Thaiihdc.org

  • เพิ่มขนาดตัวอักษร
  • ขนาดตัวอักษรปกติ
  • สดขนาดตัวอักษร
Thaiihdc.org

ชีวิตที่พอเพียง : 2066. เป็นประธานการประชุมห้องย่อย ใน Third Global Forum on Human Resources for Health ที่บราซิล

พิมพ์ PDF
ห้องของเรามีคนมากที่สุด คือเต็มห้อง ประมาณ ๓๐๐ คน ห้องอื่นๆ มีคนประมาณ ๑๐๐ คน รวมแล้วมีคนเข้าห้องย่อยทั้งหมดราวๆ ๗๐๐ คน จากคนที่ลงทะเบียนทั้งหมด ๒,๐๐๐ คน

ชีวิตที่พอเพียง : 2066. เป็นประธานการประชุมห้องย่อย ใน Third Global Forum on Human Resources for Health ที่บราซิล

การประชุม Third Global Forum on Human Resources for Health จัดที่เมืองตากอากาศ ชื่อ Recife ประเทศบราซิล ระหว่างวันที่ 10 - 14 พ.ย. ๕๖  เจ้าภาพคือ WHO กับรัฐบาลบราซิล

ช่วงสายของการประชุมวันที่สอง มีการประชุมห้องย่อยพร้อมกัน ๖ ห้อง   โดยห้องที่ ๔ เรื่อง Transforming and scaling up health professional education and training  จัดโดย Prince Mahidol Award Conference  ผมถูกกำหนดให้เป็นประธาน   โดยผู้ประสานงานคือ อ. วิม หรือ ศ. พญ. วณิชชา ชื่นกองแก้ว   มีผู้พูด ๕ คน จากไทย ๑ คือ อ. วิม, จากอัฟริกา ๒, จากอเมริกาใต้ ๑ คือจากเปรู, และจาก WHO ตัวรองผู้อำนวยการใหญ่ที่รับผิดชอบด้านกำลังคน เป็นผู้พูด

ทีมจัด session นี้ของไทยทำงานตั้งแต่เนิ่นๆ   กำหนดเป้าหมาย หัวเรื่องย่อย และเชิญคนพูดจากประเทศต่างๆ   เมื่อตกลงกันแล้วก็ส่งเรื่องให้ WHO จัดการเชิญวิทยากรอย่างเป็นทางการ   แต่ผู้พูดคนหนึ่งที่อัฟริกา รอแล้วรออีก WHO ก็ไม่เชิญ เวลาผ่านไปประมาณ ๑ เดือน เขาจึงไปรับงานอื่น และขอยกเลิกการมาร่วมเป็นวิทยากร   ทางทีมไทยต้องเชิญวิทยากรคนใหม่อย่างกระทันหัน

๒ วันก่อนการประชุม วิทยากรจากเปรู อีเมล์มาบอก อ. วิม ว่าลูกอายุ ๒ ขวบป่วย มาประชุมไม่ได้   คนนี้ได้รับมอบหมายให้พูดเรื่อง Independent Commission Report on Health Professionals Education Reform, 2010 and Actions Till Now   ผมจึงเสนอให้ ศ. นพ. ภิเศก ลุมพิกานนท์พูดแทน   เพราะ อ. หมอภิเศกรู้เรื่องนี้อย่างดี รู้กิจการของทั่วโลก

การประชุม GF3 นี้จัดแบบไม่พร้อม   การจัดการแย่มาก   พิธีเปิดในวันที่ ๑๐ พ.ย. กำหนดเวลา ๑๗.๓๐ น.  โดยผู้จัดกำหนดให้ผู้ร่วมงานมาเร็วมาก มาถึงตั้งแต่ ๑๖.๐๐ น.  มีความไม่สะดวกต่างๆ เกิดขึ้นมากมาย  และรอจน ๑๘.๑๕ น. ก็ยังไม่เปิด และไม่ประกาศอะไร   ทีมไทยจึงยกทีมกลับ (มาทราบภายหลังว่า เปิดช้าเพราะรอรัฐมนตรี แปลกที่เขาไม่ขอโทษผู้รอ)    ระหว่างที่พิมพ์บันทึกด้วย iPad อยู่ในห้องประชุม วันที่ ๑๑ พ.ย. เวลา ๙.๒๕ น. เจ้าหน้าที่ยังเตรียมไฟ และทดสอบระบบเสียงบนเวทีอยู่   ทั้งๆ ที่เวลาเริ่มงานคือ ๙.๐๐ น.

ตอน ๘.๓๐ น. (วันที่ ๑๑ พ.ย.) ผมถามหาห้องน้ำ   เขาให้ลงไปข้างล่าง ผมไปเดินหา เจ้าหน้าของการประชุมตามไปช่วย พบว่าห้องน้ำล็อค   เขาถามเจ้าหน้าที่อาคาร เขาบอกให้ไปใช้ห้องน้ำหญิง   พอไปถึงพนักงานทำความสะอาดบอกให้ไปใช้ห้องน้ำชาย (ซึ่งไม่เปิด)   ผมต้องไปบอกเจ้าหน้าที่ของการประชุมคนเดิมไปเจรจา (ด้วยภาษาปอร์ตุกีส) ผมจึงได้เข้าห้องน้ำ    และพบว่าเจ้าหน้าที่ทำความสะอาดกำลังล้างห้องน้ำอยู่ เขาไม่มีวัฒนธรรมทำความสะอาดห้องน้ำล่วงหน้าอย่างที่บ้านเรา

การตกแต่งไฟเวทีเป็นอีกหลักฐานว่า คนบราซิลไม่มีวัฒนธรรมเตรียมความเรียบร้อยล่วงหน้า

การประชุมเริ่มเวลา ๑๐.๐๔ น.!   และระบบเสียงมีปัญหาตลอดการประชุม

ทีม PMAC 14 คน หอบสังขารไปบราซิล นั่งเรือบินกว่า ๓๐ ชั่วโมง เพื่อแสดงสปิริตของความร่วมมือระหว่าง PMAC กับ GHWA (Global Health Workforce Alliance) ซึ่งโดนยุบไปแล้ว และ WHO เข้ามารับหน้าเสื่อแทน     เดิมเขาจะขอให้เราโอนเงินให้เขา   เราตอบว่าเราจะจัดการความร่วมมือและการใช้เงินนี้เอง โดยเรารับจัดงาน ๒ ห้องย่อย   และในที่สุดเหลือห้องเดียว

ในช่วงการประชุมในห้องย่อยของเรา ผมต้อนรับและขอบคุณผู้เข้าร่วมประชุมในฐานะประธานคณะกรรมการจัดการประชุม PMAC 2014 เรื่อง Educational  Transformation for Health Equity   ผมบอกว่าทีม PMAC มากัน ๑๔ คน เพื่อมาเก็บประเด็นเอาไปจัดการเสวนาใน PMAC 2014 ให้เกิดการลงมือทำในประเทศสมาชิก ในเรื่องการปฏิรูปการเรียนรู้เพื่อพัฒนาระบบสุขภาพโดยมีเป้าหมายที่ Health Equity

