Thaiihdc.org

  • เพิ่มขนาดตัวอักษร
  • ขนาดตัวอักษรปกติ
  • สดขนาดตัวอักษร
Thaiihdc.org

เรียนรู้จากการเดินทาง

พิมพ์ PDF

 

บันทึกนี้คล้ายๆ เป็นการ AAR การเดินทางระหว่างวันที่ ๙ - ๑๗ มี.ค. ๕๖ ไปกับคณะ ๙ คน  เราเดินทางโดยสายการบิน ANA ชั้นธุรกิจ  ซึ่งบริการดีในแง่ที่นั่ง-นอนสบาย  บริการอาหารและเครื่องดื่มดีมาก  พนักงานเอาใจใส่โอภาปราศรัยดีมาก  สังเกตว่าพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินทั้งหมดเป็นผู้หญิง  ไม่มีผู้ชายแม้แต่คนเดียว

จุดอ่อนสำคัญอยู่ที่หนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษมีน้อยไป  และผมสังเกตว่า เขาพยายามตัดค่าใช้จ่ายหรือความหรูหราที่ไม่จำเป็นออกไป  ไม่แจกกระเป๋าใส่น้ำหอม, chapstick, โลชั่น, ถุงเท้าสวมบนเครื่อง  โดยมีโลชั่นทากันผิวแห้งให้ใช้ในห้องน้ำในช่วงบินระหว่างโตเกียวกับวอชิงตัน ดีซี  แต่ช่วงบินระหว่างโตเกียวกับกรุงเทพไม่มี

ที่มีเพิ่มคือ สลิปเป้อร์สำหรับสวมบนเครื่องบิน  และมีถุงให้ใส่กลับบ้านด้วย แถมช้อนคัดรองเท้า ๑ อัน

ห้องรับรองผู้โดยสารชั้นธุรกิจและบัตรทองของ ANA ที่โตเกียวใหญ่มาก  มีบริการที่เราประทับใจและติดใจคือบริการห้องอาบน้ำฟรี  มีสิ่งอำนวยความสะดวกในการชำระร่างกายครบครันยิ่งกว่าโรงแรม  ในห้องรับรองมีไวไฟให้ใช้ฟรี   มีอาหารว่างอาหารร้อนครบครัน  แต่ผมไม่ได้ลองไปใช้บริการอาหารร้อน  อ. หมอปานเทพ รัตนากร เป็นผู้แนะนำให้ผมลองไปกิน แต่ผมไม่ได้ไป  เพราะที่เลี้ยงบนเครื่องบินก็มากเกินพอดีอยู่แล้ว

ผมมีข้อสังเกตว่า การออกแบบตำแหน่งของห้องรับรองของแต่ละสายการบิน กับประตูขึ้นเครื่อง เขาจัดให้อยู่ใกล้กัน สะดวกต่อผู้โดยสารดีมาก  เรื่องแบบนี้ สนามบินของประเทศใด ก็ย่อมเอื้อเฟื้อต่อสายการบินชาติตนเป็นพิเศษ

อ. หมอปานเทพ มีความรู้เรื่องเครื่องมือเครื่องใช้ต่างๆ ดีมาก  ขากลับผมจึงได้รับคำแนะนำให้ซื้อของใช้กระจุกกระจิกหลายอย่าง  ที่ตามปกติเวลาเดินทางผมไม่ได้สนใจเลย  ทำให้ผมตระหนักในข้ออ่อนด้อย ที่เกิดจากการตั้งใจฝึกฝนตนเองให้มีสมาธิอยู่กับเรื่องบางอย่างเท่านั้น  ทำให้ผมเป็นคนที่ความรู้แคบ

โรงแรมในอเมริการะดับที่เราไปพักคือ Omni Shoreham ที่น่าจะ ๔ ดาว ค่าห้องพักคืนละ $255 บวกภาษีอีกคืนละ $37  ไม่มีแปรงสีฟันยาสีฟัน หวี ให้  มีแต่สบู่  โลชั่น  และน้ำยาบ้วนปาก  ที่มีให้มากมายคือผ้าเช็ดตัวสารพัดขนาด  และที่นอนนอนสบายมาก  ที่ผมประทับใจคือกาแฟที่เสิร์ฟกับอาหารเช้าอร่อยกว่าทุกโรงแรมในอเมริกาที่ผมเคยพัก  คือรสเข้มดี ตามปกติกาแฟอเมริกันจะจางๆ รสไม่เข้มข้น  ไม่ทราบว่าเป็นเพราะในช่วงหลังๆ ที่มีกาแฟ สตาร์บัค และยี่ห้ออร่อยอื่นๆ มาทำให้กาแฟในโรงแรมปรับปรุงขึ้นหรือเปล่า   แต่ที่ผมไม่ชอบคืออาหารเนื้อของโรงแรมนี้เค็มมาก  และเหมือนเดิมทุกวัน  ที่ชอบมากคือผลไม้ มีสารพัดเบอร์รี่ให้ตักกิน  แต่สังเกตว่า บลูเบอร์รี่ไม่หอมเหมือนอย่างที่เคยกินที่ซาน ฟรานซิสโก

ที่น่าประทับใจคือโรงแรมนี้สร้างและเปิดใช้เมื่อ ค.ศ. ๑๙๓๐  เป็น super modern hotel ในสมัยนั้น  อายุ ๘๓ ปี แต่โครงสร้างด้านสถาปัตยกรรมยังใช้ได้ดี  ส่วนรายละเอียดภายในคงจะมีการปรับปรุงไปหลายรอบแล้ว

ผมออกไปวิ่งตั้งแต่เช้ามืดทุกวัน  ท่านอธิการบดี ศ. นพ. รัชตะถามว่าผมไม่ห่วงความปลอดภัยหรือ  ผมตอบว่า ผมรู้สึกว่าสังคมในอเมริกาเวลานี้ปลอดภัยกว่าเมื่อ ๒๐ ปีก่อน  ท่านแนะนำว่า ให้เอาเงินใส่กระเป๋าไว้สัก ๑๐ - ๒๐ เหรียญ มีคนมาขอจะได้ให้ไป  ป้องกันโดนทำร้าย

กลับมาถึงบ้าน ได้กินข้าวกล้องอินทรีย์ที่ผมเคยแนะนำไว้ กับผัดผักฝีมือสาวน้อย  อร่อยกว่าอาหารชั้นดีราคาแพงบนเครื่องบินและที่โรงแรม อย่างเทียบกันไม่ติดเลย  ที่สำคัญเป็นอาหารสุขภาพ

ตลอดการเดินทาง ผมอ่าน นสพ. เพื่อเรียนรู้ความเป็นไปของโลก  เพื่อให้ตนเองกว้างขึ้น  และได้เขียนบันทึกลง บล็อก จำนวนหนึ่ง   ผมสังเกตว่า นสพ. ในประเทศเจริญแล้ว ข่าวมีสาระกว่า นสพ. บ้านเรา


วิจารณ์ พานิช

๑๗ มี.ค. ๕๖

บนเครื่องบิน สายการบิน เอเอ็นเอ จาก โตเกียว กลับกรุงเทพ  ปรับปรุงที่บ้าน ๑๘ มี.ค. ๕๖


 

วิจัยเปลี่ยนโครงสร้างหลักสูตรเพื่อปฎิรูปการเรียนรู้ระดับอุดมศึกษาสู่ศตวรรษที่ 21

พิมพ์ PDF

โครงสร้างการเรียนรู้แห่งศตวรรรษที่ ๒๑ ควรเป็นอย่างไร ผมไม่ทราบ คงต้องมีการวิจัยและปรึกษาหารือกัน ผมทราบแต่หลักการ ว่าการสอนแบบบรรยายจะต้องน้อยลงมาก ผมเดาว่าควรเหลือสัก 10-20% ของปัจจุบัน ทดแทนด้วยการเรียนผ่าน ไอซีที ด้วยตนเอง ใช้เวลาที่อาจารย์-นักศึกษาพบกัน (contact hour) ให้เกิดการเรียนรู้ที่มีคุณค่าสูง คือเรียนแบบ active learning ตามด้วย reflection ให้เกิด mastery learning และเกิดการฝึกทักษะเชิงซ้อนหลากหลายด้านในเวลาเดียวกัน โดยเฉพาะทักษะด้านการเรียนรู้ รวมทั้งใช้ในการประเมินความก้าวหน้าของการเรียนรู้ของ นศ. แต่ละคนไปในตัว

 

 

โครงสร้างหลักสูตร และรูปแบบการเรียนรู้ ในอุดมศึกษาไทย ยังเป็นรูปแบบของศตวรรษที่ ๒๐  ยังไม่ได้รับการปรับให้เข้าสู่ศตวรรษที่ ๒๑

เรายังยึดติดอยู่กับโครงสร้างการเรียน แบบ 3 (x-y-z)  เลข 3 หมายถึง 3 หน่วยกิต  x หมายถึงจำนวนชั่วโมงบรรยายต่อสัปดาห์  y หมายถึงชั่วโมงปฏิบัติต่อสัปดาห์  และ z หมายถึงชั่วโมงศึกษาเอง (independent study) ต่อสัปดาห์   โครงสร้างนี้ เป็นโครงสร้างแห่งศตวรรษที่ ๒๐  เน้น passive learning  หรือเป็นโครงสร้างการสอน ไม่ใช่โครงสร้างการเรียน  ยังเน้นที่สาระ (content) วิชา

โครงสร้างการเรียนรู้แห่งศตวรรรษที่ ๒๑ ควรเป็นอย่างไร ผมไม่ทราบ  คงต้องมีการวิจัยและปรึกษาหารือกัน   ผมทราบแต่หลักการ ว่าการสอนแบบบรรยายจะต้องน้อยลงมาก  ผมเดาว่าควรเหลือสัก 10-20% ของปัจจุบัน  ทดแทนด้วยการเรียนผ่าน ไอซีที ด้วยตนเอง  ใช้เวลาที่อาจารย์-นักศึกษาพบกัน (contact hour) ให้เกิดการเรียนรู้ที่มีคุณค่าสูง คือเรียนแบบ active learning ตามด้วย reflection  ให้เกิด mastery learning  และเกิดการฝึกทักษะเชิงซ้อนหลากหลายด้านในเวลาเดียวกัน  โดยเฉพาะทักษะด้านการเรียนรู้  รวมทั้งใช้ในการประเมินความก้าวหน้าของการเรียนรู้ของ นศ. แต่ละคนไปในตัว

นั่นคือ ห้องเรียนส่วนใหญ่ (เกือบทั้งหมด?) จะเป็น “ห้องเรียนกลับทาง”

การเรียนส่วนใหญ่ จะเรียนจากสถานการณ์ ทั้งสถานการณ์จริงและสถานการณ์สมมติ  เพื่อให้เป็นการเรียนจากการปฏิบัติ  และส่วนใหญ่ปฏิบัติเป็นทีม เพื่อให้เกิดทักษะการทำงานเป็นทีม

