Thaiihdc.org

  • เพิ่มขนาดตัวอักษร
  • ขนาดตัวอักษรปกติ
  • สดขนาดตัวอักษร
Thaiihdc.org

ออกกำลังพอเหมาะกระตุ้นสมอง

พิมพ์ PDF
นอกจากการออกกำลังกายอย่างจริงจังแล้ว การให้เด็กได้เคลื่อนไหวขยับตัว (เช่นตบมือ กระโดด ปรบมือเข้าจังหวะ) เป็นช่วงเวลาสั้นๆ ระหว่างคาบเรียน ช่วยเพิ่มสมาธิจดจ่อ

ออกกำลังพอเหมาะกระตุ้นสมอง

บทความเรื่อง Smart Jocks เขียนโดย Steve Ayan    ตีพิมพ์ในนิตยสาร Scientific American ในปี ค.ศ. 2010    และพิมพ์ซ้ำในหนังสือ The Science of Education ในปี 2012  บอกว่า การออกกำลังพอเหมาะ และสม่ำเสมอ ช่วยให้สมองดี

ที่จริงข้อสรุปนี้เป็นที่รู้กันอยู่แล้ว   แต่ส่วนที่รู้เพิ่มขึ้นมาคือคำอธิบายว่า การออกกำลังไปทำอะไรให้แก่สมอง   และสมองส่วนไหนที่ดีขึ้น    รวมทั้งหลักฐานจาการวิจัยในสัตว์ทดลอง และในคน

ส่วนของสมองที่ถูกกระตุ้นคือExecutive Function (EF) ซึ่งทำหน้าที่ด้านการวางแผนและควบคุมพฤติกรรม   และการออกกำลังที่มีคุณค่าต่อสมองคือ การออกกำลังแบบ แอโรบิก    แต่จริงๆ แล้วการเคลื่อนไหวร่างกายมีประโยชน์ทั้งสิ้น

ในปี ๒๕๕๑ มีผู้รวบรวม สังเคราะห์ผลการวิจัย ๑๒ เรื่อง ที่ทดลองให้นักเรียนออกกำลังกายแล้ววัดผลที่สมองและการเรียน   สรุปได้ว่า การออกกำลังกายทำให้ความฉลาดเพิ่มขึ้น   เพิ่มความริเริ่มสร้างสรรค์ และทักษะการวางแผน   รวมทั้งเพิ่มสมรรถนะด้านคณิตศาสตร์และการอ่าน

อีกรายงานหนึ่ง รวบรวมผลการวิจัย ๑๗ เรื่อง เกี่ยวกับการจัดเวลาที่โรงเรียนให้เด็กได้ออกกำลังกาย   สรุปว่า การใช้เวลาเพื่อการออกกำลังกายทุกวัน สูงถึงวันละ ๑ ชั่วโมง    ไม่มีผลเสียต่อผลการศึกษา    กลับตรงกันข้าม คือผลการศึกษาดีขึ้น    ทั้งๆ ที่เวลาสำหรับการเรียนอ่านเขียนคิดเลขน้อยลง

ในชั้นเรียน EF ที่ดีขึ้น ช่วยให้นักเรียนมีสมาธิอยู่กับการเรียน   รู้จักตัดสินใจว่าเมื่อไรจะจดหรือถาม   รวมทั้งรู้จักจัดเวลาทำการบ้าน    เชื่อกันว่า การออกกำลังกาย ช่วยทำให้ความจำใช้งาน (working memory) ขยายขึ้น    ความจำใช้งานหมายถึงความสามารถในการจำเรื่องราวชุดหนึ่งไว้ชั่วขณะ เพื่อใช้สมองคิดตัดสินใจ    เช่นจำตัวเลขสองสามตัว เพื่อคิดเลขในใจ

แต่การออกกำลังกาย มีผลน้อย ต่อทักษะด้านการรับรู้ (perceptual skills) เช่น การจำลักษณะสิ่งของ ความคล่องแคล่วด้านภาษา   และมีผลน้อยต่อทักษะมิติสัมพันธ์

จะให้การออกกำลังกายให้ผลดีต่อสมอง ต้องออกกำลังนานพอสมควร    ดังมีผลการทดลอง ให้เด็กอ้วน  ๙๔ คน อายุระหว่าง ๗ - ๑๑ ปี ออกกำลังแบบแอโรบิก (วิ่งเหยาะ กระโดดเชือก หรืออื่นๆ) ๕ วันต่อสัปดาห์ แบ่งเป็น ๒ กลุ่ม คือกลุ่มออกกำลังวันละ ๒๐ นาที กับกลุ่มวันละ ๔๐ นาที   มีการวัดสมรรถนะของสมองก่อนเริ่มโครงการ และหลังออกกำลังสม่ำเสมอ ๑๕ สัปดาห์   พบว่าสมรรถนะของสมองด้านการวางแผน  ด้านการมีสมาธิจดจ่อ  และด้านการจัดการข้อมูล ดีขึ้นเฉพาะกลุ่มที่ออกกำลังวันละ ๔๐ นาที   กลุ่มที่ออกกำลังวันละ ๒๐ นาที และกลุ่มไม่ทำอะไรเลย (กลุ่มควบคุม) สมรรถนะของสมองทั้งสามด้านนั้นไม่ดีขึ้น

