บ่ายวันที่ ๔ ก.พ. ๕๖ ผมไปร่วมประชุมคณะกรรมการกำกับทิศ เพื่อรับฟังความคิดเห็นต่อผลการประเมิน และข้อเสนอแนะสำหรับโครงการวิจัย “ การประเมินการพัฒนานโยบายสาธารณะเพื่อสุขภาพ ภายใต้การดำเนินการของคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ ระหว่างปี พ.ศ. ๒๕๕๐- ๒๕๕๔ ” ซึ่งก็คือการประเมินการทำงานของ สช. นั้นเอง
ผมจึงได้ตระหนักว่า งานของสช. เป็นงานเข็นครกขึ้นภูเขา การประเมินนี้เน้นการประเมินครกและคนเข็นครก ไม่ได้ประเมินภูเขา ทั้งๆที่ผลงานขึ้นกับ “ภูเขา” หรือบริบทสังคมไทยด้วย
สช. ทำงานแนวระนาบกระจายอำนาจ และมุ่งผลประโยชน์ของส่วนรวมของสังคมไทยภาพรวม ในท่ามกลางบริบทสังคมไทย ที่เป็นสังคมอำนาจแนวดิ่ง อำนาจรวมศูนย์มีการแก่งแย่งผลประโยชน์ส่วนกลุ่มและพลเมืองไทยมีคนกลุ่ม active citizen น้อยมาก ที่ลุกขึ้นมาทำงานสาธารณะ ส่วนใหญ่เพราะมีประเด็นร้อนเข้ามาใกล้ตัว ที่จะทำงานสาธารณะประเด็นเย็นเพื่อวางรากฐานสังคมมีน้อยมาก รวมทั้งผู้คนในสังคมติดวิธีคิดแบบขาว-ดำ ถูก-ผิด ในขณะที่เรื่องราวต่างๆ ในสังคมที่มีผลกระทบต่อสุขภาพมีความซับซ้อน และเป็นพลวัตสูง
สภาพเช่นนี้ เปรียบเสมือนการทำงานแบบเข็นครกขึ้นภูเขา ซึ่งต้องวางยุทธศาสตร์การทำงานระยะยาว ทำต่อเนื่องไม่หยุดยั้ง ตระหนักว่า กว่าจะเห็นผลจริงจังต้องใช้เวลา ๑๐ - ๒๐ ปี ไม่ใช่ ๕ ปี
การทำงานในสภาพที่มีข้อจำกัดเช่นนี้ ต้องการทักษะพิเศษ ซึ่งฝ่ายบริหารสช. ทำได้ดีอย่างน่าชื่นชม แต่ก็ยีงมีส่วนที่น่าจะปรับปรุงได้อีกมาก
สช. ทำงานพัฒนานโยบายสาธารณะเพื่อสุขภาพ โดยใช้เครื่องมือ ๔ อย่างได้แก่
· สมัชชาสุขภาพแห่งชาติ
· สมัชชาสุขภาพในพื้นที่ รวมทั้ง HIA (และcHIA, eHIA)
· ธรรมนูญสุขภาพแห่งชาติ
· commission
เพราะสช. ทำงานเพื่อสุขภาวะของคนส่วนใหญ่ของประเทศ และทำงานในลักษณะกระจายอำนาจ เปิดโอกาสให้ทุกภาคส่วนเข้ามามีส่วนร่วม จึงอยู่ในสภาพ “เอียงข้าง” เข้าหาภาคประชาชน ภาคราชการซึ่งเคยผูกขาดอำนาจจึงไม่สนใจเข้าร่วม ยกเว้นจะเข้ามาปกป้องตนเอง และภาคธุรกิจซึ่งเคยร่วมกับภาคราชการ แสวงหาความได้เปรียบในสังคมก็ไม่อยากเข้าร่วม ยกเว้นนักธุรกิจจิตสาธารณะซึ่งก็มีหลายคนแต่ก็ไม่ใช่ผู้ที่มีบทบาทสำคัญมากนักในองค์กรของภาคธุรกิจ หรือบางท่านเข้ามาร่วมอย่างเอาจริงเอาจัง ก็ขัดแย้งกับเพื่อนนักธุรกิจ
นี่คือสภาพความเป็นจริงในสังคมไทยที่เราเผชิญอยู่ และสช. ต้องทำงานพัฒนานโยบายสาธารณะด้านสุขภาพ ในท่ามกลางความเป็นจริงนี้