การทดสอบ หรือประเมินความก้าวหน้าของการเรียนรู้ เน้นประเมินทักษะทั้งด้านทักษะวิชาชีพ ทักษะชีวิต ทักษะการียนรู้ และทักษะด้านเทคโนโลยีและการสื่อสาร คือต้องประเมินให้ครบทั้งทักษะแห่งศตวรรษที่ ๒๑ นั่นเอง  โดยประเมินว่ามีการพัฒนาครบทั้งด้าน head, heart และ spirit  คือให้มั่นใจว่าเกิดการเรียนรู้บูรณาการ  หรือมองอีกมุมหนึ่ง เกิดการพัฒนาครบทั้ง ๕ ด้าน คือ intellectual, social, emotional, physical และ spiritual

การประเมินทั้งหมดนั้น ส่วนใหญ่ประเมินโดยตัว นศ. เอง  อีกส่วนหนึ่งประเมินโดยทีมอาจารย์ผู้ทำหน้าที่ “คุณอำนวย”  โดยคณะ/มหาวิทยาลัย มีกลไกตรวจสอบความแม่นยำของการประเมิน  เพื่อกำกับคุณภาพ  และมีกลไกตรวจสอบระดับชาติกำกับความแม่นยำในการประเมินของแต่ละมหาวิทยาลัยอีกทีหนึ่ง

โปรดสังเกตว่า ผมไม่เชื่อว่ากลไกสอบรวมเป็น national test ต่อผู้เรียนเป็นรายคน เป็นสิ่งที่ดี  ผมเชื่อว่ากลไกระดับชาติควรทำหน้าที่ประเมินสถาบันจะดีกว่า  ส่วนการประเมินผลสัมฤทธิ์เป็นรายคนมอบความไว้วางใจให้แก่สถาบัน  และจริงๆ แล้ว นศ. ผู้เรียนเป็นผู้มีบทบาทสำคัญที่สุดในการประเมิน

ความคิดของผมเป็นอุดมคติเกินไป ใช้ไม่ได้ในสภาพสังคมที่ไม่น่าไว้วางใจใครเลยหรือเปล่า ผมไม่ทราบ  แต่ผมคิดว่า เราต้องช่วยกันสร้างสังคมไทย ให้เป็นสังคมของคนที่น่าเชื่อถือ  มีความซื่อสัตย์สุจริตไว้วางใจได้  เราต้องช่วยกันทำให้บรรลุเป้าหมายนี้ให้ได้  และการศึกษาคือเครื่องมือที่สำคัญที่สุด

การวิจัย เป็นกลไกสำคัญ ต่อการจัดการการเปลี่ยนแปลงอันสำคัญยิ่งนี้

 

วิจารณ์ พานิช

๒๔ มี.ค. ๕๖

ห้องพักรับรอง อาคารประสานใจ ๑  ห้อง B 201  คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ หาดใหญ่

คัดลอกจาก http://www.gotoknow.org/posts/535965

 

พลังประชาชน

พิมพ์ PDF

ผมได้อ่านบทความของคุณเปลว สีเงิน เห็นว่าเป็นบทความที่น่าสนใจจึงนำมาเผยแพร่ให้ได้อ่านกัน ขอให้อ่านอย่างมีสติ ทำความเข้าใจและหาข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อสร้างปัญญาให้กับตัวเรา ส่วนเรื่องการเมื่อก็ให้ติดตามอย่างใกล้ชิดอย่างมีสติ ประชาชนทุกคนต้องสนใจและเอาใจใส่เรื่องการเมื่อง คิดและกระทำอย่างสร้างสรรค์ พลังประชาชนมีอำนาจเหนือนักการเมื่อง แต่ต้องใช้อย่างมีสติและเพื่อสร้างสรรค์เท่านั้น ถ้าใช้พลังประชาชนในทางที่ผิดเพื่อคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง เพื่อเอาชนะกัน ประเทศชาติก็จะเสียหาย
ม.ล.ชาญโชติ ชมพูนุท
ปล. ปรากฎการณ์สามานย์ธิปไตยกินรวบชาติ

