Thaiihdc.org

  • เพิ่มขนาดตัวอักษร
  • ขนาดตัวอักษรปกติ
  • สดขนาดตัวอักษร
Thaiihdc.org

จัดกระเป๋าเข้าวัดป่า

พิมพ์ PDF

ขอนำบทความของอาจารย์แพรภัทร ยอดแก้ว มาเผยแพร่ บทความชุดนี้แบ่งเป็น 3 ตอน ได้แก่ จัดกระเป๋าเข้าวัดป่า - พาเพื่อนไปเข้าคอร์ส และ เพื่อนสนิทที่ชื่อว่ามาร โปรดติดตามอ่านได้เลยครับ

จัดกระเป๋าเข้าวัดป่า

เตรียมตัว เตรียมใจ เก็บกระเป๋าไปวัด เพื่อนๆที่สนใจจะไปปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานหรือบวชเนกขัมมะที่วัดป่าเจริญราชแห่งนี้ ทั้งเพื่อนๆที่เคยไปที่อื่นแล้ว หรือไม่เคยไปที่ไหนมาก่อนเลย และอยากเริ่มต้นที่นี่ เรามีคำแนะนำจากประสบการณ์จริงมาบอกเพื่อนๆ สำหรับเตรียมตัว เตรียมใจ ตั้งสติ ก่อนสตาร์ท ก่อนไปบวชที่วัดป่าเจริญราช มันเป็นอุปกรณ์ส่วนตัวที่สำคัญๆ ที่จะทำให้เพื่อนสามารถปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานได้อย่างมีความสุข (คือ มีทุกข์น้อยๆ) อดทนจนถึงวันที่เพื่อนๆกำหนดกลับได้ เป็นอุปกรณ์ส่วนตัวที่เพื่อนๆ ต้องเตรียมมาเอง ลงทุนเอง (แต่ไม่มีก็ได้นะ ก็ทนลำบากนิดหน่อยเท่านั้นค่ะ) ไปอยู่วัดยังไงไม่สะดวก สบายเหมือนอยู่บ้านอยู่แล้ว เราเตรียมตัวให้มากจะได้ไม่ทุกข์มาก จะได้ตั้งใจปฏิบัติกรรมฐานได้อย่างเต็มที่  สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่เพื่อนๆ ต้องเตรียมตัวมาเอง เราขอแนะนำเพิ่มเติมจากที่ทางวัดเขียนไว้ในเว็ปไซต์วัด http://www.veeranon.com คือ

1.  ชุดขาว เสื้อ กางเกง ผ้าถุง สไบ ที่วัดมีให้ใช้ก็จริงค่ะ  แต่จะดีกว่าไหมค่ะ  ถ้าเราจะเตรียมไปเอง เพราะตามหลักสุขอนามัยแล้วเราไม่ควรใส่เสื้อผ้าร่วมกับผู้อื่นนะคะ  ซึ่งเราจะได้ชุดที่เหมาะกับสัดส่วนเรา เอาไว้ใช้ได้ตลอดไป หาซื้อเตรียมไปเถอะค่ะ ใช้แล้วคุ้มแน่นอน เราขอแนะนำให้ซื้อชุดขาว ยี่ห้อ "รัตนาภรณ์" ค่ะ ผ้าดี ผ้าหนา ใส่สบาย กระเป๋าเสื้อ กางเกงมีซิปให้ด้วย จะได้ใส่ของได้ไม่หล่นหาย ควรซื้อไว้สัก 3 ชุดนะคะ ไปซื้อได้ที่สำเพ็งค่ะ จะได้ในราคาส่ง ชุดละ 160 บาท เท่านั้น (ถูกมาก) ใส่สบายมากๆ  แล้วเพื่อนๆจะติดใจเหมือนเรา

2. ถุงนอน อันนี้เป็นความคิดของเรานะ เราใช้ถุงนอนปูนอนและกันยุงค่ะ ทำไมต้องทนทรมานนอนเสื่อหรือนอนพื้นเย็นๆด้วย แค่ทนทุกข์ทรมานเวลาปฏิบัติธรรมก็พอแล้วค่ะ ไม่จำเป็นต้องนอนทรมานอีก ใครที่คิดจะใช้ผ้าห่มวัดปูนอน ขอบอกว่า  “อย่านะคะ” เพราะเจ้าหน้าที่เค้าเขียนติดป้ายไว้ตัวเบ้อเร้อว่า “ใช้ผ้าห่มวัดปูนอน... บาป” 55 แบกขนของเราไปสบายใจกว่าค่ะ เวลานอนก็นอนในถุงนอนแล้วรูดซิป ร้อนหน่อยก็ทนเอาแล้วเปิดพัดลมแรงๆไล่ยุงไป คลายความร้อนด้วย ก็อยู่รอดมาได้ โดยไม่ลาสิกขากลับบ้านก่อนกำหนด โดนยุงเสี่ยงตาย (จากการถูกดูดเข้าไปในพัดลม) กัดบ้างเล็กน้อย แต่ก็ถือว่า ดีกว่าต้องทนทรมานให้ยุงมันกัด แล้วนอนไม่ได้ หรือตบมันให้ตายไปเลย ผิดศีลข้อ 1 แน่นอนค่ะ และถุงนอนก็เหมาะที่จะใช้นอนที่ไหนก็ได้ ไม่ว่าเพื่อนจะกางมุ้งนอนที่ศาลาปฏิบัติธรรม หรือนอนในกุฏิติดมุ้งลวด (ที่กันยุงไม่ค่อยได้เลย) ใช้ได้สะดวกทุกที่ และสะอาด ปลอดภัยกว่าการใช้อุปกรณ์การนอนร่วมกับผู้อื่น (ตามหลักสุขอนามัยนะคะ)

3. หมอน ผ้าห่ม เอาไว้กันหนาวและกันยุงด้วย โดยเฉพาะหน้าฝนกับหน้าหนาวนะคะ จำเป็นมาก เพื่อความอบอุ่นสะดวก สบาย สะอาดของเรา บางคนที่ติดหมอน ติดผ้าห่มของตัวเองก็ขนมา ขนกลับเอง จริงๆแล้วที่วัดป่าเจริญราช มีหมอน ผ้าห่มให้นะคะ แต่ไม่ดีเท่าของเพื่อนๆเองค่ะ อุปกรณ์อันนี้ไม่จำเป็นเท่าไร ไม่ต้องหอบหิ้วไปให้หนักก็ได้ แต่มีไว้เพื่อความสบายใจส่วนตัวค่ะ สำหรับเราถุงนอนกับหมอนข้างก็พอแล้วค่ะ เอาอยู่ (ที่เอาหมอนข้างไปด้วยพอเราภาวนาหนักๆ จะปวด เมื่อยไปทั้งตัวค่ะ นอนไม่หลับเลย ได้หมอนข้างช่วยวางขาก็ดีขึ้นเยอะค่ะ หลับได้)

4. กระติกน้ำหรือขวดน้ำเล็กๆ สำหรับติดตัวค่ะ (สำคัญนะคะ) ไม่ว่าจะไปปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานที่ไหน เอาไว้ข้างตัวนะคะ เพราะการปฏิบัติที่ถูกต้องจะทำให้เพื่อนๆรู้สึกร้อน (ร่าง กายปรับความสมดุลของธาตุต่างๆ) เหนื่อย (เพราะต้องใช้ความอดทน พยายามต่อสู้กับทุกขเวทนาอย่างหนัก) การดื่มน้ำ จะช่วยบรรเทาทุกข์ได้และทำให้ร่างกายสดชื่น (แก้ง่วง) ช่วยให้สุขภาพแข็งแรงด้วย เพื่อนๆควรเตรียมน้ำไว้ดื่มเยอะๆนะคะ หรือจะเอาขวดน้ำใส่ยากลางลานที่หลวงพ่อเสกยาไว้ให้แล้ว เอาไปดื่มแทนน้ำได้ค่ะ นอกจากจะช่วยบำรุงรักษาร่างกาย แก้เมื่อยแล้ว ยังช่วยแก้ง่วงได้ดี ขมชื่นใจสุดๆ หายง่วงสุดๆค่ะ ยามันจะชุ่มคอและรู้สึกหวานในคอตลอดการภาวนาค่ะ หรือถ้าจะให้ดี ซื้อน้ำดื่มมาทำบุญด้วยนะคะ เพราะน้ำส่วนใหญ่ที่เราดื่มกัน เป็นน้ำจากผู้ใจบุญนำมาถวายพระค่ะ

5. ของใช้ส่วนตัว เช่น แปรงสีฟัน ยาสีฟัน สบู่ ยาสระผม ผงซักฟอก ผ้าเช็ดตัว ที่เพื่อนๆใช้อยู่เป็นประจำ เพื่อนๆควรจะมีตะกร้าหรือขันส่วนตัวไว้ใส่ของเหล่านี้เดินไปอาบน้ำด้วย อย่าใส่ถุงก๊อบแก๊บมาเลยค่ะ เพราะมันเสียงดังน่ารำคาญ รบกวนสมาธิของผู้อื่น เพื่อความสะดวกในการจัดเก็บ และเพื่อนๆควรจะนำชุดขาวไปเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้องน้ำด้วย เพราะนี่เขตวัด เพื่อนๆ (โดยเฉพาะผู้หญิง) ต้องไม่นุ่งกระโจมอกออกมานะคะ ของใช้ส่วนตัวที่จำเป็นมากๆ (สำหรับ ผู้หญิง) คือ ผ้าอนามัย ค่ะ เตรียมไปเผื่อนะคะ อาจเป็นวันนั้นของเดือนได้ ที่วัดไม่มีเตรียมไว้ให้นะคะ วัดอยู่ไกลจากร้านค้าและชุมชนมาก การเดินทางก็ไม่สะดวก อะไรที่เตรียมไปได้เตรียมไว้เลยนะคะ ไม่งั้นเพื่อนๆลำบากแน่นอนค่ะ

6.  นม น้ำผลไม้หรือเครื่องดื่มต่างๆ เป็นน้ำปานะค่ะ คือ น้ำที่ผู้ถือศีล 8 ดื่มได้ โดยไม่มีสิ่งที่เป็นก้อนเป็นชิ้นสำหรับเคี้ยวเจือปนอยู่ เอาไว้ทานตอนเย็นกับตอนกลางคืนแก้หิวได้ค่ะ ที่วัดป่าเจริญราชมีนมกล่องแจกให้ค่ะ แต่ได้คนละกล่อง นมของที่วัดมีเพื่อนๆก็จะเลือกทานไม่ได้ด้วย อาจจะไม่ใช่รสชาติแบบที่เพื่อนๆกินได้หรือคุ้นเคย เพราะนมกล่องจะมีก็ต่อเมื่อมีผู้ใส่บาตรหรือเอามาถวายพระ  ทางที่ดีเตรียมไปเองดีกว่าค่ะ จะได้ไม่อด ใครชอบดื่มอะไร ชอบดื่มแบบไหน เอาไปเลยค่ะ ขนเอาไปเผื่อเพื่อนด้วยก็ดีค่ะ ถ้าใครมีเยอะก็เอาใส่บาตรถวายพระด้วยนะคะ ได้บุญดีค่ะ

7. มุ้งหรือ เต็นท์นอนเล็กๆ แบบพับเก็บได้ง่ายนะคะ อันนี้ไม่จำเป็นต้องเอามาค่ะ ถ้าทนยุงได้ อย่าคิดว่าเว่อร์ไปหรือเปล่านะคะ  สำหรับคนที่ตั้งใจมาปฏิบัติธรรม แต่ไม่อยากเผชิญกับยุงเจ้าที่ในเวลานอน (ซึ่งมีเวลานอนไม่กี่ชั่วโมง) เต็นท์นอนหรือมุ้งก็จำเป็นค่ะ ค่าใช้จ่ายสูงหน่อย แต่ดีมีประโยชน์ ใช้ได้หลายครั้ง เมื่อลงทุนครั้งแรกแล้ว ทำให้เรานอนหลับสบายและอยากมาปฏิบัติธรรมอีกในครั้งต่อไป  เพื่อนๆ รู้ไหมค่ะ กางมุ้งบางทีก็เอาไม่อยู่ค่ะ  ที่วัดมีมุ้งลวดแต่คนเดินผ่านไปมาน่ะ ทั้งคืน ยากันยุง มุ้งลวด เอาไม่อยู่ค่ะ ยิ่งคนที่แพ้ยุง แมลงสัตว์กัดต่อยนะคะ  จำเป็นต้องมีค่ะ มีมุ้งของตนเองก็ลำบากน้อยลงค่ะ เราก็เข้าใจนะคะความรู้สึกของคนอยากเรียนรู้ อยากปฏิบัติธรรม แต่ไม่อยากลำบากกายแบบนอนไม่หลับ เพราะยุงกัดเหลือเกินและลำบากใจด้วย จะตบยุงก็กระไรอยู่ เพราะผิดศีลตบยุง(ตายคามือ) เฮ้อ! ที่วัดบางทีก็มีคนนำเต็นท์มานะคะ ใช้ที่ศาลาปฏิบัติธรรมค่ะ เสร็จแล้วก็พับเก็บเรียบร้อยค่ะ  ถ้าไม่มีนะคะ  ก็ลำบากหน่อยค่ะ กันไว้ดีกว่าแก้นะคะ ผู้ชายนอนที่ชั้น 3 ผู้หญิงนอนที่ชั้น 1 ของศาลาปฏิบัติธรรม มีมุ้งลวด พอจะกันยุงได้ ไม่ลำบากเหมือนเมื่อก่อนแล้วค่ะ  ไม่ต้องกลัว สบายๆ

8. ครีมทากันยุง ที่ทำมาจากสมุนไพร เช่น พวกตะไคร้หอม หรือตะไคร้ภูเขา (น่าจะมีขายที่ม.มหิดล)ได้ยิ่งดี ปลอดภัย ใกล้ชิดธรรมชาติ ถ้าไม่มีก็เอาครีมทากันยุงที่ขายทั่วไปก็ได้ค่ะ แค่มีสารเคมีมากหน่อยเท่านั้นเอง ไม่แนะนำยากันยุงเพราะจะเป็นการฆ่าสัตว์ ผิดศีลข้อ 1 เนื่องจากที่วัดป่าเจริญฯ ยุงเยอะมาก ๆ  เพราะ พื้นที่วัดล้อมรอบไปด้วยน้ำและป่า ยุงมีหลายพันธุ์ (เราเรียกมันว่า ยุงเจ้าที่) กัดจริง เจ็บจริง คันจริงๆ เป็นยุงที่สามารถกัดและดูดเลือดเรา จนตัวเองอิ่มจนตายไปเลย (มันไม่กินไม่รู้จักพอ) ทำให้เพื่อนๆที่ไม่ชอบยุง อาจจะเกลียดและกลัวยุงไปเลยก็ได้ และยุงนี่แหละ จะมาทดสอบศีลของเราอย่างมาก ตั้งแต่วันแรกและวันสุดท้าย เพื่อนๆต้องทำใจอยู่กับมันและเป็นเพื่อนกับมันให้ได้ แม้แต่คิดหรือเจตนาจะตบมันหรืออยากจะฆ่ามันก็บาปแล้วค่ะเพื่อนๆ ไม่ต้องตบให้ตายก่อนก็บาปได้  ดังนั้น เพื่อนๆต้องแผ่เมตตาให้มันมากๆและอุทิศบุญกุศลให้มันด้วย เพราะมันอาจจะเป็นเจ้ากรรมนายเวรของเพื่อนๆมาก่อนก็ได้ค่ะ (ใครจะไปรู้) ไม่อยากจะบอกเลยค่ะ  เราเจอเข้ากับกองทัพยุงวันแรก  อยากจะลาสิกขากลับบ้านเลยค่ะ ไม่ทนแล้ว ไม่บวชแล้ว จิตตกไปเลย ยุงที่นี่เยอะจริงๆ  ร้ายจริงๆ

