รู้ ตื่น เบิกบาน: สัจธรรมพระสิ้นคิด
https://youtu.be/V_Q9_LRlfJI?si=wJl8dCRRds4Xzbqh
การสรุปประเด็นสำคัญจากแหล่งข้อมูล "การรู้สึกตัว จะทำลายตัว | พระสิ้นคิด
หลวงตาสินทรัพย์ หนทางแห่งสติ พุทธะ อานาปานสติ ธรรมะก่อนนอน"
เอกสารนี้เป็นการรวบรวมคำสอนและแนวคิดจากพระสิ้นคิด หลวงตาสินทรัพย์
โดยเน้นย้ำถึงแก่นแท้ของพุทธศาสนา การปฏิบัติธรรมที่ถูกต้อง
และการเผชิญหน้ากับปัญหาต่างๆ ในสังคมสงฆ์และสังคมทั่วไป
ด้วยมุมมองที่ตรงไปตรงมาและบางครั้งก็ท้าทายความคิดกระแสหลัก
ธีมหลักและแนวคิดสำคัญ:
1. การวิพากษ์ศาสนาพุทธในปัจจุบันและการตีความคำสอนที่ผิดเพี้ยน:
หลวงตาสินทรัพย์ชี้ให้เห็นว่าพุทธศาสนาในปัจจุบันได้เบี่ยงเบนไปจากคำสอนดั้งเ
ดิมของพระพุทธเจ้าในหลายๆ ด้าน:
การสร้างชั้นวรรณะในศาสนา: "พระพุทธเจ้าเนี่ยเป็นลูกกษัตริย์
ไปตรัสรู้แล้ว พระองค์มีแต่ อาวุโภันเตล วงจรแห่งอ่าชั้นวรรณะ
แต่ทุกวันนี้ศาสนาพุทธเรากลับมาตั้งชั้นนั้น ชั้นพระครู ชั้นเทพ ชั้นพรหม
ชั้นอะไรขึ้นมา มันสวนทางกับศาสนาไหม กับคำสอนไหม"
การจัดตั้งลำดับชั้น
ยศฐาบรรดาศักดิ์ในหมู่สงฆ์ขัดแย้งกับหลักการเสมอภาคที่พระพุทธเจ้าทรง
วางรากฐานไว้เพื่อทำลายระบบวรรณะ
ที่มาของ "ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ" และ "มหา": "ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวศ
ก็เกิดขึ้นที่เมืองไทยนี่เอง ไม่ได้เกิดขึ้นในสมัยพุทธกาลดอก...คำว่ามหา คือ
อ่าท่านก็พูดไปว่าแปลว่าใหญ่ เออ พระมหากัสสปะอย่างเงี้ย เห็นไหม
ที่จริงท่านไม่ได้ไปเรียนอะไรเลย เพราะมันไม่มีปริยัติ
จะมีได้ยังไงปริยัติเพราะยังไม่มีพระไตรปิฎกนั้น"
หลวงตาเน้นย้ำว่าแนวคิดและคำศัพท์บางอย่างที่เราคุ้นเคยในพุทธศาสนา
ไม่ได้มีมาตั้งแต่สมัยพุทธกาล แต่ถูกสร้างขึ้นภายหลัง
ความเข้าใจเรื่อง "บุญ" และ "ทาน" ที่ผิดเพี้ยน: "พวกเรากำลังไปหลงทาง
มาเป็นไปมาก พวกเราก็มีแต่ อยากได้บุญอย่างเงี้ย
โดยไม่ได้แยกแยะว่าบุญคืออะไร ทำแล้วเดือดร้อนจริงไหม"
หลวงตาเตือนให้เข้าใจความหมายที่แท้จริงของทาน
ซึ่งประกอบด้วยบุคคลที่ให้ วัตถุที่ให้บริสุทธิ์ และผู้ที่ควรรับทาน
"บูชาจะปูชนียานัง เอตัมังุตตมัง บูชาผู้ควรบูชา ไม่ใช่วัตถุ ผู้
