วันที่ ๒๑ และ ๒๒ พ.ย. ๕๖ผมได้เสพความชุ่มชื่นหัวใจ จากการทำงานรับใช้สังคม ด้วยการเป็น บอร์ด ของหน่วยงานที่ทรงคุณค่ายิ่งต่อสังคม ๒ องค์กร
องค์กรแรกคือ มูลนิธิหอจดหมายเหตุพุทธทาส ที่มี ศ. นพ. ประเวศ วะสี เป็นประธาน ดร. เสนาะ อูนากูล เป็นรองประธาน และกรรมการที่เป็นผู้ใหญ่ในบ้านเมืองอีกหลายท่าน มูลนิธินี้ทำงานมา ๓ ปี มีการจัดองค์กร และทำงานอย่างมืออาชีพ บวกกับจิตกุศลหรืออาสาสมัคร ทำงานเพื่อสังคม
ดร. เสนาะ ได้แนะนำให้ทีมจากบริษัทปูนซีเมนต์ไทย มาจัดระบบการบริหารงาน ทำระเบียบข้อบังคับต่างๆ และระบบตรวจสอบ ทำให้งานเป็นระบบขึ้นมากอย่างน่าพอใจ ขั้นตอนต่อไปคือการมีกลไกตรวจสอบ compliance คือตรวจสอบว่า มีการดำเนินการตามระเบียบข้อบังคับที่กำหนด
กิจกรรมที่ดำเนินการรวมแล้วเป็น วงเงินปีละเกือบ ๔๐ ล้านบาท โดยที่รายรับกับรายจ่ายพอๆ กัน แต่เมื่อคิดค่าเสื่อมราคาของอาคาร จะติดลบประมาณปีละ ๑๐ ล้าน คณะกรรมการจึงมีมติให้ดำเนินการรับบริจาคให้ชัดเจนขึ้น ซึ่งหมายความว่า ให้อำนวยความสะดวกต่อผู้ศรัทธา และต้องการบริจาค แต่ไม่มีการกระตุ้นหรือชักชวนให้บริจาค และคณะกรรมการจัดหาทุนที่นำโดยคุณหญิงชฎา วัฒนศิริธรรม ก็จะไปปรึกษาหารือหาวิธีเพิ่มกองทุนสนับสนุนการดำเนินการ
ที่จริง หอจดหมายเหตุพุทธทาสฯ ทำงานเทียบมูลค่าแล้ว มากกว่า ๔๐ ล้านอย่างมากมาย เพราะงานหลายส่วนดำเนินการโดยอาสาสมัคร โดยอาศัยความสามารถในการเชื่อมโยงเครือข่ายของผู้อำนวยการหอจดหมายเหตุพุทธทาสฯ คือ นพ.บัญชา พงษ์พานิช
ผมจึงมีความสุข ที่ได้มีส่วนร่วมเป็นกรรมการ ช่วยกันกำกับดูแลองค์กรสาธารณกุศลแห่งนี้
องค์กรที่สอง คือ สถาบันคลังสมองของชาติ ที่ทำหน้าที่ขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงสู่ความเข้มแข็งของสถาบันและระบบอุดมศึกษา ในลักษณะทำงานหารายได้เลี้ยงตัวเอง โดยได้รับการสนับสนุนจากงบประมาณแผ่นดินปีละ ๙ ล้านบาท รวมวงเงินดำเนินการ รายรับรายจ่ายก็เท่าๆ กัน และเกือบเท่ากับของหอจดหมายเหตุพุทธทาสฯ องค์กรนี้ดำเนินการมาตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๔๖ และมีการพัฒนาและวิวัฒนาการในการทำงานดีขึ้นมากมายในช่วง ๔ ปีที่ผ่านมา ที่ ศ. ดร. ปิยะวัติ บุญ-หลง มาเป็นผู้อำนวยการ
ประธาน บอร์ด ของสถาบันคลังสมองฯ คือ ศ. ดร. พจน์ สะเพียรชัย และมีกรรมการที่เป็นผู้ใหญ่ของบ้านเมืองเช่นเดียวกัน และที่ซ้อนกับของมูลนิธิหอจดหมายเหตุพุทธทาส คือคุณหญิงชฎา กับผม
ปีนี้มีการเสนอให้ปรับการบริหารงานภายใน เพื่อให้ประหยัด และการตอบแทนพนักงานเป็นไปตามผลประกอบการยิ่งขึ้น โดยที่มีการวิเคราะห์กิจการเป็น ๓ ชั้น ชี้ให้เห็นว่าชั้นกลางเป็นงานหลัก ประกอบด้วย ๒ กลุ่มงาน ที่เป็นงานหลักและทำงานเลี้ยงตัวเองได้ คืองานกลุ่ม ฝึกอบรมด้านธรรมาภิบาลอุดมศึกษา กับงานกลุ่ม study visit และ workshop เพื่อพัฒนาสถาบันอุดมศึกษา
หน้าที่ของ บอร์ด คือ กำกับดูแลเชิงรุก ใน 3 mode ของการทำหน้าที่ธรรมาภิบาล เพื่อให้องค์กรทำหน้าที่ยังประโยชน์แก่สังคมได้อย่างแท้จริงตามเป้าหมาย อย่างน่าเชื่อถือ และอย่างต่อเนื่องยั่งยืน 3 mode คือ Fiduciary Mode, Strategic Mode,และ Generative Mode
ผมเคยเขียนเปรียบเทียบการกำกับดูแลองค์กร ๓ แบบ คือ อุดมศึกษา มูลนิธิ และธุรกิจ ไว้ ที่นี่
วิจารณ์ พานิช
๒๓พ.ย. ๕๖
บันทึกนี้เขียนที่ GotoKnow โดย Prof. Vicharn Panich
< ย้อนกลับ | ถัดไป > |
---|