#ประชาธิปไตยสายตรง
(๓)
#ประชาธิปไตยทางตรงของสวิส
สวิตเซอร์แลนด์หรือสวิส มีประชากรอยู่ 8.5 ล้านคน
มีประวัติศาสตร์เก่าแก่ 700 ปี
ประมาณประวัติศาสตร์ไทยนับแต่สมัยพ่อขุนรามคำแหงแห่งอาณาจักรสุโขทัย
มีขนาดประมาณครึ่งหนึ่งของภาคเหนือของไทย แต่รายได้ต่อหัวสูงอันดับต้นๆ ของโลก
มากกว่าไทยสิบกว่าเท่า
สวิสมีหลายเชื้อชาติและภาษา หลักๆ คือเยอรมัน (62%) ฝรั่งเศส (23%) อิตาเลียน (8%) และอีกประมาณ 0.5% พูดภาษาโรมันช์
ภาษาเก่าแก่ท้องถิ่นทางใต้ อย่างไรก็ดี สวิสมีคนต่างชาติอาศัยอยู่ถึง 2 ล้านคน
หรือประมาณ 25% ของประชากร
ทั้งแบบถาวรอย่างแรงงานที่มาทำงานหลายสิบปี หรือมาทำงานในองค์การระหว่างประเทศ
หรือผู้อพยพ
สวิสเป็น “ประเทศ” ในระบอบสหพันธรัฐเมื่อปี 1848 หรือเมื่อ 172 ปีมานี่เอง
โดยประกอบด้วย 26 เขตปกครอง (canton) หรือประมาณ
“จังหวัด” ของบ้านเรา มี 2,222 เทศบาล
สวิสมีรัฐบาลกลางที่ประกอบด้วย 7 คน
เป็นผู้แทนจากพรรคการเมืองที่ได้รับเลือกจากประชาชนทุก 4 ปี ใน 7
คนนี้จะเวียนกันเป็นประธานทุกปี เราจึงไม่ค่อยได้ยินว่าใครเป็นประธานาธิบดี
เป็นนายกรัฐมนตรีของสวิส เป็นการปกครองที่ “รัฐบาล”
มีอำนาจและมีเสียงน้อยที่สุดในโลกก็ว่าได้ เพราะยกอำนาจไปให้ “ประชาชน” และ
“จังหวัด” เกือบหมด
ที่สวิส ประชาชนมีการโหวตปีละ 4
ครั้งในระดับประเทศ โดยไปลงคะแนนในข้อเสนอประมาณ 15 เรื่อง
ส่วนในระดับจังหวัดและระดับเทศบาลนั้นอีกมากมายนับไม่ถ้วน ประหนึ่งว่าเป็น
“ส.ว.” กันทุกคน ที่จะต้องร่วมตัดสินใจในกฎหมายกฎเกณฑ์ของการอยู่ร่วมกัน
แต่คนสวิสก็ให้ความเคารพต่อเสียงส่วนน้อย ประชาธิปไตยไม่ใช่ “ซีโร่ซัมเกม”
ที่ผู้ชนะเอาหมด
ประชาธิปไตยทางตรงแบบสวิส บางครั้งก็เรียกว่า กึ่งทางตรง (semi-direct democracy) เพราะมีรัฐสภา
มีส.ส.ที่ได้รับเลือกด้วย แต่ก็มีการแบ่งหน้าที่กัน
เพียงแต่อำนาจสุดท้ายต้องให้ประชาชนมีส่วนร่วมตัดสินใจหรือ “รับรอง” ประมาณว่า
ประชาชนทุกคนเป็น “ส.ว.” กันหมด “สภาประชาชน” จึงคล้าย “วุฒิสภา”
ที่ทำหน้าที่รับรองกฎหมายต่างๆ และเสนอได้ด้วย
ประชาธิปไตยทางตรงของสวิสมีเครื่องมือสำคัญ คือ
การลงประชามติ ซึ่งมี 3 แบบ คือ
แบบบังคับ, แบบการริเริ่มของประชาชน, และแบบเลือกได้ ถ้ามีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ทุกคนต้องไปลงประชามติ การเรียกร้องแก้ไขรัฐธรรมนูญสามารถทำได้โดย