แบงก์ชาติในภาวะคอรัปชั่นล่มชาติ

ยิ่งลักษณ์ "ขาขึ้น" มานาน แต่ตอนนี้ส่ออาการ "ขาลง" ยังไงชอบกล เกิดเพราะแดงสาดเลือดที่ทำเนียบฯ หรือต้องมาตายเพราะแดงเลือดสาดที่ทำเนียบฯ เฮ้อ...ก็ได้แต่เอาใจช่วยอยู่ลึกๆ ช่วงนี้ พยายามซ่อนลิ้นไว้ในปากได้จะเป็นศรีกับตัว แต่บอกจะไปโชว์ "ยิ่งลักษณ์ สปีช" ในงานประชุมเรื่องน้ำที่เชียงใหม่วัน-สองวันนี้ ไม่เข็ด...ก็อย่าไปยก "อุทาหรณ์" ประชาธิปไตยมองโกเลียอีกก็แล้วกัน!
พูดถึงสปีชที่มองโกเลีย ทำเอาผมเหงาไปหลายวัน เพราะนายกฯ ขวัญใจผมหายจ้อยไปจากจอเลย เพิ่งเมื่อวาน (๑๔ พ.ค.๕๖) โผล่มาจ้อออกจอด้วยเรื่องนั้น-เรื่องนี้อีกแล้ว 
คงติดใจที่สั่งให้รัฐมนตรีคลัง "นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง" เชิญผู้ว่าฯ แบงก์ชาติ สภาอุตสาหกรรม พาณิชย์ และคณะกรรมการนโยบายการเงิน ที่รู้จักกันดีในนาม กนง.มาคุยกัน เป็นทั้งการจูนคลื่น เป็นทั้งการบีบเรื่องบาทอ่อน-บาทแข็ง ที่รัฐบาลมีวิสัยทัศน์แค่ว่า 
ลดดอกเบี้ยนโยบายเมื่อไหร่ ก็จะหายแข็งเมื่อนั้น!?
แหม...ก็แม่เป็นรัฐบาลไม่ถึง ๒ ปี เล่นกู้ซะขนาดนั้น ตั้งแต่มีประเทศมาก็เพิ่งนี่แหละ กู้แบบขายบ้าน-ขายเมือง ขืนสกัดกั้นทางเดินเงินไหลเข้า แล้วเงินที่ไหนจะไหลมาให้รัฐบาลแม่คุณผลาญทันล่ะ?
จะมาโบ้ยให้ใช้มาตรการทางการเงินด้วยการลดดอกเบี้ยให้ยุ่งยากทำไม...พ่อขุนคลังกิตติรัตน์ ก็ใช้มาตรการทางการคลัง ลดดอกเบี้ยพันธบัตรเงินกู้ของกระทรวงซะเองไปเลย ง่ายๆ แบบนั้นทำไมไม่ทำ? 
ทำเมื่อไหร่ เงินนอกจากยุโรป สหรัฐ ญี่ปุ่น ที่ไหลมาหากินดอกเบี้ยก็จะลดน้อยไปเมื่อนั้น ไม่มีใครกระเทือนมาก นอกจาก ๓.๕ แสนล้าน และอีก ๒.๒ ล้านล้าน ไม่มีใครเอาเงินมาให้รัฐบาลกู้ เพราะดอกถูก แต่ถ้าลดดอกเบี้ยนโยบาย "แบงก์พาณิชย์รวย-คนฝากเงินกินดอกซวย" มันก็เท่านั้น
ก็รู้ทั้งรู้ กินอยู่กับปาก-อยากอยู่กับกู้ เจตนาสร้างข่าวให้แบงก์ชาติเป็นหมู "หวังเชือดทิ้ง" ละซี้?
แต่อะไรก็ช่าง ดูท่านายกฯ ติดใจวิธีนี้ซะแล้ว บอกให้กิตติรัตน์....เอาอีก Two Times คราวนี้ให้เชิญหน่วยงานอื่นๆ มาด้วย คือนอกจากแบงก์ชาติ กนง. สภาอุตฯ หอการค้า พาณิชย์แล้ว ให้เชิญกระทรวงแรงงาน กระทรวงอุตสาหกรรม มาร่วมถกเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจในภาพรวม
ทำไป-ทำมา ทั้งแบงก์ชาติ และทั้ง กนง.จะกลายเป็นหน่วยงาน "ลูกมือ-ลูกตีน" รัฐบาล ต้องทำงานภายใต้คำสั่งรัฐบาลโดยตรงไปแล้วก็ไม่รู้ ถ้าจะเอาแบบนี้ ก็สั่งให้แบงก์ชาติ กนง.เข้าประชุม ครม.ไปด้วยทุกนัดก็หมดเรื่อง?
อ่าน "ต่วย'ตูน" ว่าฮาแล้ว แต่ดูต่วย'ต่วย... ฮากว่า!
ก็ทะแม่งๆ เพราะไม่เคยเห็นมาก่อน ที่ผู้ว่าฯ แบงก์ชาติ และ กนง.ผู้รับผิดชอบด้านกำหนดทิศทางนโยบายการเงิน จะถูกฝ่ายการเมือง คือนายกฯ สั่งให้มาประชุมกับรัฐมนตรีคลัง ในเป้าหมาย....
"ต้องไปลดดอกเบี้ยลงมา เพื่อให้บาทอ่อน พวกพ่อค้าส่งออกจะได้ไม่โวย!"
ประชุมกันไปครั้งก็ติดใจ แต่ต่อจากนี้ ผู้ว่าฯ แบงก์ชาติ และคณะกรรมการนโยบายการเงิน จะยอมเอาอีกด้วยหรือไม่ ผมก็ไม่แน่ใจ แต่ที่แน่ๆ นายกฯ ของผม "ต้องการ"
เรื่องอย่างนี้ "พูดยาก" นะ ถ้าจะยกบทบาท-หน้าที่ของแต่ละฝ่ายมาขึงตึง กรณีนี้ดูน่าเกลียด ที่แบงก์ชาติและ กนง.คล้ายตกเป็นเครื่องมือ "อำนาจรัฐบาล" สั่งให้หันซ้าย-หันขวา เป็นบทบาทที่เปราะบางต่อทัศนคติคนทั่วไปในด้าน "ความน่าเชื่อถือ"
แต่ถ้ามองด้วยใจกว้างๆ ไม่หยิกหย็อย-หยุมหยิม "เพื่อประโยชน์ร่วมกัน" มันก็เป็นที่เข้าใจได้ ถืองานรวมเป็นใหญ่ การมานั่งปรึกษาหารือกัน หลายหัว หลายมุมมอง หลายปัญหา หลายตำรา และหลายประสบการณ์ "เถียงเพื่อชาติ" กัน
เมื่อ "หลายปัญญา" ช่วยกันขยำปัญหา มันก็อาจเกิดประโยชน์มากกว่าคิดหยุมหยิมตรงนั้น-ตรงนี้ ขอให้แต่ละท่าน ซึ่งตามตำแหน่งแล้ว ควรต้องเป็นวิญญูชนของชาติ....ก็ควรเป็นเช่นนั้นจริงๆ
อย่างนั้น "ฉัน-เสีย..แก-ได้" ก็จะไม่มี มีแต่ "ประเทศของเรา..ความแข็งแกร่งของพวกเรา"!
แต่ข้อสำคัญ คนเป็นผู้นำคือนายกฯ ต้องเข้าใจให้ถ่องแท้ในสถานะอิสระของผู้ว่าฯ แบงก์ชาติ และคณะกรรมการนโยบายการเงิน 
ไม่ใช่สั่งแล้วเขาก็มา ก็เลยได้ใจ นึกว่าคนในตำแหน่งผู้ว่าฯ แบงก์ชาติ และในตำแหน่ง กนง.ก็เหมือนพวกไพร่รายรอบขอบกระโปรง และพวกคลานไปยกไข่แม้วทั้งหลาย
ได้ใจ...นึกว่าได้แบงก์ชาติ-กนง.เป็นเมืองขึ้นแล้ว ทั้งโต้ง ทั้งปู เลยเอากันใหญ่ ชี้นิ้วสั่งดอกขึ้น-ดอกลงตามใจชอบ ประเทศไทยกลายเป็นบริหารด้วย "รัฐบาลลอยดอก"
ทีนี้ละ เป็นได้ดอกกันไปทั้งประเทศ!
ดร.ป๋วย อึ๊งภากรณ์ ท่านไปพูดในวงสัมมนาที่มาเลเซีย เมื่อปี ๒๕๐๗ ในเรื่อง "บทบาทของธนาคารกลางในโลกแห่งความตึงเครียด" เป็นภาษาอังกฤษ คุณชูศรี มณีพฤกษ์ แปลเอาไว้และผมเคยอ่าน ตอนหนึ่งท่านพูดว่า....
.........ในโลกสมัยใหม่ ธนาคารกลางเป็นสถาบันซึ่งรัฐบาลเป็นเจ้าของ ได้รับมอบอำนาจและความรับผิดชอบในการออกธนบัตร ทำหน้าที่เหมือนธนาคารของรัฐบาลและของธนาคารพาณิชย์ด้วย ธนาคารกลางสามารถสร้างและควบคุมเงินฝากของธนาคารพาณิชย์ซึ่งเป็นเงินรูปหนึ่งได้
ธนาคารแห่งแรกคือ ธนาคารแห่งประเทศอังกฤษ ตั้งขึ้นในรูปบริษัทเอกชนโดยมีวัตถุประสงค์ที่จะหาเงินมาใช้จ่ายในการทำสงครามกับฝรั่งเศส ต่อมาธนาคารแห่งประเทศอังกฤษและธนาคารกลางอื่นๆ ได้แยกตัวเองออกจากการเมือง
ที่ถูกแล้ว ผู้ว่าการธนาคารกลางจะต้องเป็นอิสระ และจะต้องแสดงออกให้เห็นว่าเขาเป็นอิสระจากรัฐบาล เขาดูแลนโยบายการเงิน ให้คำแนะนำ หลอกล่อด้วยคำหวาน และในบางคราวก็อาจจะถึงกับข่มขู่ (อย่างมีชั้นเชิง) รัฐบาล เพื่อชักนำให้นโยบายการหาเงินและนโยบายการคลังเป็นไปในทิศทางที่ถูกต้อง
และหากมีความขัดแย้งอย่างรุนแรงในหลักการของนโยบายกับรัฐบาล ผู้ว่าการฯ ก็พร้อมที่จะยื่นใบลาออก ซึ่งการกระทำดังกล่าวถือเป็นการประท้วงอย่างรุนแรงต่อนโยบายของรัฐบาล 
ข้าพเจ้าหวังว่าท่านคงจะเห็นด้วยกับข้าพเจ้าว่า ในภาวะที่ปราศจากความจำเป็นที่จะต้องหาเงินมาใช้จ่ายในการทำสงคราม และการได้รับมอบความรับผิดชอบ พร้อมกับเครื่องมือที่มีอำนาจที่จะทำตามความรับผิดชอบ ธนาคารกลางจะมีบทบาทมากต่อที่มาของความสงบและความรุ่งเรืองของประเทศ เพื่อปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าว เจ้าหน้าที่ธนาคารกลางจะต้องใช้หลักการอย่างกล้าหาญ และมีจินตนาการ....ฯลฯ.....
อีกตอนหนึ่ง อดีตผู้ว่าฯ แบงก์ชาติผู้มีคุณูปการแก่ชาติกล่าวว่า....
.....อย่างไรก็ตาม หลักการก็เช่นเดียวกับชาตินิยม หรือความรักชาติ ยังไม่เป็นการเพียงพอ ข้าพเจ้าขอแนะว่า เจ้าหน้าที่ธนาคารกลางในประเทศกำลังพัฒนาจะต้องมีจินตนาการและความกล้าหาญมากกว่าที่เขาเคยได้รับการยกย่องมาก่อน 
และข้าพเจ้าขอบอกไว้ก่อนว่า มันเป็นงานที่ไม่ง่ายนัก มันเป็นงานที่ต้องอาศัยความเอาใจใส่ ความตื่นตัวและการฉวยโอกาส....ฯลฯ....
ครับ...เมื่ออ่านแล้วทำให้เข้าใจ สมบัติของคนเป็นผู้ว่าฯ แบงก์ชาติ ไม่ใช่หอคอยงาช้าง หากแต่เป็น "จินตนาการและความกล้าหาญ" ในการบริหารหลักการ และจากในเรื่อง "ศาสตร์และศิลป์แห่งการเป็นผู้ว่าการธนาคารกลาง" ดร.ป๋วยท่านยังกล่าวไว้อีกว่า
"....ตำแหน่งของผู้ว่าการธนาคารชาตินี้ ในทำเนียบราชการไทยเป็นตำแหน่งที่ต่ำกว่ารัฐมนตรี และเราจำเป็นที่จะต้องติดต่อกับรัฐมนตรีอยู่ เฉพาะอย่างยิ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ซึ่งมีอำนาจตามกฎหมายเป็นผู้กำกับการงานของธนาคารแห่งประเทศไทย ไม่ใช่เฉพาะแต่ผู้ว่าการเท่านั้น ผู้ใหญ่คนอื่นในธนาคารแห่งประเทศไทยด้วย
เพราะฉะนั้น การติดต่อกับรัฐมนตรี เพื่อที่จะเกลี้ยกล่อมรัฐมนตรีให้ดำเนินนโยบายอย่างใดอย่างหนึ่งที่ธนาคารเห็นสมควร ก็ย่อมเป็นเรื่องที่สำคัญมาก เพราะถ้านโยบายต่างๆ ไม่ประสานกัน การดำเนินราชการแผ่นดินก็จะเป็นไปราบรื่นมิได้............
ถ้าเราไม่สามารถที่จะเกลี้ยกล่อมท่านได้ หน้าที่ของผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยก็จะด้อยลงไป ความรับผิดชอบและประโยชน์ที่เราจะทำให้ก็จะเสียหายไปเช่นเดียวกัน 
เพราะฉะนั้น ในการที่จะติดต่อกับรัฐบาล จึงมีความจำเป็นที่จะต้องให้มีความเชื่อถือ ให้รัฐบาลหรือบุคคลในรัฐบาลเชื่อถือว่าเราไม่ได้เห็นประโยชน์ของส่วนตัว ไม่ได้เห็นแก่ประโยชน์ของธนาคารแห่งประเทศไทย แต่เห็นแก่ประโยชน์ของแผ่นดิน....ฯลฯ...
ครับ...เห็นพอกล้อมแกล้มเข้าสถานการณ์ได้ ก็เลยยกสิ่งที่ ดร.ประสาร ไตรรัตน์วรกุล "ผู้ว่าฯ แบงก์ชาติ" คนปัจจุบันมีอยู่-ทำอยู่ครบถ้วน มาให้ได้อ่าน...ก่อนพายุคอรัปชั่นจะพังชาติ

เปลว สีเงิน

 

กิจกรรมรักกาย – รักษ์ใจ & ผู้นำแห่งทศวรรษใหม่

พิมพ์ PDF

สวัสดีครับชาว Blog และลูกศิษย์ EADP รุ่น 9 ทุกท่าน

กลับมาพบกันอีกครั้งสำหรับกิจกรรมการเรียนรู้ ระยะที่ 4 กิจกรรมรักกาย – รักษ์ใจ & ผู้นำแห่งทศวรรษใหม่
ถือเป็นกิจกรรมช่วงสุดท้ายในหลักสูตรพัฒนาสมรรถนะผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) รุ่นที่ 9 (ปี 2556) หรือ EGAT ASSISTANT DIRECTOR DEVELOPMENT PROGRAM : EADP 2013  ระยะเวลา 5 วัน ระหว่างวันที่ 14 พฤษภาคม  – 18 พฤษภาคม 2556 โดยวันแรกพบกับกิจกรรมดูแลสุขภาพ ณ ศูนย์ธรรมชาติบำบัดบัลวี  (สามเสน) กรุงเทพฯ และวันต่อไปเดินทางไปที่การไฟฟ้าฝ่ายผลิต ศูนย์ฝึกอบรมบางปะกง ครับ หวังว่าลูกศิษย์ของผมจะได้รับความรู้ มุมมอง และประสบการณ์ที่เป็นประโยชน์เพื่อต่อยอดผู้นำแห่งทศวรรษใหม่ สามารถนำมาพัฒนาตนเอง องค์กร กฟผ. และประเทศชาติต่อไปครับ ผมขอชื่นชมที่ทุกท่านสนใจ และได้นำเสนอแนวคิดดี ๆ จากการส่งการบ้านมาที่ Blog ซึ่งจะเป็นคลังความรู้ของพวกเรา มีประโยชน์มาก และผมดีใจที่ความรู้ดี ๆ ในห้องเรียนของเราจะได้แบ่งปันสู่สังคมในวงที่กว้างขึ้น

และเพื่อให้การส่ง Blog ของพวกเราง่ายขึ้น ผมจึงขอเปิด Blog ใหม่สำหรับกิจกรรม ระยะที่ 4 กิจกรรมรักกาย – รักษ์ใจ & ผู้นำแห่งทศวรรษใหม่ ครับ