ผมจึงให้ความเห็นว่าสช. ต้องยึดการทำงานแบบ evidence-based เป็นหลัก โปร่งใสเข้าไว้ เพื่อจะได้เป็นที่ยอมรับในสังคมว่าไม่เอียงข้างฝ่ายใด แต่มุ่งรักษาผลประโยชน์ส่วนรวม โดยที่ประเด็นต่างๆมีความซับซ้อน
เราพูดกันว่าสช. ต้องทำงานมุ่งพัฒนา evidence เพื่อการพัฒนานโยบายสาธารณะด้านสุขภาพ ให้ยิ่งขึ้น และมีวิธีสื่อสาร หลักฐานความรู้นี้ให้แพร่หลายกว้างขวางยิ่งขึ้น ทั้งๆที่ที่ผ่านมาก็ทำได้ดีอยู่แล้ว
เราพูดกันว่าสช. เลือกทำงานแบบใช้“อำนาจอ่อน”คือไม่บังคับ ใช้การพูดจากัน (สมัชชา) และการสร้างความรู้ขึ้นใช้ก็ต้องพัฒนาทักษะในการทำงานแบบนี้ในหลากหลายระดับ
ผมมองว่าทักษะ “สื่อสารหลักฐานความรู้” (evidence communication) สำคัญกว่าทักษะสร้างกระแสสังคม หรือขับเคลื่อนสังคม (advocacy) สำหรับสช.
เรื่องมาลงที่การใช้ commission ในการทำงานเฉพาะเรื่อง ที่ยังไม่ชัดเจนว่าสช. ต้องไปเป็นคณะเลขานุการกิจ(secretariat) ของcommission หรือไม่
ซึ่งผมมีความเห็นแบบขาว-ดำว่า “ ไม่ ” ผมเห็นว่าcommission ต้องรับงานไปแบบรับcontract out งาน จะcontract ให้ใครภายใต้ความรับผิดชอบอย่างไร ส่งมอบผลงานอะไร มีเกณฑ์คุณภาพอย่างไร ตรวจรับงานอย่างไร ฯลฯ สช. ต้องมีทักษะในการcontract out งาน เป็นความสัมพันธ์แบบกึ่งธุรกิจ ไม่ใช่ความสัมพันธ์แบบไหว้วานหรือขอให้ช่วย
ทักษะอีกอย่างหนึ่งที่คนสช. ต้องมี คือทักษะต่อยอดความรู้จากข้อเสนอของ commission หรือจากผลการวิจัยที่มอบให้นักวิชาการทำ คนสช. ต้องมีพื้นความรู้เรื่องระบบสุขภาพดี และเรียนรู้ต่อยอดจากกิจกรรมต่างๆเพิ่มพูนขึ้นตลอดเวลา นี่คือ learning skills คนสช. ต้องเป็นexpert ด้านนโยบายสาธารณะด้านสุขภาพ ที่เรียนรู้เพิ่มพูนปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับนโยบายสาธารณะเพื่อสุขภาพอยู่ตลอดเวลา
เหล่านี้เป็นกระบวนการเข็นครกทั้งสิ้น
ผมสรุปกับตัวเองที่บ้าน ว่าคนสช. ต้องเป็น “นักจัดการความรู้” ด้านนโยบายสาธารณะเพื่อสุขภาพ โดยที่สช. ต้องจัดเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ผ่านการปฏิบัติให้แก่เจ้าหน้าที่ของสช. เพื่อให้เจ้าหน้าทุกคนได้ฝึกฝนทักษะ จัดการความรู้ด้านนโยบายสุขภาพอย่างต่อเนื่อง ไม่ทราบว่าสรุปถูกหรือผิด
จัดการความรู้สำหรับเอาไปสื่อสารสังคม เน้นสื่อสารอย่างมีข้อมูลหลักฐาน (evidence communication) ไม่ใช่เน้นขับเคลื่อนสังคม (advocacy) สรุปอย่างนี้ยิ่งไม่ทราบว่าถูกหรือผิด
วิจารณ์ พานิช
๕ ก.พ. ๕๖
คัดลอกมาจาก http://www.gotoknow.org/posts/521519