ผมลองถามว่าใครเคยไปร่วมประชุม PMAC บ้าง  มีคนยกมือ ๒ - ๓ คน    ผมบอกว่าการนำเสนอในห้องนี้ โดยใช้เวลา ๙๐ นาทีเป็นเพียง ออเดิร์ฟ   ตัวจานหลักจะอยู่ที่ PMAC 2014 ที่กรุงเทพ เดือนมกราคม 2014

ผมบอกว่า ทีมไทยเราทำงานเป็นทีม ผมในฐานะประธาน มีหน้าที่ทำตัวเป็น "พระประธาน" (Buddha Image) คือนั่งเฉยๆ ส่งเสริมให้คนเก่งๆ เขาทำงาน   และคนเก่งในกรณีนี้คือ อ. วิม   จึงมอบให้ อ. วิมบอกที่ประชุมว่าการประชุม session นี้มีวัตถุประสงค์อะไรบ้าง   ได้แก่ (๑) เพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์การปฏิรูปการเรียนรู้ ในเอเซียและอัฟริกา (๒) เพื่อเสนอแนวทางปฏิรูปการเรียนรู้ สู่การเพิ่มคุณภาพและปริมาณบุคลากรสุขภาพ  (๓) เพื่อแลกเปลี่ยนการดำเนินการด้านการเรียนรู้ของบุคลากรสุขภาพ เพื่อการบรรลุมติสมัชชาสุขภาพโลก ที่ WHA 66.23   เมื่อเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๖

อ. หมอภิเศก พูดเรื่อง Lancet Commission ได้ยอดเยี่ยม   และ อ. วิมก็เล่าเรื่อง ANHER (Asia - Pacific Network for Health Professional Education Reform) ได้ดี   ส่วนของอัฟริกาเป็นเรื่อง MEPI (Medical Education Partnership Initiative) ดำเนินการในปี ค.ศ. 2010 – 2015 ในโรงเรียนแพทย์ ๑๓ แห่ง ใน ๑๒​ประเทศ    ได้รับเงินสนับสนุนจากสหรัฐอเมริกา ๑๓๐ ล้านเหรียญ     กับเรื่อง Models of Education Reforms for HSS in Africa (AHLMN) ได้รับการสนับสนุนจาก JICA   เป็นการปฏิรูปที่เริ่มมาจากระบบบริการ   ไม่ใช่เริ่มจากระบบการศึกษา

ส่วน Marie-Paule Kieny, ADG ของ WHO พูดบทบาทของ WHO ในการสนับสนุน Education Reform ของ HRH (Human Resources for Health)    ที่เด่นที่สุดคือ WHO Guidelines “Transforming and scaling up health professionals’ education and training”

ช่วงให้ผู้เข้าร่วมประชุมให้ข้อสังเกตและตั้งคำถาม   มีคนให้ความเห็นและตั้งคำถามกันคับคั่ง   ประเด็นสำคัญคือ วิชาชีพด้านสุขภาพมีการขยายตัว มีความหลากหลายของวิชาชีพเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ   แต่การริเริ่มปฏิรูปการเรียนรู้ยังจำกัดอยู่ใน ๓ สาขาหลัก คือแพทย์  สาธารณสุข และพยาบาล เท่านั้น    จึงมีผู้ลุกขึ้นมาเสนอให้ดำเนินการให้ครอบคลุมทุกสาขาวิชาชีพ

เรื่องความสำคัญของ HRH นี้เป็นที่ตระหนักกันเรื่อยมา   ในระยะหลังก็มีการประชุม 1st Global Forum of HRH ที่นคร Kampala, ประเทศ อูกันดา   และมีการประกาศ Kampala Declaration เมื่อ ค.ศ. 2008   ต่อมา มีการประชุม 2nd Global Forum of HRH ร่วมกับ PMAC 2011 ที่กรุงเทพ  พร้อมกับประกาศ  by Plus-HD-1.5" style="color: #0022cc; text-decoration: underline !important; background-color: transparent !important; border: none !important; display: inline !important; float: none !important; height: auto !important; margin: 0px !important; min-height: 0px !important; min-width: 0px !important; padding: 0px !important; vertical-align: baseline !important; width: auto !important;">Bangkok Declaration    และปลายปี 2010 มีการประกาศรายงานผลการศึกษาของ Independent Commission on Health Professionals Education Reform    แล้วในเดือนมกราคม ๒๕๕๗ จะมี PMAC 2014 เรื่อง Educational Reform for Health Equity

คุณหมอสุวิทย์ มาบอกในภายหลังว่า ห้องของเรามีคนมากที่สุด คือเต็มห้อง ประมาณ ๓๐๐ คน   ห้องอื่นๆ มีคนประมาณ ๑๐๐ คน   รวมแล้วมีคนเข้าห้องย่อยทั้งหมดราวๆ ๗๐๐ คน จากคนที่ลงทะเบียนทั้งหมด ๒,๐๐๐ คน

เราไปเห็นตัวอย่างที่ดีของการจัดการประชุมอย่างหนึ่งคือ ระบบ Barcode ที่ป้ายประจำตัวผู้เข้าร่วมประชุม   เมื่อเข้าประชุมห้องใด ต้องให้เจ้าหน้าที่ scan barcode เสียก่อน   ทำให้ติดตามได้ว่าผู้เข้าร่วมประชุม เข้าร่วมแค่ไหน และเข้าห้องใด

วิจารณ์ พานิช

๑๓ พ.ย. ๕๖

บนเครื่องบิน จากเซาเปาโล ไปดูไบ

 

 

บันทึกนี้เขียนที่ GotoKnow โดย 

แก้ไขล่าสุด ใน วันอังคารที่ 31 ธันวาคม 2013 เวลา 10:30 น.
 

การศึกษากับอิสรภาพ

พิมพ์ PDF
ผิดเพื่อการเรียนรู้ ไม่ใช่เรื่องน่าอับอาย และไม่มีโทษแต่ประการใด

การศึกษากับอิสรภาพ

ในการประชุมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ผู้ดำเนินการโครงการวิจัยกระบวนการพัฒนาครู ด้วยระบบหนุนนำต่อเนื่อง (Teacher Coaching) ระยะที่ ๒   เมื่อวันที่ ๒๔ พ.ย. ๕๖ ที่จังหวัดสมุทรสาคร   หลังจากทีมงานของ ๙ จังหวัด แลกเปลี่ยนเรียนรู้เรื่องราวความสำเร็จ  และจุดอ่อนที่ต้องแก้ไข กันเป็นกลุ่มย่อย   แล้วเปลี่ยนเป็นทีมเดียวกันรวมกลุ่มประชุมเพื่อวางแผนการไปดำเนินการต่อ