ศ.ดร.จีระ หงส์ลดารมภ์

ธรรมชาติบำบัดปรับชีวิต เปลี่ยนอาหาร หลักการแพทย์พอเพียง

นพ.บรรจบ ชุณหสวัสดิกุล

14 พฤษภาคม 2556

ศูนย์ธรรมชาติบำบัดบัลวี กรุงเทพฯ

วิธีคำนวณดัชนีมวลร่างกาย

BMI= นน.(กก.)/ส่วนสูง (ม.)2

-  เกิน 30 โรคอ้วน

-  มากกว่า 25 อ้วน

เลปติน เป็นฮอร์โมนที่ทำให้เรากินแล้วรู้สึกอิ่ม ทำให้ไม่อ้วน แต่คนที่อ้วนเพราะไขมันเยอะขึ้น ฮอร์โมนเลปตินเลยไม่สร้าง และมีโอกาสเป็นมะเร็งมากกว่าคนผอม

หากไขมันในพุงมาก ฮอร์โมนไม่มี มีโอกาสเสี่ยงเป็นโรค

-  หัวใจ

-  เบาหวาน

-  อาการวัยหมดประจำเดือนมาก

-  การกินฮอร์โมนเสริมมีอันตรายมาก ไม่ควรกินฮอร์โมน แต่ควรรักษารูปร่างให้ดี

คนอ้วน ทำให้ไขมันพอกตับ ข้อเข่าเสื่อม ทำให้เสียบุคลิก เหนื่อยง่าย เสี่ยงเป็นโรคหัวใจ

ลดน้ำหนักด้วยวิธีธรรมชาติ

1.  กินให้น้อย

2.  ออกกำลังกายเยอะ

ควรกินเนื้อ กินผัก

กิน เนื้อสัตว์ กินผักเส้นบุก

ไม่กิน ข้าว หรือ คาร์โบไฮเดต ไม่กินผลไม้ ไม่กินถั่ว/นม

อาหารห้ามกิน/อาหารให้กิน

ห้าม

-  ข้าว ก๋วยเตี๋ยว บะหมี วุ้นเส้น

-  ผลไม้ทุกชนิด น้ำผลไม้

-  นม นมเปรี้ยว โยเกิรต์

-  นมถั่วเหลือง ถั่ว ข้าวโพด

-  ไก่ชุบแป้งทอด น้ำจิ้มไก่

กิน

-  หมู ไก่ ปลา ไข่ เต้าหู้

-  ผัก

-  อาหารว่าง ชิ้นไก่ หมู จิ้มซีอิ้ว

การอดเพื่อสุขภาพ

การอดเพื่อสุขภาพเป็นวิธีหนึ่งในการขจัดของเสีย หรือล้างพิษ สามารถปฏิบัติได้ง่ายและสะดวกสบาย สามารถปฏิบัติได้ด้วยตนเองที่บ้าน ในปัจจุบันทางวิทยาศาสตร์ชีวภาพได้ค้นพบอนุมูลอิสระที่เป็นสาเหตุหลักของความเจ็บป่วยมากมาย การอดเพื่อสุขภาพนับเป็นวิธีหนึ่งที่มีประสิทธิภาพในการขจัดอนุมูลอิสระเหล่านี้

อดด้วยผลไม้อย่างเดียวทั้งวัน : มะละกอ ฝรั่ง แอปเปิ้ล แคนตาลูป ส้มโอ

กินชาฮูเอ่อ ทำให้ไม่อยากอาหาร

การล้างพิษ 1 วันทุก 2 สัปดาห์

ระดับ 1 การกินผลไม้ชนิดเดียวตลอดวันเพราะต้องการให้ระบบการย่อยได้พัก เพื่อให้ร่างกายฟื้นตัวเอง

วันเลิกอด ในวันต่อมา ดื่มน้ำผสมน้ำมะนาว ในตอนเช้าวิธีผสมน้ำมะนาวมีสูตรดังนี้ คือ ใช้น้ำ 2 ขวด ขวดละ 800 cc. บีบมะนาวขวดละ 2 ลูก ใส่เกลือทะเล ขวดละ 1 ช้อนชาครึ่ง ผสมแล้วดื่มให้หมดในตอนเช้า วันนั้น จะทำให้เกิดการถ่ายอุจจาระ

กิจกรรมระหว่างลดน้ำหนัก

1.  ออกกำลังกาย

2.  อบสมุนไพร

3.  นวดประคบ

4.  บริหารร่างกาย

ไขมันเลือดเหมาะสม

Chol/HDL <4.6

การสวนล้างลำไส้

ตับที่แข็งแรงและลำไส้ที่สะอาดเป็นสิ่งจำเป็นต่อการล้างพิษ ดังนั้นเราจึงควรที่จะทำความสะอาดลำไส้ วิธีการทำความสะอาดลำไส้มี 2 วิธี คือ

- การสวนลำไส้ใหญ่ระดับบนเน้นการสวนด้วยน้ำอุ่น

- การสวนล้างลำไส้ใหญ่ระดับกลางด้วยสารบางอย่าง เช่น กาแฟ หรือสมุนไพร

การสวนลำไส้จะต้องกระทำควบคู่ไปกับการกินอาหารที่เหมาะสมกับสุขภาพในแต่ละระยะการอด การออกกำลังกายที่ฝึกปราณอย่างเช่นชี่กงหรือโยคะ การทำสมาธิ เพื่อให้กระบวนการฟื้นฟูสุขภาพเป็นไปอย่างครบถ้วน

การรักษาโรค

-  หวัด

อาหาร อดล้างพิษ 1 วันด้วยผลไม้

การปฎิบัติ  นอนพักผ่อนมากๆ

วิตามิน  ซี

ฟ้าทะลายโจร 5 เม็ดลูกกลอน  ขมิ้นชัน

-  ภูมิแพ้

งด นมวัว งานวิจัยพบว่า นมวัวจะทำให้เป็นปัจจัยในการเกิดมะเร็ง หลีกเลี่ยงนมวัว ด้วยการกินอาหารไทย ปลาร้า กุ้งแห้ง

-  ตู้วิตามินสมุนไพรประจำบ้าน

C100

ฟ้าทะลายโจร

ขมิ้นชัน

รายงานโดย ทีมงานวิชาการ ChiraAcademy

วารีบำบัดอานุภาพแห่งน้ำ

พญ.ลลิตา ธีระสิริ

วารีบำบัด

14 พฤษภาคม 2556

ศูนย์ธรรมชาติบำบัดบัลวี กรุงเทพฯ

วารีบำบัด เป็นศาสตร์ที่สืบทอดมาจากยุคกรีกและโรมัน ได้แพร่ไปสู่ยุโรปภาคตะวันออก กลายเป็นการอบไอน้ำแบบรัสเซีย (Russian bath) และการอบซาวน่าแบบฟินแลนด์ (Finnish bath) มาภายหลังได้รับการพัฒนาเพื่อการบำบัดรักษาโรคโดย วินเซนต์ เพรียนสนิตช และ เซบัสเตียน คไนป์ ชาวเยอรมันเขียนตำราเกี่ยวกับวารีบำบัด ที่นิยมทำตามคือ การว่ายน้ำในน้ำเย็น

วารีบำบัดสร้างสมดุลของร่างกายโดยอาศัยความร้อนความเย็นของน้ำที่มากระทบผิวกาย คนเรามีพื้นที่ไฮโปทาลามัสคอยควบคุมอุณหภูมิของร่างกายให้เป็น 37 องศาเซลเซียสอยู่ตลอดเวลา เมื่อใดที่เราถูกความหนาวเย็น ร่างกายจะปกป้องตนเองโดยหดเส้นผิวกายเพื่อรักษาความร้อนไว้ และเพิ่มการทำงานของอวัยวะภายในเพื่อสร้างความร้อนเพิ่มขึ้น ทำให้กล้ามเนื้อสั่นกระตุก ทำให้หัวใจ ปอด ต่อมฮอร์โมนต่างๆ ทำงานเพิ่มขึ้นเพื่อผลิตความร้อนออกมา ในทางตรงกันข้ามถ้าเราเข้าไปอยู่ในที่ร้อน ไฮโปทาลามัสจะสั่งให้เส้นเลือดขยายตัว เพื่อระบายความร้อนออก สั่งให้หัวใจ ปอด ตับ กล้ามเนื้อ และต่อมฮอร์โมนทำงานน้อยลง เพื่อลดความร้อน เหตุนี้เองเราสามารถใช้ความร้อนเย็นของน้ำที่มากระทบผิวกาย ออกคำสั่งไปยังอวัยวะต่างๆ ให้ปรับการทำงานสู่สมดุล

เมื่อเราถูกความเย็นระยะแรก เส้นเลือดผิวกายหดตัว ผิวหนังซีด ขนลุก รู้สึกหนาว เจ็บสะท้าน ชีพจรเต้นเร็ว แต่เมื่อออกจากความเย็นระยะหนึ่ง จะเกิดปฎิกริยาตรงกันข้ามคือ เส้นเลือดขยายตัว ผิวหนังแดง หยุดขนลุก รู้สึกอุ่น และผ่อนคลายสบาย

เมื่อถูกความร้อนระยะแรก เส้นเลือดขยายตัว ผิวแดง ชีพจรเต้นช้า เหงื่อออก ประสาทตื่นตัว กล้ามเนื้อกระฉับกระเฉง แต่เมื่อถูกความร้อนนานๆ ระยะหนึ่ง จะเกิดผลคือ เส้นเลือดที่ขยายตัว จะขยายต่อไปจนเกิดอาการคั่งเลือด ชีพจรเต้นเร็ว เหงื่อไม่ออก เกิดกระวนกระวาย ประสาทอ่อนล้า ง่วงนอน ซึมเศร้า กล้ามเนื้อปวกเปียก อ่อนล้า และเงื่องหงอย

เราสามารถประยุกต์วารีบำบัดในชีวิตประจำวันได้คือ ถ้าจะอาบน้ำเพื่อความสดชื่น ให้ความเย็นแทนที่จะอาบน้ำร้อน เพราะถ้าอาบน้ำร้อนหรือแช่น้ำร้อนนานๆ จะมีผลทำให้เลือดคั่ง ประสาทอ่อนล้า กระวนกระวาย และง่วงเหงาซึมเซา ซึ่งเป็นผลสืบเนื่องของการถูกความร้อนนานๆ แต่อาบน้ำเย็นจะมีผลสืบเนื่องทำให้อบอุ่น สดชื่น และสบายตัว การอาบน้ำร้อนควรทำกรณีเดียวคือ เมื่ออาบน้ำแล้วเข้านอน เพราะผลของความร้อนจะทำให้นอนหลับ

