Thaiihdc.org

  • เพิ่มขนาดตัวอักษร
  • ขนาดตัวอักษรปกติ
  • สดขนาดตัวอักษร
Thaiihdc.org

การเรียนรู้เกิดขึ้นอย่างไร : ๗. ยุทธศาสตร์สร้างแรงจูงใจ

พิมพ์ PDF

บันทึก ๑๖ ตอนนี้ มาจากการตีความหนังสือ How Learning Works : Seven Research-Based Principles for Smart Teachingซึ่งผมเชื่อว่า ครู/อาจารย์ จะได้ประโยชน์มาก หากเข้าใจหลักการตามที่เสนอในหนังสือเล่มนี้  ตัวผมเองยังสนใจเพื่อเอามาใช้ปรับปรุงการเรียนรู้ของตนเองด้วย

ตอนที่ ๗ นี้ มาจากบทที่ 3  What Factors Motivate Students to Learn?

บันทึกตอนที่ ๖อธิบายหลักการเรื่องทฤษฎีว่าด้วยแรงจูงใจในการเรียน และยุทธศาสตร์ในการกำหนดคุณค่า และตอนที่๗ว่าด้วยเรื่องยุทธศาสตร์ทำให้ นศ. มีความมั่นใจว่าจะเรียนได้สำเร็จและยุทธศาสตร์ในการจัดการปฏิสัมพันธ์ระหว่างคุณค่าและความมั่นใจ

ในบันทึกตอนที่ ๖ ได้กล่าวถึงยุทธศาสตร์สร้างแรงจูงใจในการเรียนยุทธศาสตร์แรกไปแล้ว  คือเรื่องการจัดการคุณค่า (Values)  ในตอนที่ ๗ จะกล่าวถึงยุทธศาสตร์ที่ ๒  การจัดการความมั่นใจว่าจะเรียนได้สำเร็จ  และยุทธศาสตร์ที่ ๓  การจัดการปฏิสัมพันธ์ระหว่างคุณค่าและความมั่นใจ


ยุทธศาสตร์ที่ช่วยให้ นศ. มีความมั่นใจว่าจะเรียนได้สำเร็จ

 


ทำให้วัตถุประสงค์ การประเมิน และกระบวนการเรียนรู้สอดคล้องไปในทางเดียวกัน

เมื่อ นศ. เข้าใจวัตถุประสงค์ของการเรียน และเกณฑ์ในการประเมิน อย่างถ่องแท้  และในการเรียน นศ. ก็ได้ทำแบบฝึกหัดและการป้อนกลับ (feedback) อย่างสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของการเรียน และเกณฑ์การประเมิน  นศ. ก็จะเกิดความมั่นใจในการเรียน  และเกิดแรงจูงใจต่อการเรียน

 


มอบหมายงานที่มีระดับความท้าทายเหมาะสม

งานที่มีระดับความท้าทายเหมาะสมไม่เหมือนกัน สำหรับ นศ. ต่างคน  ขึ้นกับพื้นความรู้เดิม และขึ้นกับเป้าหมายที่ นศ. แต่ละคนตั้งไว้  ครูต้องหาทางทำความรู้จักพื้นความรู้ และเป้าหมาย ของ นศ. ทั้งชั้น และของ นศ. เป็นรายคน  สำหรับนำมาใช้ในการมอบหมายงาน ให้ได้ระดับที่เหมาะสม

การทำความรู้จักพื้นความรู้และเป้าหมายของ นศ. ทำได้ด้วยกิจกรรมต่อไปนี้  (๑) การทดสอบและกรอกแบบสอบถามตอนต้นเทอม  (๒)​ ตรวจสอบ course syllabus ของวิชาและผลการเรียน ที่เรียนในเทอมก่อน  (๓) อาจขอแผนการสอนของอาจารย์ที่สอนในเทอมก่อนมาดู  (๔) คุยกับอาจารย์ที่สอนในเทอมก่อน สอบถามเป้าหมาย ความคาดหวัง และผลการเรียนของ นศ.  (๕) อาจขอไปนั่งสังเกตการณ์ในห้องเรียนของ นศ. ที่ในเทอมหน้าจะมาเรียนกับตน

 


จัดให้มีความสำเร็จในเบื้องต้น

ยุทธศาสตร์ “จัดให้มีความสำเร็จในเบื้องต้น”  สำคัญมากสำหรับวิชาที่ นศ. เล่าลือกันว่าเรียนยาก  และเป็นวิชาบังคับที่ต้องเรียนให้ผ่าน  การมอบหมายงานที่ค่อนข้างง่ายในเบื้องต้นเพื่อเรียกกำลังใจของ นศ.  และเพื่อเป็นเครื่องซักซ้อมวิธีเรียน  มีความสำคัญอย่างยิ่ง

ตัวอย่างเช่น เริ่มต้นโดยมอบโครงงานเล็กๆ ที่ใช้เวลาสั้นๆ ทำ ก่อน โดยแบ่งคะแนนมาให้ไม่มากนัก  เมื่อ นศ. ได้เกรดดี และเกิดความมั่นใจในการเรียน จึงมอบโครงงานขนาดใหญ่ตามปกติ


ระบุความคาดหมายของครูอย่างชัดเจน

ครูพึงบอก นศ. อย่างชัดเจน ว่าการเรียนวิชานั้นให้ผ่าน นศ. ต้องทำอะไรได้บ้าง  ขั้นตอนการเรียนรู้เป็นอย่างไรบ้าง  ปัญหาหรืออุปสรรคที่ นศ.​อาจเผชิญคืออะไรบ้าง  โดยครูพร้อมเสมอที่จะช่วยเหลือให้ นศ. ฟันฝ่าอุปสรรคไปสู่ความสำเร็จให้ได้  บอกวิธีติดต่อขอความช่วยเหลือ   โดยเป้าหมายคือ ช่วยให้ นศ. มี positive outcome expectancy  คือเชื่อมั่นว่าตนสู้ได้ บรรลุผลสำเร็จในการเรียนวิชานี้ได้

 


แจ้ง rubrics การประเมิน

นี่คือหลัก “ข้อสอบไม่เป็นความลับ” สำหรับการเรียนรู้ในศตวรรษที่ ๒๑  เมื่อ นศ. ได้รับรู้ว่าแนวทางสอบจะเป็นอย่างไร  นศ. ก็ชัดเจนว่าตนต้องเรียนให้รู้อะไร ทำอะไรได้  ในระดับความซับซ้อนแค่ไหน  ความเชื่อมั่นว่าตนจะเรียนได้สำเร็จก็จะเกิดตามมา

 


ให้การป้อนกลับอย่างมีเป้าหมาย

การป้อนกลับ (feedback) เป็นการให้ข้อมูลเกี่ยวกับความก้าวหน้าสู่เป้าหมาย  และจะมีผลต่อแรงจูงใจในการเรียนได้เป็นอย่างดี   การป้อนกลับที่สร้างสรรค์ ช่วยบอกจุดแข็ง จุดอ่อน และแนะวิธีเพิ่มจุดแข็งในอนาคต  จะมีรายละเอียดในหนังสือบทที่ ๕

 


ยุติธรรม

ครูต้องแสดงความยุติธรรมต่อ นศ. อย่างเท่าเทียมกัน  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อการให้คะแนนทำโดยคนหลายคน  หาก นศ. รู้สึกว่าเกณฑ์ในการให้คะแนนแก่ตนแตกต่างจากเกณฑ์ที่ใช้กับคนอื่น  นศ. อาจถอดใจ

 


ช่วยให้ นศ. เข้าใจถูกต้องเกี่ยวกับความสำเร็จและความล้มเหลว

ความเข้าใจผิด ของ นศ. เกี่ยวกับปัจจัยที่นำไปสู่ความสำเร็จและความล้มเหลวในการเรียน มีส่วนลดทอนความเชื่อมั่นในตนเองด้านการเรียน  ครูพึงช่วยแก้ความเข้าใจผิดนั้น  เช่น เข้าใจว่าตนจะเรียนผ่านวิชานั้นได้ยาก เพราะตนไม่เก่งเรื่องตัวเลข  ไม่เก่งด้านรายละเอียด  หรือหัวไม่ดี เป็นต้น

ครูพึงช่วยให้ นศ. เข้าใจถูกต้อง ว่า ปัจจัยของความสำเร็จ ขึ้นกับการมีวิธีเรียนที่ถูกต้อง  ความขยันและรู้จักจัดการเวลา