“การริเริ่มของประชาชน” ที่ต้องรวบรวมรายชื่อผู้เห็นด้วยให้ได้ 100,000 คนภายใน 18 เดือน นอกนั้นมีประเด็นอื่นๆ
ที่ภาคประชาชนรวบรวมรายชื่อ 50,000 คน และ 8 จังหวัดเห็นด้วย
สามารถเสนอเพื่อให้มีการลงประชามติในระดับชาติได้ เช่น เมื่อปี 2016 มีประเด็นเรื่อง
“รายได้พื้นฐานถ้วนหน้า” (UBI)
ที่ประชาชนร้อยละ
77%
ลงมติไม่เห็นด้วย
หรือการเสนอให้ออกกฎหมายให้คนงานมีเวลาพัก 6 สัปดาห์ต่อปี
ก็ตกไปเช่นเดียวกัน หรือ
อาจเรียกร้องให้มีการแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวกับประเทศอื่นๆ ก็ได้ เช่น
เมื่อไม่นานมานี้ ที่มีการเสนอให้ยกเลิก “พรมแดนเปิด” กับประเทศอียู
สวิสไม่ใช่สมาชิกของอียู แต่มีข้อตกลงหลายอย่างร่วมกัน อย่างการทำวีซ่า
การผ่านแดนอิสระกับประเทศอียู ซึ่งคนสวิสส่วนหนึ่งเห็นว่า
ข้อตกลงนี้ทำให้เกิดปัญหาผู้อพยพที่ไม่อาจควบคุมได้ แต่ผลการลงประชามติ
คนสวิสส่วนใหญ่อยากให้คงเดิม เพราะได้ประโยชน์กับคนสวิสเองมากกว่า
ที่ไปศึกษาไปทำงานอยู่ในประเทศอียูหลายแสนคน การเสนอของประชาชนให้มีการตรากฎหมายที่ผ่านมาร้อยกว่าปีมีอยู่
180 ครั้ง ปรากฎว่า
มีเพียง 78
เรื่องเท่านั้นที่ประสบความสำเร็จ คือ ได้รับการรับรองจากประชาชนส่วนใหญ่ที่ลงมติเห็นชอบ
การลงประชามติของสวิสมีคนออกไปหย่อนบัตรไม่ถึงครึ่ง
(ประมาณร้อยละ 48) แต่การวิจัยพบว่า
ประชาชนคนสวิสพอใจกับระบอบประชาธิปไตยทางตรงเช่นนี้
และงานวิจัยที่เกี่ยวกับปราะชาธิปไตยในโลกบอกว่า เปอร์เซนต์การออกไปลงคะแนนไม่ได้วัดความเป็นประชาธิปไตยเสมอไป
เพราะการไปลงคะแนนต่ำอาจหมายถึงประชาชนพอใจในสภาพที่เป็นอยู่
พอใจในการมีสิทธิมีเสียง อย่างกรณีสวิส ความจริง
การลงประชามติหรือประชาธิปไตยทางตรงเป็นประเพณีที่ทำกันมากว่า 700 ปี ในบาง
“จังหวัด” ก่อนจะเป็นระดับสหพันธรัฐ ปัจจุบันนี้มีการลงประชามติในแต่ละจังหวัดแตกต่างกันไป
บางแห่งมากบางแห่งน้อย รวมไปถึงการลงมติในระดับเทศบาล
ที่มีกระบวนการตามมาตรฐานของเขา (คงแตกต่างจาก การทำประชาคมตามหมู่บ้าน
หรือตามอบต. เทศบาลของไทยเรา)
ตัวอย่างประเด็นที่มีการลงประชามติในระดับชาติ เช่น
การห้ามสร้างสถานีนิวเคลียร์
การก่อสร้างทางรถไฟใหม่ในเทือกเขาแอลป์ รัฐธรรมนูญใหม่ การควบคุมการอพยพ