ขณะเดียวกันการอบสมุนไพร หรืออบซาวน่า ซึ่งปัจจุบันเป็นสิ่งที่หาปฏิบัติได้ไม่ยากนัก ที่ถูกหลักจะต้องใช้การอบร้อนสลับเย็น เช่น อบซาวน่าให้อบร้อน 3 นาที แล้วลงบ่อในน้ำเย็น หรือรดน้ำฝักบัวน้ำเย็นสัก 2 นาที สลับกัน 3 รอบ ผลที่เกิดขึ้นจะเป็นการปรับสมดุลของอวัยวะภายในใหม่ ช่วยให้หัวใจ ปอด ตับ ไต ต่อมฮอร์โมน และภูมิต้านทานทำงานเป็นปกติ การอบร้อนสลับเย็นยังมีผลช่วยลดความอ้วนในทางอ้อม เพราะสาเหตุของความอ้วนมีปัจจัยหนึ่งคือ ระบบฮอร์โมนชนิดเสริมสร้าง ( Anabolic hormone) และฮอร์โมนชนิดสลาย ( Catabolic hormone) ทำงานไม่ได้สมดุลกัน เมื่ออบซาวน่าจะช่วยให้ฮอร์โมนทั้ง 2 กลุ่มนี้ปรับตัวทำงานเสียใหม่

การอบซาวน่าและสมุนไพรที่ถูกวิธีต้องอบร้อนสลับเย็นเสมอ โดยอบร้อน 3 นาที สลับเย็น 2 นาที จำนวน 3 รอบ ส่วนอบสมุนไพร 10 นาที อาบน้ำเย็นแล้วอบใหม่ 3 รอบเช่นเดียวกัน การอบร้อนอย่างเดียวเป็นเวลานาน ๆ เป็นอันตรายต่อร่างกายทำให้หน้ามืด เป็นลม หัวใจขาดเลือดหากอยู่นานเกินไปหมดสติ เป็นอันตรายต่อชีวิต

ผลของซาวน่า

1.  ในที่ร้อนเลือดจะออกไปที่ผิวหนัง ที่เย็นเลือดจะกลับเข้าสู่อวัยวะส่วนกลาง ทำให้อวัยวะภายในได้รับเลือดใหม่ไปเลี้ยงเป็นระยะๆ เป็นการลดการอักเสบ หรือโรคภายใน

2.  เป็นการบริหารอวัยวะภายในให้แข็งแรง

3.  ไขมันพอกตับ พอกไตจะหายไป

4.  ความร้อนเพิ่มประสิทธิภาพเม็ดเลือดขาว

5.  ให้ความรู้สึกสดชื่น ผ่อนคลาย

-  คนที่เป็นโรคหัวใจ เป็นโรคความดันสูง หรือต่ำมาก ผู้ที่มีร่างกายอ่อนเพลียมากไม่ควรเข้าห้องอบซาวน่า

ประสบการณ์ในการรักษา

ศูนย์ธรรมชาติบำบัดบัลวีในการทำวารีบำบัด มีประโยชน์มากในการเสริมภูมิต้านทานและปรับภูมิต้านทาน เช่นภูมิแพ้ หอบหืด ภูมิต้านทานไวเกิน เช่น SLE รูมาตอยด์ และมีประโยชน์อย่างยิ่งในการเสริมรักษาผู้ป่วยมะเร็ง

นอกจากนี้ประโยชน์ของการออกกำลังกายในน้ำหรือ ไฮโดรแอโรบิค จะเหมาะสำหรับผู้ที่มีน้ำหนักตัวมาก ปวดข้อ ปวดเข่า เพราะเมื่ออยู่ในน้ำจะมีแรงพยุงตัวทำให้น้ำหนักตัวลดลงประมาณ 30% ซึ่งจะไม่ทำให้เกิดอาการบาดเจ็บ ผู้ป่วยที่เป็นอัมพฤกษ์ อัมพาต จะใช้การฝังเข็มประกอบการเดินในน้ำ สตรีมีครรภ์ก็จะคลอดได้ง่ายขึ้น

ทั้งนี้ควรปฏิบัติร่วมกับวิธีการอื่น ๆ เช่น การฝังเข็ม การอดเพื่อสุขภาพ การฝึกจิตลดความเครียด การฝึกโยคะ ชี่กง แล้วแต่กรณี

อาบแสงตะวัน

อาบแสงตะวันเป็นศิลป์และศาสตร์ที่ตกทอดมากว่า 5000 ปี ของอายุรเวท เป็นอีกวิธีหนึ่งที่เสริมสร้างความอ่อนเยาว์แก่ร่างกายได้ เรารู้ว่าในแสงตะวันมีทั้งหมด 7 สี คือ ม่วง คราม น้ำเงิน เขียว เหลือง แสด แดง นั่นคือคลื่นแสงส่วนที่เรามองเห็นได้ด้วยตา ยังมีรังสีอื่น ๆ ที่ตาเรามองไม่เห็น แต่เกิดผลแก่ร่างกายได้ เช่น รังสีอัลตร้าไวโอเลต ซึ่งมีคลื่นความถี่สูงมาก มีอำนาจทะลุทะลวง ทำให้เกิดอันตรายกับเซลล์ของเรา ส่วนอีกรังสีหนึ่งคือ อินฟราเรด มีคลื่นความถี่ต่ำให้ความร้อนแรง ซึ่งก็ไม่เป็นประโยชน์แก่สุขภาพ เรารู้อีกว่า คลื่นแสงสีเขียว ซึ่งเป็นคลื่นตรงกลางเป็นคลื่นที่อำนวยความมีชีวากับเซลล์ร่างกายได้

ในระหว่างที่อาบแสงตะวัน แสงทั้ง 7 สีจะถูกใบตองสีเขียวกรองไว้ เหลือเพียงสีเขียวเท่านั้นที่ใบตองจะปล่อยให้ลอดลงกระทบผิวกายของเรา สีดังกล่าวเป็นสีที่จรรโลงชีวิต จะเกิดผลให้เซลล์ร่างกายทั้งหมดเกิดความกระปรี้กระเปร่า สดชื่น มีชีวิตชีวาเหงื่ออกทำให้รู้สึกสบายตัว

ประโยชน์ของการประคบร้อน เย็น

-  ปวดที่ไหน บวมที่ไหน ให้เริ่มประคบด้วยน้ำร้อน 3 นาที  และประคบด้วยน้ำเย็น 3 นาทีทำทั้งหมด 3 รอบ ยกเว้นการปวดศีรษะ ต้องใช้การนวด

การออกกำลังกายในน้ำ

-  แรงลอยตัวของน้ำทำให้ยกตัวเราขึ้นและช่วยลดน้ำหนักตัวได้ถึง 70%

-  เหมาะกับคนน้ำหนักตัวมาก

-  ผู้สูงอายุ

-  มีปัญหาทางสมอง

ประโยชน์ของการอาบน้ำแร่

-  ระบบกระดูกและข้อ : ข้อเสื่อม ข้อติด

-  ระบบกล้ามเนื้อ:ปวดกล้ามเนื้อ

-  ระบบผิวหนัง: ผื่นคัน เรื้อนกวาง สิว

-  ระบบไหลเวียน: มือเท้าเย็น เวียนศีรษะ ความดันเลือดต่ำ โรคหัวใจ

-  ระบบฮอร์โมน : ปวดประจำเดือน

 

รายงานโดยทีมงานวิชาการ chira academy

วิเคราะห์ประเด็นท้าทายสำหรับ กฟผ.

(วัฒนธรรมองค์กร/การสร้างมูลค่าเพิ่มให้องค์กรและลูกค้าและ Steak holder)

โดย   ศาสตราภิชานไกรฤทธิ์ บุณยเกียรติ

ผศ.ดร.พงษ์ชัย อธิคมรัตนกุล

ดำเนินรายการโดย ศ.ดร.จีระ หงส์ลดารมภ์

15 พฤษภาคม 2556

ศูนย์ฝึกอบรมบางปะกง

ศ.ดร.จีระ: การจัดการกับความไม่แน่นอน องค์กรเป็นsilo และเป็นวิศวกรเป็นส่วนใหญ่จึงต้องปรับไปตามสถานการณ์

ผศ.ดร.พงษ์ชัย: ขอมองกฟผ.ทั้ง 3 กลุ่ม คือ ผู้ใช้ไฟฟ้า ผู้เสียภาษี และ ผู้ลงทุน

เมื่อดูการผลิตไฟฟ้า ผลิต 46% มีการนำเข้ายังน้อยอยู่ ช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ในงาของการผลิต ต้องตั้งคำถามว่าใครโตมากกว่ากัน คำถามต่อไปคือ สัดส่วนในอนาคตเป็นอย่างไร

ในระยะยาว การผลิตของกฟผ.น่าจะลดลง กำลังการผลิต ปี 2555 10,000เมกกะวัตต์

เงินที่ลงไปใน egco มีเพียง 25%

การผลิตและซื้อพลังงานไฟฟ้า

กำลังการผลิต 46% การใช้ไฟ 44%

การใช้เชื้อเพลิงกฟผ.

-  น้ำ 4%

-  ก๊าซธรรมชาติ 67.56%

-  ลม 1.6%

การจำหน่ายไฟ

ส่วนใหญ่ขายให้ในประเทศ ส่วนมากคือ กฟน. รองลงมา คือ กฟภ  แต่ขายไฟให้ประเทศเพื่อนบ้านยังน้อยอยู่

กฟผ. มีบริษัทลูกคือ EGCO 25.4% โรงไฟฟ้าราชบุรี 45%

กฟผ.ต้องมีสัดส่วนการถือโรงไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น เพื่อเพิ่มศักยภาพการแข่งขัน

ศ.ดร.จีระ: ดร.พงษ์ชัยได้นำเอา ตัว Vทั้ง 2 ตัวมาใช้คือ Value added และเกิดvalue creation

ศาสตราภิชานไกรฤทธิ์: วิเคราะห์ประเด็นท้าทายสำหรับ กฟผ. กฟผ.มีวัฒนธรรมดั้งเดิมเป็นวิศวกรไฟฟ้า แต่ก็ได้มีการพัฒนาการ  การสร้างมูลค่าเพิ่มเพื่อองค์กรและผู้มีส่วนได้เสียมาโดยลำดับจากการเน้นสร้างเขื่อน และโรงงานผลิตไฟฟ้ามาเป็นการบริหารจัดการทรัพยากรพลังงานไฟฟ้าแบบครบวงจร ตั้งแต่พลังงานต้นน้ำ การผลิตไฟฟ้าทางเลือกต่าง ๆ ตลอดจนถึงการวางสายส่งระดับต่าง ๆ จนถึงการบริการร่วมกับการไฟฟ้าอื่น ๆ รวมทั้งผู้ผลิตภาคเอกชนมาโดยลำดับ

1. ประเด็นแรก Supply side ต้องให้ค่าไฟถูกที่สุด  คือมี cost advantage

2. มีสัญญาต่อลูกค้าปลายน้ำของกฟผ. ต้องผูกมัดให้นานที่สุด

กฟผ.ในอนาคตควรมีแผงโซล่าร์เซลล์

3. สายส่งสำคัญมาก ซึ่งอีก 10 ปีข้างหน้าอาจจะเป็น wireless

กำไรการไฟฟ้าในอนาคตมาจากสายส่ง

4. ต้องมี Source of fund เอง

- เข้าตลาดหุ้น เช่น ขายหุ้นกู้ ดอกเบี้ยเป็นศูนย์ ต้องลงทุนโดยเอาเงินจากตลาดหุ้น ได้เงินแล้วค่อยใช้หนี้

- ซื้อบิ๊กซี  เหมือนที่ CP ซื้อแมคโคร

5. ลงทุนกับธนาคารต่างประเทศ

6. เขื่อนสาละวิน

ประเด็นท้าทายของกฟผ.