นี่เป็นบุคคลใช่ไหม บูชาผู้ควรบูชาเป็นมงคลอย่างยิ่งไม่ใชหรือ"
การยึดติดกับวัตถุบูชาและพิธีกรรม: พระพุทธรูปถูกสร้างขึ้นหลังพุทธกาล
โดยพระเจ้ามิลินท์ ไม่ใช่สิ่งที่พระพุทธเจ้าบัญญัติ
"พุทธะคนจะเข้าถึงพุทธะด้วย
ต้องน้อมนำเอาพระธรรมหรือคำสอนพระองค์มาลงมือปฏิบัติเท่านั้น...ทำมา
หาปรียนเกล้าประโยคเพราะว่าตอนพระองค์ยังมีชีวิตอยู่มันไม่มีพระเจ้ามิริน
ทะเป็นคนสร้าง" การปฏิบัติธรรมเท่านั้นที่จะนำไปสู่พุทธะ
ไม่ใช่การยึดติดกับรูปเคารพหรือพิธีการต่างๆ
2. ธรรมะคือความจริงที่ไม่ประนีประนอม:
หลวงตาสินทรัพย์ยืนยันว่าการพูดความจริงมักจะไม่เป็นที่พอใจในสังคมที่ห่างไก
ลจากความจริง:
สังคมแห่งความโกหก: "เมื่อสังคมห่างออกจากความจริงมากเท่าใด
คนที่พูดความจริงก็จะถูกรังเกียจเพิ่มมากขึ้นเท่านั้นจริงไหม
มันสังคมแห่งความโกหกจริงไหม เออเรียกว่ามารยาท เออ
มารยาทก็คือมารา นั่นแหละ" ผู้ที่กล้าพูดความจริงมักจะถูกต่อต้าน
เพราะความจริงนั้นขัดกับ "มารยาท" หรือความเชื่อที่ผิดๆ
การวิพากษ์วิจารณ์จากสังคม:
หลวงตาเผชิญกับการต่อต้านและการไม่เข้าใจจากการที่ท่านสอนธรรมะอย่าง
ตรงไปตรงมา "คือเราเนี่ย เหมือนกับไปสวนทางกับครูบาอาจารย์หมด
ไม่ใช่
อ่าในระยะที่ตัวของเราที่พูดเองเราอาจจะพูดเป็นสัจจะหรือตรงเกินไปอย่างเ
งี้ย เรับไม่ได้"
3. ทุกข์และการดับทุกข์ (อริยสัจ 4):
หัวใจของคำสอนคือการทำความเข้าใจทุกข์และหนทางดับทุกข์:
มนุษย์ทุกคนเป็น "โรคจิต":
"ที่จริงพวกเราเป็นโรคจิตหมดทั้งโลกเนี่ย...โลกนี้เต็มไปด้วยคนบ้า
โรคจิตคนละอย่าง บางคนก็โรคจิตชอบกินเหล้า
บางคนก็โรคจิตชอบหลอกลวง บางคนก็โรคจิตชอบราคะ
บางทีก็โรคจิตชอบไม่เหมือนกัน"
โรคจิตในที่นี้หมายถึงอาการที่จิตถูกกิเลสครอบงำ ทำให้เกิดความชอบ
ความไม่ชอบต่างๆ นานา
ความคิดคือแหล่งกำเนิดของทุกข์:
"ความคิดเนี่ยต้องหาเชื้อมาเติม...ถ้าไม่มีความคิดเนี่ยมันก็ไม่มีคือตัวเชื่อมต่อไป
สู่ภพภพสู่สิ่งอย่างทุกสิ่งทุกอย่าง...เหตุมันเกิดจากความคิดจากจิตไหม
นั่นแหละ" ความคิดปรุงแต่งคือรากเหง้าของอารมณ์และตัณหา
การดับทุกข์ด้วยการหาเหตุแห่งทุกข์: "เพราะฉะนั้นทุกข์นะ ทุกข์ ทุก ๆ
สมุทัย นิโรธ มรรค มันอยู่ตรงนี้ มรรคคือการปฏิบัติใช่ไหม เออ
เพราะฉะนั้นนิโรธเนี่ยแปลว่าดับ"