 


ระบุยุทธศาสตร์การเรียนที่ได้ผล

ในกรณีของ นศ. ที่ผลการเรียนล้มเหลว  ครูต้องพูดคุยเรื่องวิธีเรียน หรือพฤติกรรมการเรียน  เพื่อชี้ให้เห็นว่าวิธีเรียนที่ตรงกันข้ามกับวิธีเรียนที่ไม่ดี ที่ทำให้การเรียนล้มเหลว เป็นอย่างไร  เพื่อชี้ให้เห็น และมั่นใจ ว่า นศ. สามารถบรรลุผลสำเร็จในการเรียนวิชานั้นได้ หากเปลี่ยนวิธีเรียน

 


ยุทธศาสตร์การจัดการคุณค่าและความมั่นใจ


ให้ความยืดหยุ่นและการควบคุม

การเปิดโอกาสหรือความยืดหยุ่น ให้ นศ. มีโอกาสเลือกกิจกรรม เลือกเรียนบางส่วนของเนื้อหาในรายวิชา  เลือกเรื่องสำหรับทำโครงงาน ฯลฯ  ผ่านการหารือกับครู  จะช่วยเพิ่มความเข้าใจคุณค่าของแต่ละขั้นตอนการเรียน  และเพิ่มความมั่นใจว่าจะเรียนได้สำเร็จ  ความยืดหยุ่นอย่างถูกต้อง จึงเป็นการควบคุมตัวพฤติกรรมการเรียน  และส่งผลต่อความสำเร็จในการเรียนในที่สุด


ให้โอกาส นศ. สะท้อนความคิด

การสะท้อนความคิด (reflection) ช่วยให้เกิดการเรียนรู้อย่างมีความหมาย  โดยครูช่วยตั้งคำถาม “นศ. ได้เรียนรู้อะไรบ้าง จากการทำงานชิ้นนี้”  จะทำให้ นศ. มองเห็นคุณค่าของบทเรียน

คำถามอื่นๆ ที่ช่วย นศ. ได้แก่ “ส่วนที่คุณค่าที่สุดของโครงงานนี้คืออะไร”  “นศ. เตรียมตัวอย่างไรบ้าง เพื่อการทำโครงงานนี้/การสอบ”  “นศ. คิดว่าตนต้องการเรียนรู้ทักษะอะไรเพิ่มเติม เพื่อให้การเรียนก้าวหน้าไปด้วยดี”  “ในโอกาสข้างหน้า นศ. จะเปลี่ยนแปลงิธีทำงานที่ได้รับมอบหมายอย่างไรบ้าง”

จะเห็นว่า หน้าที่สำคัญของครูในกรณีนี้คือ ทำหน้าที่ตั้งคำถามแบบ Appreciative Inquiry  เพื่อกระตุ้นให้ นศ. เห็นคุณค่าของวิชาที่เรียน และมั่นใจว่าหากใช้ความพยายาม จะเรียนผ่านได้


สรุป

ในบันทึกตอนที่ ๖ และ ๗ ได้กล่าวถึงความสำคัญของแรงจูงใจ (motivation) ต่อการเรียนรู้  และได้นำเสนอวิธีมองแรงจูงใจ ผ่านแว่นหลักการเป้าหมาย (goals) จุดสำคัญที่สุดคือ นศ. มีเป้าหมายในขณะนั้นไม่ตรงกับของครู

การให้คุณค่าต่อเป้าหมาย และความเชื่อมั่นว่าจะเรียนได้สำเร็จ มีผลต่อแรงจูงใจในการเรียน

การให้คุณค่าต่อเป้าหมาย  ความเชื่อมั่นว่าจะเรียนได้สำเร็จ  และความเชื่อมั่นต่อระบบช่วยเหลือของสถาบัน  มีปฏิสัมพันธ์กัน และส่งผลต่อพฤติกรรมการเรียนของ นศ.

ความเข้าใจชุดนี้ของครู  จะช่วยให้ครูจัดรูปแบบการเรียนรู้ที่ตนจัดให้แก่ นศ. ได้ดีขึ้น

 

วิจารณ์ พานิช

๒๙  ธ.ค. ๕๕

 

PLC คือการรวมกลุ่มจัดการความรู้ของครู

พิมพ์ PDF

ผมไปประชุมเรื่องการปฏิรูปการเรียนรู้ โดยใช้ PBLและ PLCในหลายที่  แล้วพบว่าที่ทำกันอยู่ ไม่มีพลัง

 

จึงกลับมาคิดไตร่ตรองว่า วิธีริเริ่ม PLC ให้เกิดพลัง  ให้เห็นคุณค่าของ PLC คืออะไร

 

คิดว่าตัวช่วยอย่างหนึ่งคือทำความเข้าใจ PLC คืออะไร

 

PLC ของครู คือการรวมตัวกันจัดการความรู้ของครู  คือเป็น KM ครูนั่นเอง  เป็นกลไกช่วยสนับสนุนให้ครูสร้างความรู้ขึ้นใช้ทำหน้าที่ครู  และนำความรู้ไปใช้ทำหน้าที่ครู  เพื่อให้ศิษย์เกิดการเรียนรู้ชนิด “รู้จริง” (mastery)

 

ในทาง KM การรวมตัวกันจัดการความรู้ของคนที่ทำงานเดียวกันหรือคล้ายๆ กัน  เรียกว่า CoP (Community of Practice)  เรียกในชื่อไทยว่า ชุมชนแนวปฏิบัติ ชุมชนแนวปฏิบัติของครู ก็คือ PLC ครูนั่นเอง  การจัดการ PLC ครูจึงใช้หลักการและวิธีการของ CoP ได้   อ่านบันทึกเรื่อง CoP ของผมเมื่อ ๗ ปีที่แล้วได้ ที่นี่

 

PLC ครู มีเป้าหมายร่วมกันที่ผลต่อศิษย์ ให้เกิด Learning Outcome ดีขึ้น  และผลต่อตัวครูเอง ให้เก่งขึ้น มีความสุขขึ้น ก้าวหน้าขึ้น

 

“หัวปลา” (เป้าหมาย) ของ PLC ครู และยุทธศาสตร์การบรรลุหัวปลา ต้องถูกต้อง  เวลานี้ Learning Outcome คือ 21st Century Skills  ซึ่งเป็นทักษะชุดหนึ่ง  การเรียนของศิษย์จึงต้องเรียนโดยการปฏิบัติ  โดยครูทำหน้าที่ “คุณอำนวย” (facilitator) หรือ โค้ช (ครูฝึก)PLC ครูจึงต้องมีเป้าหมายเรียนรู้วิธีทำหน้าที่ครูฝึก แก่ศิษย์ ให้ได้ผลดียิ่งขึ้น

 

หลักการ KM คือการเรียนรู้จากการปฏิบัติ  PLC จึงเน้นเรียนรู้ โดยการ ลปรร. ความรู้ที่ได้จากการปฏิบัติ  คือจากการทำหน้าที่ครูฝึก ในกระบวนการเรียนรู้แบบลงมือปฏิบัติของศิษย์ ซึ่งส่วนใหญ่เรียนโดยการทำโครงงาน (PBL – Project-Based Learning)

 

การเรียนรู้จากการทำโครงงาน จะไม่เกิดการเรียนแบบ “รู้จริง” หากครูฝึกไม่ชวนทีม PBL ทบทวนไตร่ตรองตีความโดยใช้ความรู้ทฤษฎีเข้าไปตีความว่า ความสำเร็จเกิดขึ้นได้อย่างไร  ระหว่างทำ PBL พบอุปสรรค อุปสรรคเกิดจากอะไร  และเมื่อมีการแก้ไขปรับปรุงเปลี่ยนแปลงวิธีการคิดอย่างไรจึงปรับแบบนั้น  ฯลฯ  กระบวนการนี้เรียกว่า AAR (After Action Review) ในภาษา KM  หรือเรียกว่าการสะท้อนความคิด (reflection) ในภาษาทั่วไป

 

การทำหน้าที่ครูฝึก ต้องมีทักษะในการให้คำแนะนำป้อนกลับ (feedback)  ซึ่งจะได้นำมาลงบันทึกในชุด การเรียนรู้เกิดขึ้นอย่างไร

 