1. เกี่ยวกับต้นทุนและการลงทุน ผู้รู้ส่วนใหญ่ทางด้านพลังงานและปรากฏการที่เป็นจริงได้แสดงชัดแจ้งว่า ยุคพลังงานราคาถูกได้ผ่านพ้นไปแล้ว อนาคตต่อจากนี้ไปพลเมืองของโลกจะต้องใช้ไฟราคาแพงอันเกิดจากต้นทุนการผลิต ถ้าพลังงานต้นน้ำและค่าใช้จ่ายในการนำส่งไฟถึงผู้บริโภค รวมทั้งการบริหารตลอดเส้นทาง Value Chain

ประเด็นท้าทาย กฟผ.ต้องมีผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินการลงทุนมากขึ้นในระดับนโยบายและหัวหน้าปฏิบัติการ และตัวแสวงหาโอกาสอย่างจริงจัง ในการร่วมมือด้านการเงินกับเพื่อนบ้านและภาคธุรกิจผู้ผลิตไฟฟ้า

2. ประเด็นวัตถุดิบต้นน้ำ กฟผ.ในอนาคตจะมีทางเลือกวัตถุดิบมากขึ้น แต่ก็มีข้อจำกัดในวัตถุดิบแต่ละตัว ที่ต้องการการวิจัยและพัฒนาเป็นตัว ๆ ไป เช่น การสร้างเขื่อนเพื่อผลิตไฟฟ้าพลังน้ำและโรงไฟฟ้าถ่านหิน จะต้องมีวิธีบริหารจัดการผู้ได้ผลกระทบทั้งระยะสั้นและระยะยาวอย่างมีสมรรถภาพสูง

ประเด็นท้าทาย มีโอกาสการทำงานวิจัยพัฒนาวัตถุดิบต้นน้ำร่วมมือกับมหาวิทยาลัยและประเทศเพื่อบ้านในอาเซียนและประเทศอื่น ๆ ที่จะเป็นแหล่งพลังงานต้นทางในอนาคตได้

3. มลภาวะและความหวั่นวิตกของคนพื้นที่ เรื่องนี้อยู่ที่การพัฒนาการประชาสัมพันธ์และผลกระทบบนพื้นฐานแห่งความเป็นจริง เพื่อการสื่อสารสาธารณะอย่างได้ผล

ประเด็นท้าทาย กฟผ.มีผลงานและต้นแบบที่ดีอยู่แล้วที่แม่เมาะและในท้องถิ่นอื่นที่มีการสร้างโรงไฟฟ้าใหม่ ๆ ทั้งนี้น่าจะได้หาโอกาสการพัฒนาผู้เชี่ยวชาญและชุดความรู้ในเรื่องนี้จนสามารถขายและแบ่งปันให้ประเทศในอาเซียนได้ในอนาคต

4. การทำนายปริมาณใช้ไฟได้ยากขึ้น ปรากฏการณ์ในไม่กี่ปีมานี้แสดงให้เห็นว่าการพยากรณ์การใช้ไฟทั้งด้านอุปสงค์และอุปทานมีความยุ่งยากขึ้น ในแง่อัตราการเจริญเติบโตและความต้องการอย่างฉับพลัน ทั้งตามฤดูกาลในระหว่างเดือนและในระหว่างวัน

ประเด็นท้าทาย กฟผ.ต้องมีวิธีพัฒนากลไกในการตอบสนองความต้องการฉับพลันและการขาดเชื้อเพลิงต้นน้ำฉับพลัน เช่น การปิดซ่อมบำรุงท่อแก๊ซของพม่าเมื่อเร็ว ๆ นี้ ดังนั้นภาคีผู้ผลิตและแนวร่วม ของทั้งเอกชนและเพื่อนบ้าน เพื่อรักษาขีดความสามารถการผลิตโดยองค์รวม ที่ตอบสนองอุปสงค์และการคาดเดายากได้อย่างทันการ

5. การผลิตไฟฟ้าทางเลือก นอกจากเป็นการสำรวจเพื่อได้ส่วนผสมของแหล่งผลิตไฟฟ้านานาชนิดแล้ว ยังเป็นการได้ความจริงสำหรับแผนเผื่ออีกด้วย

ประเด็นท้าทาย กฟผ.จะต้องมีข้อมูลและการเตรียมพร้อมเรื่องพลังงานทางเลือก ไว้ให้พร้อมรับมือทุกสถานการณ์โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พลังงานไฟฟ้าสะอาดตั้งแต่ ลม แสงแดด ความร้อนใต้ดินและโรงไฟฟ้านิวเคลีย ทั้งนี้โดยไม่มองข้ามแหล่งผลิตไฟฟ้าระดับชุมชน เช่น การผลิตไฟฟ้าจากเชิงชีวะภาพ เป็นต้น

6. การรับมือการแข่งขัน หน่วยการผลิตไฟฟ้าระดับต่าง ๆ เป็นทั้งคู่แข่งและภาคีร่วมผลิตของ กฟผ.เอง ดังนั้นจึงต้องมีกลยุทธ์กำหนดความสัมพันธ์ที่สมดุล

ประเด็นท้าทาย กฟผ.ควรเป็นตัวนำในการริเริ่มและส่งเสริมให้เกิดหน่วยผลิตไฟฟ้านานาชนิด ตั้งแต่ผลพลอยได้ที่บ้าน ที่โรงงานและจากโรงไฟฟ้าเอกชนทั้งในและนอกประเทศ โดยสามารถบริหารจัดการได้อย่างมีเอกภาพ

7. ปัญหาอุบัติเหตุและโจรภัย นับวันที่กฟผ.เจริญเติบโตขึ้นก็จะมีปัญหาเช่นนี้เกิดขึ้นเป็นเงาตามตัว ตั้งแต่การขโมยชิ้นส่วนและสายส่งไปขาย จนถึงระดับวินาศภัยและการก่อการร้าย

ประเด็นท้าทาย  ปัจจุบันกฟผ.มีการบริหารจัดการในเรื่องนี้ ในเชิงรับมือค่อนข้างดี แต่น่าจะได้มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันในระหว่างรัฐวิสาหกิจที่มีปัญหาคล้ายคลึงเชิงรุกมากขึ้น และในระหว่างประเทศเพื่อนบ้านที่มีประสบการณ์ ซึ่งในอนาคต กฟผ.สามารถเป็นศูนย์กลางรวบรวมประสบการณ์ด้านนี้เพื่อแบ่งปันและขายได้ด้วย

8. ประเด็นนโยบายภาครัฐและทิศทางเชิงยุทธศาสตร์ กฟผ.ควรมีการประมาณการสิ่งแวดล้อมภายนอก ทั้งทางด้านการเมือง เศรษฐกิจ สังคมและเทคโนโลยี ไปพร้อมกันกับทางหนีทีไล่หลาย ๆ ทางตั้งแต่ของบอร์ดขึ้นไปในแต่ละช่วงเวลาในอนาคต ทั้งนี้รวมทั้งการพร้อมเป็นผู้นำด้านธรรมาภิบาล เป็นต้น

ประเด็นท้าทาย  กฟผ.สามารถริเริ่มด้วยจัดการความรู้คือ การแลกเปลี่ยนและสะสมประสบการณ์ โดยร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงพลังงานและมหาวิทยาลัยที่มีการเรียนการสอนหรือจัดให้มีการเรียนการสอนเพื่อพัฒนาขีดความสามารถผู้นำการเปลี่ยนแปลงด้านการผลิตไฟฟ้า ให้ทันกับความต้องการของ กฟผ.

9. รูปแบบในการก้าวสู่ประชาคมอาเซียนและ AEC กฟผ.ในอนาคตอาจมีทางเลือก Business Models ที่ต่างกันกับปัจจุบันไปได้หลากหลายรูปแบบ เช่น จะเน้นผลิตไฟฟ้ามหภาคอย่างเดียวหรืจะรวมกันกับการไฟฟ้าอื่น ๆ ทางเลือกทางด้านการจัดจำหน่าย รวมทั้งการเข้าตลาดหลักทรัพย์ ร่วมทุนภาคีเครือข่ายในอาเซียน เพื่อให้เป็นเอกภาพและความทันสมัยขององค์กรเพื่อตอบสนองกับความต้องการไฟฟ้าชนิดต่าง ๆ ในอนาคต ซึ่งควรจะทำอย่างเร่งด่วน เพราะตอนนี้ทั้งสิงคโปร์และมาเลเซีย ก็ทำแล้ว

ประเด็นท้าทาย กฟผ.น่าจะได้มีการรวบรวม Models ต่าง ๆ ของหน่วยผลิตไฟฟ้าในส่วนต่าง ๆ ของโลกมาไว้เป็นทางเลือกและทิศทางเชิงยุทธศาสตร์ที่พร้อมลงมือดำเนินการ ให้เหมาะกับสิ่งแวดล้อมและความต้องการที่เปลี่ยนไป เช่น ASEAN Grid บริษัทร่วมผลิตไฟฟ้า ASEAN รวมทั้งกระบวนการทำธุรกิจสัมพันธ์กับสังคมในรูปแบบต่าง ๆ โดยเรียนรู้จากผู้มีประสบการณ์อยู่ก่อนแล้ว

10.โอกาสในการทำธุรกิจอื่นๆนอกจากการผลิตและการจัดจำหน่ายกระแสไฟฟ้าแล้วประสบการณ์ Know-how และทรัพยากรของ กฟผ.ยังสะสมไว้ไม่น้อย ในการลงทุนทำธุรกิจพลังงานอื่น ๆ

ประเด็นท้าทาย กฟผ.ยังมีโอกาสสร้างรายได้เสริมจากการจัดการพลังงานชนิดต่าง ๆ การจัดการน้ำและชลประทาน การทำธุรกิจด้านสื่อสารโทรคมนาคม โดยอาศัยสายส่งในเครือข่าย การให้เช่าสินทรัพย์และสิทธิในที่ดินตามแนวสายไฟแรงสูง เป็นต้น