9. แซมบัค สำคัญมากๆจริงๆค่ะ ควรมีติดตัวไปค่ะ  เคยใช้ไหมค่ะเพื่อนๆ เอาไว้ทาผิวเมื่อพวกแมลง สัตว์ กัด ต่อย ถ้าไม่มีลองไปบูชาที่คอนโดในวัดนะคะ อาจจะมีก็ได้ เรารับรองว่าได้ใช้แน่ๆค่ะ..55.. ไม่ต้องห่วง ไม่มีใครที่ไม่โดนยุงกัด มดกัด เมื่อมาอยู่วัด ทาแซมบัคแล้วตุ่มเม็ดต่างๆจะยุบลงภายในวันสองวันก็จะหาย  ทาแล้วไม่แสบไม่คันด้วยค่ะ เวลาลาสิกขาแล้วกลับบ้านจะได้ไม่ตกใจค่ะ ว่าทำไมตัวเราลายไปทั้งตัว

10. ครีมทาสิว ไม่ใช่เครื่องสำอางค์นะคะ แต่เป็นยาสำหรับผิวหนังในลักษณะครีมหรือเจล แต้มสิวให้สิวยุบ สิวเกิดขึ้นได้ อาจจะเป็นเพราะอากาศแบบป่าๆ หรือน้ำที่ใช้อาบซึ่งเป็นน้ำบาดาลค่ะ  ทำให้เพื่อนๆอาจจะแพ้ได้ง่ายๆ หรือความเครียดจาการบังคับตัวบังคับใจตัวเองให้มาบวชและต้องทนอยู่ให้มัน อยู่ทนได้ตลอดระยะเวลาที่ตั้งใจไว้ และสำหรับเพื่อนๆที่ยังอยู่ในวัยหนุ่มสาว เอาไว้ทา เอาไว้รักษาผิวหน้า เพื่อความสบายใจที่มาวัดแล้วกลับบ้านไปหน้าไม่พังเพราะเราบีบสิว อย่าหัวเราะนะคะ  ใครว่ายาทาสิวไม่สำคัญ  เพราะถ้าสิวขึ้นเยอะ แล้วเราแกะมันเข้า หน้าเราพัง  เราก็จะโทษหรืออ้างได้ว่าเป็นเพราะไปบวชที่วัดนี่แหละ แล้วก็พาลไม่ไปบวชอีก  ดังนั้น อย่าโยนความผิดให้วัดหรือการบวชนะคะ  เดี๋ยว เพื่อนๆจะบาปเปล่าๆ นอกจากนั้น ครีมทาสิวจะช่วยให้เพื่อนๆไม่ต้องทุกข์ จากการทนเจ็บ ทนปวดเมื่อสิวอักเสบ (แค่ทนทุกข์เวทนาในสมาธิก็แย่แล้วค่ะ) ส่วนครีมบำรุงผิว ครีมกันแดด เครื่องสำอางต่างๆ อย่านำไปเลยค่ะ เดี๋ยวเพื่อนๆอดใจเสริมสวยไม่ไหวจะผิดศีลเปล่าๆ

11. พัดลมส่วนตัว อันนี้ถ้าคิดว่าจำเป็นก็หอบไปค่ะ โดยเฉพาะหน้าร้อน จำเป็นมาก ต้องเอาไปเอง เพราะทางวัดป่ามีพัดลมให้ แต่มีไม่พอค่ะ เคยเจอนะคะ เราใช้อยู่ พอกลับมาอีกทีพัดลมมันเดินได้ หายไปอยู่กับใครแล้วไม่รู้ (น่าโมโหจริงๆ) อย่าได้เสียเวลาไปทะเลาะกับใครเลยค่ะ แบกพัดลมตัวเองมาดีกว่า เขียนชื่อติดไว้เลยว่าของใครหรือถ้าเอามุ้งมาก็เอาไปไว้ในมุ้งเราค่ะ ไม่หายแน่นอน 55 พัดจ่อเข้าไป เย็นถึงใจจริงๆ ก่อนออกจากวัดอย่าลืมจ่ายค่าไฟ ชำระหนี้สงฆ์นะคะ อยู่มา 8 วัน ไม่ต่ำกว่า 200 บาทนะคะ กล้าใช้ไฟวัด ก็ต้องกล้าจ่ายเงินค่ะ จะได้ไม่เป็นบาปติดตัวไป และถ้าใจถึงๆนะคะ ซื้อพัดลมมาถวายวัดไปเลยค่ะ บุญถึง ใจถึงจริงๆ

สรุปแล้วถ้าดูแล้วยุ่งยากมากนะคะก็ไม่ต้องเอาอะไรมาเลย แค่ชุดขาวกับของใช้ส่วนตัวก็พอแล้วค่ะ จะได้ไม่โดนพระกับชาวบ้านแซวว่า มาอยู่วัด มาทำอะไร มานอนหรือ 55 ก็ขยันหอบของขนของมาขนาดนี้ จะไม่ให้แซวได้ไง 55

เราไม่กลัวการปฏิบัติธรรม ไม่กลัวการอยู่วัด ไม่กลัวลำบาก แค่อยากสบายบ้างนิดๆหน่อยๆให้ตัวเองไม่ลำบาก เดือดร้อนก็พอค่ะ ที่สำคัญเห็นแบกของ ขนของมาขนาดนี้ แต่เวลาปฏิบัติธรรม เจริญสติ เจริญภาวนา วิปัสสนากรรมฐาน เราเต็มที่สุดๆ ไม่หมดเวลา ไม่เลิก ขนาดหมดเวลาแล้วยังไม่เลิกภาวนาเลยค่ะ สู้สุดๆ อย่างว่านะ  คนมันใจถึง ^-^ อิ อิ

อยู่ด้วยใจค่ะ ปฏิบัติด้วยใจ ไม่ว่าจะมาอยู่วัดด้วยเหตุผลใด ขอให้ตั้งใจปฏิบัติ เจริญภาวนาเต็มที่ เข้าคอร์สครั้งนี้ ได้ภาวนาในบรรยากาศแบบป่าๆดีค่ะ ท่องไว้นะคะ ขันติ ๆ อดทนค่ะ อดทนให้มากๆ แผ่เมตตาให้เจ้ากรรมนายเวรไป แล้วจะดีเองค่ะ

อ่านแล้วได้แรงบันดาลใจ รีบลางาน เก็บของใส่กระเป๋า เข้าคอร์สปฏิบัติธรรมกันดีกว่าค่ะ อะไรไม่มีก็ไปช๊อปปิ้งบุญ ซื้อมาเตรียมของไปวัดเลย ง่ายๆไม่ยุ่งยาก ไม่ต้องสมัครคอร์สล่วงหน้า ฟรีไม่คิดตังค์ (แล้วแต่จะทำบุญ) ถึงเวลาแบกกระเป๋า ขนของเข้ามาวัดในวันที่ 1 ของทุกเดือนได้เลยค่ะ

อย่าลืมนะคะเรามีนัดกันทุกวันที่ 1 – 8 ของทุกเดือนค่ะ ที่วัดป่าเจริญราช www.veeranon.com

อ่านรายละเอียดของคอร์สได้ที่นี่ค่ะ http://www.gotoknow.org/posts/535563

มาคราวนี้เลยมีอะไรเก็บมาเล่าเยอะค่ะ

ลองอ่านดูนะคะ  แล้วจะรู้ว่าแพรเจออะไร แล้วมันสนุกตรงไหนบ้าง

สำหรับแพรแล้วสนุกทุกตอน มันทุกเม็ดเลยค่ะ

โปรดติดตามตอนต่อไป

พาเพื่อนไปเข้าคอร์ส

คอร์สแห่งชีวิต ที่ทุกคนควรจะได้เข้าอย่างน้อยสักครั้งหนึ่งในชีวิต

คือ คอร์สกรรมฐานค่ะ ไปเข้าคอร์สกรรมฐานกัน 8 วัน 7 คืน ที่วัดป่าค่ะ

ไม่ใช่คอร์สความสวยความงามหรือคอร์สวิชาการทั่วไปนะคะ

นี่เป็นคอร์สเปลี่ยนชีวิตค่ะ เปลี่ยนชีวิตตัวเองให้ดีขึ้นได้ภายใน 7 วัน รับรองผลค่ะ ถ้าตั้งใจจริง

อยู่วัดปฏิบัติธรรม หน้าจะใส ผ่องใสมาก ยิ่งกว่าทำเบบี้เฟซเลยค่ะ

ชีวิตเราเปลี่ยน ชีวิตคนรอบข้างก็เปลี่ยนไปด้วยค่ะ เปลี่ยนไปในทางที่ดีนะคะ ใจเย็น มีสติมากขึ้น

สนใจอ่านรายละเอียดของคอร์สได้ที่นี่ค่ะ http://www.gotoknow.org/posts/535563

 

ครั้งแรกแพรไปเข้าคอร์สคนเดียวค่ะ คอร์สมหากุศลแบบนี้ หาเพื่อนใจถึงเหมือนเราไปด้วยยากค่ะ

ถ้ามัวรอเพื่อนไปด้วย ชาตินี้อาจจะไม่ได้สนุกกับกรรมฐานเลยก็ได้ค่ะ

เพราะเพื่อนบวช มีน้อย หายากมาก น้อยคนนักที่อยากจะมาบวชปฏิบัติธรรมและได้มาบวชจริงๆ

แพรตัดสินใจไปเอง เรียนรู้เองค่ะ ลองผิดลองถูก อยู่กับธรรมได้จนครบคอร์สค่ะ

และแพรมีบุญได้บวชในคอร์สครั้งแรกของที่วัดป่าเจริญราชค่ะ บวชในโครงการพัฒนาจิตเพื่อพ่อ รุ่นที่ 1 ค่ะ

 

ในปีนี้คอร์สครั้งแรกของปีสำหรับแพร มีเพื่อนไปบวชด้วย 2 คนค่ะ

คนแรก คือ พี่เก๋ค่ะ หรือคุณนายเก๋ เพื่อนเก่า สมัยเรียนนิติศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์

ก่อนสงกรานต์เธอโทรมาปรึกษาว่า หลวงพ่อเอกลักษณ์ หลวงพ่อที่พี่เก๋นับถือ บอกให้พี่เก๋ไปบวชชี ถือศีล 7 วัน

ถ้าไม่ไปชีวิตคู่จะมีปัญหา ต้องเลิก ต้องหย่ากับสามี เพราะเจ้ากรรมนายเวร เข้ามาแล้ว จะให้ผลแล้ว

ด้วยความกลัวค่ะ และเกรงใจหลวงพ่อ พี่เก๋ก็โทรมาถามค่ะ ว่าจะไปวัดไหนดี

 

แพรแนะนำ 2 ที่ค่ะ วัดป่าปฐมชัยกับวัดป่าเจริญราช

ปกติวัดป่าเจริญราชจะจัดบวชชีในโครงการพัฒนาจิตเพื่อพ่อ 8 วัน 7 คืน ทุกวันที่ 1-8 ของทุกเดือนค่ะ

ไปเข้าคอร์สนี้น่าจะดีกว่า เพราะทางวัดพร้อมทุกอย่างเลยสัปปายะมากๆ

ตอนแรกเธอไม่อยากไป เพราะปีที่แล้วเธอลองไปวัดนี้แล้วเธอบอกว่าเธอไม่ค่อยได้อะไร เธออยากลองไปที่อื่นดูบ้าง

แพรก็แนะนำวัดป่าปฐมชัยค่ะ อยู่หลังมหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐม

หลวงพ่อนิพนธ์ท่านเก่งและท่านเมตตามาก น่าลองนะ

แต่ถือศีลวัดนี้กินอาหารมื้อเดียวนะคะ ไหวเปล่าเธอว่าจะลองดู

 

ส่วนแพร ปีนี้แพรตั้งใจไปเข้าคอร์สกรรมฐานที่ยุวพุทธฯ ศูนย์ 2 เดือนกันยายน ของหลวงพ่อวีระนนท์

ตอนแรกไม่คิดไปที่วัดป่าค่ะ แต่กลับจากไปดูงานที่ประเทศลาว (22-25 เมษายน 56)

แพรป่วยหนักท้องเสีย ไข้ขึ้น ลำไส้อักเสบติดเชื้อเริ่มอาการตั้งแต่ตี 4 (26 เมษายน 56)

เป็นหนักมาก ภาวนา สวดมนต์อะไรไม่ทันเลย ก็นึกได้ว่า ถ้าตายตอนนี้คงไปไม่ดีแน่

เวทนามันมาก ซะจนภาวนาอะไรไม่ได้เลย

ตอนเย็นคุณสามีพาไปหาหมอ เพราะเราทนไม่ไหวแล้ว คุณหมอบอกว่าหนักขนาดนี้จริงๆต้องไปนอนโรงพยาบาลนะ

แต่เราอธิษฐานก่อนมาแล้วว่าจะไม่นอนโรงพยาบาล คุณหมอสั่งตรวจเลือด อึ ฉี่ ดูอาการชัดๆ

พอตอนเช้า อาการดีขึ้นมากก็โทรไปถามเพื่อนๆที่ไปด้วยว่ามีใครเป็นบ้างก็ไม่มีใครป่วยเลย

แต่เพื่อนคนนึง คือ อ.ฝ้าย ถูกรถชน

เกิดเหตุตอนตี 3 (27 เมษายน 56)เธอทำงานวิจัยกับเพื่อนอาจารย์เสร็จ ออกมาหน้ามหาลัยมาซื้อน้ำที่ 7-11 กิน

จอดรถไว้ริมถนน ซื้อน้ำเสร็จแล้ว เพิ่งขึ้นมานั่งบนรถ ก็ถูกรถที่คนขับเมามาชนท้ายรถ

รถพังหมด เปิดประตูออกไม่ได้ น้องฝ้ายกับเพื่อนก็เจ็บ ถูกกระแทก แต่ดีที่ไม่เลือดตกยางออก

คงเพราะไปทำบุญ ไหว้พระที่ลาวไว้เยอะเลยไม่เป็นอะไรมาก

แต่รถเสียไปเลย ซ่อมไม่ได้ ต้องขายซากอย่างเดียว

เห็นใจน้องฝ้ายมากๆ เจอปัญหาหนักๆในชีวิตหลายเรื่อง ทั้งงาน ทั้งเพื่อน ทั้งเงิน ทั้งแฟน

พอคุยกันแล้วก็รู้สึกว่า น้องฝ้าย ชีวิตตกต่ำหนักมากแล้วน๊า... ไปบวชชีเถอะ

ไปบวชปฏิบัติธรรมเข้าคอร์ส 7 วัน ที่วัดป่าเจริญราชสิ ไปกับพี่เก๋นี่ล่ะ เธอกำลังหาเพื่อนไปอยู่วัดเหมือนกัน