ผมนั่งฟังทั้งในกลุ่มย่อย และฟังการรายงานผลการประชุมกลุ่มอย่างตั้งใจ    และบอกกับตัวเองว่า หากจะให้ผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาสูงขึ้น   สิ่งที่ครูและนักเรียนต้องการมากที่สุดคือ อิสรภาพ ทั้งที่เป็นอิสรภาพจากคำสั่งการจากหน่วยเหนือ ที่สั่งการเพื่อผลงานของตน  หรือเพื่อผลประโยชน์ของตน   อิสรภาพจากงานที่ไม่ช่วยให้ผลสัมฤทธิ์ในการเรียนของนักเรียนดีขึ้น   หรือกลับทำให้ครูต้องทิ้งศิษย์ไปทำงานตามคำสั่ง

ในวงสนทนา มีคนเล่าว่า มักจะมีการจัดการประชุมใหญ่โต มี organizer มาจัดพิธี เพื่อเชิญ “ผู้ใหญ่” มาเป็นประธานในพิธี   และเพื่อให้สมเกียรติ ต้องเกณฑ์นักเรียนและครูไปในงาน    ทำให้ต้องปิดการเรียน ไปเป็นไม้ประดับในงาน

แต่อิสรภาพที่สำคัญกว่า คือ อิสรภาพจากถูก-ผิด ในขั้นตอนของการเรียนรู้ อิสรภาพจากความกลัวว่าจะถูกหาว่าโง่   ไม่กังวลหรือกลัวว่าคำตอบของตนจะถูกหรือผิด   เพราะ “ถูกก็ได้เรียนรู้   ผิดก็ได้เรียนรู้”    เป้าหมายที่แท้จริงคือการเรียนรู้   ไม่ใช่การตอบคำตอบที่ถูกต้อง ในระหว่างกระบวนการเรียนรู้

ครูอาจารย์ ต้องทำตัวเป็นตัวอย่างแก่ศิษย์    ว่าครูก็ทำผิดได้ เข้าใจผิดได้ มีความรู้ผิดๆ ได้    แต่เมื่อนำมาเข้ากระบวนการเรียนรู้   ความเข้าใจผิดในเรื่องความรู้ก็จะถูกแก้ไข   เกิดความรู้ความเข้าใจที่ก้าวหน้า และถูกต้องยิ่งขึ้น   นักเรียนนักศึกษา ซึ่งอยู่ระหว่างศึกษาเล่าเรียน จึงต้องไม่กลัวที่จะแสดงความคิดเห็น เพื่อซักซ้อมความเข้าใจของตน  และเพื่อต่อยอดความรู้ของตนขึ้นไป

ผิดเพื่อการเรียนรู้ ไม่ใช่เรื่องน่าอับอาย   และไม่มีโทษแต่ประการใด

หนึ่งคำถาม มีได้หลายคำตอบ    คำอธิบายวิธีคิดไปสู่คำตอบ สำคัญกว่าตัวคำตอบ

ยิ่งสำคัญกว่า คือ อิสรภาพจากความกลัวการประเมิน ไม่กลัวการประเมิน   ในที่ประชุมวันนี้ มีคนบอกว่า ครูทั้งเกลียดทั้งกลัวการประเมิน    ซึ่งผมตีความว่า เพราะครูกลัวว่าสิ่งที่ตนทำนั้น จะผิดหรือไม่ดีพอ กลัวเสียหน้า กลัวสอบตก    ซึ่งเป็นกระบวนทัศน์ที่ผิด

ซึ่งเรื่องนี้โทษครูไม่ได้   ต้องโทษครูของครู   ที่วางท่าทีเรื่องการประเมินผิด   หลงเน้นที่การตัดสินถูก-ผิด    หรือการประเมินแบบ summative evaluation   ไม่เน้นที่การประเ���ินเพื่อพัฒนา (formative assessment)    ซึ่งหมายความว่า การประเมินระหว่างการทำงาน/การเรียนรู้ ไม่ใช่ตัวตัดสิน   ตัวตัดสินคือผลสัมฤทธิ์ของการเรียนรู้

ทั้งครูและศิษย์ ต้องการความมั่นใจ ในกระบวนการ “ทำไปเรียนรู้ไป ของตน”    ไม่กังวลกับถูก-ผิด    แต่มั่นใจในกระบวนการที่ตนคิด-ทำ-คิด และคิดร่วมกัน ไตร่ตรองร่วมกัน   เพื่อการเรียนรู้ร่วมกัน ทั้งศิษย์ทั้งครู    ปลอดภัย (หรือเป็นอิสระ) จากคนในหน่วยเหนือ ที่คอยมาชี้ถูกชี้ผิด

อิสรภาพ อีกประการหนึ่ง คือ อิสรภาพจากสูตรสำเร็จ ที่หน่วยเหนือกำหนด “พิมพ์เขียว” สั่งลงมาให้ถือปฏิบัติ ในลักษณะของ “หลักสูตรสำเร็จรูป”   ให้ครูทำตามโดยไม่ต้องคิด    เพราะในการเรียนรู้ในศตวรรษที่ ๒๑ นักเรียนต้องเรียนจากการลงมือปฏิบัติและคิดด้วยตนเอง   และครูทำหน้าที่คิด/กำหนดกระบวนการเรียนรู้ที่เหมาะสมต่อศิษย์กลุ่มนั้นๆ   คือทั้งครูและศิษย์ ได้ “คิดและทำ” และ “ทำและคิด” ด้วยตนเอง   เพื่อบรรลุเป้าหมายของการเรียนรู้ ที่กำหนด

วิจารณ์ พานิช

๒๖ พ.ย. ๕๖

 

บันทึกนี้เขียนที่ GotoKnow โดย 

แก้ไขล่าสุด ใน วันอังคารที่ 31 ธันวาคม 2013 เวลา 10:32 น.
 

ความห่วงใยประเทศชาติจากคนไทยที่เป็นผู้ใหญ่ในต่างแดน

พิมพ์ PDF
เป็นโอกาสทอง ที่คนไทยทั้งผอง จะลุกขึ้นมาปฏิรูปประเทศของตน ไปสู่ทิศทางที่ถูกต้อง ทำลายรากเหง้าของการทุจริตโกงกิน ความอยุติธรรมในสังคม และความไม่เป็นประชาธิปไตยที่แท้จริง

ความห่วงใยประเทศชาติจากคนไทยที่เป็นผู้ใหญ่ในต่างแดน

ผมได้รับ อีเมล์ จาก ศ. ดร. เมธี เวชารัตนา ดังต่อไปนี้

 

Dear Than Arjan Mhor Vicharn:

… I read several articles that you posted about the current situation in Thailand.  Many thanks for your stance and truthfulness.  It is sad to see many so-called educated people, politicians and government officials alike, to behave the way they are.

I call it a failure of our education system as our degrees that these people have are merely pieces of papers.  I learned when I was young from Chinese literature that higher education is about understanding righteousness and people, nothing to do with greed, corruption and amassing money.

Every press conference that CAPO put out or Speaker of the Government gave to the press are some unbelievable make-up stories and lies.  Many were beyond common sense, even though some video footages have clearly shown the barbaric acts and brutality of crowd-controlled policemen.

Does anyone at all on the government have any common sense and guilt for being a part of these nonsenses?  This is unbelievable!  These individuals have no shame of saying these untruthful stories in public.  The presses have no judgment and courage to write about the truth and righteousness.