นอกจากการออกกำลังกายอย่างจริงจังแล้ว   การให้เด็กได้เคลื่อนไหวขยับตัว (เช่นตบมือ กระโดด ปรบมือเข้าจังหวะ) เป็นช่วงเวลาสั้นๆ ระหว่างคาบเรียน ช่วยเพิ่มสมาธิจดจ่อ

การทดลองในหนู บอกว่าการออกกำลังช่วยเพิ่มฮอร์โมนกระตุ้นการเติบโตของสมอง คือ VEGF (vascular endothelial growth factor) และ BDNF (brain-derived neurotropic factor)    และการทดลองในคนก็พบว่า การออกกำลังช่วยเพิ่มระดับ BDNF ในเลือดของผู้ถูกทดลอง ๑๖ คน

วิจารณ์ พานิช

๑๗ พ.ย. ๕๖

,

 

 

 

 

บันทึกนี้เขียนที่ GotoKnow โดย 

แก้ไขล่าสุด ใน วันอังคารที่ 24 ธันวาคม 2013 เวลา 19:57 น.
 

กรรมของการบินไทย

พิมพ์ PDF
เปรียบเทียบกันไม่ได้หรอกค่ะ เขาซื้อเครื่องบินโดยไม่ต้องผ่าน ครม.

กรรมของการบินไทย

เช้าวันที่ ๒๑ ธ.ค. ๕๖   ผมไปเปลี่ยนเที่ยวบินที่ห้องบัตรโดยสารการบินไทย สนามบินสุวรรณภูมิ   ได้โอกาสคุยกับเจ้าหน้าที่ว่าบริการของการบินไทยไม่เด่นอย่างสมัยก่อน   โดยผมเล่าว่า ผมเพิ่งบินไปบราซิลด้วยสายการบิน เอมิเรตส์ บริการและเครื่องบินดีกว่าการบินไทยมาก

เธอตอบว่า "เปรียบเทียบกันไม่ได้หรอกค่ะ   เขาซื้อเครื่องบินโดยไม่ต้องผ่าน ครม."

คมเหลือเกิน สาวการบินไทย

ผมได้โอกาสยิงตรง   "ไม่ใช่การบินไทยเท่านั้นหรอกที่ย่อยยับเพราะคอรัปชั่นของนักการเมือง   บ้านเมืองของเราด้วย"   "พวกคุณควรชวนกันไปร่วมแสดงพลังต่อต้านคอรัปชั่นที่ราชดำเนินกันให้มากๆ"

"ไปกันจนแทบจะไม่มีคนทำงานแล้วละค่ะ"

สายวันนั้น อ่านข่าว นสพ. พบว่า ดร. สรจักร เกษมสุวรรณ ดีดีการบินไทยลาออก

วิจารณ์ พานิช

๒๑ ธ.ค. ๕๖

 

บันทึกนี้เขียนที่ GotoKnow โดย 

แก้ไขล่าสุด ใน วันอังคารที่ 24 ธันวาคม 2013 เวลา 18:24 น.
 

มาตรฐานการศึกษา

พิมพ์ PDF

มาตรฐานการศึกษา

 

เรามักเข้าใจผิด ว่ามาตรฐานการศึกษาอยู่ที่ กกอ./สกอ.    จริงๆ แล้ว นั่นเป็นเพียงส่วนเดียว    เป็นมาตรฐานในกระดาษ    ยังมีส่วนมาตรฐานในการปฏิบัติ   มาตรฐานในวัฒนธรรม    มาตรฐานในคุณธรรม   และอื่นๆ อีกมากมาย จาระไนไม่หมด

เมื่อวันที่ ๑๘ พ.ย. ๕๖ ผมได้รับฟังเรื่องเล่าจากผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง    เรื่อง ดร. ก  จบจากต่างประเทศ ไปรับราชการใช้ทุนในมหาวิทยาลัย ร ในต่างจังหวัด   และพบว่าลูกศิษย์เกือบทั้งหมดไม่ตั้งใจเรียน   และเรียนอ่อนมาก    ถึงเวลาสอบ ผลคือตกค่อนชั้น

เมื่อมีผลสอบออกมา    ก็มีชายชุดดำ เป็น สมาชิก อบต. (ผมไม่แน่ใจว่าท่านเล่าว่าเป็นนายก อบต. หรือเปล่า) มาหา ดร. ก  ว่าลูกของตนจะสอบตกได้ไง   อาจารย์สอนอย่างไร เด็กสอบตกค่อนห้อง    ถ้าไม่แก้คะแนน จะมีเรื่อง