น้องฝ้ายคิดได้เหมือนกัน ว่าถึงเวลาเข้าวัด บวชชีแล้วล่ะ ก็ตกลงไปบวชด้วยค่ะ

 

แพรชวนเพื่อนแล้วก็รู้สึกว่า เราก็ควรไปด้วยนะ เพราะเราเพิ่งหายจากป่วยหนักมา

ตอนป่วยมากๆเหมือนเจ้ากรรมนายเวรมาเตือนให้ทำบุญให้เค้าได้แล้ว

แพรก็ตัดสินใจลาบวช ขออนุญาตคุณสามีและคุณลูก ไปบวชที่วัด

ตอนแรกคุณสามีไม่ให้ไปเพราะเพิ่งหายไข้ และแพรเป็นห่วงลูก กลัวว่าแพรจะกังวลแล้วปฏิบัติไม่ได้

แต่สุดท้าย เห็นเราตั้งใจจริงก็ให้ไปค่ะช่วยไปรับ – ส่ง เคลียร์งานเรียบร้อย

เค้ายอมเลี้ยงลูกคนเดียว เห็นไหม มีสามีดีก็โชคดีแบบี้ค่ะ สนับสนุนให้ไปปฏิบัติธรรมเต็มที่

 

แพรรีบเก็บของเลยค่ะ เตรียมชุดขาว จัดกระเป๋า เตรียมบอกลาลูก ลาคุณแม่ฝากลูกกับคุณยายเรียบร้อย

คราวนี้ตัดสินใจแล้วไปเลยค่ะ เตรียมของ เคลียร์งาน 2 วัน โชคดีที่ยังปิดเทอมอยู่ ลางานไม่ยากค่ะ

แพรเขียนเทคนิคการเตรียมตัวเก็บของไปอยู่วัดปฏิบัติธรรมไว้

ในเรื่องจัดกระเป๋าเข้าวัดป่าค่ะ http://www.gotoknow.org/posts/535774

 

ใครที่สนใจอยู่วัด ปฏิบัติธรรม อ่านแล้วเตรียมไปแบบนี้รับรองค่ะ ไม่ผิดหวัง อยู่วัดจนจบคอร์สได้อย่างสบายๆค่ะ

พี่ๆ เพื่อนๆญาติธรรมทุกคนที่แพรแนะนำให้ไปบวชที่วัดก็เตรียมของแบบนี้เหมือนกันค่ะ อยู่วัดได้ดี หายห่วงเลยค่ะ

พี่เก๋เข้าวัดป่าเจริญราชก่อนคอร์สเริ่ม 1 วัน (30 เมษายน)

น้องฝ้ายเข้าคอร์สวันแรก มาแต่เช้าค่ะ(1 พฤษภาคม 56)

แพรกว่าจะเคลียร์ลูกได้มาถึงวัดป่าเที่ยงพอดี เลยรีบลงทะเบียน รับป้ายชื่อ

ครั้งนี้ โครงการพัฒนาจิตเพื่อพ่อ คอร์สปฏิบัติธรรมของวัดป่าเจริญราช เป็นรุ่นที่ 50 ค่ะ (ครึ่งศตวรรษพอดี)

เก็บกระเป๋า จัดที่นอน เปลี่ยนชุด เตรียมพิธีบวช ซึ่งจะเริ่ม 13.00 น.ค่ะ

แพรกอดลูก 2 คน กอดสามี กอดน้องสาว ขอบคุณและบอกลาคณะที่มาส่งเรียบร้อย แพรก็เข้าร่วมพิธีค่ะ

เอาล่ะ วันนี้เป็นวันเริ่มต้นสนุกกับกรรมฐานแล้ว

ครั้งนี้มีเพื่อนร่วมทุกข์ไปด้วย 2 คน มือใหม่หัดปฏิบัติธรรมทั้งคู่ค่ะ

แพรก็ช่วยติวเพื่อนด้วย เพื่อนจะได้สนุกไปกับแพรด้วย มันส์ไปด้วยกัน 555

 

ตอนแพรบอกเพื่อนๆว่า นั่งสมาธิ เดินจงกรม สนุกมาก มันส์มาก

เพื่อนๆมองหน้าแพรแบบว่า

ไม่น่าเชื่อ เป็นไปได้ไง มันมันส์ตรงไหน ทำหน้าแบบไม่เชื่อด้วย

พี่เก๋นี่นับวันกลับบ้านเลย ไม่อยากมา ใจไม่ถึง แต่ต้องมาเพราะโดนหลวงพ่อสั่งมา 55

ส่วนน้องฝ้าย อยู่ด้วยความทุกข์ระทม ปัญหาเยอะ เรื่องคิดมากเยอะ ไม่รู้จะแก้ปัญหายังไงดี

น้องฝ้ายโดนแพรกล่อมให้มาวัดเองค่ะ 55

ถึงจะยังไม่เคย แต่ใจสู้ อยากลองดู ใจถึงเหมือนกันค่ะ

 

สรุปว่าคอร์สนี้มีเพื่อนร่วมสงครามข้ามภพข้ามชาติด้วยค่ะ

1.  พี่เก๋เพราะหลวงพ่อสั่งมา ต้องทำ ไม่ทำไม่ได้ มีชีวิตครอบครัวเป็นเดิมพัน

2.  น้องฝ้ายเพราะทุกข์กับปัญหาเยอะ เหมือนเจอปีชง อะไรๆก็หนักไปหมด เฮ้อ..น่าสงสาร

3.  แพร เพราะแนะนำเพื่อนไปบวชชี ถือศีล 8 ปฏิบัติธรรม และป่วยหนักมา แล้วก็เลยอยากมาค่ะ

 

ที่สำคัญได้เวลานัดแล้วค่ะปีนี้ได้เวลานัดแล้ว

 

แพรนัดกับตัวเองว่าต้องเข้าคอร์สปฏิบัติธรรมอย่างน้อย ปีละครั้งค่ะ แพรทำมา 4 แล้วค่ะ ครั้งนี้ครั้งที่ 5 ค่ะ

มาคราวนี้เลยมีอะไรเก็บมาเล่าเยอะค่ะ

ลองอ่านดูนะคะ  แล้วจะรู้ว่าแพรเจออะไร แล้วมันสนุกตรงไหนบ้าง

สำหรับแพรแล้วสนุกทุกตอน มันทุกเม็ดเลยค่ะ

โปรดติดตามตอนต่อไปนะคะ

เพื่อนสนิทที่ชื่อว่า "มาร"

ก่อนไปเข้าคอร์สปฏิบัติธรรม  ถ้าผู้ปฏิบัติธรรมได้ฟัง ได้อ่านธรรมไปก่อน จะช่วยให้เข้าใจธรรมที่ได้จากการปฏิบัติธรรมมากขึ้น เข้าใจได้ลึกซึ้งมากขึ้นจากการปฏิบัติ  แพรฟังเรื่องนี้ก่อนไปปฏิบัติธรรม ก็ยังไม่เข้าใจมากนักค่ะ  (ปัญญายังไม่ถึงค่ะ)  พอกลับมาฟังใหม่  ฟังซ้ำไปซ้ำมา  แล้วทบทวนประสบการณ์ก็เข้าใจได้ลึกซึ้งมากขึ้น  ยิ่งไปปฏิบัติธรรมมากขึ้น ได้เรียนรู้มากขึ้นค่ะ

แพรขอแนะนำให้เพื่อนๆรู้จักเพื่อนสนิทในตัวของเราทุกคน 5 ตัวค่ะ เรามีเค้าอยู่ แต่เราอาจจะไม่รู้จักเค้าหรืออาจจะไม่สนใจเค้า ทั้งๆที่เค้าเป็นคนสนิทของเรามากๆ เราละเลยเค้าไม่ได้เลย มารทั้ง 5

อ่านแล้วจะช่วยเพิ่มความเข้าใจในการอ่านเรื่องเล่าของแพรได้ดีค่ะ แต่ถ้ายังไม่เข้าใจก็ไม่เป็นไรนะคะ เวลาอยู่วัดปฏิบัติธรรม จะเข้าใจเรื่องนี้มากขึ้นค่ะ

อย่างที่ครูบาอาจารย์และหลวงพ่อหลายๆท่านที่ได้บอก ได้สอนไว้นะคะ  ธรรมที่ได้จากการคิด การฟังเฉยๆ จะไม่ลึกซึ้งเท่าธรรมที่ได้จากการปฏิบัติ  ต้องพากเพียร ต้องสู้ แพรขอเอาธรรมที่ครูบาอาจารย์สอนกับธรรมที่ได้จากการปกิบัติจริงมาเล่าให้เพื่อนๆฟังนะคะ

เวลานั่งสมาธิ เดินจงกรม ขยันเจริญภาวนานะคะ ในเวลาที่ใจจะข้ามภพข้ามชาติ  จากที่มีความสุขล้วนๆ นั่งสมาธิแล้วมันเบา สบาย มีความสุข สงบ แต่พอปัญญาแก่กล้าแล้ว มันจะพลิกให้ดูเลยว่ามันจะกลายเป็นตัวทุกข์ล้วนๆ มีแต่ทุกข์มากขึ้นๆ  ทุกข์เหมือนร่างกายจะแตกสลาย ปวดขา ปวดบ่า ปวดตัวมากๆ ปวดเหมือนกระดูจะแตกสลาย

มันทุกข์ มันทรมาน มันขมขื่น ฝืนจะทน

มันปวด จิตใจมันจะระเบิด มีแต่ทุกข์ล้วนๆเลย  หยั่งลงไปทางไหนก็มีแต่ทุกข์มากขึ้น มากขึ้น q

ตรงนี้แหละมาร 5 เริ่มทำงานแล้ว  มารตัวหนึ่งเรียกว่า

๑.  เทวปุตตมาร คือ หัวใจของเรานี่เอง ที่มันจะท้อถอยกลับกลอก ไม่กล้าสู้ บอกเราว่าถอยออกมาเถอะ มันปวดจะตายอยู่แล้ว อย่าทนเลน ออกมาก่อน ออกเถอะๆ ถ้าไม่ถอย ไม่ตายก็บ้านะ  ทำให้เรากลัว ทำให้เราท้อถอย

๒.  กิเลสมาร คือ กิเลสทั้งหลาย  โทสะ โมหะ ความกลัว มันเล่นเราตรงนี้เลยนะ กลัวปวด กลัวเจ็บ กลัวตาย มันไม่สบาย ปวดหัว ตัวร้อน

๓.  อภิสังขารมาร คือ ตัวความคิดที่กลับกลอกหลอกลวง  บางทีมันก็หลอกเราว่าให้ถอยออกไปเถอะ  เหมือนกับที่มันมาหลอกพระโพธิสัตว์  ว่าไปอยู่กับโลกแล้วจะมีความสุขที่สุด  ถ้าไม่ข้ามมรรคผลนิพพาน เข้าถึงขีดสุด  เรากลับมาจะอยู่กับโลกอย่างมีความสุขที่สุดเลย  เพราะอะไรๆในโลกไม่กระเทือนเข้าถึงใจแล้ว  ใจมันเป็นดวงรู้เด่นอยู่อย่างนั้น มีแต่ความสุขล้วนๆเลย  จิตใจมันจะถูกความคิด  คอยปลอบ คอยหลอกให้เลิก

๔.  มัจจุมาร คือ  ความรู้สึกที่ว่าความตายมารออยู่ต่อหน้า  ถ้ายังทนนั่งอยู่ต่อไป ไม่ถอยนะ ต้องตายแน่นอนไม่ก็บ้าเลย  มันมีแต่ความทรมานมากมาย

๕.  ขันธมาร คือ ขันธ์ทั้ง 5  กายกับใจ  เป็นตัวทุกข์ล้วนๆ เพราะมันบีบคั้น ทำให้คนที่ไปยึดมั่นถือมั่น เป็นตัวทุกข์

ตรงนี้ถ้าบุญบารมีเราไม่พอ  สั่งสมมายังไม่พอ  คือยังไม่ค่อยเจริญภาวนา ยังไม่พากเพียร เราจะถอยแล้ว  สู้ไม่ได้ ถอยดีกว่า  ไม่เอาดีกว่า  อยู่กับโลกก็มีความสุข  แต่พระโพธิ์สัตว์ไม่ได้เป็นอย่างนั้น  พระโพธิ์สัตว์ที่จะข้ามภพข้ามชาติ ท่านอาศัยบารมี หรือผู้ปฏิบัติที่ต้องการข้ามภพข้ามชาตินั้น ต้องอาศัยบารมี เช่น

ทานบารมีกล้าจะเสียสละชีวิตเพื่อธรรมไหม ต้องกล้านะ  ตายเป็นตาย ในนาทีนั้นจะต้องไม่ถอย  ถ้าถอยคือ อยู่สบายกับโลกแต่เป็นทาสของมารเรื่อยๆไป  เพราะฉะนั้นต้องกล้าหาญ  จะกล้าสละชีวิตได้  จะต้องกล้าสละของเล็กๆน้อยๆก่อน  สละอันโน้น สละอันนี้ไปเรื่อยๆ  ไม่ห่วงหน้า ห่วงหลัง  สละความผูกพันในใจ

อย่างพระพุทธเจ้าเป็นเจ้าชายสิทธิถัตธะ  สละพระนางพิมพา พระราหุล

รักไหมลูกเมีย  รักนะ  แต่กล้าสละเพื่อธรรม

นี่คือ ทานบารมีที่มันเต็มใจแล้ว เต็มเปี่ยม

พอถึงนาทีสุดท้าย  กล้าสละชีวิตเพื่อธรรมนะ

อย่างที่หลวงพ่อวีระนนท์ เคนสอน เคยบอกว่า

สละอวัยวะเพื่อรักษาชีวิต

สละชีวิตเพื่อรักษาธรรม

(แรกๆอาจจะ ยอมเสียธรรมเพื่อรักษาชีวิต แต่หลังๆเราฝึกมากๆ มันจะกล้าสละชีวิตเพื่อรักษาธรรมค่ะ)

กล้าตายในสมาธิ แล้วจะได้ของดีกลับไปค่ะ

ส่วนอธิษฐานบารมี ในขณะที่ความตายมารออยู่ต่อหน้า  จะถอยไหม  ถ้าตั้งใจไม่ถอย ครั้งนี้จะสู้ตายแล้ว  แต่ถ้าบารมีนี้ไม่ถึงก็ถอยนะ  มันจะทรมาน  กิเลสมันจะหลอกกับเราว่า  ถอยไปก่อนน่ะ  เดี๋ยวรวมกำลังมาสู้กับมันใหม่  นั่นแน่ หลอกได้สารพัดนะ แพรโดนหลอกมาแล้ว เราก็ดันเชื่อง่าย หลอกแล้ว หลอกอีก

สัจจะบารมี มีไหม  ยอมตายเพื่อให้ได้เห็นความจริงไหม ความจริงที่เราจะตามดูมันไปเรื่อยๆมี ดูสิให้สุดสายของการปฏิบัติสิ  มันจะเกิดอะไรขึ้น  ตายก็ตายนะ  จะดู  จะเอาความจริงให้ได้  กล้าพอไหม ใจถึงไหม