ในตอนที่แล้ว ได้เล่าเรื่อง PLC สองแบบ  และในบันทึกชุด บันเทิงชีวิตครูสู่ชุมชนการเรียนรู้ ได้ตีความหนังสือเล่มหนึ่ง อธิบายวิธีดำเนินการ PLC โดยพิสดาร

 

 

วิจารณ์ พานิช

๒๐ ม.ค. ๕๖

เนื่องจากบทความข้างบนได้มีคำอธิบายเพิ่มเติมซึ่งต้องใช้กดเพื่อเข้าไปสู่ link ตัวอื่น แต่ที่คัดลอกมานี้ไม่สามารถคัดลอกตัว link เข้ามาได้ สำหรับท่านที่ต้องการอ่านต้นฉบับของอาจารย์วิจารณ์ โปรดกดเข้าไปใน link ข้างล่าง แต่ถ้า link ไม่ได้ ก็ให้ copy link และนำไปเปิดใน browser ของท่าน

http://www.thaiihdc.org/web/administrator/index.php?option=com_content&task=add

 

การเรียนรู้เกิดขึ้นอย่างไร : ๑. ความจริง ๗ ประการ

พิมพ์ PDF

บันทึก ๑๖ ตอนต่อไปนี้ มาจากการตีความหนังสือ How Learning Works : Seven Research-Based Principles for Smart Teachingซึ่งผมเชื่อว่า ครู/อาจารย์ จะได้ประโยชน์มาก หากเข้าใจหลักการตามที่เสนอในหนังสือเล่มนี้  ตัวผมเองยังสนใจเพื่อเอามาใช้ปรับปรุงการเรียนรู้ของตนเองด้วย

 

หนังสือเล่มนี้มี ๗ บท บรรยายหลักการ ๗ ประการ ที่เกี่ยวข้องกับการเรียนรู้ ที่ได้จากการวิจัย  ได้แก่

 

 

 

๑.  พื้นความรู้เดิมของนักเรียน มีผลต่อการเรียนรู้ของนักเรียนอย่างไร

 

๒.  วิธีที่นักเรียนจัดระเบียบโครงสร้างความรู้ของตน มีผลต่อการเรียนรู้ของนักเรียนอย่างไร

 

๓.  มีปัจจัยอะไรบ้าง ที่จูงใจนักเรียนให้เรียน

 

๔.  นักเรียนพัฒนาการเรียนรู้รอบด้าน (Mastery Learning) ของตนอย่างไร

 

๕.  การลงมือทำและการป้อนกลับ (feedback) แบบไหน ที่ส่งเสริมการเรียนรู้

 

๖.  ทำไมการพัฒนานักเรียนและบรรยากาศในชั้นเรียนมีผลต่อการเรียนรู้ของนักเรียน

 

๗.  นักเรียนพัฒนาขึ้นเป็นผู้รับผิดชอบการเรียนรู้ของตนเองได้อย่างไร

 

 

ผู้เขียนคำนำของหนังสือ คือ ศาสตราจารย์ Richard E. Mayerผู้มีชื่อเสียงด้าน educational psychology แห่งมหาวิทยาลัย UCSB ท่านบอกว่า หนังสือเล่มนี้ว่าด้วยการนำเอาความรู้จากการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ด้านการเรียนรู้ (The Science of Learning) ไปใช้ในการสอนในมหาวิทยาลัย  คือหนังสือเล่มนี้เขียนขึ้นจากข้อมูลหลักฐานจากการวิจัยล้วนๆ   หรือเป็นหนังสือที่ช่วยย่อยความรู้จากการวิจัย ออกสู่การปฏิบัติ  ทำให้ความรู้ที่เข้าใจยาก นำเอาไปใช้ได้ง่าย   จึงเขียนแบบตั้งคำถามที่ใช้ในการสอนหรือเรียนตามปกติ  แล้วนำเอาหลักฐานจากการวิจัยมาตอบ   ดังจะเห็นได้จากชื่อบทในหนังสือทั้ง ๗ บท ข้างบน

การเรียนรู้เป็นผลจากการทำหรือการคิดของนักเรียน  การทำและการคิดของนักเรียนเท่านั้น ที่มีผลต่อการเรียนรู้ของเขา  ครูสามารถช่วยให้ศิษย์เรียนได้โดยเข้าไปกระตุ้นสิ่งที่นักเรียนทำเพื่อการเรียนรู้ของตนเองเท่านั้น

นี่คือคำแปลจากถ้อยคำของ ศาสตราจารย์ Herbert A. Simonนักวิทยาศาสตร์รางวัลโนเบล ผู้ล่วงลับ และเป็นผู้ร่วมก่อตั้งสาขา Cognitive Science  ที่หนังสือเล่มนี้นำมาเป็นประโยคเริ่มต้นของบทนำ

ผมตีความว่า สิ่งที่ “ครูเพื่อศิษย์” ทำให้แก่ศิษย์หลายอย่าง เป็นสิ่งที่สูญเปล่า ไม่เกิดประโยชน์ต่อการเรียนรู้ของศิษย์  เป็นการทำงานที่ไร้ประโยชน์ด้วยความหวังดีเต็มเปี่ยม แต่ไร้ประโยชน์ต่อการเรียนรู้ของศิษย์ หรือบางเรื่องอาจก่อผลร้ายด้วยซ้ำ  หนังสือเล่มนี้จะช่วยลดความผิดพลาดจากความไม่รู้หรือความเข้าใจผิดๆ ได้


การเรียนรู้คืออะไร

เมื่อเอ่ยถึงคำว่าการเรียนรู้ (learning) ในหนังสือเล่มนี้  ผู้เขียนให้ความหมายว่า คือ กระบวนการ ที่นำไปสู่ การเปลี่ยนแปลง ที่เกิดขึ้นจากประสบการณ์ การเรียนรู้ทำให้มีการเพิ่มสมรรถนะ (performance) และเพิ่มความสามารถของการเรียนรู้ในอนาคต

องค์ประกอบสำคัญ ๓ ประการของนิยามนี้คือ

 

๑.  การเรียนรู้เป็นกระบวนการไม่ใช่ผล (เป็น process ไม่ใช่ product)  แต่ตรวจสอบว่าเกิดการเรียนรู้ได้โดยดูที่ผลหรือสมรรถนะ

 

๒.  การเรียนรู้เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงความรู้ ความเชื่อ พฤติกรรม หรือเจตคติ  และมีผลระยะยาวต่อการคิดและพฤติกรรมของนักเรียน

 

๓.  การเรียนรู้ไม่ใช้สิ่งที่ให้แก่นักเรียน  แต่เป็นสิ่งที่นักเรียน ลงมือทำ ให้แก่ตนเอง  เป็นผลโดยตรงจากสิ่งที่นักเรียนตีความ และตอบสนองต่อ ประสบการณ์ ของตน  ทั้งที่รู้ตัวและไม่รู้ตัว  ทั้งในอดีตและในปัจจุบัน

 


หลักการของการเรียนรู้

ก. การเรียนรู้เป็นกระบวนการพัฒนาการ ที่สัมพันธ์กับพัฒนาการด้านอื่นๆ ในชีวิตของนักเรียน

ข. ทุนที่นักเรียนถือเข้ามาในชั้นเรียน ไม่ได้มีเฉพาะทักษะ ความรู้ และความสามารถ เท่านั้น  ยังมีปัจจัยด้านประสบการณ์ทางสังคม และอารมณ์  ที่มีผลต่อทัศนคติ ค่านิยม ของนักเรียนต่อตนเอง และต่อผู้อื่น  อันจะส่งผลต่อความสนใจหรือไม่สนใจเรียน

พึงตระหนักว่า หลัก ๗ ประการในหนังสือเล่มนี้ ไม่ได้มีผลแยกกันต่อการเรียนรู้ของนักเรียน  แต่ก่อผลในเวลาเดียวกัน หรือปนๆ กันไป