ต้องค้นหาต้นตอของความคิดปรุงแต่งเพื่อหยุดการสร้างภพชาติ
ชีวิตคือทุกข์และการเกิดคือทุกข์: "มึงมีครบและมึงมึงมีความสุขหรือยัง
ถ้ามึงมีความสุข มึงก็ไม่ต้องไปหาความสุขดอก มึงทุกข์
มึงถึงแสวงหาสุขจริงไหมและมึงก็หาไม่เจอเพราะมันไม่มี มีแต่ทุกข์
ทุกข์เท่านั้นที่เกิดขึ้นแล้วก็ดับลง" การเกิดคือทุกข์
การยึดติดกับความสุขทางโลกเป็นเพียงมายาที่ทำให้เราเวียนว่ายในทุกข์
4. การปฏิบัติเพื่อเข้าถึง "ผู้รู้" และ "พุทธะ":
หลวงตาเน้นย้ำการกลับมาอยู่กับ "ผู้รู้" และการมีสติเป็นหัวใจของการปฏิบัติ:
แยก "ผู้รู้" ออกจาก "สิ่งที่ถูกรู้": "ตัวสบาย น่ะมันไม่ใช่จิต ตัวฮู้ต่างหาก
อันนั้นเป็นสภาวะอาการเฉยเฉย...เหมือนกับมีคนบอกว่านั่งไปเห็นจิตสงบ
กูถามว่าใครเป็นผู้เห็น เห็นว่าจิตมันสงบ ตัวเราข้างใน เอ้อ
เอ้าแล้วความสงบมาจากไหนอีกอ่ะ จิตตัวนั้นเห็นไหม ถ้าไม่มี 2 ตัว
มีคนดูแล้วก็คนถูกดู อ๋อเข้าใจไหม ให้มึงมาอยู่กับคนรู้เนี่ย ผู้รู้มันจะอยู่แถวๆ
ไอ้พวกนี้เป็นอาการเฉยๆ มึงอย่าไปสนใจมันเลย"
สติคือทางทำลายอัตตา: "การรู้ ๆ นี่แหละ รู้สึกตัวนี่แหละจะทำลายตัว
ถ้าส่งออกนอกเป็นสมุทัยจะเป็นก สร้างตัวมันจะลืมตัว
มันจะสร้างเป็นอัตตาขึ้นมาเป็นกิเลสขึ้นมา...ถ้าเรา รู้สึกตัวอยู่เรื่อย ๆ ๆ ๆ
ความรู้สึกตัวนี่แหละ สติ ตัวนี้แหละจะเหลือ แต่มันจะทำลายตัวตนของเรา
ที่แท้จริงได้"
พุทธะมีอยู่ในทุกคน: "พุทธะมีอยู่กับทุกคน
หลวงตาถึงว่าพระพุทธเจ้านี้อยู่ทุกที่ ไม่ว่าทุกข์หย่อมหญ้าใน
ในในทวีปใดก็ตาม ไม่ได้เกี่ยวกับศาสนาเลย
พุทธะนี่มีอยู่ทุกตัวคนเพียงแต่เราเข้าไม่ถึงเฉย ๆ ด้วยการสัมมาทิฏฐิ ปฏิบัติ
ตามพระธรรมที่พระองค์ตรัสรู้เท่านั้น สร้างสายอื่นไม่มีแค่
นั้นที่จริงพวกเราเสียโอกาสมาก"
5. ปัญหาและวิกฤตศรัทธาในวงการสงฆ์:
หลวงตาให้มุมมองต่อสถานการณ์ที่ท้าทายศรัทธาต่อพระสงฆ์:
กรรมและการจองเวร: "ถ้าเราเชื่อเรื่องกรรมแล้วก็ไม่มีปัญหาละ
เค้าก็ย่อมมีกรรมของเขา ร่วมกัน เจองเวรจองกรรมกันจริงไหม"
เหตุการณ์ไม่ดีที่เกิดขึ้นเป็นการชดใช้กรรมร่วมกัน
วิกฤตศรัทธาเป็นโอกาสในการร่อนกิเลส: "นักข่าวก็เป็นหน้าหน้าที่เทำหน้า
ที่ของเา ก็หน้าที่คือการการทำหน้าที่ของเขา เก็ต้อง
อ่าชี้ประเด็นให้เห็นอะไรหลายๆ อย่าง
แต่เราต้องมองว่ามันก็เป็นดีแล้วเหมือนกันนะ