Like one of the recent headlines that newspaper disclosed the wealth of politicians who held office during the past one year.  The richest politician is Dr. Plodprasob, who has, within one year, increased his asset by nearly 1 billion baht (about 950 million to be exact).  The press only paid attention at the headline of being the richest, able to manage to get so much money in one year, but no one talked about how he got it.

 

In my recent talk at the "Dinner Talk 2014" on December 12, 2013, organized by the Alumni Association of Chula's Engineering School celebrating 100 years of the school, I discussed about the majority vote supporting the following leaders while they were in power: President Marcos of the Philippines (always won majority vote; his act of corruption set back the Philippines for 30 years); Suharto of Indonesia (also won majority vote in every election); So as Saadam Hussein of Iraq, Assad of Syria, Kardafi of Libya, and Mubarak of Egypt (who has amassed US$70 billion, making him quietly the richest man in the world and Egypt one of the poorest countries in the Middle East today).  So,"Democracy" and claim of majority are merely a gimmick of dirty politicians all around the world.

 

During the past month, I have given some thoughts into the reform, if it were to happen in Thailand.  One idea, besides the general concept of ridding of all forms of corruptions, is the "Debt Ceiling" of the government, States and Local alike.  During the past 35 years that I lives in the U.S., I have seen many States and Municipalities file for bankruptcy.  Recently, we saw the City of Detroit, Greece, etc.

So, what I am suggesting is Thailand should demand any future government to have a balance budget so they cannot just get the loan for any project they want.

Secondly, last year (2012) the State of New Jersey wanted to borrow US$750 million to support higher education in the State of New Jersey.  The NJ Government under Governor Chris Christie has to put the proposal on the Ballot for vote by people of the State of New Jersey, asking whether they agreed to borrow the money for the project as the loan is the debt of every household in the State of New Jersey.

Thailand should do the same for any future mega loans, like the 2 trillion baht loan for the high speed train proposal or the  350 billion baht loan for the flood prevention project.

 

I did a quick calculation for the cost to each household in Thailand to pay back these two loans, and here are the numbers:

 

We have approximately 67 millions people (babies, young and working people, elders).  I would say those who work to generate income are the young and working people of the family,estimating at 40-50% or sometimes just one in four of the total population or about 16-35 millions people.  If we divide 2.35 trillion baht from the two projects with 67 million, each Thai will owe 35,000 baht.  Per household, assuming 4 persons per household, each average small family will owe 140,000 baht from these two loans.

Since the Government creates this debt to the public, it needs the people to agree to the loan, and that is the reason why, in the U.S., they need to put the loan proposals for a vote.

…………..

 

Methi Wecharatana

 

ข้อเสนอของ ศ. ดร. เมธี คือ

  1. งบประมาณประจำปีของประเทศต้องเป็นงบประมาณสมดุล   เพื่อป้องกันรัฐบาลที่ฉ้อฉลสร้างหนี้ให้แก่ประเทศ
  2. หากจะมีการกู้เงินสร้างหนี้ก้อนใหญ่ในระยะยาวให้แก่ประเทศ ต้องจัดให้ประชาชนลงมติว่าเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย

 

 

ผมตอบดังต่อไปนี้

 

Dear Dr. Methi

 

Great to hear from you! As always, I learn a lot from our contact.

 

For the political crisis of our country, I think that it is a blessing in disguise. We have come to the tipping point that people will learn that the present political system is a very bad one. We, the Thai people, have to work for the real reform. The opportunity comes with the crisis. Everybody has to participate. I am very much impressed with the Thais in USA who help informing the truth to the world to correct biased news from some foreign reporters.

 

Would you agree if I put this e-mail of yours into my blog to communicate your ideas to the Thai general public? I think it is worth publicize.

 

Wishing you and your family a happy, prosperous and successful New Year as well.

 

Best regards,

Vicharn

 

และ ดร. เมธีตอบดังนี้

 

Dear Than Arjan Mhor Vicharn:

 

Please feel free to publicize it.

Personally, I agree wholeheartedly with you that this is the opportunity for Thai people to wake up and move in the right direction, i.e. get rid of corruption (the cancer of Thailand, Thai government, and Thai Politics), be competitive like Korea, Singapore,  by Plus-HD-1.5" style="color: #0022cc; text-decoration: underline !important; background-color: transparent !important; border: none !important; display: inline !important; float: none !important; height: auto !important; margin: 0px !important; min-height: 0px !important; min-width: 0px !important; padding: 0px !important; vertical-align: baseline !important; width: auto !important;">Hong Kong, etc.

The only concern I have is how many lives we have to sacrifice.  I have not seen any country in the world that goes through this changes without bloodshed.  Hopefully, Thailand will be the first.

I often tell everyone that ATPAC has no color, but this is the first time I told ATPAC's Executive Board that they have to let Thai people know our stance, if we were to call ourselves "Educated and Responsible".  It is not about choosing side, it is about righteousness, without which we are no different than any other spicy.

Thailand, as a country, and Thai people need direction.  I have personally gone to the Democracy Monument to join the protest several times just to express my point and my responsibility when I visited Thailand during the past two months.  By the way, to support the idea I wrote to you earlier, I just digged up an article on the wab and just about to send it to you.  In short, I am very pleased to get a prompt reply from you.  Hopefully, working together, we will get Thailand moving in the right direction.

 

Respectfully,

 

Methi

 

บทความที่ ดร. เมธีอ้างถึง อ่านได้ที่ Voters Approve More State Debt.docx

วิจารณ์ พานิช

๒๙ ธ.ค. ๕๖

 

 

 

บันทึกนี้เขียนที่ GotoKnow โดย 

แก้ไขล่าสุด ใน วันจันทร์ที่ 30 ธันวาคม 2013 เวลา 23:14 น.
 

ถึงทั่วโลก

พิมพ์ PDF
รอให้เพวกเขาปฏิรูป รอให้พวกเขาล้างความสกปรกของระบบการเมือง(ระบอบทักษิณ)ออกไปก่อน แล้วจากนั้นเราค่อยมาเลือกตั้งกัน การเลือกตั้งที่มีความถูกต้อง การเลือกตั้งที่ใสสะอาด การเลือกตั้งที่จะทำให้ได้มาซึ่งรัฐบาล โดยประชาชน และที่สำคัญต้องเป็นรัฐบาลเพื่อประชาชน รัฐบาลที่สร้างประโยชน์ให้กับประเทศชาติ และ ประชาชนโดยถ้วนหน้า ไม่ใช่แค่ “ครอบครัวและพวกพ้องของตนเอง” เท่านั้น

ถึงทั่วโลก...

ฉันเชื่อว่าพวกคุณคงได้ยินเกี่ยวกับประเทศไทยมามากพอสมควร ใช่แล้ว ประเทศไทย! ดินแดนของอิสระเสรีภาพ ดินแดนของประชาชนที่รักพระมหากษัตริย์อย่างเต็มหัวใจ ดินแดนที่มีประชาชนพูดว่า “ฉันรักในหลวง” ด้วยหัวใจที่มีแต่ความจงรักภักดี ดินแดนที่ยินดีเปิดรับทุกศาสนาด้วยไมตรีจิต และ เป็นดินแดนที่ประชาชนรักสันติภาพ...