ตัวอย่างที่เริ่มปรากฏเป็นโอกาสธุรกิจ ถนนและรถไฟความเร็วสูง ตลอดจนทรัพย์สินทางปัญญามากมายด้านบริหารจัดการองค์กรขนาดใหญ่ และการบริหารการลงทุน ตั้งแต่เริ่มต้นการศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการ จนถึงธุรกิจปลายน้ำต่าง ๆ ที่มีต้นแบบอยู่แล้วในประเทศที่มีการพัฒนาทางเศรษฐกิจสูงกว่าไทย ซึ่ง กฟผ.ไปศึกษาหาความรู้จนเป็นผู้นำการบริหารจัดการด้านนี้ได้เป็นอย่างดี

ศ.ดร.จีระ: ได้ประเด็นจากอ.พงษ์ชัย และอ.ไกรฤทธิ์หลายประเด็น  ข้อสรุปที่เกิดขึ้นในช่วงเช้า เป็นเรื่องที่ท้ายของรุ่น 9 ที่ต้องทำต่อ และต้องทำ Pre-planning รุ่น 10  เรื่องการเข้าตลาดหุ้นควรจะเข้าไปแบบutilize

วัฒนธรรมของกฟผ.ต้องยอมรับว่าแข้มแข็งมาก หลังจากวันนี้ลูกศิษย์กฟผ. 9 ต้องมองอนาคต

กฟผ.ควรเน้น ให้แต่ละคนมี sense of business ว่าการ utilize asset ทำอย่างไร  และทำอย่างไรให้ดึงศักยภาพของตัวเราออกมาให้ได้มากที่สุด

กฟผ.ยังมีปัญหากับการเข้าไปในชุมชน ต้องมีการทำโฆษณาเน้นสื่อด้วย

Entrepreneurship คืออะไรต้องทราบด้วย และเน้นเรื่อง Business acumen

กลุ่ม 4 EGATi  พม่า เขมร ลาว ยังเป็นโอกาสที่ดี ซึ่งต้องดูวัฒนธรรมด้วย เรื่องเงินใต้โต๊ะ เป็นจุดอ่อนที่กฟผ.ทำไม่ได้

อ.พงษ์ชัย:  ภาษีประชาชนหากได้เอามา ทำไมถึงเรียกตัวเองว่ารัฐวิสาหกิจ

สัญญา IPP ถึงจะผลิตหรือไม่ผลิตก็ต้องจ่ายเช่นกัน บริษัทเอกชนต้องเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้น

หากเทมาเซก ซื้อบริษัทราชบุรี หรือ egco ในสัดส่วนที่เราไม่ซื้อ ก็จะเข้าตลาดหลักทรัพย์อย่างง่ายดาย

การที่เข้าลงทุนในลาวช้า เห็นว่าองค์กรเราถึงแม้ตั้ง EGAT I ก็มีแต่โครงการศึกษา แต่ไม่ได้ดูในเชิงลึก ทำให้สู้ในภาคเอกชนไม่ได้ ต่างจากช การช่างที่ได้สิทธิ์จากทวาย

หากไม่มีเงิน แล้วไปขอรัฐบาลก็ทำไม่ได้

คุณพีรพล: กฟผ.เป็นผู้ผลิตอยู่ตลอด ขอแชร์เรื่องประเด็นต่างๆเรื่องที่อ.พงษ์ชัยพูดเรื่องข้อมูลผู้ใช้ไฟ ผู้ลงทุน ผู้เสียภาษี

1.  สิ่งต่างๆขอย้อนไปที่หน้าที่ของกฟผ. ซึ่งจัดหา ผลิต จำหน่ายไฟฟ้าให้กฟภ. กฟน. ซึ่งจริงๆแล้วกฟผ. ต้องเป็นผู้ผลิตเท่านั้น และมีเอกชน 50%  ต้องมองกลับไปที่รัฐบาลเช่นกันว่าทำไมให้สัดส่วนเท่านี้  เพราะฉะนั้นจริงๆอยากผลิต 100%แต่เราทำไม่ได้ หน้าที่จึงต้องจัดหาจากเอกชน ต่างประเทศด้วย

กฟผ.จะไปขายประเทศอื่นก็ลำบาก เพราะในประเทศก็ยังไม่พอใช้

2.  เรื่องเชื่อเพลิง พลังน้ำ แต่ไม่ได้ผลิตกระแสไฟฟ้าทั้งหมด เพราะเป็นเรื่องชลประทาน แต่ไฟฟ้าเป็นผลพลอยได้

3.  แสงอาทิตย์ ผลิตได้เฉพาะกลางวัน

4.  ชีวมวล ต่อต้านที่บ้านจาน เพชรบุรี

5.  ถ่านหิน ก็โดนคัดค้านที่กระบี่

6.  เรื่องแหล่งเงินทุน แต่ไม่เอื้อในด้านพรบ. EGATiอยู่ภายใต้รัฐวิสาหกิจ  ในภาคธุรกิจต้องเน้นความรวดเร็ว

-  กฟผ. ตั้งปี 12 รัฐบาลให้ 4หมื่นล้าน สิ่งที่ทำได้มีผลกำไร ก็ส่งไปรัฐบาล 45% กฟผ.ต้องมีการกู้เงิน แหล่งเงินที่ลงทุนไม่มีปัญหาแต่ติดหนี้สาธารณะ ถ้ามองเรื่องการลงทุนบริษัทต่างๆก็ไม่สามารถที่จะตั้งได้

-  รัฐบาลต้องคุม EGATiให้ลงทุนเฉพาะต่างประเทศเท่านั้น

อ.ไกรฤทธิ์: อยากให้ HR บ่มเพราะ General manager  และควรเป็น Strategic department และคนที่อยู่ต้องเป็น KM

Source of information กับประเทศลาว ต้องเข้าไปดูข้อมูลลึกทางรัฐบาลให้ได้ ต้องมี Lobby yeast  มากๆ ส่วนเรื่องเงิน EGAT ขาดเรื่องแหล่งเงินทุน

คุณสุวิทย์: ปัจจุบันโลกเปลี่ยนไป อดีตกฟผ.ยิ่งใหญ่มาก ปัจจุบัน ถูกควบคุมโดยสำนักงานเรื่องสายส่งต้องขออนุญาต regulator

-  การสร้างโรงไฟฟ้าก็ขึ้นอยู่กับนักการเมือง

-  นโยบายด้านเชื้อเพลิงไม่ถูกต้อง

-  การประมูลไฟฟ้ารอบใหม่ เป็นก๊าซหมด นำเข้า 40% และให้ regulator เป็นคนพิจารณา

-  เรื่องrenew  มีชาวบ้านร้องเรียน มีบรรษัทโซลาร์ฟาร์มซื้อที่ดินซื้อที่ล้อมชาวนา ทำให้ทำนาไม่ได้ เป็นที่ดินเก่า 300 ปี ซื้อ 2,000 ไร่ ขอให้บริษัททำทางให้ออก  แต่บริษัทบอกทำอะไรไม่ได้ ต้องเข้าที่ประชุม

อ.จีระ: Session นี้เป็นนวัตกรรมใหม่ของรุ่นที่ 9  เป็นโจทย์ที่สำคัญสำหรับทุกๆคน ต้องหาโอกาสที่จะเพิ่มประเด็น 2Vขึ้นมา เพื่อแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นมากมาย

กลุ่ม 6 การคิดนอกกรอบที่จะอยู่ในเกมส์รุก ขอคำแนะนำจากท่านวิทยากรในมุมของรัฐวิสาหกิจ

อ.ไกรฤทธิ์: หลังเกษียณอายุมาทำ NGO พบว่า อย่างแรกคือ วัฒนธรรมของ NGO สอง คือ บุคลิกขององค์กรต่างกัน

สิ่งแรกคือ ต้องศึกษาวัฒนธรรม ต่อมา คือ ต้องcommand&control

ในอนาคต EGATไม่สามารถทำนายได้ ต้องทำไปและปรับตัวไปด้วย ต้องเชื่อมั่นในเรื่องของการพัฒนาตัวเอง

สุดท้าย ทัศนคติของวงการราชการคือ ไม่มีงบคิดไม่ออก แต่ NGO ไอเดียดึงเงิน

โครงสร้างขององค์กร economies of scale แต่ NGO เป็นeconomies of scope

อ.พงษ์ชัย: องค์กรที่ไม่มีเจ้าของ ไม่มีคนสนใจกระทรวงการคลังเรียกว่าเป็นกระทรวงชั้นเลวร้าย เช่น องค์การพัสดุ เพราะmarket share สู้ของเอกชนไม่ได้

กรณีศึกษาไปรษณีย์ไทย ธุรกิจโทรเลข กระทรวงคมนาคมไม่เอา กลายเป็นธุรกิจที่ไม่มีใครอยากได้

ธุรกิจของโรงงานยาสูบ มีชาวไร่เป็นแสนครอบครัว แต่นึกไม่ออกว่ากฟผ.มี Stakeholderเป็นคนระดับรากหญ้ามากน้อยเพียงใด

เขื่อน ต้องใช้นวัตกรรมที่ใช้ผิวน้ำเพื่อวางแผงโซลาร์เซลล์ ซึ่งเป็นวิธีการคิดนอกกรอบ

กลุ่ม 3 เรื่องกาทำโซล่าร์เซลล์ ระยะการคืนทุนตก 8-10 ปี แต่อายุตัวเซลล์ใช้ได้ถึง 25 ปี ซึ่งถือว่าเป็นการลงทุนที่คุ้มมาก  ส่วนหนึ่งจะได้เรื่องคาร์บอนเครดิตด้วย

กลุ่ม 6 ถ้าได้ Adder การไฟฟ้าก็ควรจะทำ แต่โซลาร์เซลล์ผลิตที่จีน กระบวนการที่ได้ต้องจัดการเรื่องสิ่งแวดล้อมสูง  เพราะสิ่งที่ออกมาจะเป็นพวกซิลิกา ถ้าจะทำจริงๆ ต้องมีเรื่องการจัดการเรื่องมลภาวะสูง

กลุ่ม 5 คุณสุทธิชัย  เคยอยู่ที่เขื่อนภูมิพล พื้นที่ในอ่างเก็บน้ำ เคยคิดที่จะทำธุรกิจโซลาร์ และคิดอีกหลายๆโครงการ เช่น เรื่องสนามบินน้ำ พื้นที่เหนือเขื่อนทำหลุมฝังศพชาวสิงคโปร์ แต่กรรมสิทธ์ที่กฟผ.ดูแลคือ พื้นที่รอบอ่าง เพราะพื้นที่รอบๆส่วนใหญ่เป็นอุทยาน ซึ่งเป็นของกรมป่าไม้ ล่าสุดเขื่อนศรีนครินทร์ คิดเรื่องร้านอาหารสนามกอล์ฟ แต่ตอนหลังติดเรื่องพรบ. แต่กรรมการกฟผ.ท่านใหม่คิดปรับปรุงที่พักร้านอาการสนามกอล์ฟ เริ่มปี 2557-2558

