตุผล), ศีล (ความรู้สึก/ศิลปะ), และศาสนา
- ในอดีต มนุษย์มักพูดถึงแค่ศาสตร์และศีล ซึ่งเชื่อมโยงกับการทำงานของสมองซีกซ้าย (เหตุผล) และซีกขวา (ความรู้สึก)
- อย่างไรก็ตาม ความรู้ทางศาสนาใช้สมองทั้งสองซีก คือทั้งเหตุผลและความรู้สึก
- ความรู้ทางศาสนามาก่อนความรู้ด้านอื่นๆ โดยมนุษย์เริ่มจากความเชื่อก่อน แล้วจึงพัฒนาเป็นศาสนา จากศาสนาจึงแตกเป็นความรู้ด้านศีลและศาสตร์
- แกนหลักของ AI อยู่บนฐานของศาสตร์ คือการคิดเชิงตรรกะและเหตุผล (Algorithm) แต่ขาดองค์ประกอบของ "ความรู้สึก" ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของความเป็นมนุษย์และศิลปะที่แท้จริง
- ดร. รวิท ยกตัวอย่าง AI ที่ยอมรับว่าตนเองเป็นเพียง "logical system" ที่ไม่สามารถเข้าถึงความรู้สึกได้ ดังนั้นผลงานศิลปะที่ AI สร้างขึ้นจึงเป็นเพียง "ศิลปะเทียม" ที่ไม่ได้มาจากความรู้สึก
- “ผมก็ถามเค้าคำหนึ่งว่า คุณแน่ใจเหรอว่างานที่คุณคิดมันใช่งานศิลปะจริง ๆ บอกใช่ ผมบอกผมไม่เชื่อ เพราะคุณไม่มีความรู้สึก เพราะงานศิลปะที่แท้จริงมันมาจากความรู้สึก เขาเลยบอกเลยใช่ คุณเข้าใจถูก เพราะฉันเป็นแค่ localism เป็นระบบคิดที่เชิง ฉันไม่สามารถเข้าถึงความรู้สึกได้ ai ยอมรับว่าตัวเขาเป็นแค่ระบบคิดเชิงเหตุผลไม่สามารถเข้าถึงความรู้สึกได้”
2. AI ในฐานะเครื่องมือและผลกระทบต่อชีวิตมนุษย์
- หม่อมหลวง ชันโชติ มองว่า AI เป็น "เครื่องมือ" เช่นเดียวกับเครื่องพิมพ์ดีดหรือคอมพิวเตอร์ ที่เข้ามาช่วยเหลืองานต่างๆ โดยเฉพาะงานเอกสาร (paperwork)
- ท่านยกประสบการณ์ส่วนตัวเรื่องเลขานุการที่เคยมีปัญหา ทำให้ท่านต้องทำงานเอกสารด้วยตัวเอง ปัจจุบัน AI เข้ามาทำหน้าที่นี้ได้ดีเยี่ยม และท่านมองว่า AI เป็น "เลขาที่ดี" ที่ไม่ก่อให้เกิดปัญหาเหมือนมนุษย์
- “ฉะนั้นผมมองอย่างเดียวว่า แล้วผมต้องการอะไรจาก ai ความคิดเรามีไหมเรามีอยู่แล้ว ไอ้สิ่งที่เราผิดพลาดเราก็ต้องค้นหาอยู่แล้ว แต่ไอ้การค้นหามันอะไรตอน นี้มันก็มันมันก็มีจริง ๆ แล้วที่ตอนนี้ สมัยใหม่นี้ง่ายมาก”
- คุณ ธนพงษ์ เน้นย้ำว่า AI เข้ามามีบทบาทสำคัญในชีวิตประจำวันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และผู้ที่ไม่เรียนรู้การใช้งาน AI จะถูก "แยก" ออกไปจากโลกยุคใหม่ เหมือนกับการใช้กล้องฟิล์มในยุคดิจิทัล
- “คนเราจะถูกแยกโดยธรรมชาติของ ai โดยธรรมชาติของโลกทันที ก็คือเหมือนเมื่อก่อนอ่ะ เราใช้กล้องฟิล์มถ่ายรูปเนาะ แต่ตอนนี้ไม่จำเป็นละ แต่ถ้าเรายังไปใช้ฟิล์มถ่ายรูปอยู่ เราก็จะหาล้านล้างฟรีไม่ได้ เช่นกัน ถ้าเราไม่ใช้ ai ปุ๊บเนี่ย วันนึงเราก็จะเดือดร้อนตัวเอง”
- คุณธนพงษ์แบ่งกลุ่มคนในยุค AI ออกเป็น 4 กลุ่ม: มนุษย์เฉยๆ (ไม่ตามโลก), ผู้ใช้เป็น (พอใช้ได้), ผู้ช่วย (ใช้ AI เป็นผู้ช่วย), และกึ่งหุ่นยนต์ (สมองใช้ AI ทั้งหมด)
- AI สามารถช่วยใน 3 เรื่องหลักของชีวิต: ความจำเป็น (เช่น งานประจำวัน), สังคม (เชื่อมโยงกับผู้คน), และความบันเทิง
3. การใช้ AI อย่างมีประสิทธิภาพและถูกทาง
- คุณ ปริญญา เน้นย้ำถึง "ข้อจำกัด" ของ AI และ "ข้อจำกัดของคนใช้"
- AI ไม่มี "ความรู้สึก" ดังนั้นผู้ใช้ต้องถ่ายทอดความรู้สึกหรือสิ่งที่ต้องการผ่านคำสั่ง (prompt) ให้ละเอียด เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ใกล้เคียงที่ต้องการ