แต่ถึงกระนั้น...พวกเราคนไทยก็ต่อสู้เพื่อความถูกต้องและเชื่อมั่นในความถูกต้อง
ช่วงเวลาประมาณเดือนกว่าที่ผ่านมาจนกระทั่งปัจจุบัน ประเทศไทยได้เกิดความวุ่นวายทางการเมืองมากมาย สาเหตุหลักๆก็เกิดจากรัฐบาลไทยที่ได้สร้างมันขึ้นมา รัฐบาลที่คนไทยเลือกเข้ามาเพื่อมาทำงานให้ประเทศชาติในนามของประชาชน โดยเฉพาะผู้ที่ด้อยโอกาสในประเทศให้ได้มีโอกาสลืมตาอ้าปาก

จริงๆแล้วที่ฉันเขียนบทความนี้จุดประสงค์นั้นไม่ได้เพื่อที่จะมาบอกถึงสาเหตุทั้งหมดที่รัฐบาลได้ก่อขึ้นมาและนำประเทศชาติไปสู่สถานการณ์แบบนี้แก่ชาวโลก เพราะฉันเชื่อว่าถ้าคุณกำลังอ่านบทความนี้ คุณคงได้รู้เหตุผลที่ทำให้เกิดความวุ่นวายมาพอสมควรแล้ว ถึงแม้ว่าลึกๆในใจฉันอยากจะพูดก็ตามที

จุดประสงค์ของบทความนี้ คือ ฉันอยากจะขอร้อง “ชาวโลก” ด้วยไมตรีจิตว่า “กรุณาเข้าใจพวกเราเถอะ”
กรุณาอย่ามองถึงเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นในปัจจุบันแล้วด่วนสรุปว่าพวกเราไม่เชื่อในระบอบประชาธิปไตย ฉันอยากบอกว่าพวกเรานี่แหละที่ต้องการประชาธิปไตยให้เกิดขึ้น พวกเราไม่ใช่นักปฏิวัติ พวกเราไม่เชื่อในการใช้ความรุนแรง

พวกเรานี่แหละคือประชาชนแห่งความเป็นประชาธิปไตย เพียงเพราะว่าพวกเราต้องการเลื่อนการเลือกตั้งออกไป นั่นไม่ได้หมายความว่า พวกเราปฏิเสธประชาธิปไตย ไม่ใช่เลย พวกเราแค่อยากจะ “ทำความสะอาดบ้าน” หมายถึง ประเทศไทยของพวกเราก่อน จากนั้นบ้านของเราก็จะเป็นบ้านที่น่าอยู่

ณ ตอนนี้บ้านของเรามันทั้งรก ทั้งสกปรก และ ไม่อยู่ในสภาพที่จะอยู่อาศัยได้ด้วยความสุขสบาย ดังนั้น พวกท่านช่วยกรุณาอย่าเข้าใจว่าพวกเราต่อต้านการเลือกตั้ง พวกเราต้องการให้มีการเลือกตั้งเกิดขึ้นแน่นอน แต่มันต้องเกิดขึ้นด้วยเหตุผลและเจตนารมณ์ที่ถูกต้องในเวลาที่เหมาะสม

พวกเราในฐานะประชาชนคนไทยไม่มีความเชื่อในความเป็นเผด็จการ ประชาชนคนไทยที่ออกไปชุมนุมต่อต้าน พวกเขาไม่ได้โง่ ไม่ได้บ้า และก็ไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่พวกเขาออกไปชุมนุมด้วยเหตุผล เหตุผลที่ทำให้หัวใจเขาสั่งให้ทำและทำด้วยสติปัญญาของพวกเขา

กรุณาอย่าเข้าใจผิดและอย่าตัดสินพวกเขาแบบผิดๆ ประชาชนเหล่านั้นเค้ามีความรักให้กับประเทศชาติของเขา ด้วยสถานการณ์วุ่นวายทางการเมืองในตอนนี้ ถ้าเรารีบจัดตั้งการเลือกตั้งเพียงเพื่อแค่จะให้มีขึ้น ความจริงที่ไม่สามารถปฏิเสธได้ คือ เราจะต้องกลับมาวังวนแห่งปัญหาเดิมๆอีก มันจะกลายเป็นวงจรปัญหาที่รัฐบาลสร้างขึ้นและนำมาซึ่งความเลวร้ายให้กลับมาอีก

ปัญหาที่เกี่ยวกับการคอรับชั่นของรัฐบาล ปัญหาที่รัฐบาลรับคำสั่งจากคนผิดที่อยู่นอกประเทศ ปัญหาการบั่นทอนระบบการศึกษาที่เป็นรากฐานอันสำคัญของการพัฒนาประเทศ รวมทั้งตอนนี้ รัฐบาลได้ใช้อำนาจครอบคลุมสื่อต่างๆเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ไม่ว่าจะเป็นสื่อโทรทัศน์ วิทยุ และ หนังสือพิมพ์ โดยประชาชนจะได้รับรู้และรับฟังข่าวสารเฉพาะสิ่งที่รัฐบาลยอมให้เสนอเท่านั้น อีกทั้งยังมีการบิดเบือนข่าวสารมากมายเพื่อให้เกิดความชอบธรรมแก่ตนเองในสิ่งที่รัฐบาลได้ทำการซึ่งป็นอันมิชอบต่อประชาชนและประเทศชาติ(นี่แหล่ะ เผด็จการอย่างชัดเจน!) ที่สำคัญไปกว่านั้น

รัฐบาลยังได้ออกมาปฏิเสธคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญซึ่งเป็นกฏหมายอันสูงสุดของประเทศ รัฐบาลใช้เงินซื้ออำนาจในสภา(แม้แต่ประชาชนที่สนับสนุนรัฐบาลยังรู้เลย) รัฐบาลทำเหมือนประเทศชาติเป็นธุรกิจส่วนตัว ใช้หาแต่ผลกำไรเพื่อตนเอง ครอบครัว และพรรคพวกของตน คิดเป็นอย่างเดียวคือ “ผลตอบแทนจากการลงทุน”

นายกรัฐมนตรีไม่มีความรู้และทักษะการเป็นผู้นำ เธอถูกเลือกขึ้นมาเป็นนายกได้โดยการที่พี่ชายของเธอใช้เงินซื้อเสียงให้เธอเข้ามา พี่ชายเธอสอนเธอและแนะนำวิถีทางให้เธอทำทุกอย่างที่พี่ชายเธอต้องการ ทำทุกอย่างโดยใช้ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของประเทศไทย เพื่อนำมาในสิ่งที่ตนต้องการผ่านทางน้องสาวที่ดำรงตำแหน่งขณะนั้น

และเพราะเหตุนี้ ประเทศไทยจึงถูกทำร้ายอย่างสาหัส และ ตอนนี้ก็ยังวางแผนที่จะใช้การเลือกตั้งเป็นเครื่องมือในการที่จะนำมาซึ่งอำนาจเบ็ดเสร็จทางการเมืองให้กับตนเองและครอบครัวอีกครั้ง