ต่อไปนี้เป็นหลัก ๗ ประการโดยย่อ


ความรู้เดิมของนักเรียน อาจส่งเสริมหรือขัดขวางการเรียนรู้ก็ได้

นักเรียนไม่ได้มาเข้าเรียนในชั้นแบบมา ตัว/หัว เปล่า  แต่มีทุนเดิมด้านความรู้ ความเชื่อ และเจตคติ ติดมาด้วย  จากวิชาที่เคยเรียน และจากชีวิตประจำวัน  ทุนเดิมเหล่านี้มีผลอย่างมากต่อการเรียนรู้ หรือพฤติกรรมในชั้นเรียนของนักเรียน  ถ้านักเรียนมีพื้นความรู้เดิมที่แน่นและแม่นยำถูกต้อง  และได้รับการกระตุ้นความรู้เดิมอย่างเหมาะสม  ความรู้เดิมนี้ก็จะเป็นฐานของการสร้างความรู้ใหม่ขึ้นในตัวนักเรียน  แต่ถ้าความรู้เดิมคลุมเครือ ไม่แม่นยำ และได้รับการกระตุ้นในเวลาหรือด้วยวิธีการที่ไม่เหมาะสม  ความรู้เดิมจะกลายเป็นสิ่งขัดขวางการเรียนรู้


วิธีที่นักเรียนจัดระเบียบโครงสร้างความรู้ของตน มีอิทธิพลต่อการเรียนรู้ และการประยุกต์ใช้ความรู้ที่มีอยู่เดิม

ตามปกตินักเรียนจะปะติดปะต่อชิ้นความรู้  หากการปะติดปะต่อนี้เป็นไปอย่างถูกต้อง เกิดเป็นโครงสร้างความรู้ที่ดี มีความแม่นยำและมีความหมาย  นักเรียนก็จะสามารถเรียกเอาความรู้เดิมที่มีอยู่ออกมาใช้ได้อย่างแคล่วคล่องว่องไว  ในทางตรงกันข้าม หากการจัดระเบียบความรู้ในสมองนักเรียนเป็นไปอย่างไม่เหมาะสม หรือเกิดอย่างไร้ระบบ  นักเรียนก็จะดึงความรู้เดิมออกมาใช้ได้ยาก


แรงจูงใจของนักเรียน มีผลต่อพฤติกรรมตั้งใจเรียน และมานะพยายาม ของนักเรียน

เรื่องนี้มีความสำคัญต่อนักศึกษาระดับอุดมศึกษา เพราะ นศ. เปลี่ยนสภาพจากนักเรียนที่มีครูคอยดูแล  มาสู่สภาพกำกับหรือบังคับตัวเอง  มีอิสระว่าจะเรียนหรือไม่เรียนอะไร อย่างไร เมื่อไร  แรงจูงใจจึงเป็นตัวกำหนด ทิศทาง ความเอาใจใส่ ความมุ่งมั่นพยายาม และคุณภาพของพฤติกรรมการเรียนรู้ของตนเอง  หาก นศ. มองเห็นคุณค่าของเป้าหมายการเรียนรู้  กิจกรรมการเรียนรู้  และเห็นลู่ทางความสำเร็จ  และได้รับการหนุนเสริมจากสภาพแวดล้อม  นศ. ก็จะมีแรงจูงใจต่อการเรียน


เพื่อให้เกิดความชำนาญ (mastery) ในการเรียน นศ. ต้องฝึกทักษะองค์ประกอบ ฝึกนำองค์ประกอบมาบูรณาการเข้าด้วยกัน เพื่อใช้งานในบริบทที่หลากหลาย  เกิดความชำนาญในการบูรณาการต่างแบบ ในต่างบริบทของการใช้งาน

นศ. ต้องไม่ใช่แค่เรียนความรู้ และทักษะ เป็นท่อนๆ  สำหรับนำมาใช้งานที่ซับซ้อนและหลากหลาย  นศ. ต้องได้ฝึกนำแต่ละท่อนเหล่านั้น มาประกอบกันเข้าเป็นชุด สำหรับใช้งานแต่ละประเภท ที่จำเพาะต่อแต่ละสถานการณ์นศ. ต้องได้ฝึกเช่นนี้จนคล่องแคล่ว ในด้านการนำความรู้มาใช้ในหลากหลายสถานการณ์

ครูต้องทำความเข้าใจขั้นตอนของการพัฒนาความชำนาญนี้ ในตัว นศ.  เพื่อให้ครูทำหน้าที่ โค้ช ฝึกความชำนาญแก่ นศ. อย่างเป็นขั้นตอน


การฝึกปฏิบัติอย่างมีเป้าหมาย ผสานกับการได้รับคำแนะนำป้อนกลับ (feedback) อย่างชัดเจน ช่วยให้ นศ. เรียนรู้ได้อย่างมีคุณภาพ

การเรียนรู้อย่างมีเป้าหมายและเข้าใจเป้าหมายในมิติที่ลึกและชัดเจน (มีเกณฑ์ของการบรรลุผลสำเร็จ) กำหนดเป้าหมายที่ท้าทายในระดับที่เหมาะสม  ปริมาณความรู้เหมาะสม  และทำซ้ำบ่อยๆ อย่างเหมาะสม  จะนำไปสู่ความชำนาญ  นอกจากนั้น นศ. ยังต้องการคำแนะนำให้กำลังใจและสะท้อนกลับ ว่า นศ. บรรลุผลสำเร็จในส่วนใดเป็นอย่างดีแล้ว  ยังทำไม่ได้ดีในส่วนใด  ควรต้องปรับปรุงอย่งไร  โดยให้คำแนะนำนี้ในโอกาสเหมาะสม ด้วยวิธีการที่เหมาะสม ในความถี่ที่เหมาะสม  จะช่วยให้การเรียนมีความก้าวหน้า และบรรลุผลในระดับเชี่ยวชาญได้


ระดับพัฒนาการในปัจจุบันของ นศ.  มีปฏิสัมพันธ์กับสภาพบรรยากาศในชั้นเรียน ทางด้านสังคม อารมณ์ และ ปัญญา ส่งผลต่อการเรียนรู้

การเรียนรู้ที่มีความสำคัญต่อ นศ. ไม่ได้มีเฉพาะด้านสติปัญญาเท่านั้น  ยังมีเรื่องทางสังคมและอารมณ์ ควบคู่ไปด้วยพร้อมๆ กัน  ครูพึงตระหนักว่า นศ. ยังไม่มีวุฒิภาวะสูงสุดในด้านสังคมและอารมณ์  ยังอยู่ระหว่างการเรียนรู้พัฒนา ไปพร้อมๆ กับพัฒนาการของร่างกาย  ในส่วนพัฒนาการทางร่างกายนั้น กระบวนการเรียนรู้ไม่สามารถเข้าไปยุ่งเกี่ยวได้  แต่เข้าไปส่งเสริมพัฒนาการด้านสังคมและอารมณ์ได้  ผ่านการจัดบรรยากาศในห้องเรียน

บรรยากาศเชิงลบ มีผลขัดขวางการเรียนรู้  บรรยากาศเชิงบวก ช่วยส่งเสริมการเรียนรู้


เพื่อบรรลุการเป็นผู้กำกับดูแลการเรียนรู้ของตนเองได้  นศ. ต้องฝึกทักษะการตรวจสอบประเมิน และปรับปรุงกระบวนการการเรียนรู้ของตนเอง

นศ. ต้องได้เรียนรู้และฝึกฝนกระบวนการทำความเข้าใจการเรียนรู้ (metacognitive process)  คือเรียนรู้การเรียนรู้ เพื่อให้เข้าใจการเรียนรู้ของตนเอง  และสามารถปรับปรุงพัฒนาการเรียนรู้ของตนเองได้   ได้แก่ รู้จุดอ่อนจุดแข็งของตนเอง  รู้ความยากง่ายของบทเรียน  รู้วิธีเรียนวิธีต่างๆ   รู้วิธีประเมินตรวจสอบว่าวิธีเรียนนั้นๆ ให้ผลดีแค่ไหน

นศ. โดยทั่วไปไม่สามารถพัฒนาทักษะเหล่านี้ได้ด้วยตนเอง  ครูต้องจัดกระบวนการเรียนรู้เพื่อให้ศิษย์พัฒนาทักษะเหล่านี้  นี่คือทักษะด้านการเรียนรู้ (Learning Skills)

 

 

วิจารณ์ พานิช

๖ ธ.ค. ๕๕

 

การเรียนรู้เกิดขึ้นอย่างไร : ๒. ความรู้เดิมส่งผลต่อการเรียนรู้ของ นศ. อย่างไร

พิมพ์ PDF

บันทึก ๑๖ ตอนนี้ มาจากการตีความหนังสือ How Learning Works : Seven Research-Based Principles for Smart Teachingซึ่งผมเชื่อว่า ครู/อาจารย์ จะได้ประโยชน์มาก หากเข้าใจหลักการตามที่เสนอในหนังสือเล่มนี้  ตัวผมเองยังสนใจเพื่อเอามาใช้ปรับปรุงการเรียนรู้ของตนเองด้วย

 

ตอนที่ ๒ นี้ มาจากบทที่ ๑  How Does Students’ Prior Knowledge Affect Their Learning?