ศีลบารมี เรามีไหม  จิตใจเราจะเป็นปกติมั่นคงได้ไหม ท่ามกลางความบีบคั้นอย่างนั้น  หรือจะโมโหโทโสขึ้นมา  จิตใจเรามีศีล มีความเป็นปกติหรือเปล่า

ปัญญาบารมี เรามีไหม  ที่จะรู้ทุกอย่างตามที่เค้าเป็น รู้แล้ววาง ๆ รู้แล้วไม่เข้าไปข้องแวะด้วย นี่คือ ตัวอย่างของบารมี 10 ตัว เอาย่อๆนะ เนี่ยพวกนี้จะมาช่วยเราในการสู้กับมาร 5 ตัว

เอาเข้าจริงพระพุทธเจ้าท่านใช้โพธิปักสยธรรม....37 ประการ ไปสู้กับมาร 1 กองทัพ ๆ คือ มาร 5 ตัว

สู้ยากนะ  มารตัวเดียวก็สู้ยากแล้ว  ต้องต่อสู้ก่อนที่ใจจะเข้มแข็งไปสู้กับมารจนข้ามภพ ข้ามชาติ

ต้องสะสมความแข็งแกร่งในใจมามากมาย  กล้าสละความสุข ความสบาย ความเพลิดเพลินอย่างโลกๆ ต้องกล้าหาญ  ต้องใจถึงด้วย

พระพุทธเจ้าเวลาสอนธรรม ท่านจึงสอนเป็นลำดับๆนะ  เรียกว่า  อนุปุพิกถา

รู้จัก ทาน ไว้นะ ทานไม่ใช่แค่ควักกระเป๋ามาจ่ายนะ

กล้าเสียสละไหม  กล้าสละความสุขส่วนตัวไหม  เพื่อประโยชน์ของคนอื่น  กล้าไหม

กล้าสละความอาฆาตแค้นไหม  กล้าให้ความรู้ ความเข้าใจกับคนอื่นที่เค้าไม่รู้  ไม่เข้าใจไหม หรือตระหนี่ถี่เหนียว  ใจถึงๆ กล้าสละทุกสิ่งทุกอย่าง  ทีละเล็ก ทีละน้อย  ค่อยๆสะสมไป

พระพุทธเจ้าท่านสอนเรื่องศีล ทาน เห็นไหม สอนให้เรามีกำลังที่จะข้ามภพข้ามชาติทั้งนั้น

ต้องรักษาศีลนะ  ถ้าไม่มีศีลใจจะไม่มีสัมมาสมาธิ ใจจะตั้งมั่นไม่ได้  ใจจะกลับกลอก กวัดแกว่งตลอดเวลา  ต้องมีศีลเอาไว้

พอมีทาน มีศีล  เราจะมีความสุข  เรียกว่าสวรรค์ ชีวิตจะมีแต่ความสุขความสบาย  ร่างกายอาจจะลำบากบ้าง  เจ็บไข้ได้ป่วย  แต่ใจมันจะสบาย  ใจสบายจะเพลิดเพลินไป  คราวนี้เพลินไปในความสุขอีกแล้ว  เรียกว่ากาม เพลิดเพลินในความสุข

เสร็จแล้วท่านก็ชี้ให้เห็นโทษของกาม อย่ามัวแต่ประมาทอย่าหลงกับความสุขที่เรากำลังได้รับอยู่ทุกวันนี้นะ  ความสุขที่เราได้รับอยู่ทุกวันนี้เป็นของชั่วคราว  ประมาทไม่ได้นะ  โทษของกาม  เรียกว่า  กามาทีนพ

เสร็จแล้วถ้าไม่ประมาทจะทำอย่างไร  ถ้าไม่ประมาทแล้วมาคอยเรียนรู้อริยสัจ ให้มารู้ทุกข์  มาคอยรู้กาย  มาคอยรู้ใจไป  ให้รู้ไปเรื่อยๆ  รู้จนแจ่งแจ้ง

กายและใจเป็นตัวทุกข์ล้วนๆ จะปล่อยวางความยึดถือกาย ความยึดถือใจ

ตัณหาจะเกิดขึ้นไม่ได้อีก  สมุทัยจะไม่เกิดอีก

ถ้ารู้ทุกข์แจ่มแจ้ง  สมุทัยจะถูกละอัตโนมัติ

สมุทัย คือ ความอยากให้กายให้ใจ มีความสุข  อยากให้กายให้ใจพ้นทุกข์

ถ้าไม่ยึดกาย  ยึดใจ  แล้วจะไปอยากทำไม

ทันทีที่ตัณหาดับสนิทลงนะ  ความไม่มีตัณหา  คือ  นิพพานก็จะปรากฏขึ้นมา  ต่อหน้าต่อตานั่นเอง

การรู้ทุกข์  จนละสมุทัย  แจ้งนิโรธ  แจ้งนิพพาน  นี่แหละ เรียกว่า มรรค

ท่านสอนแบบนี้นะ อนุปุพพิกถา ท่านสอนตั้งแต่ธรรมขั้นต้นมา

ตั้งแต่รู้จักทาน  รู้จักศีลนะ

ทำทาน  ทำศีลไป  แล้วชีวิตมีความสงบสุขขึ้นมา

อย่าเพลิดเพลินในความสงบสุขทั้งหลาย

ในชีวิตเราเป็นของชั่วคราวเหมือนกัน  วันนึงอาจจะเดือดร้อนขึ้นมาได้

งั้นต้องเร่งศึกษากาย  ศึกษาใจของตัวเอง

เอาพวกเราฟังหลายเรื่องแล้ว รู้สึกไหม  ฟังอนุปุพพิกถาจบแล้ว 

ใครได้โสดาบันแล้วยกมือขึ้น

555 มีแต่โสดาเดา กับโสดาดันค่ะ


ของเราฟังแล้วยังไม่ได้  ต้องฟังแล้วฟังอีก ทำแล้วทำอีกค่ะ

จำไว้นะคะ  ขนาดพระอัสสชิ  ท่านมีบารมีเยอะกว่าพวกเรา  ท่านยังต้องฟังธรรมตั้ง 5 ครั้ง  ถึงได้โสดาบัน

แถมพระอัสสชิ ท่านฟังจากพระพุทธเจ้าด้วยนะ ไม่ใช่ฟังจากพระธรรมดานะคะ

พวกเราบารมีไม่ถึงขนาดนั้น  ต้องอดทนไว้ ต้องพากเพียร อย่าท้อถอย

ต้องสู้น่ะคะ คอยรู้ลงไปรู้ลงในกายนะ  รู้ลงในใจ

ยังทำไม่ได้ ไม่เป็นไร

พยายามถือศีลไว้ อยู่อย่าไปตบยุง อย่าคุยมาก อบ่าเล่นเฟส เล่นไลน์มาก ปิดวาจาไปเลย

จะได้มีศีล จะได้ไม่ฟุ้งซ่าน

แล้วคอยรู้กาย  คอยรู้ใจไปเรื่อยๆ  ถึงวันหนึ่งมันก็ต้องฝ่าไปได้แหละ 55

 

ก่อนที่ท่านทั้งหลายจะผ่านด่านมาได้ทุกองค์ๆ นะ  ท่านก็ผ่านมาแล้วทั้งนั้น  แบบที่เราเจอนี่ล่ะ

เบื้องต้นนะ เบสิคๆ ใครๆเค้าก็เจอ ธรรมดามากๆ ปวดจะตายแบบนี้น่ะ ของธรรมดาเลย

ลูกฟลุ๊ค ไม่มีนะ  ของฟลุ๊คไม่มี  มีแต่ต้องลงทุนลงแรงทั้งนั้น

ของฟรีไม่มีในโลกนะคะ จำไว้

 

เราสู้เอาเองทั้งนั้น  ขัดเกลากิเลสในใจเรา

คอยรู้ลงไป สู้ด้วยทาน  สู้ด้วยศีล  สู้ด้วยสมาธิ  สู้ด้วยปัญญา

เครื่องมือในการต่อสู้มีหลายตัว  คอยรู้ลงไปด้วย (แพรจะแนะนำเทคนิคและธรรมง่ายไว้สู้ค่ะ)

สู้ด้วยอะไรไม่ได้ก็รักษาศีลไว้ เช่น  อยากตบมันเต็มที่แล้ว  อ้าวไม่ได้ อย่าตบนะเดี๋ยวผิดศีล  อย่างเนี่ย

สู้ไป ถึงวันหนึ่งแล้วจะเข้าใจ ชีวิตจะมีอิสรภาพ  เราจะเข้าถึงอิสระที่แท้จริง อิสระจริงๆ

ใจเราจะมีแต่ความปลอดโปร่งโล่งตลอดวันตลอดคืนเลย

ใจจะไม่มีขอบเขต  ไม่มีจุด  ไม่มีดวง  กว้างขวางไร้ขอบเขต

มีความสุขล้วนๆเลย  ไม่มีอะไรเป็นเครื่องขีดกั้นจำกัดอีกต่อไป

ทางร่างกายก็ชำรุดทรุดโทรมไปตามธรรมชาติ

แต่ทางใจนะสดใส ซาบซ่าอยู่อย่างนั้นแหละ

ฝึกเอาเองนะ ฝึกเอา..............

 

นี่เห็นไหม หลวงพ่อเทศน์ หลวงพ่อสอน 

ท่านฝึก ท่านสู้ ท่านพากเพียร ท่านผ่านมาหมดแล้ว

เราโชคดีแล้วได้เจอครูบาอาจารย์ที่ดีและเก่งขนาดนี้

เราอย่าดื้อกับครูบาอาจารย์ ท่านให้ทำอะไรก็ทำ

ท่านบอกอะไรก็เชื่อ

อย่าเถียง อย่าต่อรอง อย่างอแง 

ตั้งใจทำไป พากเพียรไว้ เดี๋ยวมันก็ดีขึ้นเองค่ะ

 

สู้ๆนะคะ แล้วเราจะได้สนุกกับกรรมฐานไปด้วยกัน

 

โปรดติดตามตอนต่อไปนะคะ

(นึกว่า 3 ตอนจบ )

 

สื่อสร้างสรรค์ พลังแห่งปัญญา นำพาชีวิตให้งดงาม

พิมพ์ PDF

สื่อเป็นเครื่องมือในการนำเนื้อหาข่าวสารข้อมูลไปสู่ผู้รับชมรับฟัง หากใช้สื่ออย่างสร้างสรรค์ก็จะเป็นการนำเนื้อหาสาระอันเป็นประโยชน์ต่อการดำเนินชีวิตอย่างมีคุณค่าความหมาย ชี้นำให้ดำเนินชีวิตไปสู่ทิศทางที่ถูกต้อง ยังความสงบสุขสันติให้บังเกิดขึ้นต่อตนเองและสังคมโลกโดยส่วนรวม นี่คือที่มาของคำขวัญที่ว่า

" สื่อสร้างสรรค์ พลังแห่งปัญญา นำพาชีวิตให้งดงาม "

การทำสื่อที่มีความหลากหลายทั้งรูปแบบและเนื้อหานั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะมิเพียงการนำเสนอเท่านั้น แต่ยังต้องรักษาจุดยืน แนวคิด แนวทางอันเป็นเอกลักษณ์อัตตลักษณ์ของตนเองไว้ด้วย ความพยายามที่จะผลิตและรวบรวมคัดสรรเนื้อหารูปแบบสื่อที่หลากหลายในลักษณะของเครือข่ายความร่วมมือเชิงบูรณาการก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ต้องใช้ทั้งศาสตร์และศิลป์ พร้อมทั้งท่วงทำนองอันเป็นที่ยอมรับของสังคม ในโลกยุคเทคโนโลยีสารสนเทศอันไร้พรมแดน ไร้ขีดจำกัดนั้น คงเป็นเรื่องที่ยากที่จะคัดกรองเนื้อหารูปแบบที่พึงประสงค์ให้ได้อย่าง ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์เพื่อนำเสนอแก่ผู้บริโภคสื่อ คงเป็นไปได้ในแง่ของความพยายามอย่างเหมาะสม และแสดงออกอย่างเป็นรูปธรรมถึงจุดยืนอย่างสร้างสรรค์ ส่วนที่เป็นไปได้อย่างยิ่งก็คือ ผู้บริโภคสื่อควรมีดุลยพินิจพิจารณาเสพย์ข่าวสารข้อมูลอย่างมีสติปัญญา พิจารณาโดยแยบคาย ย่อยและซึมซับคุณค่าความหมายอันเป็นประโยชน์ต่อตนเองและเพื่อนร่วมสังคมโลก ซึ่งการศึกษาเรียนรู้ก็เป็นกระบวนการทางธรรมชาติของการพัฒนามนุษย์อยู่แล้ว เรียนรู้โลก...เข้าใจโลก...เรียนรู้ชีวิต...เข้าใจชีวิต...ใช้ชีวิตให้อยู่กับโลกได้อย่างมีคุณค่าความหมายที่ถูกต้องตรงต่อความเป็นจริงอันเป็นไปของโลกและชีวิต ความสุข ความสงบสันติทั้งภายในและภายนอกก็จะปรากฏ !
คัดลอกมาจาก http://www.tigertemplestation.org/

 

ตน ........ทางรอดธุรกิจโรงแรม SMEs

พิมพ์ PDF

สรุปงานเสวนา ฅน...ทางรอดธุรกิจโรงแรมSMEs”

จัดโดย หอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย

ร่วมกับ ศูนย์บูรณาการพัฒนามนุษย์ มูลนิธิพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ระหว่างประเทศ

และสมาคมการจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทย

วันอังคารที่  25 พฤศจิกายน 2551 เวลา 08.30 16.00 น.