- “ผมว่า ai มันก็ไม่มีความรู้สึกหรอกนะ แต่ว่ามันจะต้องมาอาศัยความรู้สึกของคนนี่แหละ เข้าไปช่วยมันนิดนึง เพื่อให้ผลลัพธ์เนี่ยมันออกมาใกล้เคียงกับที่คนเราต้องการ”
- การใช้ AI ต้องมี "เป้าหมาย" ที่ชัดเจนในชีวิต หากไม่มีเป้าหมาย การใช้ AI ก็จะสะเปะสะปะ
- การเชื่อมโยงกับพุทธศาสนา: เป้าหมายในการใช้ AI ควรอยู่ในกรอบของศีลธรรมและเป็นประโยชน์ต่อตนเองและสังคม
- “ถ้าเราจะทำอะไรให้มันมีโยมมีจริยธรรมหน่อยนะ เป็นคน ที่ เอ่อ มีคุณค่าหน่อยนะ มันก็ต้องมาโยงว่า ไอ้เป้าหมายพวกนี้ คือ เป้าหมายที่เราทำไปแล้วเป็นประโยชน์กับตัวเองเป็นประโยชน์กับสังคมหรือเปล่า”
- พุทธศาสนาสอนเรื่องจิตใจและกิเลส การเข้าใจธรรมะจะช่วยให้กำหนดเป้าหมายที่ถูกต้องและนำ AI ไปใช้ในทางที่ถูก
- หม่อมหลวง ชันโชติ ยืนยันว่า AI ไม่สามารถมา "แทนคน" ได้ เพราะ AI เป็นเพียงเครื่องจักร
- “อย่าไปคิดเลยมาก ai จะมาแทนคนต่าง ๆ พวกนี้ไม่ใช ai มันคือเครื่องจักร”
- ผู้ใช้ต้อง "เรียนรู้" และ "ทำ" เพื่อเข้าใจศักยภาพและข้อจำกัดของ AI อย่างแท้จริง การฟังหรืออ่านจากตำราเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอ
- “ง่ายๆ เลยนะ ทุกอย่างอยู่ที่ทำ คุณจะรู้ว่าไอ้ ai นี้มันเก่งอะไร เราต้องลงไปจำมัน เราก็ต้องรู้แล้วเบสิคแน่ แล้วต้องลงไปทำเองถึงจะรู้”
4. การพัฒนาของ AI และ "ความฉลาดรู้" (Literacy)
- ดร. รวิท กล่าวถึงการเปลี่ยนความหมายของคำว่า "Literacy" จากการอ่านออกเขียนได้ เป็น "ความฉลาดรู้" ซึ่งหมายถึงความสามารถในการคิดและการทำ
- AI แต่ละตัวมีขีดความสามารถเฉพาะด้าน ผู้ใช้จึงต้องเข้าใจว่า AI ตัวไหนเหมาะกับงานประเภทใด (เช่น Meta AI มี AI ย่อยๆ สำหรับวาดภาพ, วิเคราะห์)
- คุณ ธนพงษ์ แนะนำ AI 5 ตัวหลัก (ChatGPT, Gemini, Notebook LM, Google AI Studio, Meta AI) ซึ่งแต่ละตัวมีจุดเด่นต่างกัน และผู้ใช้ควรเลือกใช้ให้เหมาะสมกับงาน
ข้อสรุปและการนำไปใช้
การเสวนานี้เน้นย้ำว่า AI เป็นเครื่องมือที่ทรงพลังและหลีกเลี่ยงไม่ได้ในปัจจุบัน แต่การใช้งานอย่างมีประสิทธิผลและถูกทางนั้นขึ้นอยู่กับ "มนุษย์" ในฐานะผู้ใช้งาน
- ทำความเข้าใจ AI: รู้จักความสามารถ ข้อจำกัด และประเภทของ AI เพื่อเลือกใช้ให้เหมาะสมกับเป้าหมาย
- มีเป้าหมายที่ชัดเจน: กำหนดเป้าหมายในชีวิตและการทำงาน และนำ AI มาช่วยให้บรรลุเป้าหมายเหล่านั้น
- บูรณาการกับหลักธรรมะ: ใช้ AI ในกรอบของศีลธรรม เป็นประโยชน์ต่อตนเองและผู้อื่น
- เรียนรู้และปฏิบัติ: การเรียนรู้ AI ไม่ใช่แค่การอ่าน แต่ต้องลงมือทำ ลองผิดลองถูก เพื่อให้เกิด "ความฉลาดรู้" ที่แท้จริง
- AI เป็นผู้ช่วย ไม่ใช่ผู้แทน: AI คือเลขานุการ เครื่องมือ ที่ช่วยแบ่งเบาภาระและเพิ่มประสิทธิภาพ แต่ไม่สามารถทดแทนความเป็นมนุษย์ที่ประกอบด้วยเหตุผลและความรู้สึกได้อย่างสมบูรณ์
โดยรวมแล้ว ผู้ร่วมเสวนาทุกคนเห็นพ้องต้องกันว่า AI คือ "เครื่องมือ" และมนุษย์ในฐานะ "ผู้ใช้" ต้องเรียนรู้ที่จะใช้มันให้เกิดประโยชน์สูงสุดภายใต้หลักการคิดและการปฏิบัติที่ถูกต้อง เหมือนกับที่พุทธศาสนาสอนให้เราเข้าใจธรรมชาติและใช้ชีวิตอย่างมีสติและปัญญา.