ดร. ก ยังอ่อนเยาว์ในเรื่องเช่นนี้    จึงไปขอคำปรึกษาจากอธิการบดี    ได้รับคำแนะนำว่า    ทาง อบต. เขาช่วยเหลือมหาวิทยาลัยมาก   หากไม่ช่วยลูกของสมาชิก อบต. ท่านนี้ ต่อไปความช่วยเหลืออาจลดลง    จึงแนะนำให้แก้เกรด

ดร. ก งุนงงและอึดอัดต่อคำแนะนำ    และในที่สุดก็ต้องแก้เกรด   แต่ก็ทำใจไม่ได้    ในที่สุดก็ลาออกจากมหาวิทยาลัย ร    ไปทำงานที่อื่น

ผมมีคำถามเพื่อเป็นความรู้ว่า เหตุการณ์ทำนองนี้มีเกิดที่อื่นอีกไหม   เกิดบ่อยไหม

ป้องกันอย่างไร

ผมมีคำแนะนำว่า วิธีป้องกันแบบตัดไฟแต่หัวลม คือ อาจารย์ต้องฝึกวิธีสร้าง student engagement    หรือฝึกวิธีทำให้เรียนสนุก   ดังปรากฎในหนังสือ ครูเพื่อศิษย์ : สนุกกับการเรียนในศตวรรษที่ ๒๑ ซึ่งดาวน์โหลดได้ฟรี    โดยมหาวิทยาลัยที่เผชิญปัญหา นศ. เรียนอ่อนและไม่ตั้งใจเรียนควรมีคนศึกษาหนังสือเล่มนี้ และจัด training workshop แก่ครู    และจัดให้มี PLC Student Engagement  ให้อาจารย์ได้ ลปรร. เทคนิคหรือเคล็ดลับ ที่ช่วยให้ นศ. เรียนสนุก และเรียนแล้วรู้จริง

นี่คือวิธีบริหารมาตรฐานการศึกษา ในระดับปฏิบัติ    ใกล้ตัวนักศึกษาที่สุด    และเป็นของจริงแท้ที่สุด

มาตรฐานที่แท้ อยู่ที่การปฏิบัติ   ไม่ได้อยู่ในกระดาษ

 

วิจารณ์ พานิช

๒๐ พ.ย. ๕๖

 

บันทึกนี้เขียนที่ GotoKnow โดย 

แก้ไขล่าสุด ใน วันอังคารที่ 24 ธันวาคม 2013 เวลา 19:47 น.
 

ปฎิรูปก่อนการเลือกตั้ง - ทางออกของประเทศไทย

พิมพ์ PDF

ปฎิรูปก่อนเลือกตั้ง 7 องค์กรภาคเอกชน ขานรับข้อเสนอ กปปส แล้ว วานนี้ ออกแถลงการณ์ เสนอเดินหน้าปฏิรูปประเทศ ทันที แนะรัฐบาลออก พ.ร.ก.จัดตั้งองค์กรปฏิรูปเป็นอิสระ กับการเมือง ดึงทุกภาคส่วนเข้าร่วม หยิบประเด็นเลือกตั้ง ที่โปร่งใส ยุติธรรมขึ้นมาทำก่อน ทำเสร็จประชามติก่อนเลือกตั้งใหม่ มีผลผูกพันรัฐบาลต่อไป

กรอบประเด็นสำคัญของการปฏิรูป มีดังต่อไปนี้ 
1.กติการการเข้าสู่อำนาจรัฐ ที่ทุกฝ่ายยอมรับร่วมกันได้ เช่นระบบการเลือกตั้ง ที่ปราศจาก การซื้อเสียงและอิทธิพลใดๆ และความโปร่งใส ของกระบวนารสรรหา ผู้ดำรงตำแหน่ง ในองค์กรอิสระต่างๆ 

2.การตรวจสอบและถ่วงดุล การใช้อำนาจรัฐ ของผู้แทนประชาชน องค์กรอิสระ และสถาบันทางการเมืองต่างๆ เช่นเรื่องการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการ 

3.การขจัดการทุจริต และประพฤติมิชอบ ในวงราชการ ภาคเอกชน ตลอดจนภาคส่วนต่างๆของสังคม 

4.โครงสร้างทางเศรษฐกิจและสังคม ที่เอื้อต่อการสร้างความเป็นธรรม ในการจัดสรรและเข้าถึงทรัพยากร ในสังคมและ ลดความเหลื่อมล้ำโดยมีการส่งเสริม การเพิ่มผลิตภาพของประชาชน ให้พึ่งพาตนเองได้อย่างยั่งยืน 

5.โครงการที่จะมี ผลกระทบต่อประชาชน ระบบเศรษฐกิจ และวินัยการคลัง ควรต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ โดยถือผลประโยชน์ ของประเทศชาติเป็นหลัก 