 

ชื่อของบทนี้ทำให้ผมนึกถึงคำว่าความรู้สะสม“met before” ที่ครูโรงเรียนเพลินพัฒนาใช้  เป็นขั้นตอนหนึ่งในการสำรวจพื้นความรู้ของนักเรียน  สำหรับนำมาใช้ออกแบบการเรียนรู้ให้ต่อยอดจากพื้นความรู้เดิม

 

หลักการของการเรียนรู้ คือการเอาความรู้เดิมมาใช้จับความรู้ใหม่  แล้วต่อยอดความรู้ของตนขึ้นไป  นศ. ที่มีความรู้เดิมแบบไม่รู้ชัด หรือรู้มาผิดๆ ก็จะจับความรู้ใหม่ไม่ได้ หรือจับผิดๆ ต่อยอดผิดๆ  การเรียนรู้แบบเชี่ยวชาญหรือชำนาญ (mastery) ก็จะไม่เกิด   และที่สำคัญจะทำให้ นศ. ตกอยู่ในสภาพ “เรียนไม่รู้เรื่อง”  ส่งผลต่อเนื่องให้เบื่อการเรียน  และการเรียนล้มเหลวกลางคัน

 

ตรงกันข้าม นศ. ที่ความรู้เดิมแน่นแม่นยำถูกต้อง  ก็จะสามารถเอาความรู้เดิมมาจับความรู้ใหม่ และต่อยอดความรู้ของตนได้อย่างรวดเร็ว  และมีความสุขสนุกสนาน เกิดปิติสุขในการเรียน

 

บันทึกตอนที่ ๒ และ ๓ จึงจะอธิบายวิธีการทบทวนความรู้เดิม  และนำมาใช้ในการล่อและจับความรู้ใหม่  สำหรับต่อยอดความรู้ขึ้นไป   โดยบันทึกตอนที่ ๒ จะมี ๓ หัวข้อใหญ่ คือ (๑) การปลุกความรู้เดิม  (๒) วิธีตรวจสอบความรู้เดิมของ นศ.  (๓) วิธีกระตุ้นความรู้ที่แม่นยำ

 

ในบันทึกตอนที่ ๓ จะมีอีก ๓ หัวข้อใหญ่ คือ  (๑) วิธีทำความเข้าใจความรู้เดิมที่ไม่เพียงพอ  (๒) วิธีช่วยให้ นศ. ตระหนักว่าความรู้เดิมของตนยังไม่เหมาะสม  (๓) วิธีแก้ความรู้ผิดๆ


ปลุกความรู้เดิม

ความรู้มีหลายประเภท ประเภทหนึ่งเรียกว่า “ความรู้ที่แสดงให้เห็นได้” (Declarative Knowledge)  หรือ “know what”  อีกประเภทหนึ่งเรียกว่า “ความรู้เชิงกระบวนการ” (Procedural Knowledge) หรือ “know how” และ “know when”  ซึ่งในคำไทยน่าจะหมายถึง รู้จักกาละเทศะ หรือการประยุกต์ใช้ความรู้   และผมคิดว่า DK น่าจะใกล้เคียงกับ Explicit Knowledge  และ PK น่าจะใกล้เคียงกับ Tacit Knowledge

ผมตีความตามความรู้เดิมเรื่องการเรียนรู้แห่งศตวรรษที่ ๒๑ ของตนเอง  ว่า DK คือตัวสาระความรู้  หรือความรู้เชิงทฤษฎี  ไม่เพียงพอสำหรับการเรียนรู้ในศตวรรษที่ ๒๑  ต้องเรียนรู้ PK  หรือความรู้ปฏิบัติ ซึ่งก็คือทักษะในการประยุกต์ใช้ความรู้ ไปในเวลาเดียวกันด้วย

ย้ำว่า ต้องมีทั้งสองแบบของความรู้ และรู้จักใช้ให้เสริมกันอย่างเหมาะสม จึงจะเป็นประโยชน์จริง

บอกสาระความรู้ได้ แต่เอาไปใช้ไม่เป็น ยังไม่ใช่การเรียนรู้ที่ดี  และตรงกันข้ามเอาความรู้ไปใช้ทำงานได้ แต่อธิบายไม่ได้ว่าทำไมจึงได้ผล ก็ยังไม่ใช่การเรียนรู้ที่ดี  ต้องทั้งทำได้ และอธิบายได้  คือต้องมีทั้ง DK และ PK จึงจะเป็นการเรียนรู้ที่ครบถ้วน

ผลการวิจัยบอกว่า การมีความรู้เดิม เอามารับความรู้ใหม่  มีความสำคัญมากต่อการเรียนรู้และจดจำความรู้ใหม่  และแม้ นศ. จะมีความรู้เดิมในเรื่องนั้น แต่อาจนึกไม่ออก  การที่ครูมีวิธีช่วยให้ นศ. นึกความรู้เดิมออก จะช่วยการเรียนรู้ได้มาก  นี่คือเคล็ดลับสำคัญในการทำหน้าที่ครูแห่งศตวรรษที่ ๒๑ ในการส่งเสริมการเรียนรู้จากการลงมือปฏิบัติด้วยตนเองของ นศ.

ผลการวิจัยบอกว่า วิธีกระตุ้นทำโดยตั้งคำถาม why?  จะช่วยให้ นศ. นึกออก

ถึงตอนนี้ผมก็นึกออกว่า ในบริบทไทย นี่คือโจทย์วิจัยสำหรับ นศ. ปริญญาเอก  ดังตัวอย่าง  “วิธีปลุกความรู้เดิม ขึ้นมารับความรู้ใหม่ ในนักเรียนไทยระดับ ป. ๕”

 


กรณีที่ความรู้เดิมถูกต้อง แต่ไม่เพียงพอ

นศ. อาจมีความรู้ชนิด DK อย่างถูกต้องครบถ้วน  ตอบคำถามแบบ recall ได้อย่างดี  แต่เมื่อเผชิญสถานการณ์จริง นศ. ไม่สามารถประยุกต์ใช้ความรู้นั้นได้ (เพราะขาด PK)  สมัยผมเป็นนักศึกษาแพทย์โดนอาจารย์ด่าในเรื่องนี้เป็นประจำ  สมัยผมเป็นอาจารย์ ศ. พญ. อนงค์ เพียรกิจกรรม บ่นให้ฟังบ่อยๆ  ว่าพา นศพ. ไป ราวน์ คนไข้  เมื่อมีคนนำเสนอประวัติ การตรวจร่างกาย และผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ แล้ว  อาจารย์ถาม นศพ. ว่าหาก นศพ. เป็นเจ้าของคนไข้ จะปฏิบัติรักษาอย่างไร  นศพ. มักตอบว่า “ถ้า .... ก็ ....”  คือตอบด้วย DK  ไม่สามารถนำเอา PK มาประกอบคำตอบได้   สมัยนั้น (กว่า ๓๐ ปีมาแล้ว) นศ. ถูกกล่าวหาว่าบกพร่องในการเรียน (เราเรียกว่าโดนอาจารย์ด่า)

แต่สมัยนี้ หากถือตามหนังสือ How Learning Works เล่มนี้ ครูคือผู้บกพร่อง  คือครูไม่ได้ช่วยให้ นศ. เชื่อมโยง PK กับ DK  คือจริงๆ แล้ว นศ. กำลังอยู่ในกระบวนการเชื่อมโยงความรู้สองชนิดเข้าด้วยกัน  การเรียนโดย ward round ของนักศึกษาแพทย์เป็นการเรียนเพื่อเชื่อมโยงความรู้สองชนิดนี้  และอาจารย์ควรเข้าใจกลไกการเรียนรู้นี้  และรู้วิธีกระตุ้นหรือปลุกความรู้เดิม ขึ้นมาประยุกต์ใช้ตามสถานการณ์

รายวิชาใด ยังไม่มีขั้นตอนการเรียนรู้โดยการฝึกประยุกต์ใช้ความรู้ (แบบ ward round ของ นศพ.) ก็ควรจัดให้มี  และนี่คือโจทย์วิจัยและพัฒนาสำหรับ Scholarship of Instruction ในวิชาของท่าน