พวกท่านอาจสงสัยว่าจะทำได้อย่างไร ฉันขออธิบายสั้นๆง่ายๆนะ ถ้ารัฐบาลสามารถบังคับให้การเลือกตั้งเกิดขึ้นได้ในอนาคตอันใกล้นี้ รัฐบาลก็จะกระทำการอย่างเดิมอีก เนื่องจาก ทักษิณ พี่ชายของนายกรัฐมนตรีมีเงินมากมาย มั่งคั่ง จะว่าไปก็มากเกิน จะหาอำนาจให้น้องสาวตนเองอีกครั้งโดยการใช้เงินซื้อ นักการเมือง นักกฏหมาย ตำรวจ ทหาร และองค์กรอื่นๆอีกมากมาย

เมื่อพวกเขาถูกซื้อด้วยเงินของทักษิณ เค้าก็จะฟังและทำตามคำสั่งของทักษิณด้วยความยินยอม พวกเค้าก็จะลืมนึกถึงสิ่งที่ดีที่สุดที่ควรทำให้กับประเทศไทยและประชาชนคนไทย รัฐบาลกลายเป็นรัฐบาลที่หล่อหลอมไปด้วยความโลภ คิดแต่ผลประโยชน์ คิดแต่ว่าทำอย่างไรที่จะให้ตน ครอบครัวของตน และพวกพ้องของตนได้ประโยชน์จากการโกงกินเงินซึ่งเป็นเงินของประชาชน

นี่คือเหตุผลส่วนหนึ่งที่รัฐบาลต้องการให้มีการเลือกตั้งเกิดขึ้น การเลือกตั้งจึงเป็นเครื่องมือเดียวที่ทักษิณและรัฐบาลมีอยู่ในตอนนี้ที่จะใช้ เพื่อนำมาซึ่งความชอบธรรมของตนในการเข้ามานั่งเก้าอี้ในรัฐสภาอีกครั้งหนึ่ง จากนั้นก็จะผลักดันครอบครัวตนเองและพวกพ้องของตนขึ้นมาใช้อำนาจอีก

เหตุผลที่กล่าวมานั้นเพื่อต้องการอธิบายให้โลกรู้ว่า ทำไมผู้ที่ออกมาชุมนุมถึงเรียกร้องให้รอก่อน รอให้เพวกเขาปฏิรูป รอให้พวกเขาล้างความสกปรกของระบบการเมือง(ระบอบทักษิณ)ออกไปก่อน แล้วจากนั้นเราค่อยมาเลือกตั้งกัน การเลือกตั้งที่มีความถูกต้อง การเลือกตั้งที่ใสสะอาด การเลือกตั้งที่จะทำให้ได้มาซึ่งรัฐบาล โดยประชาชน และที่สำคัญต้องเป็นรัฐบาลเพื่อประชาชน รัฐบาลที่สร้างประโยชน์ให้กับประเทศชาติ และ ประชาชนโดยถ้วนหน้า ไม่ใช่แค่ “ครอบครัวและพวกพ้องของตนเอง” เท่านั้น

ถึงแม้ว่าพวกเราจะไม่สามารถรับประกันได้ว่า เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมของการเลือกตั้งที่พวกเราต้องการ ผลจะออกมาเป็นอย่างไร มันเป็นเรื่องของอนาคตที่พวกเราไม่สามาถมองเห็นด้วยตา แต่อย่างน้อยพวกเราก็ต้องพยายามอย่างที่สุดที่จะป้องกันวงจรอุบาทว์ไม่ให้เกิดขึ้นอีก

คุณ(ทั้งโลก)อาจจะโอนเอียงไปทางความคิดที่ว่า ทางเดียวที่ประเทศไทยจะพิสูจน์ว่ายังเชื่อมั่นในความเป็นประชาธิปไตย คือ ต้องจัดการเลือกตั้งโดยเร็วที่สุด หรือ การเลือกตั้งจะต้องมีขึ้นในตอนนี้ ถ้าโดยปกติแล้ว พวกเราก็เห็นด้วย แต่ ทุกอย่างมีข้อยกเว้นเสมอ แล้วพวกเราก็อยากจะบอกว่า ประเทศไทยตอนนี้กำลังอยู่ในข้อยกเว้นนั้น ข้อยกเว้นที่ทำให้เราต้องปฏิรูปก่อนที่จะมีการเลือกตั้งครั้งใหม่

พวกเราไม่ต้องการที่จะกวาดฝุ่นและสิ่งสกปรกแล้วเอาไปใส่ไว้ใต้พรม แล้ววันนึงมันก็จะออกมาอีก ทำให้เกิดความสกปรกขึ้นมาอีก พวกเราอยากจะกำจัดความสกปรกออกไปอย่างถาวร และหวังว่าบ้านของพวกเราจะสะอาดได้ในที่สุดเพื่อพวกเราและลูกหลานต่อๆไปในอนาคต

ได้โปรดเข้าใจพวกเราด้วยว่า พวกเราเองก็ไม่ต้องการความเป็นเผด็จการ พวกเราต้องการเสรีภาพ พวกเราเชื่อในความเป็นประชาธิปไตย แต่ ณ ตอนนี้ พวกเราต้องการแก้ไขปัญหาที่มีอยู่ก่อน ดร.เสรี วงษ์มณฑา เคยพูดว่า “ไฟกำลังไหม้บ้าน ดับไฟให้ได้ก่อน อย่าเพิ่งถามว่าดับไฟเสร็จแล้ว จะสร้างบ้านใหม่แบบไหน ให้ใครสร้าง ดับไฟให้ได้ก่อน” คุณว่าเหตุผลแค่นี้พอไหม?


ขอบคุณ
ด้วยความเคารพ

 

Dear World

I am pretty sure that you have heard much about Thailand. That's right, Thailand: The land of freedom; the land whose people are proud to say "We love our king," and mean every word of what they say; the land that welcomes all religions; and the land whose people are peaceful, yet who are willing to fight for what is right and for what they believe.

For the past month or so up until now, we have been experiencing a national turmoil that has drawn worldwide attention. This situation was caused by a political crisis created by our government—the very same government that we, the Thai people, elected to work for the country on behalf of all of its citizens, especially the underprivileged among us. I am not here to state all of the reasons the government ended up in this situation because I know for a fact that, if you are reading this article, you already know many of them. So even though deep down inside I really want to say more about what has been going on in Thailand, I won’t: The purpose of this article is to kindly beg you — the “World” — to understand us.