6.กระบวนการยุติธรรม ที่สร้างความเชื่อมั่น แก่ประชาชน จะได้รับความเป็นธรรมอย่างเสมอภาค เท่าเทียมกัน

นอกจากนั้น 7 องค์กรเอกชนมีความเห็นด้วยว่า การปฏิรูปประเทศ ต้องทำทันที ไม่ว่าจะมีการเลือกตั้ง เมื่อใดก็ตาม แต่ภาคเอกชนต้องการ ให้เดินหน้าปฎิรูปทันที ต้องเริ่มบางส่วน โดยอาจเริ่มจากกระบวนการเลือกตั้ง ให้เป็นไปอย่างบริสุทธิ์ยุติธรรม องค์กรที่ จะจัดตั้งขึ้นมาเพื่อการปฏิรูป ก็ต้องจัดลำดับความสำคัญว่า จะทำเรื่องใดก่อน

คัดลอกจาก fb

 

ความรู้เกี่ยวกับ ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ที่พวกเราควรรู้

พิมพ์ PDF
ต้องแยกระหว่าง ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์, ทรัพย์สินส่วนพระองค์, และทรัพย์สินของราชวงศ์จักรี

ความรู้เกี่ยวกับ ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ที่พวกเราควรรู้

โดย ศ. ดร. บวรศักดิ์ อุวรรณโณ

ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์" กับ "ทรัพย์สินราชวงศ์จักรี" กับ "ทรัพย์สินส่วนพระองค์

บทความโดย อาจารย์บวรศักดิ์ อุวรรณโณ   ก่อนอื่นเราต้องแยกระหว่างคำว่า "ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์" กับ "ทรัพย์สินราชวงศ์จักรี" กับ "ทรัพย์สินส่วนพระองค์" ให้เข้าใจเสียก่อน จึงจะได้ไม่สับสน

1.ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์

คือ ทรัพย์สินของสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งหมายถึงสถาบันฯ ที่ไม่ใช่ตัวบุคคลที่ดำรงพระยศเป็นพระมหากษัตริย์ เป็นทรัพย์สินที่สืบทอดกันมาตั้งแต่ต้นราชวงศ์จักรี พูดง่ายๆก็คือเป็นสมบัติของชาติชนิดหนึ่ง หมายถึงเป็นสมบัติของสถาบันพระมหากษัตริย์ ที่มีมาตั้งแต่เริ่มตั้งราชวงศ์จักรีสืบทอดเรื่อยมา

ต่อมาเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ทรัพย์สินส่วนนี้จึงตกเป็นของแผ่นดิน แต่เพื่อเป็นการให้เกียรติ์ราชวงศ์จักรีซึ่งเป็นเจ้าของเดิม จึงตั้งชื่อเป็นสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ขึ้น ซึ่งอยู่ภายใต้การดูแลของกระทรวงการคลังอีกที

ส่วนพระมหากษัตริย์ ก็ได้รับพระเกียรติ์ให้ทรงสามารถแต่งตั้งคณะกรรมการ ไปช่วยดูแลการทำงานได้ 4 คน โดยมี รมต.กระทรวงการคลังเป็นประธาน และมีผู้อำนวยการสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์เป็นผู้บริหาร แต่ทั้งหมดนี้ต้องนำไปใช้เพื่อประโยชน์ของชาติและประชาชนเท่านั้น

สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ไม่ได้นำทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ไปใช้ในเรื่องส่วนพระองค์ของพระมหากษัตริย์เลย แต่นำไปใช้เพื่อช่วยเหลือประชาชนและสังคมทั้งหมด

แต่ถ้าสำนักงานทรัพย์สินฯ อยากจะบริจาคเงินให้มูลนิธิต่างๆ ของในหลวง ก็ย่อมทำได้ และตามกฏหมายทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์เป็นทรัพย์สินของแผ่นดินจึงไม่ต้องเสียภาษี แต่ส่วนเงินปันผลที่ได้จากการถือหุ้นบริษัทต่างๆก็มีการหักภาษี ณที่จ่ายตามปกติ (ข้อมูลทั้งหมดจากเว็บสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ และสามารถติดตามการทำงานต่างๆของสำนักงานฯได้เช่นกัน)

ส่วนรายได้ของทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ก็จะนำไปลงทุนในกิจการต่างๆเพื่อออกดอกผล แต่ทั้งหมดเมื่อได้มาก็เพื่อนำไปส่งเสริมกิจกรรมที่เป็นประโยชน์แก่ส่วนรวมต่อไป