ณ ห้อง Activity Hall ชั้น 1 อาคารบรรเจิด ชลวิจารณ์ สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย

นายวีรชัย  วงศ์บุญสิน ประธานคณะอนุกรรมการติดตามผลการเจรจาเขตการค้าเสรี กำหนดจัดงานเสวนา ฅน...ทางรอดธุรกิจโรงแรม SMEs” เมื่อวันอังคารที่  25 พฤศจิกายน 2551 เวลา 08.30 16.00 น.  ณ ห้อง Activity Hall ชั้น 1 อาคารบรรเจิด ชลวิจารณ์ สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย โดยร่วมกับศูนย์บูรณาการพัฒนามนุษย์ มูลนิธิพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ระหว่างประเทศ และสมาคมการจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทย สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้

1. การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์  โดย ดร.ชุมพล  พรประภา

ธุรกิจโรงแรมภายใต้ภาวะการณ์สังคม เศรษฐกิจ และการเมืองของประเทศไทย ที่มีปัญหารุมเร้า ทั้งปัญหาภายใน เช่น ปัญหาผลิตภาพแรงงานไทยต่ำกว่ามาตรฐานของโลก ปัญหาราคาน้ำมันที่สูงขึ้นจนส่งผลต่อราคาสินค้าและค่าครองชีพ รวมไปถึงปัญหาความไม่สงบทางการเมือง ที่มีการประกาศภาวะฉุกเฉิน และปิดสนามบิน นอกจากปัญหาภายในแล้วยังมีปัญหาภายนอกที่สำคัญ คือปัญหาวิกฤตซับไพร์ม อันจะทำให้เศรษฐกิจโลกชะลอตัวลงโดยยังไม่สามารถกำหนดปริมาณความเสียหายที่ชัดเจนได้ ซึ่งปัญหาเหล่านี้ล้วนส่งผลให้ภาคการท่องเที่ยวที่ชะงักงัน ซึ่งเป็นแรงกดดันในการหาทางรอดของธุรกิจที่ท้าทายอย่างยิ่งสำหรับธุรกิจภาคการท่องเที่ยว โดยเฉพาะธุรกิจโรงแรม จากการคาดการณ์ว่าจะมีการซบเซา 4-5 ปีติดต่อกัน

หากเป็นธุรกิจรถยนต์ สิ่งที่จะทำได้ภายใต้ภาวะการณ์วิกฤตเช่นนี้ คือ 1) จะต้องหลีกเลี่ยงการลงทุนขนาดใหญ่ 2) การลดสินค้าคงคลัง และ 3) การคงเหลือบุคลากรในปริมาณที่จำเป็นเท่านั้น หากเป็นธุรกิจโรงแรมก็อาจหมายถึงการหยุดโครงการก่อสร้างโรงแรมใหม่ การลดพนักงานให้เหลือเท่าที่จำเป็น แต่ในส่วนของการลดสินค้าคงคลัง ไม่อาจทำได้เนื่องจากเป็นบริการไม่ใช่สินค้า ทั้งนี้ธุรกิจโรงแรมอาจต้องลดจำนวนพนักงานหากจำเป็นจริง ๆ และพยายามติดตามสภาวะการณ์ที่เป็นสัญญาณต่างๆ เช่น ผลประกอบการที่ลดลงของห้างค้าปลีกขนาดใหญ่ การผลิตที่ลดลงของอุตสาหกรรมรถยนต์ เป็นต้น

2. ศูนย์บูรณาการพัฒนามนุษย์  โดย ดร.ธรรมชัย  เชาว์ปรีชา

ศูนย์บูรณาการพัฒนามนุษย์ (ศบม.) เกิดจากการรวมตัวกันของผู้ที่เห็นถึงความสำคัญในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ หลากหลายหน่วยงาน โดยหน้าที่หลักจะเป็นผู้ประสานกับภาครัฐและเอกชนในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์แบบบูรณาการให้ตรงกับความต้องการของภาคธุรกิจ เน้นการพัฒนามนุษย์ทั้งด้านทักษะความรู้ ตลอดจนคุณธรรม จริยธรรม พยายามแสวงหาความร่วมมือจากผู้ประกอบการ ซึ่งเป็นผู้ต้องการแรงงานโดยตรง รวมตัวกันเพื่อบอกถึงความต้องการที่แท้จริงในด้านทรัพยากรมนุษย์ในสาขาของตนเอง โดยรายได้ส่วนหนึ่งมาจากการสมัครสมาชิก ซึ่งกิจกรรมจะดำเนินเพื่อสมาชิก แต่จะไม่เน้นที่การแสวงหากำไร เน้นเพียงเพื่อการดำเนินกิจกรรมของศูนย์ฯได้ เท่านั้น

3. ทุนมนุษย์ โดย ศ.ดร.จีระ หงส์ลดารมภ์

ทุนมนุษย์ เป็นการผลักดันให้ภาคธุรกิจท่องเที่ยวมีความสามารถในการแข่งขันและสามารถอยู่ได้อย่างยั่งยืน หากสนใจงานวิจัยและด้านการท่องเที่ยว คุณวิจิตร ณ ระนอง ได้แนะนำว่าควรจะดึงองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมามีส่วนร่วมในการร่วมพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ในธุรกิจท่องเที่ยว เพราะทุนมนุษย์ต้องมีการลงทุน ต้องมีความเชื่อและศรัทธาในทุนมนุษย์  ต้องหาความรู้ตลอดเวลา คนที่จะมาช่วยภาคการท่องเที่ยวต้องรู้บริบท การจะทำงานต่อไปนี้ต้องเน้น 3 เรื่อง คือ

- ยกศักยภาพคนให้ดี

- คิดเป็น วิเคราะห์เป็น เพื่อให้สามารถแข่งขันได้

- ทำแล้ววัดผลได้ มีแนวร่วม

ทรัพยากรมนุษย์เป็นตัวตัดสินว่าธุรกิจท่องเที่ยวจะอยู่อย่างยั่งยืนหรือไม่ ปัญหาด้านทุนมนุษย์ คือ ต้องรับคนทำงานที่ไม่มีคุณภาพเข้ามา  ต้องปรับปรุงระบบการศึกษา และเปลี่ยนแรงงานท่องเที่ยวให้เป็นแรงงานที่มีความรู้และหาความรู้ได้ให้เป็นทุนมนุษย์ที่ดี เพื่อให้สามารถแข่งขันได้  ซึ่งต้องสร้างวัฒนธรรมการเรียนรู้ให้คนคิดเป็น วิเคราะห์เป็น ต้องทำให้พนักงานมีความคิดสร้างสรรค์ นำความคิดไปทำ มีความสุขในการทำงาน รู้จักสร้างเครือข่าย คิดถึงอนาคต ควรเน้นการท่องเที่ยวเชิงรุก เช่น Health Tourism, Cultural Tourism และ Education Tourism นำภูมิปัญญามาขาย มีการสร้างมูลค่าเพิ่ม ต้องสร้างความตระหนักให้ภาคธุรกิจให้ความสำคัญกับการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ และลงทุนเรื่องคน

4. ฅน ....ทางรอดธุรกิจโรงแรม SMEs : บริหารแบบฝรั่ง ตั้งมั่นแบบจีนบริการแบบไทย โดย ศ.ดร.จีระ หงส์ลดารมภ์ และดร.ชุมพล  พรประภา

คุณศุภฤกษ์ ศูรางกูร กรรมการผู้จัดการ บริษัท หนุ่มสาวทัวร์ จำกัด กล่าวว่า ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ขึ้นเวทีทรัพยากรมนุษย์ด้านโรงแรมที่จัดโดยภาคเอกชน ธุรกิจโรงแรมต้องอาศัยคนเป็นหลักดังนั้น เรื่องคนจึงเป็นปัจจัยสำคัญไปสู่ความสำเร็จของธุรกิจโรงแรม  ทุกวันนี้เราลงทุนในอุตสาหกรรมโรงแรมค่อนข้างมาก แต่ลงทุนด้านการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์น้อย โรงแรมใหญ่ไม่มีปัญหา แต่โรงแรมเล็กมีจำนวนมากมายล้มกว่าร้อยละ 50 เนื่องจากการลงทุน การบริหารจัดการ การตลาด แต่ที่สำคัญที่สุด คือ การบริหารจัดการองค์กรก็มีเรื่องคนเกี่ยวข้อง นักลงทุนส่วนมากมักมาจากนอกวงการเพราะการลงทุนโรงแรมใช้เงินทุนมหาศาล การที่ได้ทำบริษัทท่องเที่ยวทำให้ได้เปรียบ เพราะมีความรู้เกี่ยวกับแหล่งท่องเที่ยว และเข้าใจความต้องการของนักท่องเที่ยว โดยได้ลงทุนทั้งหมด 14 โรงแรมและส่วนมากมักเป็นรีสอร์ท และเลือกลงทุนทำโรงแรมในพื้นที่ห่างไกล เช่น เกาะยาว แม่ริมโดยเริ่มจากสร้าง Concept ให้โรงแรมแล้วหาทำเลให้ได้ตรงตาม Concept หรือตั้ง concept ให้เหมาะกับที่ดินที่มีคนเสนอมา นอกจากนี้ ยังจ้างคนในท้องถิ่นมาทำงานให้เพราะค่าแรงและค่าใช้จ่ายไม่แพง ซึ่งได้ประโยชน์และจะได้ช่วยปกป้องโรงแรม แต่ก็ต้องพัฒนาทักษะการบริการให้ในด้านการบริหารจัดการ หาผู้จัดการทั่วไปที่มีประสบการณ์ไปอยู่ลำบากมากในพื้นที่ที่ห่างไกล เช่น เกาะยาวหรือแม่ฮ่องสอน  ผู้จัดการทั่วไปต้องเข้าใจทุกด้าน คนที่จบมาโดยตรงมีน้อย ส่วนใหญ่มาจาก F&B, Front Office ควรจะจัด training for trainer เพื่อช่วยให้ผู้บริหารมาช่วยฝึกพนักงานได้ ภาครัฐควรมีหน่วยพัฒนาโรงแรมในประเทศไทย คนไทยควรได้รับการพัฒนาด้านภาษา ระบบบริหารจัดการ  และควรพัฒนาวัฒนธรรมไทยเพื่อป้อนคนสู่ตลาดโลกและรับมือกับการแข่งขันที่จะมาพร้อมกับการเปิดเสรีภาคบริการ

คุณณรงค์ สุทธิพงศ์พิธาน ผู้เชี่ยวชาญด้านการบริหารโรงแรม กล่าวว่า จากประสบการณ์การทำงานโรงแรมมายาวนาน พบว่า มี 2 ปัจจัยสำคัญในการสร้างรายได้  คือ 1) ห้องพัก และ2) อาหารและเครื่องดื่ม จากการที่ได้สอนนักศึกษาหลายแห่ง นักศึกษาบอกว่างานบริการสร้างรายได้ให้กับโรงแรม ลูกค้า คือ คนที่วัดคุณภาพโรงแรม ดังนั้น คนจึงเป็นปัจจัยสำคัญต่อความเจริญของโรงแรม ต้องทำให้ลูกค้ามีความสุขที่ได้รับบริการ และพนักงานต้องมีความสุขในการให้บริการแก่ลูกค้า เพื่อให้ลูกค้าพอใจและบอกต่อ ๆ กันเพื่อมาใช้บริการโรงแรม และต้องให้ความสำคัญกับการพัฒนาคนด้วย

คุณสายสิริ ฮุนตระกูล กรรมการผู้จัดการ ท้องทรายเบย์ รีสอร์ท กล่าวว่า ต้องทำให้พนักงานที่มีประสบการณ์มากและมีความจงรักภักดีสูงมีความสุข ส่วนพนักงานที่เป็นคนรุ่นใหม่ที่มีความรู้และความสามารถ ต้องใช้เหตุผลและหลักการบริหาร และควรเลี่ยงการรับพนักงานที่ผ่านงานมาหลายที่ ที่ละไม่กี่ปี เนื่องจากจะตั้งค่าตอบแทนสูงเวลามาสมัครงาน เพราะต้องการตำแหน่งสูงแต่มีประสบการณ์น้อยในงานแต่ละแห่ง  ทำให้ทางรีสอร์ทไม่สามารถพัฒนาบุคลากรที่มีคุณภาพได้ การเรียนในสถาบันการศึกษา เน้นทฤษฎี แต่เวลาทำงานต่างกันมาก คนในปัจจุบันมีทัศนคติที่ดีต่อการทำงานน้อยลงทุกวัน

ศ.ดร.จีระ หงส์ลดารมภ์ กล่าวเสริมว่า คนในโลกตั้งข้อสังเกตเปรียบเทียบระหว่างความจงรักภักดีกับประสิทธิภาพในการทำงาน ปัจจุบัน คนไม่จงรักภักดีต่อองค์กร ถ้ามีคนเก่งแต่ไม่จงรักภักดี ก็บริหารยาก เวลาจ้างงานก็ต้องดูทัศนคติด้วยทั้งฝ่ายนายจ้างและลูกจ้าง เวลาจัดการทุนมนุษย์ ก็ต้องมองเป็นกระบวนการ ไม่ควรผลิตคนมามาก แต่ขาดคุณธรรมและความอดทน

คุณวิโรจน์ สิตประเสริฐนันท์ นายกสมาคมมัคคุเทศก์อาชีพแห่งประเทศไทย กล่าวว่า นักท่องเที่ยวมีความต้องการไม่สิ้นสุดแต่ต้องการจ่ายในราคาที่ไม่แพง โรงแรมควรจะเน้นความสะดวก สะอาด และความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ในด้านความสะดวกการใช้บริการของทุกฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นเด็ก ผู้ใหญ่ ผู้สูงอายุ คนพิการ ปรับปรุงโรงแรมให้มีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกต่อลูกค้าหลายประเภท สำหรับผู้สูงอายุและคนพิการต้องมีทางลาดและในห้องน้ำก็ต้องมีราวจับ ในเรื่องความสะอาด โรงแรมไม่จำเป็นต้องมีการประดับประดามากเกินไป แต่ต้องมีความสะอาดน่าพัก ด่านหน้าที่มีการเช็คอิน เมื่อนักท่องเที่ยวมาถึงก็ต้องได้รับการดูแลจากพนักงานต้อนรับที่มีความสามารถในการสื่อสารที่ดีเพราะการต้อนรับถือเป็นประตูสำคัญ เรื่องความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินก็เป็นเรื่องที่สำคัญมาก เช่น ปลอดภัยจากโจร ปลอดภัยจากกล้องถ่ายวีดีโอคลิปที่ซ่อนอยู่ในสปริงเคิล บางครั้งทางโรงแรมมีการขอความร่วมมือจากนักท่องเที่ยวในการลดภาวะโลกร้อน แต่ทางโรงแรมมิได้ให้อะไรตอบแทนแก่นักท่องเที่ยว ในฐานะที่ให้ความร่วมมือ ควรจะมีคูปองในการเข้าพักแบบไม่หมดอายุเป็นการสร้างความจงรักภักดีของลูกค้า รีสอร์ทไกล ๆ ควรร่วมมือกับสถานพยาบาลในการดูแลรักษาพยาบาลเวลานักท่องเที่ยวเจ็บป่วย ไม่ควรใช้เทคโนโลยีล้ำสมัยจนเกินไป โทรทัศน์ควรเป็นชนิดเปิดติดง่าย และตัดบริการที่ไม่จำเป็นทิ้ง เช่น Pay TV เป็นต้น

ศ.ดร.จีระ หงส์ลดารมภ์ กล่าวเสริมว่า เจ้าของโรงแรมต้องสร้างจิตวิญญาณ ให้เกียรติและยกย่องคน ผู้จัดการทั่วไปที่ได้รับมอบหมายอาจเก่งด้านอื่นแต่ไม่เก่งการฝึกคน ควรจะมีการวางแผนพัฒนาผู้จัดการทั่วไปแบบ SMEs โดยรวมกลุ่มกันพัฒนาในเขตเดียวกัน

5. การแสดงความคิดเห็นในช่วงการอภิปราย

คุณไพบูลย์ สำราญภูติ ประธานกรรมการ บจก.ไพบูลย์ แอนด์ ซันส์ คอนซัลแดนท์ กล่าวว่า การพูดถึงคนและโรงแรม แต่ก็ต้องคิดถึงลูกค้าด้วยว่า เขาชอบโรงแรมเพราะอะไร พนักงานก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ลูกค้าชอบโรงแรม ต้องให้จิตวิญญาณคนที่ให้บริการ โรงแรมไม่ใช่อุตสาหกรรม จึงไม่ควรปลดคนออกจากงานในช่วงวิกฤติ

ดร.ชุมพล พรประภา ได้แสดงความเห็นว่า หลายท่านอาจเคยมีแขกวีไอพีมารับประทานอาหารที่โรงแรมแต่ไม่สามารถเรียกเก็บเงินกับเขาได้ คุณอากร ฮุนตระกูล แก้ปัญหานี้โดยให้แขกวีไอพีให้ทิปพนักงานโรงแรม ทำให้พนักงานรักเจ้านายด้วย