ผลการวิจัยบอกว่า อาจารย์สามารถช่วยปลุกความรู้เดิมของ นศ. โดยการตั้งคำถามที่เหมาะสม  ซึ่งผมเรียกว่า “คำถามนำ”  และหนังสือเล่มนี้เรียกว่า elaborative interrogationและหนังสือเเล่มนี้ย้ำว่า เป็นหน้าที่ของอาจารย์ ที่จะต้องช่วยปลุกความรู้เดิมของ นศ. ขึ้นมารับความรู้ใหม่  หรือขึ้นมาทำให้การเรียนรู้ครบถ้วนขึ้น

วิธีปลุกความรู้เดิมของ นศ. วิธีหนึ่ง ทำโดยบอกให้ นศ. บอกว่าความรู้ในวิชานั้นๆ เชื่อมโยงหรือเกี่ยวข้องกับชีวิตจริงของตนอย่างไร

ที่จริงหนังสือ How Learning Works เล่มนี้ กล่าวถึงผลงานวิจัยมากมาย  แต่ผมไม่ได้เอามาเล่าต่อ  เอามาเฉพาะการใช้ประโยชน์จากผลงานวิจัยเหล่านั้น

 


กรณีที่ความรู้เดิมไม่เหมาะสม

นศ. มีทั้งความรู้เชิงเทคนิค หรือความรู้เชิงวิชาการ  และความรู้จากชีวิตประจำวัน  และ นศ. อาจสับสนระหว่างความรู้ ๒ ประเภทนี้  ความสับสน นำเอาความรู้ในชีวิตประจำวันมาต่อยอดความรู้ทางวิชาการ อาจทำให้ความรู้บิดเบี้ยว

หนังสือสรุปว่า ผลงานวิจัยบอกครู ๔ อย่าง

(๑) ครูต้องอธิบายการนำความรู้ไปใช้ในต่างบริบท อย่างชัดเจน

(๒) สอนทฤษฎี หรือหลักการที่เป็นนามธรรม  พร้อมกับยกตัวอย่างที่เป็นรูปธรรม หลากหลายรูปแบบ หลากหลายบริบท

(๓)เมื่อยกตัวอย่างปรียบเทียบ ยกทั้งที่เหมือน และที่แตกต่าง

(๔) พยายามกระตุ้นความรู้เดิม เพื่อสร้างความเชื่อมโยงกับความรู้ใหม่


กรณีที่ความรู้เดิมไม่ถูกต้อง

ข้อความในส่วนนี้ของหนังสือ บอกเราว่า  นศ. มีความรู้เดิมที่ผิดพลาดมากกว่าที่เราคิด  และความรู้ที่ผิดพลาดบางส่วนเป็น “ความฝังใจ” แก้ไขหรือเปลี่ยนแปลงยากมาก  แต่ครูก็ต้องทำหน้าที่ช่วยแก้ไขความรู้เดิมที่ไม่ถูกต้องเหล่านี้

ครูต้อง

 

 

(๑) ประเมินความรู้เดิมของ นศ.  ตรวจหาความรู้เดิมที่ผิดพลาด ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับรายวิชาที่ นศ. กำลังเรียน

 

 

(๒) กระตุ้นความรู้เดิมที่ถูกต้อง ของ นศ.

 

 

(๓) ตรวจสอบความรู้เดิมที่ยังบกพร่อง

 

 

(๔) ช่วย นศ. หลีกเลี่ยงการประยุกต์ความรู้เดิมผิดๆ  คือไม่เหมาะสมต่อบริบท

 

 

(๕)​ช่วยให้ นศ. แก้ไขความรู้ผิดๆ ของตน

 

 


วิธีตรวจสอบความรู้เดิมของ นศ. ทั้งด้านความเพียงพอ และด้านความถูกต้อง

คุยกับเพื่อนครู

วิธีที่ง่ายที่สุดคือถามเพื่อนครูที่เคยสอน นศ. กลุ่มนี้มาก่อน  ว่า นศ. มีผลการเรียนเป็นอย่างไร  ส่วนไหนที่ นศ. เรียนรู้ได้ง่าย  ส่วนไหนที่ นศ. มักจะเข้าใจผิด หรือมีความยากลำบากในการเรียนรู้


จัดการทดสอบเพื่อประเมิน

อาจจัดทำได้ง่ายๆ โดยทดสอบในช่วงต้นของภาคการศึกษา   อาจจัดการทดสอบอย่างง่ายๆ แบบใดแบบหนึ่ง ดังนี้  (๑) quiz  (๒) สอบแบบให้เขียนเรียงความ  (๓) ทดสอบ concept inventoryโดยอาจค้นข้อสอบของวิชานั้นๆ ได้จาก อินเทอร์เน็ต เอามาปรับใช้


ให้ นศ. ประเมินตนเอง

ทำโดย ครูจัดทำแบบสอบถามมีคำถามตามพื้นความรู้ หรือทักษะ ที่ นศ. ต้องมีมาก่อนเรียนวิชานั้น  และที่เป็นเป้าหมายของการเรียนวิชานั้น  จัดทำเป็นแบบสอบถามแบบให้เลือกคำตอบที่ตรงกับตัว นศ. มากที่สุด  คำตอบได้แก่

 

  • ·  ฉันเคยได้ยิน/เห็น มาก่อน (คุ้นเคย)
  • ·  ฉันสามารถบอกความหมาย/นิยาม ได้ (ความรู้ระดับ factual)
  • ·  ฉันอธิบายให้คนอื่นเข้าใจได้ (conceptual)
  • ·  ฉันสามารถใช้แก้ปัญหาได้ (application)

 


ใช้การระดมสมอง

การระดมสมองในชั้นเรียน ตอบคำถามที่ครูตั้ง อาจช่วยให้ครูประเมินพื้นความรู้ของ นศ. ได้  แม้จะเป็นการประเมินที่ไม่เป้นระบบและอาจไม่แม่นยำนัก  โดยประเภทคำถามของครูจะช่วยให้ครูประเมินพื้นความรู้ว่าอยู่ในระดับใดได้  เช่น “นศ. นึกถึงอะไร เมื่อได้ยินคำว่า ...” (ตรวจสอบความเชื่อ ความเชื่อมโยง)  “องค์ประกอบสำคัญของ … มีอะไรบ้าง” (ถามความรู้ - factual)  “หากจะดำเนินการเรื่อง ... นศ. จะเริ่มอย่างไร”  (ถาม Procedural Knowledge)  “หากจะดำเนินการเรื่องข้างต้นในชาวเขาภาคเหนือ มีประเด็นที่ต้องดำเนินการต่างจากในภาคอื่นอย่างไร”(ถาม Contextual Knowledge)


ให้ทำกิจกรรม Concept Map (ผังเชื่อมโยงหรือแผนผังความสัมพันธ์)

Concept Mapเป็นได้ทั้งเครื่องมือเรียนรู้ และเครื่องมือประเมินพื้นความรู้   หากครูต้องการประเมินทั้งความรู้เกี่ยวกับ concept และความเชื่อมโยงระหว่าง concept  ก็อาจให้ นศ. เขียนเองทั้ง concept และ link ระหว่าง concept  หากต้องการรู้ความคิดเชื่อมโยงเท่านั้น ครูอาจให้คำที่เป็น concept จำนวนหนึ่งในวิชานั้นๆ  ให้ นศ. เขียน link เชื่อมโยง


สังเกตรูปแบบ (pattern) ของความเข้าใจผิดของ นศ.