การยกเลิกกองทัพ การเข้าร่วมสหประชาชาติ การลดชั่วโมงทำงาน การเปิดตลาดไฟฟ้า เป็นต้น
แม้ว่าประชาธิปไตยทางตรงของสวิสจะได้รับคำชมจากทั่วโลก
และเป็นโมเดลที่หลายประเทศอยากนำไปใช้ แต่คงทำไม่ได้ทั้งหมด เพราะมีประวัติศาสตร์
ความเป็นมา ภูมิรัฐศาสตร์และบริบททางสังคมวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน
แต่ประชาธิปไตยทางตรงจุดอ่อนเช่นเดียวกัน หนึ่งในนั้น คือ
ทำให้พรรคการเมืองอ่อนแอ เพราะไม่ได้มีอำนาจเหมือนในประเทศประชาธิปไตยทั่วไป สภา
ส.ส.ไม่ได้มีอำนาจมากมายเพราะถูกคานด้วยอำนาจของภาคประชาชนที่ทำตัวเป็นเหมือน
“วุฒิสภา” หรือมากกว่าเสียอีก
ภาคประชาชนของสวิสเข้มแข็ง เพราะมีส่วนร่วมทางการเมือง
สามารถ “ปกครองตนเอง” ในความหมายดั้งเดิมของ “ประชาธิปไตย” (ภาษากรีก demos แปลว่าประชาชน kratos แปลว่าปกครอง)
และที่สำคัญ มีกระบวนการเรียนรู้ต่อเนื่องตลอดเวลา
เพราะก่อนการลงประชามติในทุกระดับ ที่ดูเหมือนทำกันตลอดเวลาประหนึ่งประชาชนคือ
“ส.ว.” นั้น มีการอภิปราย ถกเถียง นำเสนอข้อมูลเห็นด้วย ไม่เห็นด้วยในประเด็นนั้นๆ
จากฝ่ายต่างๆ เพื่อนำไปสู่การตัดสินใจร่วมกันในที่สุด
ระบบการเมือง และเศรษฐกิจเมืองสวิสน่าสนใจมาก เสียดายว่า
ข้อมูลที่ไกด์ไทยบอกกับนักท่องเที่ยวเวลาไปสวิสแทบไม่ได้มีอะไรเกี่ยวกับการเมืองสวิสเลย
สวิสจึงเป็นเพียงประเทศในฝันที่ใครๆ อยากไปเที่ยวชมภูมิประเทศสวยงาม
บ้านเมืองเจริญพัฒนา (จากที่เคยไปมากับทัวร์หลายปีก่อน และที่ได้ฟังจากคนอื่นๆ
ที่ไปกันมา) คนไทยอยากไปซื้อนากฬิกาโรแลกซ์
ช็อคโกแล็ตอร่อย อยากไปชมยอดเขามัตเตอร์ฮอร์น (หรือแชร์วิโนในภาษาอิตาเลียน
หรือแซร์แวงในภาษาฝรั่งเศส) ที่สวยที่สุดของเทือกเขาแอลป์
อยากนั่งกระเช้าไฟฟ้าหรือรถไฟขึ้นไปเล่นหิมะบนยอดเขา ถ่ายรูปสวยๆ
มาอวดมาแชร์เพื่อนฝูง
นอกจากการเมือง
สวิสมีบทเรียนมากมายในด้านเศรษฐกิจและสังคมให้เรียนรู้ ซึ่งไม่ได้มีแต่เนสเล่
โรแลกซ์ ช็อคโกเล็ตลินด์ นาฬิกายี่ห้อดัง แต่มีเรื่องพัฒนาการ การจัดการท่องเที่ยว
เรื่องเศรษฐกิจชุมชน เรื่องการประกอบการขนาดย่อมที่น่าเรียนรู้อีกมาก
ถ้าจัดไปดูงาน ผสมผสานกับการไปเที่ยวก็คงไม่น่าเกลียดเท่าไร
เพียงแต่จะไปทัวร์หรือไปดูงานมากกว่าเท่านั้น
เสรี พพ 27 ตุลาคม 2020
< ย้อนกลับ | ถัดไป > |
---|