6. คำถามของผู้เข้าร่วมงานเสวนา

1. ทำไมผู้จัดการทั่วไป (GM) จึงเป็นฝรั่งมากกว่าคนไทย ทำอย่างไรจึงจะทำให้คนมีความรับผิดชอบ

คุณศุภฤกษ์ ศูรางกูร ตอบว่าในฐานะที่เป็นเจ้าของ ไม่อยากจ้างฝรั่ง ต้องจ้างเป็น Package มีที่พักและตั๋วเครื่องบินด้วยทำให้แพงมาก อันที่จริงแล้วอยากจ้างคนไทยมากกว่า แต่เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว คนไทยขาดความต่อเนื่อง ทำรายงานเฉพาะช่วงทดลองงาน แต่ฝรั่งทำรายงานทุกเดือน ดังนั้น จึงเลือกจ้างฝรั่งเพราะทำงานมีคุณภาพมากกว่า นอกจากนี้ ผู้บริหารไทยไต่เต้าจากระดับปฏิบัติการ และใช้วิธีล่างานด้วยการเขียน Resume ให้ดี แต่ประสบการณ์การทำงานไม่มากเท่าที่ควร เมื่อทางโรงแรมไปแทรกแซงมากก็ลาออก แต่ผู้บริหารฝรั่งเขียนขั้นตอนการทำงานและทำตามนโยบาย จึงจ้างฝรั่งเพื่อให้ได้เรียนรู้จากเขา

ศ.ดร.จีระ หงส์ลดารมภ์ กล่าวเสริมว่า ต้องคิดสร้างผู้บริหารไทยให้ก้าวสู่ระดับสูง การศึกษาของไทยต้องช่วยให้คนไทยมีสติปัญญา เรียนรู้ คนไทยยังขาดการติดตามผลและรายงาน ต้องขายความเป็นเลิศของคน โรงแรม และทำให้เขาไปทำงานที่ต่างประเทศได้ และต้องทำให้คนไทยมีระบบความคิดที่เป็นองค์รวมด้วย จะได้เป็นผู้บริหารที่ดี

ดร.ชุมพล พรประภา กล่าวว่า ตัวอย่างที่ประสบความสำเร็จและไม่ประสบความสำเร็จมีแล้วในประเทศไทย ปัญหา คือ สถาบันการศึกษาสอนแค่ความรู้ แต่ฝรั่งสอนคนให้ปฏิบัติจนติดเป็นนิสัย ตอนนี้โรงแรมได้เจรจากับ สกอ. ทำหลักสูตรสหกิจให้คนจบปริญญาตรีทำงาน 1 ปี หมุนเวียนทำงานในหลายตำแหน่ง เมื่อจบแล้วก็จะได้เงินเดือนเต็มวุฒิ

2. ทำอย่างไรให้อาจารย์ที่สอนการโรงแรมมีประสบการณ์การทำงานด้วย จะหาพนักงานทัศนคติดีได้ที่ไหน และจะปรับเงินเดือนอย่างไร

คุณณรงค์ สุทธิพงศ์พิธาน ให้คำตอบว่า ตนเองเริ่มงานตั้งแต่งานถูพื้น ทำอาหาร เป็นต้น ควรให้พนักงานรู้ว่า คือ งานของเขา เวลาทำงานจะบอกพนักงานให้พูดกันดี ๆ ปัญหา คือ คนมีประสบการณ์สอนไม่ได้เพราะไม่จบปริญญา ต้องเรียนต่อ ผู้จัดการทั่วไปก็ต้องดูรายรับ รายจ่าย ต้องปรึกษาเจ้าของโรงแรมเกี่ยวกับการจ่ายเงินเดือนและต้องมีการสื่อสารในองค์กรที่ดี ต้องให้ความรักด้วยแล้วพนักงานจะอยู่กับเรา เวลาทำงานอย่าวางอำนาจข่มคนอื่นมากเกินไป คุณภาพโรงแรมกำหนดได้จากคุณภาพที่ลูกค้าที่จะได้รับ

3. ทำอย่างไรจึงจะสร้างความท้าทายใหม่ ๆ ให้กับพนักงานในองค์กรได้

คุณสายสิริ ฮุนตระกูล กล่าวว่า บางครั้งต้องทำใจ เพราะยากที่จะสร้างความท้าทาย เรามีพนักงานไอที ต้องพยายามหาโครงการใหม่ ๆ ให้เขาทำ ตอนนี้มีโรงแรม Chain มาก ทำให้การแข่งขันยากขึ้นสำหรับ SMEs เพราะแพ้เรื่องเงินเดือน พอสนับสนุนให้คนไทยเป็นผู้บริหาร ก็ทำไม่ได้ โรงแรม Chain ก็มีฝรั่งมาทำงาน ทางโรงแรมมีความยินดีถ้าพนักงานลาออกไปแล้วมีอนาคตก้าวไกลขึ้น ประสบความสำเร็จและมีความสุข และหวังว่าเขาอาจกลับมาช่วยเราได้อีก แต่มีพนักงานบางคนที่เราสนับสนุนเขาไม่สำเร็จ เขาทำงานมานานแล้ว พอใจที่จะทำงานใน Comfort Zone คือ ทำงานไปเรื่อย ๆ โดยไม่อยากทำงานอย่างอื่นเพิ่มเติม นี่ก็ คือ ความพอเพียงของเขาที่พอใจแค่นี้ แต่บางคนเราก็ต้องเชิญเขาออก ในการสร้างความจงรักภักดี ก็ต้องมีน้ำใจกับพนักงาน

4. ควรมีธนาคารการท่องเที่ยวและโรงแรมหรือไม่ ในเมื่อมี ธกส. และธอส.

คุณวิโรจน์ สิตประเสริฐนันท์ กล่าวว่า การจะมีธนาคารการท่องเที่ยวและโรงแรม คงเป็นไปได้ยาก หลายธนาคารแข่งขันกันจนเกิด Sub-prime ธนาคารไม่ให้เงินแก่ธุรกิจท่องเที่ยว เพราะมีความเสี่ยงสูง สมัยก่อนมีวิกฤตต้มยำกุ้ง SMEs bank ให้เซ็นค้ำประกันกันเอง แต่ก็มีปัญหาการไม่ชำระหนี้ การตัดราคาค่าบริการเป็นเรื่องธรรมดาคล้าย ๆ กับปัญหาของบริษัททัวร์ ต้องอาศัยเครือข่าย เพื่อลดค่าใช้จ่ายต่าง ๆ และจะอยู่รอด

ดร.ชุมพล พรประภา กล่าวว่า  คนเรามองแต่ลูกจ้างแต่พูดถึงลูกค้าน้อยมาก  ขอให้เสียสละเงินมารวมกลุ่มกัน ให้ข้อมูลแก่ศูนย์บูรณาการพัฒนามนุษย์แล้วจะไปขอเงินจากรัฐมาช่วยทำวิจัย การที่ลูกน้องไม่จงรักภักดี อาจจะมีสาเหตุมาจากทั้งฝ่ายเจ้านายและลูกน้อง

ม.ล.ชาญโชติ ชมพูนุท กล่าวว่า คนไทยมีโอกาสน้อยกว่าฝรั่งที่ก้าวสู่ระดับสูง เจ้าของโรงแรมไม่ให้โอกาสคนไทยทำงานเป็นทีม ฝรั่งก็ทำตามเรื่องของเขา คนไทยยังไม่ได้รับการเรียนรู้จากฝรั่ง

7. ผลกระทบและการช่วยเหลือจากกองทุน FTA โดยคุณปรีชญา  พุดน้อย

คุณปรีชญา พุดน้อย หัวหน้ากลุ่มงานบริหารงานกองทุนฯสำนักสิทธิประโยชน์ กรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่าได้นำเสนอขั้นตอนในการเสนอโครงการ คือ กลุ่มเกี่ยวข้อง คือ ผู้ที่ได้รับผลกระทบทางลบจาก FTA ต้องจัดทำเป็นโครงการระยะสั้น 1-3 ปีในรูปแบบการวิจัย ฝึกอบรม ฝึกอาชีพพร้อมตารางการทำงาน วงเงินและตัวชี้วัดเสนอต่อฝ่ายเลขานุการ คือ กรมการค้าต่างประเทศ โดยเสนอผ่านสถาบันที่เกี่ยวข้องเพื่อรับรองว่ามีตัวตนอยู่จริง เช่น สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมฯ และหน่วยราชการอื่นที่เกี่ยวข้อง เป็นต้น

ปัจจุบันปีงบประมาณ 2552 ทางกองทุนฯ มีเงินที่สามารถช่วยเหลือเยียวยาผู้ประกอบการได้ประมาณ 165 ล้านบาท โดยผู้ประกอบการจะต้องเขียนโครงการเข้ามาเพื่อขอใช้เงิน ซึ่งทางกลุ่มงานมีหน้าที่ให้คำปรึกษาในการเขียนโครงการ หากผู้ประกอบการติดปัญหาขัดข้องประการใด อาจติดต่อมายังกลุ่มงานได้

8. ปัญหาและแนวทางแก้ไข  โดยคุณอุไรวรรณ อยู่ชา และคุณไพบูลย์ สำราญภูติ

มีการแบ่งเป็น 3 กลุ่ม เพื่อหารือปัญหาและแนวทางแก้ไขของธุรกิจโรงแรมอันเกิดจาก 3 ประเด็น คือ 1) Man หรือ คน 2) Management หรือการบริหารจัดการ และ 3) Marketing หรือการตลาด

กลุ่มที่ 1 หารือเรื่อง Man หรือ คน

· ปัญหาที่เกิดจากพนักงาน นายจ้าง เพื่อน ลูกค้า  หนีไม่พ้น

· เพื่อนและนายจ้างต้องทำให้พนักงานทำงานอย่างมีเป้าหมาย

· ควรสร้างการทำงานเป็นทีมตั้งแต่ระดับหัวหน้าแผนกลงสู่ระดับล่าง

· ควรสร้างทัศนคติให้พนักงานรักองค์กรเหมือนบ้าน โดยผู้บริหารองค์กรต้องรักองค์กรก่อน

· การพัฒนาบุคลากรและการคัดสรรบุคลากรเป็นเรื่องสำคัญ ต้องเลือกคนให้เหมาะกับงานพัฒนาบุคลากร

· ควรสร้างความรักและสามัคคีในองค์กร

· ควรสร้างจิตสำนึกและแรงจูงใจให้สร้างความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันระหว่างคนในองค์กร

· มี service mind

· ต้องทำให้ทุกคนได้รับประโยชน์แล้วจะได้อยู่ในองค์กรอย่างมีความสุข

· ควรส่งเสริมให้ดำเนินชีวิตตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง เพื่อแก้ปัญหาเงินเดือนไม่พอใช้ และหนี้สิน

กลุ่มที่ 2 หารือเรื่อง Management หรือการบริหารจัดการ

· ฝ่าย F&B กับฝ่ายขายมีปัญหากัน

· ธุรกิจในไทยเริ่มเปิดเสรี มีการขายคอนโดมีเนี่ยมแล้วทำเป็นโรงแรม

· สมองไหลมีสาเหตุมาจากเงินเดือน และคน สามารถแก้ได้โดยไปคลุกคลีกับพนักงานมากขึ้น ทำให้คนลาออกน้อยลง

· หัวหน้ามี EGO  สูงไม่อยากรับรู้อะไรใหม่ ๆ ดังนั้น ควรจ้างผู้บริหารใหม่

· การทำงานอยู่ในที่หนึ่งนาน ๆ สามารถมองได้ว่าเป็นพนักงานที่จงรักภักดีหรือเป็นคนที่ไม่มีที่ไป การบริหารจัดการต้องดูกำลังการให้สวัสดิการ แม้ว่าสวัสดิการดี ก็ยังมีคนลาออก ต้องทำให้ทุกฝ่ายได้ประโยชน์ร่วมกัน จะได้ไม่มีคนลาออก

กลุ่มที่ 3 หารือเรื่อง Marketing หรือการตลาด

· ปัญหาที่พบ ได้แก่ เรื่องราคา การเพิ่มลูกค้า ภาษี Supply มากกว่า Demand และการตัดสินใจของลูกค้า

· ควรตั้งราคาตาม labor ของแต่ละคนหรือระดับของโรงแรม เพราะการให้บริการในแต่ละจุดไม่เหมือนกัน

· ควรจะเป็นเครือข่ายข้ามจังหวัดตั้งเป็น Chain ของ SMEs

· ควรหาลูกค้าเพิ่มจากการสัมมนาจากภาครัฐและเอกชน คาดว่าสัมมนาของภาครัฐจะเพิ่มขึ้นปีหน้า

· ภาครัฐต้องประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวของไทยให้มากขึ้นเพิ่มเป็นปีละ 3 ครั้ง

· ควรเปิด e-marketing ให้หลากหลายมากขึ้น

· รัฐควรจะควบคุมจำนวนโรงแรมต่อพื้นที่

· การร้องเรียนของลูกค้าอาจจะมาจากโฆษณาเกินจริง

· ลูกค้าตัดสินใจเลือกโรงแรมเพราะ ราคา ทำเลและบริการ

· ควรจัดเครื่องอำนวยความสะดวกให้แก่คนพิการ และผู้สูงอายุเพื่อดึงดูดลูกค้ากลุ่มนี้เข้ามาพักที่โรงแรม

9. การระดมสมอง โดย คุณไพบูลย์ สำราญภูติ

1. คน ลูกน้อง ลูกจ้าง

· คุณสมบัติ คนดีอยู่ในงานที่ไม่เหมาะสม ธุรกิจโรงแรมมีความกดดันมาก ลูกค้าขอมาก มาตรฐานคนละแบบ คนทำงานบริการหน้าที่ต่างกันไป

· คุณลักษณะ ฝ่ายต้อนรับต้องบุคลิกดี บางงานไม่ต้องการพนักงานที่มีวุฒิการศึกษาสูงแต่ต้องมี service mind

· คุณภาพ

· คุณค่า ผู้บริหารต้องเอาใจใส่ความเป็นอยู่ของลูกน้องด้วย รวมทั้งอนาคต ไม่ควรขัดขวางไม่ให้ลูกน้องลาออก ถ้าโรงแรมสู้ที่อื่นไม่ได้

2. การบริหารจัดการ ลูกพี่ ลูกหลาน

· เป้าหมายการทำโรงแรมมีหลายแบบ

· นโยบาย

· วิธีการค่อนข้างละเอียด เรียนรู้ได้ ต้องเอาใจใส่ติดตาม

3. การตลาด ลูกค้า ความพึงพอใจ

· ราคา เวลาขายของ มักพบปัญหาราคา

· การให้บริการสำคัญมาก เรื่องลูกค้าต้องอยู่ที่จิตวิญญาณ วิธีแก้ปัญหา คือ ใช้ปัญญา คิดในมุมลูกค้า

· บรรยากาศ

คุณกิตติ คัมภีระ ที่ปรึกษาฝ่ายบริหารศูนย์บูรณาการพัฒนามนุษย์ (ศบม.) ได้เสนอความคิดเห็นว่า