เรื่องนี้เหมือนอีเนี้ยเป็นตะแกงร่อนด้วยซ้ำ
กวดของกวดเหลือแต่เพชรแต่ทองจริงไหม"
เหตุการณ์เชิงลบช่วยคัดกรองสิ่งที่ไม่ดีออกไป ทำให้เหลือแต่สิ่งบริสุทธิ์
การจัดการปัจจัยและวัตถุถาวร:
หลวงตาไม่เห็นด้วยกับการสร้างวัตถุถาวรขนาดใหญ่เกินความจำเป็น
โดยเฉพาะในวัดที่มีพระน้อย
เพราะไม่ได้ใช้ประโยชน์และอาจกลายเป็นการค้า "ทำแล้วมันไม่ได้ใช้
งานล่ะไปทำไมอ่ะจริงไหม
อันนี้ก็น่าคิดอยู่น่าตั้งโจทย์สว่าไปทำโดยเกินความจำเป็น หรูๆ หลาๆ
อ่ะแล้วก็ตั้งตู้บริจาคเหมือนกับเป็นพาณิชย์ ไง
มันก็เลยกลายเป็นปราศนารามก หรือสง่าต่างๆ ซะจริงไหม"
ความท้าทายของพระสงฆ์ใหม่และการอยู่ร่วมกับเพศตรงข้าม:
หลวงตาเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการระมัดระวังเป็นพิเศษสำหรับพระบวชใหม่
และในการจัดระเบียบที่พักของแม่ชีและพระ
เพื่อป้องกันเหตุการณ์ที่ไม่พึงประสงค์ "หลวงตาเลยไม่รับ
ไม่สมควรที่จะนิมนต์พระไปงานอย่างเงี้ย เค้าอาจจะเรียก ว่าเป็นงานมงคล
แต่หลวงตาว่าไม่ใช่ งานมงคลงานหาเรื่องทุกข์เพิ่มจริงๆ" และ
"ไม่มั่วซั่วไม่ได้เดี๋ยวก็ออกลูกเป็นเณร อีกละจริงไหม"
6. สัจธรรมคือสิ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลง:
กิเลสเป็นเรื่องซ้ำซาก: "กี่ภพกี่ชาติกี่ล้านปีกี่ร้อยปีเค้าก็ทำกินขี้ปี้
นอนอย่างเงี้ยไม่ใช่เรื่องใหม่เลย มีแต่เรื่องเดิมๆ ซ้ำๆ ซากๆ"
ธรรมะและกิเลสไม่ใช่เรื่องใหม่:
"เพราะฉะนั้นธรรมะก็ไม่ใช่เรื่องใหม่กิเลสก็ไม่ใช่เรื่องใหม่
เข้าใจไหมมันเรื่องเดิมอีกสักกี่ล้านปีก็ยังเป็นอย่างนี้ในโลกนี้"
สรุปข้อคิดที่สำคัญที่สุด:
หัวใจของคำสอนนี้คือ "การรู้สึกตัว จะทำลายตัว" (อัตตา)
ซึ่งหมายถึงการมีสติอยู่กับปัจจุบัน (พุทธะ: ตื่น รู้ เบิกบาน)
และเข้าใจว่าความคิดปรุงแต่งคือต้นตอของทุกข์
การฝึกฝนตนเองให้รับรู้สิ่งที่เกิดขึ้นโดยไม่ปรุงแต่งต่อ
จะนำไปสู่การยุติภพชาติและเข้าถึงสภาวะแห่งนิพพานที่ปราศจากการปรุงแต่งอย่
างแท้จริง นอกจากนี้
หลวงตายังเน้นย้ำถึงความสำคัญของการแยกแยะและมีปัญญาในการมองเหตุการ
ณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในสังคมสงฆ์และสังคมทั่วไป
โดยไม่ยึดติดกับสมมติและกลับมาสู่แก่นแท้ของการปฏิบัติธรรมที่แท้จริง.