ความเข้าใจผิดของ นศ. ที่เข้าใจผิดเหมือนๆ กันทั้งชั้น หรือหลายคนในชั้น  สังเกตเห็นง่ายจากตำตอบข้อสอบ  คำตอบ quiz  หรือในการอภิปรายในชั้น  หรือครูอาจตั้งคำถามต่อ นศ. ทั้งชั้น ให้เลือกตัวเลือกด้วย clicker  จะได้ histogram ผลคำตอบ ที่แสดงความเข้าใจผิด  สำหรับให้ครูอธิบายความเข้าใจที่ถูกต้องแก่ นศ.  เพื่อแก้ความเข้าใจผิด

ผลการวิจัยบอกว่า ความเข้าใจผิดบางเรื่องแก้ยากมาก  มันฝังใจ นศ.  ครูต้องหมั่นชี้แจงทำความเข้าใจที่ถูกต้อง จากตัวอย่างหรือบริบทที่แตกต่างหลากหลาย


วิธีกระตุ้นความรู้เดิมที่แม่นยำ

ใช้แบบฝึกหัด

เป็นแบบฝึกหัดเพื่อช่วยให้ นศ. ฟื้นความจำเกี่ยวกับความรู้ที่ได้เรียนมาแล้ว สำหรับนำมาเชื่อมต่อกับความรู้ใหม่ในบทเรียน  ซึ่งจะช่วยให้การเรียนมีประสิทธิผลเพิ่มขึ้นมาก  ทำได้หลากหลายวิธี เช่น ให้ นศ. ระดมความคิดว่า ความรู้ใหม่ที่เพิ่งได้เรียน เชื่อมโยงกับความรู้เดิมอย่างไร  หรือให้ทำ Concept Map

ครูต้องตระหนักว่า กิจกรรมนี้อาจทำให้เกิดการเรียนความรู้ที่ถูกต้องก็ได้  เกิดการเรียนความรู้ที่ผิดก็ได้  ครูต้องคอยระวังไม่ให้ นศ. หลงจดจำความรู้ผิดๆ


เชื่อมโยงวิชาใหม่ กับความรู้ในวิชาที่เรียนมาแล้ว

นศ. มักเรียนแบบแยกส่วน (compartmentalize) ความรู้  แยกความรู้จากต่างวิชา ต่างภาควิชา ต่างคณะ ต่างอาจารย์  ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว ความรู้เชื่อมโยงกันหมด  ครูจึงต้องอธิบายความเชื่อมโยงให้ชัดเจน


เชื่อมโยงวิชาใหม่ กับความรู้ในวิชาที่ครูเคยสอน

การที่ครูเอ่ยถึงวิชาที่ นศ. เคยเรียนไปแล้ว (เพียง ๒ - ๓ ประโยค) เอามาเชื่อมโยงกับวิชาที่ นศ. กำลังจะเรียน  จะช่วยการเรียนรู้ของ นศ. อย่างมากมาย

อาจให้ นศ. ทำแบบฝึกหัดเชื่อมโยงความรู้ เรื่อง ก ที่เรียนไปเมื่อ ๒ สัปดาห์ที่แล้ว กับเรื่อง ข ที่เพิ่งเรียนในวันนี้  หรือให้การบ้าน ให้ นศ. ไปทำ reflection เขียนเชื่อมโยงความรู้ในรายวิชาที่เรียนไปตอนต้นเทอม เข้ากับความรู้ที่ได้เรียนในสัปดาห์นี้  เป็นต้น


ใช้การเปรียบเทียบเชื่อมโยงเข้ากับชีวิตประจำวัน

การอธิบายความรู้เชื่อมโยงเข้ากับประสบการณ์ของตัว นศ. เอง  หรือเข้ากับชีวิตประจำวันใกล้ตัว นศ.  จะช่วยให้เกิดความเข้าใจชัดเจนขึ้น  เช่นเมื่อสอนเรื่องพัฒนาการเด็ก ครูอาจเอ่ยเตือนความทรงจำให้ นศ. คิดถึงตนเองตอนเป็นเด็ก หรือคิดถึงน้องของตน  เมื่อเรียนวิชาเคมี อาจเอ่ยถึงตอนปรุงอาหาร

ให้ นศ. ให้เหตุผลตามความรู้เดิมของตน

เมื่อจะเรียนความรู้ใหม่ ครูอาจกระตุ้นความรู้เดิมโดยให้แบบฝึกหัด  ตั้งคำถามที่กระตุ้นให้ นศ. ทบทวนดึงเอาความรู้ที่มีอยู่แล้ว เอามาอธิบายหรือตอบโจทย์ที่ครูตั้ง


ข้อสังเกตของผม

โปรดสังเกตว่า ในบันทึกนี้ (และบันทึกต่อๆ ไป)  ครูทำหน้าที่smart teaching โดยตั้งโจทย์หรือคำถามที่เหมาะสม ให้ นศ. ตอบ  เพื่อการเรียนรู้ของ นศ.  ไม่ใช่ครูทำหน้าที่บอกสาระความรู้

คุณค่าที่สำคัญยิ่ง ของครูในศตวรรษที่ ๒๑ คือ การทำหน้าที่ตรวจสอบความเข้าใจผิดๆ ของ นศ.  แล้วหาทางแก้ไขเสีย  สำหรับเป็นพื้นความรู้ที่ถูกต้องแม่นยำ  ให้ศิษย์นำไปใช้จับความรู้ใหม่ เพื่อการเรียนรู้ที่ถูกต้องในอนาคต

 

 

วิจารณ์ พานิช

๘ ธ.ค. ๕๕

 

บันเทิงชีวิตครูสู่ชุมชนการเรียนรู้ (๓) มีความมุ่งมั่นที่ชัดเจนและทรงคุณค่า

พิมพ์ PDF

บันทึกชุดนี้ ได้จากการถอดความมาจากหนังสือ Learning by Doing : A Handbook for Professional Learning Communities at Work. 2nd Ed, 2010 เขียนโดย Richard DuFour, Rebecca DuFour, Robert Eaker, Thomas Many


ตอนที่ ๒ นี้จับความจาก Chapter 2 : A Clear and Compelling Purpose

ในสายตาของผม PLC เป็นการรวมตัวกัน “เดินทางไกลแห่งชีวิต”   ที่สมาชิกจะอุทิศชีวิตเพื่อการนี้ ---- เพื่อการสร้างสรรค์คนรุ่นใหม่ของสังคม   เพื่อการสร้างสรรค์การเรียนรู้แนวใหม่ ที่บรรลุ 21st Century Skills ในตัวศิษย์   เพื่อการสร้างสรรค์ “การศึกษา” แห่งศตวรรษที่ ๒๑ ที่แตกต่างจากการศึกษาแห่งศตวรรษที่ ๒๐ และ ๑๙ โดยสิ้นเชิง   และที่สำคัญยิ่ง เพื่อชีวิตที่ดี ที่ประสบความสำเร็จของครูและผู้ที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับ PLC ทุกคน  เพราะ PLC คือมรรคาแห่งการเรียนรู้จากการปฏิบัติ  ที่ทำให้ผู้เกี่ยวข้องเกิด Learning Skills แห่งศตวรรษที่ ๒๑  และเป็น “บุคคลเรียนรู้”

การพัฒนาตนเองของครู เพื่อเป็น Learning person   และร่วมกับสมาชิกของ PLC พัฒนาซึ่งกันและกัน ด้วย interactive learning through action คือมรรควิธีแห่งชีวิตที่มีความสุข   ที่ท่านจะสัมผัสได้ด้วยตนเอง เมื่อท่านลงมือทำ

PLC จะเปลี่ยนบรรยากาศของ “โรงเรียน”   เพราะจะไม่เป็น “โรงเรียน” ตามแนวทางเดิมอีกต่อไป   แต่จะกลายเป็น PLC ที่สมาชิกร่วมกันเป็นเจ้าของอย่างเท่าเทียมกัน   และสิ่งที่ทรงคุณค่าที่สุดที่ทุกคนเป็นเจ้าของร่วมกันคือ “ความมุ่งมั่นที่ชัดและทรงคุณค่า”   ว่าทุกคนต้องการช่วยกันยกระดับคุณภาพของการเรียนรู้ของศิษย์ (และของตนเอง)   เพื่อให้ศิษย์บรรลุ 21st Century Skills โดยที่สมาชิกทุกคนร่วมกันคิดหาวิธีการใหม่ๆ  แยกกันทดลอง  แล้วนำผลที่เกิดขึ้นมาปรึกษาหารือ หรือ ลปรร. กัน  ทำเช่นนี้เป็นวงจรไม่รู้จบ  โดยทุกคนมีความเชื่อมั่นในตนเองและเชื่อมั่นซึ่งกันและกัน   ว่าจะค่อยๆ บรรลุความมุ่งมั่น (purpose) ที่ตั้งไว้ได้ดีขึ้นเรื่อยๆ   โดยเชื่อในหลักการ “พัฒนาคุณภาพต่อเนื่อง” (CQI – Continuous Quality Improvement)

