โรคกรดไหลย้อน เป็นผลมาจากกรดในกระเพาะอาหารไหลย้อนขึ้นมาที่หลอดอาหาร ซึ่งกรดเหล่านี้มีความเข้มข้นสูงมาก ทำให้เกิดอันตรายต่อหลอดอาหาร และเยื่อบุในหลอดอาหารที่มีความบอบบาง กระทั่งทำให้เกิดการอักเสบตามมาค่ะ

อาการของโรค กรดไหลย้อน แบ่งเป็น 2 ระบบ ดังนี้

1. อาการที่เกิดในหลอดอาหาร ... จะมีอาการเจ็บคอ กลืนลำบาก รู้สึกเหมือนมีก้อนอยู่ในลำคอ แสบลิ้นเรื้อรัง จุกแน่นแถวๆ หน้าอกคล้ายอาหารไม่ย่อย อาการนี้มักจะเป็นมากขึ้นหลังอาหารมื้อหลัก การโน้มตัวไปข้างหน้า การยกของหนักหรือการนอนหงาย ที่สำคัญคือ จะมีอาการแสบหน้าอก เรอเปรี้ยว รู้สึกเหมือนมีกรดซึ่งเป็นน้ำรสเปรี้ยวหรือรสขมไหลย้อนขึ้นมาในปาก ... ภาวะดังกล่าวนี้อาจทำให้เกิดหลอดอาหารอักเสบ ... ถ้าเป็นมากจนเกิดแผลรุนแรง อาจทำให้หลอดอาหารตีบหรือเกิดการเปลี่ยนแปลงเซลล์ของเยื่อบุอาหารได้ค่ะ

2. อาการนอกหลอดอาหาร ... จะมีเสียงแหบเรื้อรัง มักมีเสียงแหบตอนเช้าหรือมีเสียงผิดปกติไปจากเดิม ไอเรื้อรัง รู้สึกสำลักในเวลากลางคืน หรือในบางรายอาจมีอาการทางระบบหายใจ เช่น หอบหืด หรืออาการเจ็บหน้าอกได้... ดังนั้นหากมีอาการเหล่านี้อาจเป็นสัญญาณที่บอกว่ากำลังถูก "โรคกรดไหลย้อน" คุกคาม ค่ะ

    • 1. ผู้ที่มีน้ำหนักเกิน.... เพราะคนอ้วน (ดูที่ค่าBMIนะคะ) จะมีความดันในช่องท้องสูงทำให้ กรดไหลย้อน ได้มากค่ะ
      2. กินแล้วไม่นอนทันที ... ควรกินอาหารมื้อสุดท้ายก่อนนอน ... อย่างน้อย 2-3 ชั่วโมง ถ้าอาการไม่ดีขึ้น...ควรลองเเลื่อนวลาทานอาหารให้เร็วขึ้นคราวละ 1 ชั่วโมง ... เพื่อให้กระเพาะอาหารได้ย่อยทันก่อนถึงเวลาเข้านอน

      3.หลังทานอาหารเสร็จ ถ้าเป็นไปได้ให้เดินเล่นหรือเดินแกว่งแขนสัก 20-30 นาที อย่าเพิ่งนั่งหรือนอน

      4. งดบุหรี่ เพราะการสูบบุหรี่....จะทำให้เกิดกรดมาก ทำให้หูรูดอ่อนแอ ค่ะ
      5. ใส่เสื้อหลวมๆ และไม่ควรใส่เข็มขัดที่รัดแน่นเกินไป .. เพื่อลดแรงกดที่กระเพาะ ... เพราะการสวมเสื้อผ้ารัดแน่นอาจเป็นการกระตุ้นให้กระเพาะหลั่งกรดออกมามาก
      6.ไม่ควรจะนอนออกกำลังกายหรือยกของหนัก ... หลังออกกำลังกาย 
      7. กินอาหารให้ตรงเวลา เคี้ยวให้ละเอียด และไม่ควรงดอาหารมื้อเช้า
      8. งดอาหารมันๆ อาหารทอด อาหารที่ปรุงด้วยหอมหัวใหญ่ดิบ กระเทียม มะเขือเทศ ช็อกโกแลต ถั่ว ลูกอม เนย ไข่ สะระแหน่ รวมทั้งอาหารที่มี รสเผ็ด เปรี้ยวและเค็มจัด เพราะ... มีแก๊สมาก รวมทั้งไม่ควรเติมน้ำส้มสายชูลงในอาหาร เพราะยิ่งจะเพิ่มกรดในกระเพาะอาหาร ควรเปลี่ยนมาทานอาหารที่มีไขมันต่ำ เช่น เนื้อสัตว์ไขมันต่ำ อย่างปลา ไก่และอาหารที่มีเส้นใยมากๆ เช่น ธัญพืช ผัก ผลไม้

