บ้านของฉัน
บ้านของฉันตั้งอยู่ที่ละติจูดประมาณ 15 องศาเหนือใกล้เส้นศูนย์สูตร ที่นี่มีแสงแดดทั้งปี มีน้ำฝนที่ตกได้ทั่วประเทศและมีลมทะเลที่โบกสะบัดให้ไม้ผลออกดอกไม่เคยพัก
มีพื้นที่ประมาณ 513,000 ตารางกิโลเมตร ประชากรราว 70 ล้านคน แบ่งเป็นผู้หญิง 51% และผู้ชาย 49%
บ้านฉันมีปิง วัง ยม น่าน เจ้าพระยา ป่าสัก แม่กลอง มูล ชี บางประกง ตาปี เป็นเส้นเลือดหล่อเลี้ยงผู้คนมายาวนาน
มีกรุงเทพมหานครเป็นเมืองหลวง ซึ่งถ้าเอาชื่อเต็มจะเป็นชื่อเมืองหลวงยาวที่สุดในโลก คนไทยเรียกกรุงเทพ แต่ต่างชาติเรียกแบงค็อก ทำไมไม่ให้เขาเรียกเหมือนกันก็ไม่รู้
บ้านหลังนี้ได้ชื่อว่าเป็นประเทศที่ไม่เคยตกเป็นอาณานิคมของชาติตะวันตก ถามว่าเรื่องนี้สำคัญไหม ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ฉันคิดว่าอย่างน้อยมันก็ทำให้บ้านฉันไม่ได้ถูกขูดรีดมากเกินไปนัก และมันทำให้ฉันมีความภูมิใจอยู่ลึกๆ ว่า มีประเทศในโลกนี้ที่ไม่เป็นอาณานิคมของตะวันตกอยู่เพียง 5 ประเทศเท่านั้น
คนบ้านฉันคือชนชาติที่สร้างตัวอักษรเอง มีภาษาเป็นของตัวเอง มีดนตรีเป็นของตัวเอง และมีนิทานเรื่อง “ปลาบู่ทอง” ที่ไม่มีใครเหมือน
คนบ้านฉันพูดภาษาไทยเป็นหลัก
แต่สำเนียงไทยในแต่ละภาคต่างกันราวกับเป็นคนละภาษา ภาษาอีสานมีความปะปนภาษาลาวอยู่ เป็นภาษาฟังสนุก ภาษาเหนือเนิบๆ อ่อนหวานละมุน ภาษาใต้ทั้งหนักแน่น ทั้งเร็วแต่เสนาะ ภาษาภาคกลางมีตั้งแต่คำผู้ดีจนถึงคำตลาด และมีเหน่อหลายสกุล
บ้านฉันถูกคำนวณค่าจีดีพีต่อหัวต่อปีอยู่ที่ 7,496 ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับปานกลาง ถึงจีดีพีแค่นี้แต่คนทั่วโลกรู้จักรสชาติอาหาร และจำรอยยิ้มของคนขายผัดไทยข้างถนนได้แม่นยิ่งกว่าใบหน้าของรัฐมนตรีต่างประเทศ
พูดถึงเศรษฐกิจ ฉันรู้ว่าค่าแรงขั้นต่ำของผู้คนบ้านฉันคือ 372 บาทต่อวัน ค่าอาหารริมทางหนึ่งจานเริ่มต้นที่ 40 บาท และอาจมีราคา 20 บาทแถวหน้าโรงเรียนชนบท แต่อาหารสุขภาพที่มีผักและถั่วที่ขายในห้างจานหนึ่งเขาขายกันจานละเกินร้อยบาท
ค่าเงินบาทบ้านฉันขึ้นลงตามเศรษฐกิจโลก แต่ยังถือว่ามีเสถียรภาพมากกว่าหลายประเทศเพื่อนบ้าน ปีที่ผ่านมารัฐบาลไทยจัดเก็บรายได้จากภาษีได้ 3,329,144 ล้านบาท
จากภาษีนี้ เขาแบ่งมาใช้ในการพัฒนาคนประมาณ 15% เรื่องเกี่ยวกับการศึกษาก็คงรวมอยู่ในส่วนนี้ เอ..มันน้อยหรือมากนี่
แม้จะมีห้างใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แต่คนบ้านฉันชอบกินข้าวข้างทาง และชอบเดินตลาดมากกว่าเดินห้าง ผู้มาเยือนก็ชอบเหมือนคนบ้านฉัน
บ้านเมืองฉันมีระบบการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข และเคยเป็นหนึ่งในประเทศที่เติบโตเร็วที่สุดในอาเซียน
ที่นี่เป็นบ้านของชาวพุทธตามทะเบียนบ้านอยู่ร้อยละ 94 มีชาวคริสต์ อิสลาม ฮินดู และซิกข์ ที่อยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข จนไม่นานมานี้เริ่มมีปัญหาความสงบแถวชายแดนภาคใต้ และมีคนพยายามเอาความต่างทางศาสนาเข้ามาเกี่ยวข้อง
บ้านฉันมีวัดพุทธนับได้ทั้งหมดล่าสุด 43,005 แห่ง มีมหาวิทยาลัยทั้งหมด 208 แห่ง และมีหวยของรัฐบาลปีละ 24 งวด
นักกีฬาบ้านฉันมีฝีมือโดดเด่นอย่างมากในระดับอาเซียน และหลายคนก็ยังมีชื่ออยู่ในระดับเอเซียและระดับโลกด้วย ในหลายประเภทกีฬา ทั้งมวย วอลเลย์บอล แบดมินตัน เทควันโด้ ฯลฯ และนักกีฬาบ้านฉันก็เคยคว้าเหรียญโอลิมปิกมาแล้วรวม 41 เหรียญ
มวยไทยกีฬาประจำชาติของบ้านฉันเป็นกีฬาที่โด่งดังมาก ว่ากันว่าเป็นศิลปะป้องกันตัวที่น่าเกรงขามที่สุด มีผู้คนจากทั่วโลกเดินทางมาที่บ้านฉันเพื่อมาดู และเรียนมวยไทย
นักเรียนบ้านฉันเรียนเก่งพอตัว โอลิมปิกวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ นักเรียนไทยคว้ามาแล้ว 26 รางวัลในการแข่งขันระดับนานาชาติ แต่ปัญหาความเหลื่อมล้ำในการศึกษายังมีอยู่มาก เด็กบ้านนอกยังมีโอกาสน้อยกว่า หนำซ้ำโรงเรียนกวดวิชายังเป็นธุรกิจทำเงินมหาศาลจากค่านิยมการสอบเข้าโรงเรียนชั้นนำ
และจนถึงวันนี้ ยังไม่เคยมีคนบ้านฉันคนใดได้รับรางวัลโนเบล
บ้านฉันเคยมีน้ำท่วมใหญ่อย่างที่ไม่ควรเกิดในปีพ.ศ.2554 ซึ่งธนาคารโลกได้ประเมินความเสียหายรวมว่าประมาณ 1,356,000,000 ล้านบาท ไม่รวมความเสียหายด้านจิตใจอีกอย่างนับค่าไม่ได้
บ้านฉันเคยมีการปฏิวัติมาแล้ว 13 ครั้ง นับตั้งแต่เปลี่ยนแปลงการปกครอง
บ้านฉันมีหาดสวยมากมาย น้ำตกใสหลายแห่ง ภูเขายังเขียวอยู่ไม่น้อย และมีรถไฟที่วิ่งไปเหนือสุดและใต้สุด มีสายไฟระโยงระยางอยู่เหนือหัวคน แต่ใต้สายไฟนั้น มีรอยยิ้มและกลิ่นกับข้าวลอยมาทุกบ่าย
บ้านฉันมีข้าวหอมมะลิ มีมะม่วงน้ำปลาหวาน มีพริกขี้หนูที่คนไทยกินแล้วไม่ร้องไห้ แต่มีเพลงเศร้าที่ฟังแล้วน้ำตาไหล
มีกำลังทหารเพื่อปกป้องประเทศประมาณสามแสนเจ็ดหมื่นนาย ซึ่งจัดอยู่ในอันดับที่ 14 ของโลก และเป็นอันดับที่ 2 ในภูมิภาคอินโดจีน เป็นรองก็แต่เวียดนาม มีพระสงฆ์เกือบสามแสนรูป น้อยกว่าทหารนิดหน่อยและมีพิพิธภัณฑ์กระจายตัวอยู่ทั่วประเทศประมาณ 1,600 แห่ง และบ้านฉันไม่อนุญาตให้มีบ่อนที่เปิดแบบถูกกฎหมาย
มีหมอที่ดูแลผู้คนด้วยสัดส่วนหมอหนึ่งคนต่อคน 1,305 คน หมอไทยจะเหนื่อยกว่าที่มาตรฐานองค์การอนามัยโลกที่กำหนดไว้ให้หมอหนึ่งคนดูแลคน 1,000 คน