แต่จะมีเงินส่วนหนึ่งที่จะถวายให้ในหลวงในแต่ละปี เพื่อไปใช้ตามพระราชอัธยาศัยบ้างตามสมควร (ก็อาจถือว่าเป็นเงินเดือนโดยตำแหน่งก็ได้ เราต้องไม่ลืมนะครับว่า เดิมทรัพย์สินตรงนี้เดิมเป็นของราชวงศ์จักรีมาก่อน พอเปลี่ยนแปลงการปกครองก็ไปขอของๆพระองค์ ให้มาเป็นสมบัติชาติ )

2.ทรัพยส���นส่วนพระองค์

อันนี้แปลง่ายๆ ก็คือทรัพย์สินส่วนตัวของในหลวง ซึ่งต้องเสียภาษีอากรให้แก่รัฐ และมูลนิธิตางๆที่ในหลวงทรงริเริ่มตั้งก็จะนำมาจากทรัพย์สินส่วนพระองค์ก่อตั้งทั้งสิ้นครับ เช่น

มูลนิธิอานันทมหิดล จุดประสงค์เพื่อมอบทุนให้แก่นักเรียนเรียนดีไปศึกษาต่อต่างประเทศในสาขาวิชาสำคัญๆที่ขาดแคลนในประเทศ

มูลนิธิชัยพัฒนา เป้าหมายที่สำคัญคือ เพื่อสงเคราะห์ช่วยเหลือประชาชนให้มีความร่มเย็นเป็นสุข และอยู่ดีกินดี อันจะนำไปสู่ความมั่นคงของประเทศ คือ “ชัยชนะแห่งการพัฒนา (ดูรายละเอียดได้ที่เว็บมูลนิธิชัยพัฒนา) และยังมีอีกหลายๆมูลนิธิเช่น มูลนิธิราชประชาสมาสัย เพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยโรคเรื้อนและญาติ เป็นต้น

3. ทรัพย์สินของราชวงศ์จักรี

อันนี้เป็นทรัพย์สมบัติที่อยู่ภายใต้การดูแลจากรมธนารักษ์ เช่นสิ่งของมีค่าทรัพย์สมบัติส่วนพระองค์ของในหลวงรัชกาลต่างๆที่ผ่านมา เช่นเหรียญกษาปณ์ เครื่องราชอิสริยยศ เครื่องราชอิสริยาภรณ์ หรือจะเป็นสำนักพระราชวัง รัฐบาลให้งบประมาณปีละประมาณ 2,000 ล้านบาทแก่สำนักพระราชวังซึ่งอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของนายกรัฐมนตรีโดยตรง และมีเลขาธิการพระราชวังบริหาร ส่วนหน้าที่ดูแลทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับพระบรมวงศานุวงศ์ รวมทั้งจัดการงานคลังหรืองานอื่นๆอีกมากมาย (ไปดูได้ที่เว็บสำนักพระราชวัง)

ฉะนั้นใครที่กล่าวหาว่า ในหลวงทรงได้เงินงบประมาณมาก จงรู้ไว้ด้วยว่า งบประมาณที่ได้จากรัฐบาลไม่ใช่จะใช้ส่วนพระองค์เพียงอย่างเดียว แต่เป็นเงินที่จะต้องถวายให้พระบรมวงศานุวงศ์ด้วย รวมทั้งเป็นงบใช้จ่ายเกี่ยวกับเงินเดือนข้าราชการ ค่าน้ำมัน ค่าน้ำ ค่าไฟค่าซ่อมแซมของพระราชวังที่ยังใช้งานอยู่ทั้งหมดด้วย

ถ้าจำไม่ผิดเงินที่ถวายส่วนตัวที่รัฐถวายให้ในหลวงเป็นส่วนพระองค์จริงๆเดียวน่าจะอยู่ประมาณ 100 ล้านบาทต่อปีเท่านั้น ส่วนพระบรมวงศานุวงศ์แต่ละพระองค์ได้น้อยกว่านี้มาก (ข้อมูลตรงนี้เคยได้อ่านจากนิตยสารสกุลไทย) ซึ่งเงินส่วนนี้ที่ได้รับก็จะถูกแยกนำไปเข้าสู่ทรัพย์สินส่วนพระองค์อีกทีหนึ่งครับ และรายได้ที่ประชาชนทูลเกล้าถวายก็จัดอยู่รวมในทรัพย์สินส่วนพระองค์เช่นเดียวกัน ซึ่งทั้งหมดนั้นต้องเสียภาษีด้วย (มีนักกีฬาเหรียญโอลิมปิคหรือนักกีฬาเทนนิสชื่อดังอย่างภราดร ก็ยังเคยได้รับการงดเว้นภาษีรายได้จากเงินรางวัลครับ)

ถามว่า ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์สามารถตรวจสอบได้มั้ย?

