เอกสารเล่มเล็ก เรื่อง ความเหลื่อมล้ำระหว่างระบบประกันสุขภาพในประเทศไทยและ โครงการประเมินการให้บริการผู้ป่วยอุบัติเหตุฉุกเฉินร่วมสามกองทุนภายใต้นโยบาย “เจ็บป่วยฉุกเฉิน รักษาทุกที่ ทั่วถึงทุกคน” ที่พิมพ์เผยแพร่โดย สวรส. ในปี ๒๕๕๖ บอกอะไรเราหลายอย่าง
คนไทยทุกคนมีหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า มาตั้งแตีปี ๒๕๔๕ จะครบ ๑๒ ปี ในเดือนเมษายา ๒๕๕๗ นี้ โดยระบบที่มาทีหลังสุด และครอบคลุมจำนวนคนมากที่สุดคือระบบ หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ที่บริหารโดย สปสช. ส่วนระบบที่มีมานานที่สุดคือ ระบบสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ ที่ผมมักเรียกว่า สวัสดิการ ๓ ชั่วโคตร คือดูแลตัว ข้าราชการและคู่สมรส บุตรที่ไม่บรรลุนิติภาวะ (ไม่เกิน ๓ คน) และพ่อแม่ ซึ่งเป็นระบบที่เอื้อเฟื้อมาก และตัวข้าราชการได้ประโยชน์จริงๆ แต่ในที่สุดรัฐบาลก็รับภาระทางการเงินไม่ไหว จึงต้องปลดบางหน่วยงานออก ไม่ให้บุคลากรเป็นข้าราชการอีกต่อไป ให้เป็นพนักงานราชการ ได้สวัสดิการรักษาพยาบาลจำกัดที่ตัวข้าราชการคนเดียว เรื่องสวัสดิการต่างๆ นั้น มันเป็นของดี แต่ถ้าไม่มีวิธีจัดการให้พอดี ก็มีปัญหาไม่มีเงินจ่าย
ระบบที่มากับระบบแรงงาน คือระบบประกันสังคม
หนังสือเล่มนี้ เป็นผลงานวิจัยเปรียบเทียบสวัสดิการด้านสุขภาพของทั้ง ๓ ระบบนี้ และผมจะไม่กล่าวถึงสาระ เพราะท่านสามารถเข้าไปอ่านหนังสือหรือดาวน์โหลดเก็บไว้ใช้งานได้ ตามลิ้งค์ ที่ให้ไว้แล้ว แต่ผมจะขอโยนิโสมนสิการ (reflect, AAR) ประเด็นที่ผมต้องการ ลปรร. กับสังคมไทย ๓ ประการ
๑. โครงการต่างๆ ของบ้านเมือง ต้องเตรียมการประเมินเพื่อพัฒนา ไว้ล่วงหน้า ตั้งแต่ตอนวางแผนกิจกรรมนั้นๆ เมื่อดำเนินการไประยะหนึ่ง ต้องมีการวิจัยเพื่อประเมินผล โดยต้องมีทีมนักวิจัยที่แม่นยำวิชาการ และซื่อสัตย์มีความน่าเชื่อถือ (มี integrity) ไม่มีใครสั่งให้แปลงผลวิจัยได้ หนังสือเล่มนี้เป็นตัวอย่าง
สังคมไทยต้องมีองค์กรหรือหน่วยงาน ที่ทำหน้าที่ตามข้อ ๑ ในเรื่องหลักๆ ของบ้านเมืองได้ เช่นด้านเศรษฐกิจ เรามี ทีดีอาร์ไอ ด้านสุขภาพ มี สวรส. แต่ด้านที่สำคัญในระดับคอขาดบาดตายต่ออนาคตของบ้านเมือง คือด้านการศึกษา เราไม่มีหน่วยงาน และไม่มีการสร้างนักวิจัยตามข้อ ๑ นอกจากนั้นยังน่าจะพิจารณาจัดตั้ง สถาบันวิจัยสร้างสรรค์และตรวจสอบนโยบายสาธารณะ ตามข้อเสนอของคุณบรรยง พงษ์พานิช ที่นี่
๒ การใช้ประโยชน์หน่วยงานวิจัยที่เก่ง และซื่อสัตย์ต่อวิชาการ ยังไม่เป็นวัฒนธรรมของการเมืองและสังคมไทย ฝ่ายการเมืองต้องการคนทำวิจัยเพื่อสนับสนุนนโยบายของตนมากกว่า ดังกรณีที่อดีตนายกรัฐมนตรี ดร. ทักษิณ เคยกล่าวกับทีมผู้บริหาร สกว. เมื่อประมาณปี ๒๕๔๕ (ผมอยู่ในคณะด้วย) ว่า ถ้า สกว. อยากได้งบประมาณ ก็อย่าไปคิดตั้งโจทย์วิจัยอื่น ให้ใช้โจทย์วิจัยว่า ทำอย่างไรนโยบายของรัฐบาลจะได้ผล และดังกรณี ทีดีอาร์ไอ ไม่ค่อยเป็นที่ชื่นชอบของนักการเมือง ไม่ว่ารัฐบาลไหน
การปฏิรูปประเทศไทย ควรคำนึงถึงการสร้างระบบปัญญาของประเทศ
วิจารณ์ พานิช
๕ ม.ค. ๕๗
บันทึกนี้เขียนที่ GotoKnow โดย Prof. Vicharn Panich
< ย้อนกลับ | ถัดไป > |
---|