ศ.ดร.จีระ: การขึ้นไปเป็นผู้นำต้องบริหารกฎระเบียบให้ได้ และที่อันตรายที่สุดคือ กฎการเงิน

กลุ่ม 2: ทำอย่างไรให้องค์กรเป็นองค์กรชั้นเลิศที่ทำทุกอย่างแล้วมีประโยชน์ และบางครั้งต้องทำนอกกรอบ ที่ทำเพื่อประโยชน์ส่วนรวมไม่ใช่ส่วนตน

ศ.ดร.จีระ: โลกมีการเปลี่ยนแปลง เป้าหมายต้องชัดเจนถึงจะอยู่รอด

อ.ไกรฤทธิ์:

1. ลองDefine ผู้นำในอนาคตของ EGAT อีก 10 ปีข้างหน้า

2.ลอง define คำว่า heroes ว่าจะเอาใครเป็นต้นแบบในแต่ละแผนก

3. ขอให้มีวันสำคัญของ EGAT ที่จะมาแลกเปลี่ยนถึงความดีซึ่งกันและกัน

ศ.ดร.จีระ:Leader ต้องproduce future leader  และต้องจัดการกับสิ่งที่คาดไม่ถึง

หัวข้อ กฟผ.กับการก้าวสู่ประชาคมอาเซียนและประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC)

โดย   ศาสตราภิชานไกรฤทธิ์ บุณยเกียรติ

ผศ.ดร.พงษ์ชัย อธิคมรัตนกุล

ดำเนินรายการโดย ศ.ดร.จีระ หงส์ลดารมภ์

15 พฤษภาคม 2556

อ.พงษ์ชัย: เปิดเสรีอาเซียนวันที่ 31 ธันวาคม 2558

ปัจจัยสำคัญของศรษฐกิจโลก เศรษฐกิจไทยที่สำคัญในปัจจุบันและอนาคต

- ภาวะโลกร้อน

- วิกฤติพลังงาน

- ประชาคมอาเซียน  มี 3 เสา เรื่องเศรษฐกิจ วัฒนธรรม และเรื่องความมั่นคงทางทหาร

- ขาดแคลนทรัพยากร

Toll logistics เป็นบริษัทออสเตรเลีย แต่ Take over มาจากสิงคโปร์

อาเซียน แบ่งเป็นอาเซียนบก คือ ไทย และทะเล  คือ ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย อินโด

ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน C L M V เป็นประเทศที่เพิ่งจะพัฒนาอุตสาหกรรม ส่วนประเทศไทย อินโด ฟิลิปปินส์ ถือเป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว

ประเทศที่ค่าแรงถูก คือ เวียดนาม

เป้าหมาย AEC

1.  เปิดเสรีการลงทุน

2.  เปิดเสรีการค้าสินค้า

3.  เปิดเสรีการค้าบริการ

4.  การเคลื่อนย้ายแรงงานฝีมือ

5.  เปิดเสรีการเคลื่อนย้ายเงินทุน

กฟผ.กับอาเซียน

1.  เรื่องเชื้อเพลิง ลม น้ำ ชีวมวล น้ำมัน แสงอาทิตย์

2.  พม่า อินโด ลาว กัมพูชา ออสเตรเลีย

3.  CP all กับ แมคโคร ใครได้ประโยชน์  CPF ได้ประโยชน์ในการกระจายสินค้า

4.  จุดแข็ง คือ

-   ทำเลที่ตั้ง ไทยได้เปรียบมาก เพราะอยู่ตรงบก

-  สายส่ง

-  ความสามารถในการผลิตเอทานอล และไบโอดีเซล

อ.ไกรฤทธิ์: ต้องทำให้ EGAT มีpower need of modern people ของอาเซียน

1. single window ต้องเอาแนวร่วมทั้งไทยและต่างประเทศมาทั้งหมด รวมทั้งปตท. และแหล่งต้นน้ำด้วย

2. good school of project  management  ใครที่อยู่ในอาเซียนมาเรียนก็ได้

3. ให้ยืมผู้จัดการ หรือ Export คน ออกไปอาเซียน

4. เลือกประเทศชายแดน ที่เราจะขายและพึ่งพาเขาได้

5. ต้องเป็น Good host ไม่ต้องคิดเงินกับพวก VIP ที่มาเมืองไทย  เพื่อสร้าง trust ให้เกิดในอาเซียน และในประเทศไทยด้วยกัน

- แบ่งปันไฟ

- เป็นลูกค้า

อยากทราบว่าใน EGAT มีการเตรียมการเรื่อง AEC หรือยังไม่มีอย่างไรบ้าง

คุณราณี: เรื่องความรู้ ความเชี่ยวชาญในเรื่องถ่านหินจากประเทศออสเตรเลีย

คุณภูวดา: เรื่องอาเซียน EGAT มีบริษัทเครือมาก แต่ในอดีตบริษัทลูกแย่งงานกันเอง ถ้าเรารู้ว่าปี 2558 จะเปิดอาเซียน กฟผ.ต้องดูว่า จะแบ่งกันอย่างไร

บริษัท EGCO ก็มีบริษัทลูกอีกเช่นกัน เพราะฉะนั้นต้องแบ่งทุกอย่างให้ลงตัว

คุณมานิจย์: เห็นด้วยเรี่องtrust ที่ต้องสร้างให้เกิดในอาเซียน

อ.จีระ: เรื่องสร้างtrust EGAT ต้องใช้ผู้ที่มีประสบการณ์  แต่ประเทศไทยล้มเหลวในการที่ดูประสบการณ์จากประเทศที่เคยทำมา

ต้องมอง ASEAN ให้เป็น Holistic และต้องอ่าน ASEAN Blueprint เรื่องพลังงานให้ดี

คัดลอกจาก http://www.gotoknow.org/posts/535872

 

ยุคเมืองใหญ่

พิมพ์ PDF

บทความเรื่อง The Rise of the Cosmopolis เขียนโดย Philip Delves Broughton ใน นสพ. The Wall Street Journal ฉบับวันที่ ๑๕ - ๑๗ มี.ค. ๕๖ วิจารณ์ หนังสือ A History of Future Cities เขียนโดย Daniel Brook  บอกว่า ในอนาคต โลกจะเป็นเครือข่ายของเมืองใหญ่  ไม่ใช่เป็นประเทศอีกต่อไป

เขายกเรื่องของเมืองใหญ่ ๔ เมือง  ไล่มาตั้งแต่ประวัติการตั้งเมือง  ได้แก่ St. Petersburgh, Mumbai, Shanghai และ Dubai  ซึ่งก็ตรงกับชื่อหนังสือ

ผมอดเถียงไม่ได้ว่า เมืองใหญ่มันซ่อนอะไรไว้ข้างในบ้าง  ถ้ามีคนเขียนเรื่องเมืองใหญ่ให้ครบด้าน  มองจากหลายมุม  โดยเฉพาะอย่างยิ่งมองจากมุมของคนที่อยู่ในเมืองใหญ่ในฐานะต่างๆ กัน  เราจะเห็นภาพที่ต่างออกไป  เราจะเห็นภาพเมืองใหญ่บางเมืองที่เต็มไปด้วยความเหลื่อมล้ำ กับเมืองใหญ่บางเมืองที่ผู้คนอยู่กันอย่างมีความเท่าเทียมสูง (ผมไม่คิดว่าจะเท่าเทียมกันจริงๆ  แต่น่าจะมีเมืองใหญ่ตัวอย่าง ที่คนรวยกับคนจนมีความเป็นอยู่ไม่ต่างกันมาก)  หากเอามาเขียนเล่าว่าทำไมจึงเกิดเมืองใหญ่ที่ชีวิตผู้คนมีความเหลื่อมล้ำไม่มาก เช่นนั้นได้  ก็น่าจะเข้าใจเมืองใหญ่รอบด้านขึ้น

ไม่ว่าเรื่องอะไร ต้องมองให้เห็นชีวิตของผู้คน

 

 

วิจารณ์ พานิช

๑๗ มี.ค. ๕๖

บนเครื่องบิน สายการบิน เอเอ็นเอ จาก โตเกียว กลับกรุงเทพ

คัดลอกจาก http://www.gotoknow.org/posts/535892

 


หน้า 486 จาก 558
Home

About Us

ศูนย์บูรณาการพัฒนามนุษย์ (ศบม.) เป็นองค์กรที่พัฒนาและจัดทำโครงการเพื่อทำประโยชน์ให้สังคม เป็นองค์กรสนับสนุนการดำเนินงานของภาครัฐ ช่วยแก้ปัญหาผู้ประกอบการภาคธุรกิจบริการที่ขาดแคลนบุคลากรที่มีมาตรฐานในการให้บริการ
อ่านเพิ่มเติม

มูลนิธิศูนย์บูรณาการพัฒนามนุษย์ ์

 iHDC Profile
บัญชีรายชื่อกรรมการ
ใบสำคัญแสดงการจดทะเบียน การเปลี่ยนแปลงกรรมการของมูลนิธิ
เอกสารประชาสัมพันธ์ โครงการ HMTC.pdf
เอกสารแนะนำโครงการ HMTC 1.pdf
เอกสารโครงการ HMTC 2 คุณสมบัติผู้เข้าร่วมโครงการ.pdf
iHDC นิติบุคคล.pdf
iHDC บุคคล.pdf
iHDC บุคคลเครือข่าย.pdf
รายงานการประชุม 6 มีนาคม 2560.pdf
ข้อบังคับมูลนิธิ
ใบสำคัญแสดงการจดทะเบียนจัดตั้งมูลนิธิ
Ihdc-Profile and Roadmap 2016-2019 Mar 23 2560.pdf
รายงานการประชุมใหญ่คณะกรรมการมูลนิธิศูนย์บูรณาการพัฒนามนุษย์ 2559.pdf
คำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการ สาขาวิชาชีพ.pdf
รายงานการประชุมใหญ่วันที่ 18 ธ ค 2558 v 3.pdf
รายงานการประชุม วันที่ 24 ธันวาคม 2557 updated 4 มีนาคม 2558.pdf
iHDC-invitation Letter.doc
iHDC-Member Form Thai.doc
iHDC-Member Form English.doc
รายงานการประชุมกรรมการมูลนิธิศูนย์บูรณาการพัฒนามนุษย์ วันที่ 15 มกราคม 2556 ฉบับสมบูรณ์


thaibetter
พัฒนาประเทศไทยแบบทวีคูณ และยั่งยืน ( ททค )

Login


แบบสำรวจ

สถิติเว็บไซด์

สมาชิก : 5609
Content : 3052
เว็บลิงก์ : 26
จำนวนครั้งเปิดดูบทความ : 8629529

facebook

Twitter


บทความเก่า