ตอบว่า ได้ครับ เพราะเป็นทรัพย์สินของรัฐประเภทหนึ่งตามที่ได้อธิบายไปแล้ว จึงสามารถตรวจสอบได้ตามกฏหมายครับ ซึ่งเรื่องนี้ในเว็บของสำนักพระราชวังก็มีบอกไว้ ดูได้จากเว็บสำนักพระราชวัง เรื่อง สิทธิของประชาชน หรือหากใครคิดว่าสงสัยเรื่องความโปร่งใสเรื่องใดที่เกี่ยวกับทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ก็ทำเรื่องร้องเรียนได้ที่สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน ได้เลยครับ

แต่ถ้าถามว่า สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์มีหน้าที่ต้องเปิดเผยการใช้เงินมั้ย?

ต้องตอบว่าไม่มีหน้าที่ แต่ถึงไม่มีหน้าที่ต้องเปิดเผย แต่ใ���ทางปฏิบัติก็มีการเปิดเผยอยู่เพื่อทำเป็นบัญชี แต่ไม่จำเป็นต้องป่าวประกาศทั่วไป แต่ถ้าใครอยากรู้เรื่องไหนก็ไปขอดูได้ แต่ต้องทำให้ถูกต้องตามระเบียบ อย่าลืมว่า ทรัพย์สินส่วนนี้แม้ยกให้แผ่นดินก็จริง แต่ถือว่าเดิมเป็นทรัพย์สินส่วนที่ได้มาจากราชวงศ์จักรี ไม่ได้เกิดจากการเก็บภาษีจากประชาชนตามระบอบประชาธิปไตยและไม่ใช่จากงบประมาณแผ่นดินนะครับ

ถามว่า ทรัพย์สินส่วนพระองค์สามารถตรวจสอบได้มั้ย?

ตอบว่า ไม่ได้ครับ ก็เพราะมันเป็นทรัพย์สินส่วนตัว
ชาติ (ประกอบด้วย 3 สถาบัน) คนไทยทกคนต้องจ่ายภาษีให้สถาบันฯชาติทุกคน ไม่ว่าจะทางตรงหรือทางอ้อม แล้วทำไม แค่เงินงบประมาณที่รัฐบาลให้แก่สถาบันพระมหากษัตริย์เพียงปีละประมาณ 2,000 ล้านบาท ซึ่งรวมค่าใช้จ่ายทุกอย่างตามข้างต้น กลับมีคนจ้องโจมตี ก็เพราะคนที่จ้องโจมตีมันไม่ต้องการให้มีสถาบันฯอยู่แล้ว ทุกอย่างจึงล้วนผิดหมด

เงินส่วนพระองค์จริงๆปีละประมาณแค่ 100 ล้าน ซึ่งพระองค์ก็นำไปช่วยเหลือประชาชนอีกต่อหนึ่ง กลับโดนพวกไม่จงรักภักดีสถาบันฯจ้องโจมตี แต่ผู้บริหาร ปตท. มีเงินเดือนๆละ 13 ล้านบาทยังไม่รวมโบนัส กลับไม่มีใครสนใจ ทั้งๆที่ ปตท.ก็เป็นของประชาชนแท้ๆ แต่ถูกนักการเมืองนำไปแปรรูปฯ ฉะนั้นการที่ FOBES นำเสนอว่า ในหลวงเรารวยที่สุดในโลกจึงไม่เป็นความจริง แต่ถ้านำเสนอว่า ในหลวงคือกษัตริย์ที่มีจำนวนประชาชนร่วมถวายทรัพย์แด่พระองค์ เพื่อให้พระองค์นำไปพัฒนาช่วยเหลือความเป็นอยู่ให้ประชาชนดีขึ้นมากที่สุดในโลกอย่างนี้ ถึงจะเป็นข้อมูลที่ถูกต้องที่สุดครับ   พวกที่ไม่จงรักภักดียังโจมตีเรื่อง รถพระที่นั่งยี่ห้อมายบัค (may Bach) ขอตอบว่า เป็นรถที่บริษัทเดมเลอร์ไครสเลอร์ ได้ทูลเกล้าถวายให้เนื่องในวโรกาสเฉลิมฉลองการครองราชครบ 60 ปีเป็นจำนวน 2 คัน ฉะนั้นใครไม่เชื่อก็ไปถามบริษัทเบนซ์ได้เลย