Please don't look at what has been going on here and conclude that we don't believe in democracy. We most certainly do. We’re not revolutionaries. We don't believe in violence. We are a democratic people. Just because we want to postpone the election, that doesn't mean that we are denying democracy. No — we simply want to “clean up our house” first, so that we can then make it our "home sweet home." Right now, our house is so messy, dirty, and not in any condition to comfortably live in. So please, don't think that we are anti-election. We all do want the election to happen, but it has to be at the right time and for the right reasons. We as a people don't believe in dictatorship, not at all. The protestors out there are not stupid, not crazy, and not ignorant. They are out there for good reasons — reasons that their hearts and their minds tell them are right. Please don't misunderstand and misjudge us — people who very much love our country — by the tumultuous situation we are in right now. If we rush to set up the election
for political expediency, we know for a fact that we will run into the same problems again. It will be a vicious cycle of government corruption, possibly with terrorist influence from outside the country, further undermining our educational system. The government has already taken control of the television, radio, and newspaper media, choosing what people can or can't hear or see (Huh! talk about dictatorship!). More importantly, the government has refused to abide by the verdict of constitutional law. They use money to buy their power in parliament (even the people who support them realize that). The government treats our country like a personal business, earning the benefits for themselves. All they can think of is their "return on investment." The PM doesn't even have "leadership skills." She was selected to be PM because her brother “bought it” for her. Her brother is out there coaching her to do all the wrong things, which has ended up hurting the country in ways that you probably can't imagine. And, last but not least, this government plans to use the election as a tool for achieving a virtual dictatorship. You may wonder, “How so?” If they can force the election to happen in the near future, they will, as they did before, grab control of the parliament, and do the same things all over again. Thaksin has so much money (way too much), he would “buy” votes for his sister (or even his own family) again. He would “buy” the politicians, the lawyers, the policemen, the military, etc. They would listen to him and willingly follow his instructions. They would never think about what’s best for the country or the people — all they would think about is how they are going to get the money (money which belongs to the Thai people) for themselves. Thaksin would use the dirty election to legitimize whatever he wants via his sister or someone else from his family (Adam's family). That's why we say we need to wait. We definitely want to have an election, but it has to be a legitimate election — one that results in a government chosen by the people, for the people — a democratic government that benefits all Thais, not just one family!
Of course there is no guarantee how the election — whenever it is held — will turn out. We don't have a crystal ball to see the future, but we must do our best to prevent the evil cycle from happening again. You (the World) may be inclined to believe that the only way to prove that Thailand still believes in democracy is to have the election right away. In most cases, I would agree with you. But just like anything else, there are always exceptions. I believe that the situation in Thailand today is just such an exception.
We don't want to “sweep the dirt under the carpet” only to have it come back and bite us in the ass (please excuse my language). We want to permanently get rid of it, and, hopefully have a “clean house” for all of us and for generations to come.
Please understand: we don't want to be dictated to. We want to have freedom. We believe in democracy. But we have to take care of the problems first. Dr. Seri Wongmontha said "Please don't ask how are we going to build the new house while the house is on fire. We need to put the fire out first before building the new house." Don't you think it make sense?

Thank you.

With all my respect,

Anonymous

V For Thailand

 

 

บันทึกนี้เขียนที่ GotoKnow โดย 

แก้ไขล่าสุด ใน วันจันทร์ที่ 30 ธันวาคม 2013 เวลา 23:18 น.
 

อวสานของการสอนในชั้นเด็กเล็ก

พิมพ์ PDF
การให้เด็กเรียนวิชาเร็ว โดยที่สมองยังไม่พร้อม จะก่อความเครียด ความเครียดนี่แหละ เป็นพิษร้ายต่อพัฒนาการของสมองส่วนที่ว่าด้วยการเรียนรู้และความจำ คือ ฮิปโปแคมปัส

อวสานของการสอนในชั้นเด็กเล็ก

บทความเรื่อง The Death of Preschool เขียนโดย Paul Tullis     ตีพิมพ์ในนิตยสาร Scientific American ในปี ค.ศ. 2011    และพิมพ์ซ้ำในหนังสือ The Science of Education ในปี 2012  บอกว่า การสอนวิชาในชั้นเด็กเล็กเป็นสิ่งไม่พึงประสงค์   แทนที่จะให้ผลดี กลับก่อผลร้ายต่อชีวิตของเด็กในภายหน้า

นี่คือผลงานวิจัย ที่บอกว่าผู้คนโดยทั่วไปมักเข้าใจผิด    อยากให้ลูกอ่านหนังสือออกเร็วๆ    แล้วสร้างแรงกดดันให้โรงเรียนชั้นเด็กเล็กและอนุบาลต้องเน้นสอน   การจัดกระบวนการเรียนรู้ในชั้นเด็กเล็ก ที่ควรจัดแบบ Play-Based Learning   จึงกลายเป็น Academic-Based Learning ซึ่งเป็นพิษต่อพัฒนาการของ สมองเด็ก

เขาบอกว่าในช่วงต้นถึงอายุ ๗ ขวบ เด็กควรเรียนจากการเล่า   เพื่อฝึกฝนพัฒนาการของร่างกาย และด้านความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ ด้านอารมณ์และสังคม   จากการที่เด็กลงมือทำสิ่งต่างๆ เอง ได้สัมผัสสิ่งต่างๆ ด้วยตนเอง

เขายกตัวอย่างที่ไปพบด้วยตนเอง (ในรัฐแคลิฟอร์เนีย) ที่พ่อ (ผู้มีฐานะร่ำรวย) ของเด็กบอกว่า ตนเลือกส่งลูกเข้าโรงเรียน ก เพราะสอนให้เด็กเรียนรู้ได้เร็ว    เมื่อไปเยี่ยมโรงเรียน ก ก็พบว่าเขาประกาศว่า จัดการเรียนแบบ มอนเตสซอรี่    คือให้เด็กเรียนแบบจับต้องเล่นของต่างๆ   แต่เมื่อเข้าไปสังเกตกระบวนการ เรียนรู้ในชั้นเรียนก็พบว่า เป็นการเรียนแบบ Teacher-Directed (Passive Learning)   ไม่ใช่แบบ Student-Directed (Active Learning) อย่างในอุดมการณ์ ของ มอนเตสซอรี่

เขาบอกว่า การให้เด็กเรียนวิชาเร็ว โดยที่สมองยังไม่พร้อม จะก่อความเครียด    ความเครียดนี่แหละ เป็นพิษร้ายต่อพัฒนาการของสมองส่วนที่ว่าด้วยการเรียนรู้และความจำ คือ ฮิปโปแคมปัส

การเรียนโดยครูสอนวิชาตั้งแต่ยังเป็นเด็กเล็ก จะปลูกฝังความเป็น “ผู้ตาม” ตั้งแต่เด็ก    โดยเด็กจะคิด และทำตามที่ครูสอน    แต่การเรียนแบบเล่น หาวิธีการต่างๆ เอง จะปลูกฝังความเป็นผู้นำ ความเป็นตัวของตัวเอง และความคิดสร้างสรรรค์