      9. ไม่ควรดื่มนมตอนท้องว่าง เพราะนมเป็นอาหารที่ค่อนข้างย่อยยาก กระเพาะจึงต้องหลั่งกรดออกมามากเป็นพิเศษ

      10. รับประทานอาหารแค่พออิ่มหรืออาจแบ่งอาหารเป็นมื้อเล็กๆ ทานน้อยแต่บ่อยได้
      11. หลีกเลี่ยง ชา กาแฟ น้ำอัดลม เบียร์ สุรา โซดา ... เนื่องจากมีแก๊สที่ทำให้ปริมาตรกระเพาะอาหารเพิ่มขึ้น ... ส่วนเครื่องดื่มแอลกอฮอล์นั้น ... จะไปกระตุ้นให้กล้ามเนื้อหูรูดหลอดอาหารเปิดออกและปล่อยให้กรดจากกระเพาะอาหารขึ้นมาที่หลอดอาหารได้สะดวกขึ้น

      12.ไม่เคี้ยวหมากฝรั่งมากเกินไป เพราะการเคี้ยวหมากฝรั่ง...มีส่วนเพิ่มการหลั่งน้ำลาย ทำให้กลืนน้ำลายลงไปมากขึ้น และเพิ่มการกลืนลมลงไปในท้อง
      13. เลี่ยงการนอนตะแคงขวา เพราะ ท่านี้จะทำให้กระเพาะอยู่เหนือหลอดอาหารอาจทำให้อาการกำเริบได้ 
      14. นอนยกหัว ให้สูงประมาณ 6-10 นิ้ว โดยอาจนอนบนหมอน 2 ใบ เพื่อไม่ให้กรดไหลเอ่อขึ้นมาที่คอ

      15. หมั่นออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ .... พักผ่อนให้เพียงพอ ลดความเครียด เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกายแข็งแรง

      (ขอบคุณข้อมูลจากhttp://siamhealth.net/public_html/Disease/GI/reflu... http://health.kapook.com/view85.html ... th.wikipedia.org/wiki/โรคกรดไหลย้อน )


  • ขณะเดียวกัน การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการดำเนินชีวิต จะให้ผลดีมากเช่นกัน ซึ่งผู้ป่วย กรดไหลย้อน ควรปฏิบัติดังนี้

สรุปได้ว่า ... โรคกระเพาะ(Peptic Ulcer)เกิดจาก..มีแผลในกระเพาะอาหาร หรือลำไส้เล็กส่วนต้นหรือ กระเพาะอาหารมีกรดมากขึ้นหรือ เยื่อบุกระเพาะอาหารถูกทำลาย ... มีการอักเสบของเยื่อกระเพาะอาหาร ... ส่วน โรคกรดไหลย้อน คือ ภาวะที่กรดไหลย้อนจากกระเพาะอาหารไปยัง หลอดอาหาร ... ทำให้เกิดอาการเจ็บแน่นหน้าอก หรือแสบหน้าอก ...โรคกรดไหลย้อน หรือ GERD (เกิร์ด) ได้แจ้ง "เกิด" จนกลายเป็นโรค Hot-Hit ไปแล้วในปัจจุบันนี้นะคะและโรคกรดไหลย้อน ..จะมีอาการท้องอืดท้องเฟ้อร่วมด้วยคล้ายๆ กับอาการของโรคกระเพาะ ... จึงทำให้คนส่วนใหญ่มักจะเหมารวมว่า ตนเองอาจจะเป็นโรคกระเพาะอาหาร และไปซื้อยาเคลือบแผลในกระเพาะอาหารมารับประทานเอง ... ทำให้การรักษาไม่ตรงจุดนะคะ ... ระยะหลังมานี้จึงพบ โรคกรดไหลย้อน เพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ ค่ะ ... แต่สามารถรักษาให้หายได้ทั้ง 2 โรค โดย การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการดำเนินชีวิต ทั้ง 15 ข้อที่กล่าวมาข้างต้น จะให้ผลดีมากนะคะ ความทุกข์ทรมานลดลง มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นและประสิทธิภาพการทำงานที่ดีนะคะ สมกับคำที่ว่า “อโรคยา ปรมาลาภา”... การไม่มีโรค เป็นลาภอันประเสริฐ" ซึ่งจะมีได้... ต้อง "ดูแลสุขภาพที่ดี" ร่วมไปกับ.. "การสร้างเสริมสุขภาพที่ถูกต้อง"นะคะ


ขอบคุณค่ะ

26 มิ.ย.2558