สมัยรัฐบาลทักษิณก็ได้ซื้อถวายเพิ่มอีก 2 คันเพื่อใช้ทดแทนรถพระที่นั่งชุดเก่าที่ทรงใช้มากว่า 30 ปี ส่วนรถยี่ห้ออื่นไม่ว่าจะเป็นบีเอ็มหรือโตโยต้าและเบนซ์ล้วนแต่เป็นรถที่ทูลเกล้าถวายฯจากบริษัทรถเป็นส่วนใหญ่ (บริษัทเดมเลอร์มีแผนจะยุบผลิตภัณฑ์ may Bach อีกภายใน 2 ปีข้างหน้า)   (แต่พวกชั่วคิดล้มเจ้ายังจะโทษเรื่องการใช้รถราคาแพง ก็น่าจะไปโทษทักษิณมากกว่า เพราะในหลวงท่านไม่เคยรับสั่งว่าต้องซื้อให้ท่าน)   และเราต้องเข้าใจคำว่า ร.ย.ล. หรือ ราชยานหลวง เสียก่อนว่า เป็นรถสำหรับใช้ในราชการของสถาบันฯ ไม่ใช่รถส่วนพระองค์ ร.ย.ล. อาจเป็นได้ตั้งแต่รถกระบะที่ใช้งานในวังไปจนถึงรถพระที่นั่งของพระราชวงศ์ ส่วนรถมายบัคที่เป็นรถพระที่นั่งก็เปรียบ เสมือนรถประจำตำแหน่งของพระมหากษัตริย์ ไม่ใช่รถส่วนพระองค์ของในหลวงนะครับ โปรดทำความเข้าใจด้วยครับ

ส่วนเรื่องพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพพระพี่นาง ที่โดนโจมตีจากพวกไม่จงรักภักดีฯ ข้อนี้ผมไม่อยากเถียง เพราะคนที่รักก็มองอีกมุมหนึ่ง คนที่ไม่รักไม่ภักดีย่อมต้องมองอีกมุมหนึ่ง เถียงไปก็ไร้ประโยชน์ รังแต่จะสร้างความระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาทไปเปล่าๆ และจะเป็นการเข้าทางพวกไม่จงรักภักดีได้ฯ เพราะพวกนี้เป็นฝ่ายอยู่ในที่มืด พวกนี้ไม่มีอะไรต้องเสียอยู่แล้ว แต่เราผู้จงรักภักดีฯอาจกลายเป็นเหยื่อเอง

ผมบอกได้แค่เพียง งบประมาณที่ซื้อโน้ตบุ้คใหม่ๆเจ๋งสุดๆให้พวกบรรดา สส.และ สว.รวมถึงคณะรัฐมนตรีทั้งสภา รวมกับงบซื้อรถหรูๆประจำตำแหน่งรัฐมนตรีที่เปลี่ยนก็ออกบ่อยๆ เป็นเงินมากมายก็ยังไม่เห็นมีใครโวยกันเลย ฉะนั้นการเถียงกันเรื่องแบบนี้จึงยากที่จะจบ มันขึ้นอยู่กับมุมมองและความรู้สึกด้วย

(แต่ถ้าเรามองโลกในแง่ดี ก็จะรู้ว่า ช่างฝีมือทุกแขนงอยากมีที่ที่ได้แสดงฝีมือเพื่อเป็นการฝึกฝนและเป็นการเรียนรู้เพื่อสืบสานงานศิลปะชั้นสูง ที่ยากนักจะได้มีโอกาสได้ฝึกฝนอย่างเห็นเป็นรูปธรรมและใช้งานได้จริงๆ ศิลปะจากงานสร้างพระเมรุบางอย่างกำลังจะสูญหายไป เหลือแต่ในพิพิธภัณฑ์ ซึ่งนั่นหมายถึงศิลปะที่ตายแล้ว และศิลปกรรมในการสร้างพระเมรุนั้น ไม่ใช่มีเฉพาะสิ่งที่เก่าๆที่สืบทอดมาเท่านั้น แต่ได้มีการประยุกต์และคิดค้นใหม่เพิ่มเติมเข้าไปด้วยหลายอย่าง ศิลปกรรมบางอย่างไม่อาจพบเห็นได้จากงานทั่วไป จะมีให้ได้เห็นเฉพาะงานพระราชพิธีเท่านั้น "ศิลปะบางครั้งวัดกันไม่ได้ที่ราคา แต่มันอยู่ที่คุณค่ามากกว่า" หากผมอยากจะมองในแง่ร้ายก็สามารถคิดได้สามารถหาเหตุผลมาโจมตีได้เหมือนกัน แต่ผมเลือกที่จะอยู่ฝั่งเข้าใจเหตุผลในแง่มองโลกในแง่ดีมากกว่า และในฐานะคนไทยคนนึง ผมยินดีที่ถวายให้พระองค์อย่างสมพระเกียรติ)

อย่าลืมนะครับว่า ในหลวง ร.9 คือบุคคล ไม่ใช่สถาบันฯ แต่ในหลวง ร.9  คือส่วนหนึ่งของสถาบันพระมหากษัตริย์ การที่ FOBES จัดอันดับเป็นเรื่องของทรัพย์สินที่รวมส่วนของสถาบันฯ เข้าไปคิดด้วย และไม่ใช่เงินสดทั้งหมด เป็นเพียงค่าประมาณการว่าถ้ามีการขายจะมีมูลค่าประมาณนั้น แต่ในความเป็นจริง แท���ไม่มีการขายทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์เลยน้อยมาก เช่นที่ดินก็มีแต่ให้เช่าเป็นส่วนใหญ่ และให้เช่าในราคาถูกกว่าราคาตลาดหลายเท่ามาก