· ควรสร้างเครือข่ายวิสาหกิจ (Cluster) โดยดูห่วงโซ่อุปทาน หาธุรกิจหลัก เช่น สายการบิน โรงแรม บริษัททัวร์ การคมนาคมขนส่ง มีต้นน้ำ คือ นักท่องเที่ยวภายในประเทศ นักสัมมนา แรงงานที่มีคุณภาพและเพียงพอ กลุ่มวัตถุดิบ มีปลายน้ำได้แก่ ธุรกิจบันเทิง ของที่ระลึก การท่องเที่ยวชุมชน

· ต้องสร้างความร่วมมือร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงแรงงาน กระทรวงพาณิชย์ สถาบัน และสมาคม

· ควรใช้ Stakeholder Dialogue ในการขับเคลื่อน

· เมื่อวิเคราะห์แล้ว ต้องไปหาเจ้าภาพตัวจริง ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญ ควรให้สถาบันการศึกษารับงานวิจัยไปทำ และต้องตอบว่าช่วยธุรกิจท่านได้อย่างไร

· Cluster Keywords ได้แก่

o ร่วมใจ แต่การท่องเที่ยว ใจไม่ค่อยมา

o ร่วมซื้อ การซื้อวัตถุดิบร่วมกันทำให้ได้ราคาถูก

o ร่วมให้บริการ

o ร่วมขาย

10. การปิดงานเสวนา โดย ม.ล.ชาญโชติ ชมพูนุท

ม.ล.ชาญโชติ ชมพูนุท เลขาธิการศูนย์บูรณาการพัฒนามนุษย์ (ศบม.) กล่าวสรุปปิดงานว่า งานเสวนาครั้งนี้เป็นการเริ่มต้นที่ดี การตั้งศูนย์บูรณาการพัฒนามนุษย์ เป็นการรวบรวมคนที่มีแนวคิดเดียวกันมาทำงานร่วมกัน พัฒนาคนแบบบูรณาการโดยได้รับการสนับสนุนจากหลายฝ่าย เช่น เนคเทค สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย มูลนิธิพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ระหว่างประเทศ และสมาคมการจัดการธุรกิจ ทางศูนย์จะมีกิจกรรมอบรมไอทีสำหรับงานโรงแรมเพื่อส่งไปทำงานในโรงแรม เมื่อจบหลักสูตรแล้ว นอกจากนี้ จะมีการทำวิจัยกลยุทธ์ที่จะทำให้โรงแรมระดับ SMEs มีความยั่งยืน และความรับผิดชอบต่อสังคมในธุรกิจท่องเที่ยวด้วย

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

สภาหอการค้าห่งประเทศไทย

ฝ่ายกฎระเบียบและการค้าระหว่างประเทศ

..วาสนา สมเนตร และ

นายวุฒิชัย เจตนากุล  สรุป

8  ธันวาคม   2551

 

 

พลังข้อมูล

พิมพ์ PDF

บทความเรื่อง When More Trumps Better โดย Evgeny  Morozov ใน นสพ. The Wall Street Journal ฉบับวันที่ ๑๕ - ๑๗ มี.ค. ๕๖ วิจารณ์ หนังสือ Big Data เขียนโดย Victor Mayer-Schonberger & Kenneth Cukier  ทำให้ผมรู้จัก Morozov เป็นครั้งที่ ๒  และชื่นชมในความเป็นผู้รอบรู้เรื่อง ICT ของเขา

สาระสำคัญก็คือ บริษัทให้บริการการสื่อสารผ่านอินเทอร์เน็ต อย่าง กูเกิ้ล มีข้อมูลมหาศาลอยู่ในมือ  และสามารถนำมาหาความหมายเพื่อใช้ทำนายแนวโน้มต่างๆ ได้  ดังที่ Morozov ขึ้นต้นบทความว่า ในปี ๒๕๕๓ Eric Schmidt ซึ่งตอนนั้นเป็น ซีอีโอ ของ กูเกิ้ล กล่าวว่า  ในบริษัทกูเกิ้ล เคยหารือกันว่า ข้อมูลที่มี มีมากพอที่จะนำมาใช้ทำนายหุ้นได้  แต่ก็มองว่าเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย  จึงไม่ได้ลงมือทำ

มิน่า ประเทศจีนจึงไม่ยอมให้ กูเกิ้ล เข้าไปทำธุรกิจโดยไม่ตกลงกันเรื่องการควบคุมข้อมูล

แม้ กูเกิ้ลจะไม่ทำนายตลาดหุ้น  แต่ก็ได้ทำนายแนวโน้มการระบาดของไข้หวัดใหญ่  และการที่กูเกิ้ลสแกนหนังสือหลายล้านเล่ม นำไปสู่สาขาวิชาที่ชื่อว่า “culturomics”  และเครื่องมือของ กูเกิ้ล ชื่อ Ngram Viewer ช่วยให้เข้าใจวิวัฒนาการของความหมายของคำ เช่น ประชาธิปไตย  เสรีภาพ

ผู้เขียนหนังสือ Big Data ชี้ให้เห็นว่า บริษัทอย่างกูเกิ้ล ที่มีข้อมูลมากมายอยู่ในมือ มีอำนาจมหาศาลที่จะเขย่าโลกในด้านต่างๆ  ได้แก่ ธุรกิจ  วิทยาศาสตร์  บริการสุขภาพ  รัฐบาล  การศึกษา  เศรษฐกิจ  มนุษยธรรม  และด้านอื่นๆของสังคม

เขาบอกว่า การใช้ประโยชน์ Big Data มีการทำมาแล้วตั้งแต่ศตวรรษที่ ๑๙ โดย Commodore Maury โดยตกลงกันให้เรือเดินสมุทรเขียนบอกตำแหน่งเรือและสภาพการเดินเรือใส่ขวดลอยน้ำ  ทำเช่นนี้เป็นระยะๆ  การแลกเปลี่ยนข้อมูลกันเช่นนี้ ช่วยให้เส้นทางการเดินเรือสั้นลงถึงหนึ่งในสาม

ผู้เขียนหน้งสือบอกว่า Big Data ช่วยให้เราพุ่งความสนใจไปที่ความสัมพันธ์ หรือการตอบคำถาม what  ไม่ต้องเสียเวลาและยุ่งยากกับการตอบคำถาม why  เพราะ big data มันรวมเอาทุกเหตุผลมาตอบเป็นความสัมพันธ์ มองเห็นลู่ทางไปข้างหน้า

แต่ Morozov เถียงว่า วิธิคิดเช่นนั้นอาจมีปัญหาในบางกรณี  ยกตัวอย่างโรคอ้วน หากผู้บริหารเชื่อวิธีคิดของผู้เขียนหนังสือ  โดยทราบว่าการแก้ปัญหาโรคอ้วนทำโดยเดินหรือเคลื่อนไหวร่างกายมากๆ  ก็จะดำเนินการแจก pedometer หรือเครื่องวัดก้าวเดิน  อย่างที่เมืองไทยเราทำกัน โดยระบุว่าเดินให้ได้วันละ ๑๐,๐๐๐ ก้าว  โดยลืมไปว่าไม่มีที่ให้คนเดิน

ผมอ่านคำวิจารณ์ทั้งหมดแล้ว เถียงว่า การใช้ Big Data ของทั้งโลก  และวิเคราะห์ออกมาเป็นความหมายที่ใช้ได้ทั้งโลก ดูจะหน่อมแน้มไปหน่อย  โลกเราประกอบด้วย subculture มากมาย  ที่มีบริบทแตกต่างกัน  ไม่มีทางที่จะเหมือนแนวโน้มโลกหนึ่งเดียวไปได้

 

วิจารณ์ พานิช

๑๗ มี.ค. ๕๖

บนเครื่องบิน สายการบิน เอเอ็นเอ จาก โตเกียว กลับกรุงเทพ

คัดลอกจาก http://www.gotoknow.org/posts/535413

 

ความหมายของชีวิต

พิมพ์ PDF

 

บันทึก ๒๐ ตอนนี้ ได้จากการตีความหนังสือ  The Heart of Higher Education : A Call to Renewal เขียนโดยผู้มีชื่อเสียง ๒ ท่านคือ Parker J. Palmer และ Arthur Zajonc ซึ่งเมื่อผมอ่านคร่าวๆ แล้ว ก็บอกตัวเองว่า  นี่คือข้อเสนอสู่การเรียนรู้เพื่อเป็นคนเต็มคน ที่มี “พลังสาม” เข้มแข็ง คือ สมอง ใจ และวิญญาณ (head, heart, spirit)  หรือพูดด้วยคำที่ฮิตในปัจจุบันคือ การเรียนรู้เพื่อการเปลี่ยนแปลงขั้นพื้นฐาน (Transformative Learning)

แม้ว่าหนังสือเล่มนี้จะเน้นเสนอการเปลี่ยนแปลงในระดับอุดมศึกษา  แต่ผมมีความเชื่อว่าต้องใช้กับการศึกษาทุกระดับ  รวมทั้งการศึกษาตลอดชีวิต  และตัวผมเองก็ต้องการนำมาใช้ฝึกปฏิบัติเองด้วย

ผมตั้งเป้าหมายในการอ่านและตีความหนังสือเล่มนี้  ออกบันทึกลง บล็อก ชุด เรียนรู้บูรณาการพลังสาม ว่า ต้องการเจาะหาแนวทางทำให้จิตตปัญญาศึกษา เข้าสู่การศึกษากระแสหลัก  เพื่อให้คนไทยมีทักษะจิตตภาวนาบูรณาการอยู่ในทักษะแห่งศตวรรษที่ ๒๑  เป็นส่วนหนึ่งของทักษะชีวิต

การเรียนรู้บูรณาการ (สมอง ใจ และวิญญาณ) พัฒนา ๓ ด้านไปพร้อมๆ กัน  และส่งเสริมเกื้อกูลซึ่งกันและกัน  ในภาษาอังกฤษเรียกว่า Integrative Learning  ในบางที่เรียกว่า Transformative Learning ซึ่งแปลเป็นไทยได้ว่า การเรียนรู้เพื่อการเปลี่ยนแปลงระดับรากฐาน  คือเปลี่ยนจากติดสัญชาตญาณสัตว์ เป็นมีจิตใจสูง ซึ่งมนุษย์ทุกคนบรรลุได้   บรรลุได้ในฐานะบุคคลทางโลก ไม่ต้องเข้าวัด หรือไม่ต้องบวช

ในบทที่ ๓ ของหนังสือชื่อบทคือ Beyond the Divided Academic Life  ผู้เขียนคือ Arthur Zajonc  ศาสตราจารย์สาขาฟิสิกส์  และเป็นผู้สนใจศาสนาพุทธ  ได้เขียนหนังสือไว้หลายเล่ม อ่านได้ ที่นี่ ท่านเล่าชีวิตของตนเองสมัยเป็น นศ. ระดับปริญญาตรีที่มหาวิทยาลัยมิชิแกน แอนน์ อาร์เบอร์  ที่ผลการเรียนตอนอยู่ปี ๑ ดีมาก  ปี ๒ แย่ลง  และร่อแร่ตอนปี ๓  จิตตกจนคิดจะออกจากมหาวิทยาลัย  จนได้คุยกับศาสตราจารย์ท่านหนึ่ง จึง “เกิดการเปลี่ยนแปลงระดับรากฐาน”  มีความสุขในการเรียน  เพราะหาความหมายในทุกวิชาที่เรียนพบ  เห็นคุณค่าของวิชาเหล่านั้น  คือนอกจากเรียนวิชาแล้วยังเรียนค้นหาคุณค่าของวิชานั้นๆ ด้วย  ว่ามีความหมายต่อชีวิตของตนอย่างไร

ทำให้ผมหวนระลึกถึงเรื่อง พ่อสอนลูกง่ายๆ ด้วยคำถาม บันทึกนี้

มนุษย์เป็นสัตว์ที่มีสมองพิเศษ ที่นอกจากต้องการเรียนรู้ด้านนอก (คือรู้จักโลก รู้จักสังคม) แล้ว  ยังหิวกระหายการเรียนรู้ด้านใน เพื่อสนองสมองด้านจิตวิญญาณ  หรือหิวกระหายการเรียนรู้ด้านคุณค่าในชีวิต ด้วย  หรืออาจกล่าวว่า มนุษย์มีธรรมชาติ “ค้นหาเทพภายในตน”

ตราบใดที่ชีวิตยังแยกระหว่างงานกับคุณค่า  งานกับอุดมการณ์  ชีวิตของคนเราจะสับสน ว้าเหว่ ไร้คุณค่า  การศึกษาต้องนำพามนุษย์สู่จุดบรรจบระหว่างการแยกส่วนนี้ให้ได้  คำตอบอยู่ที่การเรียนรู้บูรณาการ

การแยกส่วนมีหลายมิติ  แต่ที่ก่อความเสียหายร้ายแรงที่สุดคือการแยกส่วนภายในตน ภายในตัวคน  ที่แยกระหว่างการเลี้ยงชีพหรือการดำรงชีวิต กับอุดมคติ  และปล่อยให้อุดมการณ์ภายในตนกลายเป็น “อุดมการณ์แห่งซาตาน” ไม่เป็น “อุดมการณ์แห่งเทพ”

ศ. ซาย้อง เล่าว่า เมื่อตนได้รับคำแนะนำจากศ. Ernst Katz ให้รู้จักการภาวนา (contemplation)  และรู้จักนักปรัชญา Rudolf Steiner ชีวิตของท่านก็เปลี่ยนไปเป็นชีวิตที่มีพลัง   วิชาต่างๆ ที่เคยแห้งแล้ง กลับมีชีวิตเต้นเร่าอยู่ตรงหน้าหรือในใจ  ดั่งที่ ไอน์สไตน์เคยกล่าวว่า “We animate what we can, we see only what we animate. Nature and books belong to the eyes that see them.”  “เราให้ชีวิตแก่สรรพสิ่ง  เราเห็นเฉพาะสิ่งที่เราปลุกให้มีชีวิตได้  ธรรมชาติและหนังสือมีความหมายต่อผู้ที่เข้าถึงได้เท่านั้น”


เอาใจใส่ปณิธาน หรือเป้าหมายเชิงอุดมการณ์ (purpose)

เราคุยกันเรื่องเป้าหมายของอุดมศึกษาน้อยไป  เป้าหมายของอุดมศึกษาไม่ได้มีแค่ให้รู้วิชา  หัวใจคือเพื่องอกงามจินตนาการ (imagination) และประสบการณ์ (experience)   และบูรณาการ ๒ สิ่งนี้ให้ส่งเสริมยกระดับซึ่งกันและกัน   เกิดเป็นปัญญาญาณ (intuition)

อุดมศึกษาเอาใจใส่เรื่องนี้น้อยไป (ที่จริงการศึกษาทุกระดับต้องเอาใจใส่เรื่องนี้)   การเรียนเพื่อรู้วิชาเป็นเพียงจุดเริ่มต้น  การศึกษาที่แท้ ต้องไปให้ถึงการบูรณาการ วิชาการ จินตนาการ ประสบการณ์  สู่ปัญญาญาณ

เป้าหมายของการศึกษาอุดมศึกษาระดับปริญญาตรีต้องเลยเป้าหมายอาชีพ และความเป็นพลเมือง สู่การพัฒนาให้เต็มศักยภาพ