มีงานศพที่อบอุ่น มีงานแต่งที่รื่นเริง และมีงานบวชที่เสียงดัง
มีการเดินทางไปดูงานต่างประเทศของข้าราชการที่เหมือนไปเที่ยวกับครอบครัวมากกว่า
บ้านของฉันมีตลาดนัดกลางคืนที่มีชีวิตชีวาเหลือเกิน มีผ้าไหมอันงดงามที่ยังทอด้วยมือ มีช่างทำฟันที่ไม่เคยเรียนหมอ มีวิชาหมอนวดที่รวมศาสตร์พื้นบ้านกับศาสตร์เรื่องจักระของอินเดียและศาสตร์กดจุดของจีนเอาไว้ด้วยกันอย่างยอดเยี่ยม
ในหลายพื้นที่ของบ้านฉันยังมีครูที่ยังต้องพายเรือไปสอนเด็กกลางน้ำ และมีครูผู้เฒ่าที่มีความรู้เชิงลึกในแต่ละเรื่องแม้จะไม่ได้เรียนสูง อยู่มากมายตามชนบท
คนบ้านฉันมีชื่อเสียงเรื่องรอยยิ้มและน้ำใจ มีผลงานทางศิลปะและอาหารที่ทำให้คนทั้งโลกเริ่มหันมามอง
คนบ้านฉันเป็นคนเจ้าบทเจ้ากลอน ชอบดนตรี ชอบนาฏศิลป์ มีสถาบันสอนสาขาวิชาเหล่านี้มากมาย จนหลายคนเริ่มพูดแล้วว่า รัฐต้องส่งเสริมให้เยาวชนเอาดีด้านวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี ให้มากกว่านี้แล้ว เพราะโลกอนาคตเขาต่อสู้กันด้วยเรื่องนี้
เพื่อนๆ ของฉันชอบพูดกันเล่นเสมอๆ ว่าบ้านเรามีสามฤดู คือฤดูร้อน ฤดูร้อนจัด และฤดูร้อนมาก ซึ่งดูเหมือนมันจะจริงขึ้นทุกที ขณะเดียวกันบ้านเราก็มีฝนที่พร้อมจะมาในฤดูไหนก็ได้
และในวันที่ฝนตก ฉันนั่งอยู่ใต้ชายคา แล้วก็มีคำถามผุดขึ้นว่า “นี่ฉันรู้จักบ้านของฉันมากพอหรือยัง”
หรือจริง ๆ แล้ว ฉันแค่รู้จักบ้านของฉันผ่านข่าว ผ่านละครทีวี ผ่านการอ่านคอมเม้นท์ของคนกลุ่มเดียวกับฉันเดิม ๆ จนมองไม่เห็นว่า บ้านฉันนี้ใหญ่กว่าภูมิศาสตร์ และลึกกว่าการเมืองที่ค่อนข้างสกปรก
แต่ฉันรู้ว่าบ้านฉันมีคนที่พร้อมเสียสละในยามเกิดภัยมากมาย จนผู้มาเยือนล้วนประทับใจ
บ้านฉันไม่ใช่ประเทศที่แย่ที่สุด และก็ไม่ใช่ประเทศที่ดีที่สุด แต่ฉันเชื่อว่าเป็นบ้านที่มีศักยภาพ และมีความหวัง
ถึงจะมีข่าวร้ายออกมาในแทบทุกวัน แต่บ้านของฉันก็ยังมีคนดีที่คิดดีต่อบ้านเมืองจำนวนไม่น้อย และฉันหวังจะให้มันมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะบ้านฉันมีต้นทุนดีๆ ไม่น้อยเลย
บางทีฉันก็คิดนะ ว่าจะดีเพียงไรถ้าคนรุ่นเก่ามองเห็นความหวังในตัวคนรุ่นใหม่ และคนรุ่นใหม่ก็มองเห็นขุมปัญญาในตัวคนรุ่นเก่า
ถึงฉันจะรู้จักบ้านของฉันเพียงแค่นี้ แต่ฉันก็รักบ้านของฉันเหมือนกับเพื่อนๆ ทุกคนที่ฉันเดินสวนที่ตลาด ที่สถานีรถไฟ และนั่งข้างๆ กันในร้านกาแฟ
มาช่วยกันไหม มารู้จักบ้านเราให้ดีกว่านี้ มันมีอยู่สามสิ่งที่ต้องช่วยกันหา นั่นคือ หนึ่ง สิ่งที่ดีอยู่แล้วที่เราหลงลืมไป สอง สิ่งที่ไม่ดีอยู่แล้วแต่เราเคยชินไป และสาม สิ่งที่บ้านเราไม่เคยมีเลย
…