แต่ทั้งหมดที่เขียนมา พวกไม่จงรักภักดีเขาไม่เชื่อผมหรอก พวกนี้ก็ยังคิดโทษอยู่อย่างเดียวว่า คนไทยจน คนไทยไม่เจริญเท่าญี่ปุ่นเพราะสถาบันฯเป็นต้นเหตุทั้งหมด เหตุผลอื่นๆเป็นเรื่องรองๆและไม่สำคัญไปหมด   หากผมจะถามเล่นๆว่า จะมีใครกล้าเอาหัวและตระกูล 7 ชั่วโคตรของตัวเองเป็นประกันได้บ้างว่า หากไม่มีสถาบันฯแล้ว ไทยเราจะเจริญแบบญี่ปุ่นกับสิงคโปร์ จะไม่เป็นแบบพม่าหรือฟิลิปปินส์ จะมีนักการเมืองที่โกงกินกันน้อยลงจากการจัดอันดับของต่างประเทศ และคนไทยจะรักกันไม่แตกแยกไม่ฆ่ากันเพื่อชิงอำนาจ?

ขอย้ำจุดประสงค์ของผมอีกครั้ง ผมไม่ได้ต้องการเปลี่ยนแปลงความคิดของพวกไม่จงรักภักดีสถาบันฯเลยแม้แต่คนเดียว แต่ผมอยากเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยเป็นภูมิต้านทานทางความคิดให้แก่คนที่จงรักภักดีสถาบันฯ และให้คนไทยได้รับรู้ว่า ประเทศไทยมีผู้คิดล้มล้างระบบสถาบันพระมหากษัตริย์อยู่จริง

"การจ้องด่าและจับผิดนั้นทำง่าย แต่การพยายามทำดีโดยไม่มีที่ตินั้นทำยากที่สุด แม้องค์ศาสดาของทุกๆศาสนาเองก็ยังไม่พ้นคนนินทาเลย ธรรมดาของโลกครับ" อาจารย์ บวรศักดิ์ ได้กล่าวไว้ ...

บันทึกนี้เขียนที่ GotoKnow โดย 

แก้ไขล่าสุด ใน วันจันทร์ที่ 23 ธันวาคม 2013 เวลา 11:31 น.
 


หน้า 409 จาก 558
Home

About Us

ศูนย์บูรณาการพัฒนามนุษย์ (ศบม.) เป็นองค์กรที่พัฒนาและจัดทำโครงการเพื่อทำประโยชน์ให้สังคม เป็นองค์กรสนับสนุนการดำเนินงานของภาครัฐ ช่วยแก้ปัญหาผู้ประกอบการภาคธุรกิจบริการที่ขาดแคลนบุคลากรที่มีมาตรฐานในการให้บริการ
อ่านเพิ่มเติม

มูลนิธิศูนย์บูรณาการพัฒนามนุษย์ ์

 iHDC Profile
บัญชีรายชื่อกรรมการ
ใบสำคัญแสดงการจดทะเบียน การเปลี่ยนแปลงกรรมการของมูลนิธิ
เอกสารประชาสัมพันธ์ โครงการ HMTC.pdf
เอกสารแนะนำโครงการ HMTC 1.pdf
เอกสารโครงการ HMTC 2 คุณสมบัติผู้เข้าร่วมโครงการ.pdf
iHDC นิติบุคคล.pdf
iHDC บุคคล.pdf
iHDC บุคคลเครือข่าย.pdf
รายงานการประชุม 6 มีนาคม 2560.pdf
ข้อบังคับมูลนิธิ
ใบสำคัญแสดงการจดทะเบียนจัดตั้งมูลนิธิ
Ihdc-Profile and Roadmap 2016-2019 Mar 23 2560.pdf
รายงานการประชุมใหญ่คณะกรรมการมูลนิธิศูนย์บูรณาการพัฒนามนุษย์ 2559.pdf
คำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการ สาขาวิชาชีพ.pdf
รายงานการประชุมใหญ่วันที่ 18 ธ ค 2558 v 3.pdf
รายงานการประชุม วันที่ 24 ธันวาคม 2557 updated 4 มีนาคม 2558.pdf
iHDC-invitation Letter.doc
iHDC-Member Form Thai.doc
iHDC-Member Form English.doc
รายงานการประชุมกรรมการมูลนิธิศูนย์บูรณาการพัฒนามนุษย์ วันที่ 15 มกราคม 2556 ฉบับสมบูรณ์


thaibetter
พัฒนาประเทศไทยแบบทวีคูณ และยั่งยืน ( ททค )

Login


แบบสำรวจ

สถิติเว็บไซด์

สมาชิก : 5607
Content : 3052
เว็บลิงก์ : 26
จำนวนครั้งเปิดดูบทความ : 8611978

facebook

Twitter


บทความเก่า