การศึกษาต้องเลยจากความจริง และเหตุผล  ไปสู่สิ่งที่ไม่ชัดเจน และเหนือเหตุผล


มิจฉาทิฐิของการศึกษาในปัจจุบัน

การศึกษาในปัจจุบัน ตกอยู่ใต้วิธีคิดใน(คริสต)ศตวรรษที่ ๑๙  ที่ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ (ในสมัยนั้น) และอุตสาหกรรม ครอบงำความคิดและระบบต่างๆ ของสังคม  รวมทั้งระบบการศึกษา  ความรู้ที่เป็นกลไก พิสูจน์ได้ด้วยกระบวนการวิทยาศาสตร์ เห็นชัดจากเทคนิคที่จับต้องได้ เป็นเป้าหมายของการศึกษา

ในโลกทัศน์เช่นนี้ ความรู้เป็นสิ่งที่เฉื่อยชา และเป็นรูปธรรม  การศึกษาคือการสอนให้เด็กรู้จักใช้ความรู้ที่ตนสะสมมาจากโรงเรียน  การศึกษาแห่งศตวรรษที่ ๑๙ นี้ ละเลยธรรมชาติของการเรียนรู้ว่าต้องฝังแฝงอยู่ในสังคม และมีมิติเชิงจริยธรรม

ตัวต้นเหตุของมิจฉาทิฐินี้คือวิทยาศาสตร์ (เชิงกลไก ที่พัฒนาขึ้นในศตวรรษที่ ๑๙)  ดังนั้น ศ. ซาย้องค์ ในฐานะนักวิทยาศาสตร์ จะอธิบายวิทยาศาสตร์ใหม่ ที่เป็นวิทยาศาสตร์แห่งศตวรรษที่ ๒๑  สำหรับนำมาใช้สร้างทิฐิใหม่ของการศึกษา

การศึกษาปัจจุบัน เป็นการศึกษาที่ล้าสมัย  เป็นมิจฉาทิฐิ  คือเป็นการศึกษาที่สอนให้ไม่เชื่อประสบการณ์ตรงของตน  ให้เชื่อเฉพาะสิ่งที่ผ่านการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์มาแล้วเท่านั้น  เมื่อปลูกฝังกันมาเช่นนี้ ผู้คนก็ไม่มีความมั่นใจในตนเอง ที่จะใช้ประสบการณ์ตรงของตน ในการตีความทำความเข้าใจเพื่อเรียนรู้ตลอดชีวิต  ไม่กล้าทำสิ่งที่เรียกว่าการเรียนรู้แบบ Constructionism หรือ Action Learning  หรือการเรียนแบบงอกงามความรู้ขึ้นภายในตน  ไม่กล้าสร้างความรู้ด้วยตนเอง  ได้แต่รอรับการถ่ายทอดความรู้จาก “ผู้รู้”

ประสบการณ์ตรงของมนุษย์ คือจุดเริ่มต้นของการเรียนรู้ที่ทรงพลังที่สุด

หนังสือเล่มนี้ จึงมีเป้าหมายเพื่อนิยามทั้งคำว่า “ความรู้” และ “การเรียนรู้” เสียใหม่   และต้องการลบล้างมิจฉาทิฐิ ที่แยกการศึกษา กับมิติทางจิตวิญญาณ ออกจากกัน


ขยายจักรวาลในตน

หากจะให้การศึกษา (การเรียนรู้) ของตัวเราเองเป็นการเรียนรู้ที่ทรงพลังแห่งยุคสมัยปัจจุบัน  ต้องเปิดตัวตนของเรา เปิดรับประสบการณ์รอบด้าน  ทั้งด้านผัสสะ (sensorial)  ด้านอารมณ์ (emotional)  และด้านปัญญา (intellectual)

นอกจากประสบการณ์ที่รับรู้จากโลกภายนอกแล้ว  เรายังมีประสบการณ์ด้านในของตัวเราด้วย  ประสบการณ์ด้านนอก และประสบการณ์ด้านใน รวมกันเป็น ประสบการณ์แห่งมนุษย์ (human experience)

การศึกษาแบบมิจฉาทิฐิ คือการศึกษาที่ละเลยไม่ยอมรับประสบการณ์แห่งมนุษย์ เป็นปัจจัยของการเรียนรู้  หรือลดทอนมันลงไปเป็นเพียงการเชื่อมต่อใยประสาท

การศึกษาแบบมิจฉาทิฐิ คือการศึกษาที่หยุดอยู่ที่การเรียนแบบแยกส่วน เจาะลึกลงไปในกลไกธรรมชาติเป็นส่วนๆ  ไม่เอาใจใส่ ไม่ยอมรับการเรียนรู้แบบบูรณาการส่วนย่อยเหล่านั้นพร้อมๆ กันในสถานการณ์จริง  นำไปสู่สภาพไร้ชีวิต  ความรับรู้ (consciousness), วิญญาณ (soul), และชีวิตจิตใจ (spirit)

การศึกษาแบบบูรณาการคือการศึกษาที่ไม่ปฏิเสธการรับรู้ในมิติใดๆ


ขยายโลกทัศน์ให้กว้าง ไร้ขอบเขต

การเรียนรู้ที่แท้ คือการเรียนรู้ที่เปิดกว้าง  เปิดรับประสบการณ์ทุกด้าน  ไม่จำกัดหรือปฏิเสธการรับรู้ด้านใดๆ เลย

ในสภาพเช่นนี้ ครูก็จะมีมุมมองต่อ นศ. แบบมองทุกส่วนของ นศ.  ไม่ใช่มองแบบแยกส่วน  เฉพาะด้านที่จดจำความรู้เท่านั้น


หลักฐานทางวิทยาศาสตร์ ช่วยขยายความหมายของความรู้ (ว่าเป็นสมมติ)

แม้ว่าการทดลองทางวิทยาศาสตร์ จะได้รับคำตำหนิว่าทำให้เกิดความรู้แบบกลไกและแยกส่วน  แต่ความก้าวหน้าของวิทยาศาสตร์ก็ช่วยให้หลักฐานสนับสนุนความรู้แบบบูรณาการ  เวลานี้มีวิทยาศาสตร์แขนง อภิปรัชญาเชิงทดลอง (Experimental Metaphysics)

จากทฤษฎีฟิสิกส์ใหม่ คือทฤษฎีควอนตัม และทฤษฎีสัมพัทธภาพ  เป็นที่รู้กันว่าสิ่งที่รับรู้กันว่าเป็นความจริง ได้แก่ ความยาว มวล และเวลา ไม่คงที่  ขึ้นอยู่กับความสัมพันธ์เชิงการเคลื่อนไหวระหว่างวัตถุกับผู้สังเกต  ดังนั้นสิ่งที่ยาว ๒ เมตร หากเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูงมาก (ใกล้ความเร็วของแสง) จะยาวไม่ถึง ๒ เมตร  และในสภาพเดียวกัน นาฬิกาเดินช้าลง

การทดลองเช่นนี้ ช่วยบอกเราว่าสรรพสิ่งเป็นสมมติ  ไม่ใช่จริงแท้  คนเราควรกล้าหาญที่จะหาทางมองหรือทำความเข้าใจสิ่งต่างๆ เหตุการณ์ต่างๆ ด้วยสมมติที่แตกต่างกัน  ยิ่งสามารถหามุมมองที่หลากหลายได้มากเท่าไร  เราก็จะเข้าใจสิ่งต่างๆ เหตุการณ์ต่างๆ ได้มากขึ้นเท่านั้น  และเป็นการขยายมุมมองต่อสรรพสิ่ง จากเป็นวัตถุ สู่ความสัมพันธ์และเหตุการณ์  และสู่ความรู้ที่ “เหนือปรากฏการณ์” (epiphenomenon)  หรือเข้าใจเบื้องหลังของปรากฏการณ์


ความเป็นองค์รวมระดับอนุภาค

ท่านผู้เขียนอธิบายเหตุผลของการเปลี่ยนโลกทัศน์ของวิทยาศาสตร์ จากมองสรรพสิ่งเป็นสสาร (matter) และแรง (force)  ไปสู่การมองเป็นสารสนเทศ (information) และความรู้ (knowledge)  และความรู้ไม่ได้เป็นสิ่งของ (object) แต่เป็นเหตุการณ์ (event)

การเรียนรู้เริ่มจากการสังเกตง่ายๆ  แล้วค่อยๆ ซับซ้อนขึ้น ผ่านการทบทวนสะท้อนความคิด (reflection)  การให้เหตุผล (reasoning)  แล้วสังเกตใหม่ เป็นวงจรต่อเนื่องยกระดับขึ้นไม่สิ้นสุด  จนเกิดความเข้าใจลึกซึ้ง (insightful understanding)


เอาใจใส่ประสบการณ์ สู่ความรู้จริง(insight)

แม้ว่าประสบการณ์ของผู้คนจะหลากหลาย ในที่สุดก็จะถักทอกันกลายเป็นหนึ่ง  เป็นจักรวาลหนึ่งเดียว ที่มีหลายหน้า แต่มีแกนในแกนเดียว  ความรู้ฟิสิกส์ใหม่นำเราให้รู้จักโลกแห่งชีวิตแบบใหม่ ที่เป็นโลกแห่งประสบการณ์

ในโลกนี้ ประสบการณ์แห่งมนุษย์เป็นศูนย์กลางของความรู้ และการเรียนรู้ทั้งปวง  นำไปสู่การศึกษาแนวใหม่  ที่มีความเท่าเทียมกันของมุมมองที่หลากหลาย หรือเป็นขั้วตรงกันข้าม  ได้แก่ ประสบการณ์ - เหตุผล, ชีววิทยาของสิ่งมีชีวิตทั้งตัว และนิเวศวิทยา - ชีววิทยาระดับอณู, จิตวิทยา - ประสาทวิทยาศาสตร์, วรรณคดี - computational linguistics, เป็นต้น

ยุคของวิทยาศาสตร์แข็ง (hard science) เกิดจากอภิปรัชญาแนววัตถุและกลไก  บัดนี้เรารู้ว่าอภิปรัชญาแบบนั้นมีข้อจำกัด  หรือยังไม่ใช่ความจริงทั้งหมด  แต่ก็มีส่วนที่ดี คือการตั้งคำถาม และแสวงหาหลักฐานมาตอบคำถาม  เวลานี้จึงมีการศึกษาที่บูรณาการทั้งวิทยาศาสตร์แข็งและวิทยาศาสตร์อ่อน (soft science) เข้าด้วยกัน  เคลื่อนตัวจากการเรียนรู้วัตถุ (object) สู่การเรียนรู้แจ้ง (insight)  ที่หลอมรวมประสบการณ์เชิงวัตถุภายนอกกาย  เข้ากับประสบการณ์ภายในจิตใจของแต่ละคน  อันได้แก่ความรู้สึกรัก - เกลียด, ความไว้เนื้อเชื่อใจ - ความอิจฉาริษยา, จิตใจที่ฟูเฟื่อง - ความหดหู่ เป็นต้น

ความท้าทายของ soft science ซึ่งมีธรรมชาติเป็น qualitative (เชิงคุณภาพ) หรือเป็นนามธรรม  ยากต่อความแม่นยำ  เป็นเรื่องท้าทายที่จะทำให้น่าเชื่อถือ  ความน่าเชื่อถือได้จากการตรวจสอบโดยคนที่มีประสบการณ์เดียวกัน  ซึ่งในทางวิทยาศาสตร์แข็งเรียกว่า peer review ก็น่าจะใช้ได้กับการประเมินตรวจสอบประสบการณ์ด้านใน

ประสบการณ์ด้านใน สามารถเป็นกระบวนการสืบค้นแบบหนึ่ง  ที่ใช้ร่วมกันกับการสืบค้นด้านนอกด้วยวิทยาศาสตร์แข็ง  เพื่อนำไปสู่การรู้แจ้งที่แท้จริง


สู่ความจริง

การเรียนรู้ที่แท้ตามที่กล่าวข้างต้น ต้องการความเป็นชุมชน หรือความใกล้ชิดไว้เนื้อเชื่อใจกัน  ในสถาบันอุดมศึกษาขนาดใหญ่ เรื่องนี้เป็นความท้าทาย  ว่าทำอย่างไร นศ. จะรู้สึกอบอุ่น ไม่ว้าเหว่  รู้สึกว่าตนเป็นส่วนหนึ่งของประชาคม  เป็นวิธีการที่จะกล่าวถึงในบันทึกตอนหลังๆ  เพราะจะมีรายละเอียดอยู่ในภาคผนวก

 

วิจารณ์ พานิช

๒๐ ม.ค. ๕๖

คัดลอกจาก http://www.gotoknow.org/posts/535527

 

 

แก้ไขล่าสุด ใน วันเสาร์ที่ 11 พฤษภาคม 2013 เวลา 14:46 น.
 


หน้า 487 จาก 558
Home

About Us

ศูนย์บูรณาการพัฒนามนุษย์ (ศบม.) เป็นองค์กรที่พัฒนาและจัดทำโครงการเพื่อทำประโยชน์ให้สังคม เป็นองค์กรสนับสนุนการดำเนินงานของภาครัฐ ช่วยแก้ปัญหาผู้ประกอบการภาคธุรกิจบริการที่ขาดแคลนบุคลากรที่มีมาตรฐานในการให้บริการ
อ่านเพิ่มเติม

มูลนิธิศูนย์บูรณาการพัฒนามนุษย์ ์

 iHDC Profile
บัญชีรายชื่อกรรมการ
ใบสำคัญแสดงการจดทะเบียน การเปลี่ยนแปลงกรรมการของมูลนิธิ
เอกสารประชาสัมพันธ์ โครงการ HMTC.pdf
เอกสารแนะนำโครงการ HMTC 1.pdf
เอกสารโครงการ HMTC 2 คุณสมบัติผู้เข้าร่วมโครงการ.pdf
iHDC นิติบุคคล.pdf
iHDC บุคคล.pdf
iHDC บุคคลเครือข่าย.pdf
รายงานการประชุม 6 มีนาคม 2560.pdf
ข้อบังคับมูลนิธิ
ใบสำคัญแสดงการจดทะเบียนจัดตั้งมูลนิธิ
Ihdc-Profile and Roadmap 2016-2019 Mar 23 2560.pdf
รายงานการประชุมใหญ่คณะกรรมการมูลนิธิศูนย์บูรณาการพัฒนามนุษย์ 2559.pdf
คำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการ สาขาวิชาชีพ.pdf
รายงานการประชุมใหญ่วันที่ 18 ธ ค 2558 v 3.pdf
รายงานการประชุม วันที่ 24 ธันวาคม 2557 updated 4 มีนาคม 2558.pdf
iHDC-invitation Letter.doc
iHDC-Member Form Thai.doc
iHDC-Member Form English.doc
รายงานการประชุมกรรมการมูลนิธิศูนย์บูรณาการพัฒนามนุษย์ วันที่ 15 มกราคม 2556 ฉบับสมบูรณ์


thaibetter
พัฒนาประเทศไทยแบบทวีคูณ และยั่งยืน ( ททค )

Login


แบบสำรวจ

สถิติเว็บไซด์

สมาชิก : 5609
Content : 3052
เว็บลิงก์ : 26
จำนวนครั้งเปิดดูบทความ : 8628879

facebook

Twitter


บทความเก่า