เขายกตัวอย่างผลงานวิจัย ๒ ชิ้น    ชิ้นแรกเป็นของ Alison Gopnik และคณะแห่ง UC Berkeley    บอกว่า ได้ทดลองให้เด็กเล็กเล่นตุ๊กตาที่ร้องเพลงได้    โดยแบ่งเด็กออกเป็น ๒ กลุ่ม    กลุ่มที่ ๑ ครูสอนวิธีเล่นให้ โดยต้องมีหลายขั้นตอนตุ๊กตาจึงจะร้องเพลง    กลุ่มที่ ๒ ครูแกล้งบอกว่าตุ๊าตานี้ร้องเพลงได้ แต่ครูยังไม่รู้ว่าทำ อย่างไรตุ๊กตาจึงจะร้องเพลง   ผลคือเด็กกลุ่มแรกทำตามที่ครูสอนได้ แต่ต้องทำหลายขั้นตอนตามที่ครูสอน     ส่วนกลุ่มที่ ๒ ค้นพบว่าทำเพียง ๒ ขั้นตอน ตุ๊กตาก็ร้องเพลงแล้ว    ผมค้นบทความคล้ายกันของ Alison Gopnik ที่นี่

งานวิจัยอีกชิ้นหนึ่ง เป็นของ Laura Schultz และคณะแห่ง MIT   ทดลองให้เด็กเล่นตุ๊กตาที่เปล่งเสียง และทำอย่างอื่นได้หลายอย่าง   โดยแบ่งเด็กออกเป็น ๒ กลุ่ม   กลุ่มที่ ๑ ครูสอนวิธีเล่น ทำให้ตุ๊กตาเปล่งเสียง    กลุ่มที่ ๒ ครูไม่สอนวิธีเล่น   พบว่าเด็กกลุ่มแรกเล่นให้ตุ๊กตาร้องได้เท่านั้น   แต่กลุ่มที่ ๒ เล่นตุ๊กตาได้หลายอย่าง

ผลงานวิจัยทั้งสองบอกเราว่า การสอนวิธีการโดยตรง ปิดกั้นความอยากรู้ และความสร้างสรรค์ของเด็ก

ผลงานวิจัยอีกชิ้นหนึ่งเป็นเรื่องการเรียนรู้ภาษาและคำศัพท์ ในเด็กอายุ ๑ - ๒ ปี บันทึกคำพูดโต้ตอบ ระหว่างพ่อแม่กับเด็กอย่างละเอียด    พบว่าไม่มีการสอนโดยตรงเลย   แต่เด็กได้เรียนรู้ถ้อยคำอย่างมากมาย   จากการเล่าเรื่อง การเล่น  ร้องเพลง  เล่าเรื่องตลก   ไม่ใช่จากการสอนโดยตรง

การเล่น ทำให้เด็กได้ฝึกใช้กล้ามเนื้อมัดเล็กๆ ของมือและส่วนอื่นๆ ที่เรียกว่า fine motor   เช่นการลากเส้น วาดรูป ตัดกระดาษ    ช่วยให้เด็กได้ฝึกประสานการรับรู้ละเอียดระหว่างมือกับตา   ช่วยกระตุ้นพัฒนาการของสมอง   ผลการวิจัยบอกว่าการมีทักษะดังกล่าวดี   เป็นตัวทำนายผลสัมฤทธิ์ ของการเรียนในอนาคต

หลักฐานว่า การให้เด็กเรียนวิชาตั้งแต่ยังเล็ก ก่อผลร้ายต่อชีวิตเด็กมาจากผลการวิจัยของ Lawrence Schweinhart และคณะ   โดยติดตามศึกษาเด็กอายุ ๓ - ๔ ปีที่เป็นเด็กยากจน    ไปจนอายุ ๒๓ ปี    ประมาณครึ่งหนึ่งเข้าเรียนชั้นเด็กเล็กที่สอนวิชาเข้มข้น   อีกครึ่งหนึ่งเรียนในโรงเรียนเด็กเล็กแบบ play-based   พบว่าเกือบครึ่งของเด็กกลุ่มแรกมีชีวิตที่มีปัญหาทางอารมณ์   ปัญหานี้มีในเด็กกลุ่มหลังเพียงร้อยละ ๖ เท่านั้น    เด็กกลุ่มหลังมีอัตราถูกจับกุมจากการก่อปัญหาความรุนแรงต่ำกว่า   และระหว่างเรียนได้รับการวินิจฉัยว่า มีปัญหาทางอารมณ์ ต้องเข้าเรียนในชั้นเรียนของเด็กพิเศษต่ำกว่า

เขาตั้งข้อสงสัยว่า   การให้เด็กเรียนวิชาตั้งแต่ยังเล็กเกินไป   จะสร้างรอยแผลถาวรให้แก่สมองเด็ก

วิจารณ์ พานิช

๒๗ ธ.ค. ๕๖

 

 

 

 

 

บันทึกนี้เขียนที่ GotoKnow โดย 

 


หน้า 405 จาก 558
Home

About Us

ศูนย์บูรณาการพัฒนามนุษย์ (ศบม.) เป็นองค์กรที่พัฒนาและจัดทำโครงการเพื่อทำประโยชน์ให้สังคม เป็นองค์กรสนับสนุนการดำเนินงานของภาครัฐ ช่วยแก้ปัญหาผู้ประกอบการภาคธุรกิจบริการที่ขาดแคลนบุคลากรที่มีมาตรฐานในการให้บริการ
อ่านเพิ่มเติม

มูลนิธิศูนย์บูรณาการพัฒนามนุษย์ ์

 iHDC Profile
บัญชีรายชื่อกรรมการ
ใบสำคัญแสดงการจดทะเบียน การเปลี่ยนแปลงกรรมการของมูลนิธิ
เอกสารประชาสัมพันธ์ โครงการ HMTC.pdf
เอกสารแนะนำโครงการ HMTC 1.pdf
เอกสารโครงการ HMTC 2 คุณสมบัติผู้เข้าร่วมโครงการ.pdf
iHDC นิติบุคคล.pdf
iHDC บุคคล.pdf
iHDC บุคคลเครือข่าย.pdf
รายงานการประชุม 6 มีนาคม 2560.pdf
ข้อบังคับมูลนิธิ
ใบสำคัญแสดงการจดทะเบียนจัดตั้งมูลนิธิ
Ihdc-Profile and Roadmap 2016-2019 Mar 23 2560.pdf
รายงานการประชุมใหญ่คณะกรรมการมูลนิธิศูนย์บูรณาการพัฒนามนุษย์ 2559.pdf
คำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการ สาขาวิชาชีพ.pdf
รายงานการประชุมใหญ่วันที่ 18 ธ ค 2558 v 3.pdf
รายงานการประชุม วันที่ 24 ธันวาคม 2557 updated 4 มีนาคม 2558.pdf
iHDC-invitation Letter.doc
iHDC-Member Form Thai.doc
iHDC-Member Form English.doc
รายงานการประชุมกรรมการมูลนิธิศูนย์บูรณาการพัฒนามนุษย์ วันที่ 15 มกราคม 2556 ฉบับสมบูรณ์


thaibetter
พัฒนาประเทศไทยแบบทวีคูณ และยั่งยืน ( ททค )

Login


แบบสำรวจ

สถิติเว็บไซด์

สมาชิก : 5607
Content : 3052
เว็บลิงก์ : 26
จำนวนครั้งเปิดดูบทความ : 8612046

facebook

Twitter


บทความเก่า