โรงเรียนกลายเป็น PLC   และ PLC คือ องค์กร เคออร์ดิค (Chaordic Organization)   ที่มี “ความมุ่งมั่นชัดเจนและทรงพลัง” ท่านที่ต้องการอ่านเรื่อง องค์กร เคออร์ดิค ที่ผมเคยเขียนไว้ อ่านได้ที่นี่  

ความหมายของ เคออร์ดิค คือ สมาชิกขององค์กรหรือกลุ่ม มีเป้าหมายระดับความมุ่งมั่น (purpose) ชัดเจนร่วมกัน   แต่วิธีบรรลุความมุ่งมั่นนั้นทุกคนมีอิสระที่จะใช้ความสร้างสรรค์ของตน ที่จะปรึกษากันแล้วเอาไปทดลอง  เพื่อหาแนวทางทำงานใหม่ๆ ที่ให้ผลดีกว่าเดิม

คือ องค์กร เคออร์ดิค มีวัฒนธรรมและความสัมพันธ์แนวราบระหว่างสมาชิก  ลดความเป็น “ราชการ” (bureaucracy, top-down) ลงไป

ข้างบนนั้นคือความคิดของผมเอง   ส่วนหนังสือเล่มนี้บทที่ ๒ เริ่มด้วยครูใหญ่ Dion ไปรับการอบรมเรื่อง PLC กลับมาด้วยความตั้งใจเต็มร้อยที่จะเปลี่ยนโรงเรียนเป็น PLC ตามที่เรียนมา   จึงเริ่มต้น “การจัดการการเปลี่ยนแปลง” ตามทฤษฎีที่เรียนมา   คือเขียนเอกสารพันธกิจ (mission statement)   เอาเข้าที่ประชุมครู เพื่อให้ลงมติรับรอง   แล้วก็ล้มเหลวไม่เป็นท่า   หนึ่งปีผ่านไปก็ไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงใดๆ

ที่ล้มเหลวเพราะครูใหญ่ Dion ดำเนินการจัดการการเปลี่ยนแปลงผิด   วางยุทธศาสตร์ผิดพลาด  ทำตามทฤษฎีเกินไป

คำแนะนำต่อการจัดการการเปลี่ยนแปลงที่ถูกต้องคือต้องเริ่มที่คุณค่า ตั้งคำถามเชิงคุณค่า ว่าโรงเรียนของเราดำรงอยู่ (และใช้เงินภาษีของชาวบ้าน) เพื่ออะไร   ทำไมต้องมีโรงเรียนนี้  ไม่มีโรงเรียนนี้ได้ไหม   โรงเรียนนี้จะดำรงอยู่อย่างสง่างาม ได้ชื่อว่าทำคุณประโยชน์มากกว่าทรัพยากรที่ใช้ไป ได้อย่างไร

คำตอบไม่หนีคุณค่าต่อศิษย์ ต่อการสร้างอนาคตให้แก่อนุชนรุ่นหลัง   ก็จะเกิดคำถามว่าที่เราทำกันอยู่นั้นเป็นการสร้างอนาคตหรือดับอนาคตของเยาวชนกันแน่   จะให้มั่นใจ ภูมิใจ ว่าโรงเรียนนี้ได้ทำหน้าที่สร้างอนาคตแก่ศิษย์ เราจะต้องมีความมุ่งมั่น (purpose) ของโรงเรียนอย่างไร   ผล learning outcome แบบไหนที่ถือว่าประสบความสำเร็จ เป็นโรงเรียนที่สร้างอนาคตให้แก่เยาวชน   นำไปสู่การร่วมกันยกร่าง purpose statement ของโรงเรียน   และ core value ของโรงเรียน ที่ทุกคนเป็นเจ้าของร่วมกัน  และจะใช้เป็นประทีปทางจิตวิญญาณในการเดินทางไกลร่วมกัน   เพื่อนำ/เปลี่ยนแปลง โรงเรียนไปสู่เป้าหมายที่ทรงคุณค่า ที่ร่วมกันฝัน

ต้องอย่าลืมย้ำว่า เรากำลังร่วมกันวางรากฐานของการเดินทางไกล   สู่ “โรงเรียนที่เราภูมิใจ”  ไม่ใช่โครงการ ๑ ปี  ๒ ปี  หรือโครงการระยะสั้นตามวาระของครูใหญ่   หรือตามนโยบายของรัฐบาลใดๆ   เป็นกิจกรรมที่เราร่วมกันคิดเอง ทำเอง ฟันฝ่ากันเอง   ไม่ใช่จากบงการภายนอก

ครูใหญ่ควรมี “คณะทำงาน” เพื่อเป็นแกนนำคิดเรื่องนี้หรือไม่  เป็นอีกยุทธศาสตร์หนึ่งที่ควรพิจารณา   หลักการคือ ในการจัดการการเปลี่ยนแปลงนั้น ผู้บริหารเบอร์ ๑ ต้องไม่โดดเดี่ยวตนเอง

คุยกันจนเป้าหมายชัด   และพอจะเห็นแนวทางลงมือทำรางๆ ก้ต้องรีบเข้าสู่ action mode   หาผู้กล้าอาสาลองทำ   คืออย่ามัวตกหลุมความฝัน   หรือเอาแต่รำมวย ไม่ชกสักที

จาก dreaming mode, value mode ต้องรีบเข้าสู่ action mode ในลักษณะของหาครูจำนวนน้อย ที่จะร่วมกันเป็น “แนวหน้ากล้าเป็น” (ไม่ใช่แนวหน้ากล้าตาย เพราะงานนี้สำเร็จแน่ๆ แต่ต้องฟันฝ่า)   ครูกลุ่มนี้จึงเป้นกลุ่ม “แนวหน้ากล้าเป็นผู้ทดลอง”   เป็นการทดลองหาวิธีบรรลุฝัน หรือ purpose ที่เป็น common purpose ร่วมกันของครูทั้งโรงเรียน  รวมทั้งเป็น purpose ร่วมกันของผู้ปกครอง ของผู้บริหารเขตการศึกษา และของ อปท. ที่โรงเรียนนั้นตั้งอยู่ด้วย

นี่คือยุทธศาสตร์ที่ถูกต้อง : ฝันร่วมกัน ในระดับคุณค่า ให้เป็นฝันที่ชัดเจน เห็นเป้าหมายปลายทางที่เป็นรูปธรรม   และพอมองเห็นทางดำเนินการรางๆ ไม่ค่อยชัด  จึงต้องทดลองทำน้อยๆ ก่อน   ทำในบางชั้นเรียน ในครูเพียงกลุ่มเล็กๆ ที่เป็นอาสาสมัคร เต็มใจที่จะเป้นผู้ริเริ่ม   แต่ก็ไม่ใช่ทำคนเดียว ห้องเรียนเดียว อย่างโดดเดี่ยว   มีทีมร่วมคิด ร่วมทำและแยกกันทำ แต่ร่วมกันเรียนรู้จากประสบการณ์

PLC เล็กๆ ได้เริ่มขึ้นแล้ว   เริ่มขึ้นโดยไม่ได้บังคับ   ไม่สร้างความอึดอัดให้แก่ครูที่ยังไม่ศรัทธา หรือไม่อยากเปลี่ยนแปลง   แต่เริ่มโดยกลุ่มครูที่ศรัทธา ที่ชอบงานท้าทาย ชอบเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลง

PLC เล็กๆ ที่อาจเรียกว่า “หน่อ PLC” นี่แหละ ที่จะเป็นเครื่องมือสื่อสารทำความรู้จัก PLC ให้แก่ครูทั้งโรงเรียน  แก่นักเรียน  ผู้ปกครอง  ผู้บริหารการศึกษาในเขตพื้นที่  สมาชิกและผู้บริหารของ อปท. ที่โรงเรียนของเราตั้งอยู่  และแก่สังคมในวงกว้าง

เราจะสื่อสารให้คนรู้จัก PLC ด้วยการลงมือทำ   และสื่อสารด้วยเรื่องราวจากผลของการลงมือทำ

ต่อไปนี้เป็น “บัญญัติ ๗ ประการ” ที่ระบุไว้ในหนังสือ ที่แนะนำครูใหญ่ และทีมแกนนำ ให้หาทางดำเนินการ เพื่อจัดการการเปลี่ยนแปลง

๑. หาทางจัดโครงสร้างและระบบเพื่อหนุนการเดินทางหรือขับเคลื่อนไปสู่เป้าหมายที่ต้องการ ที่จริง PLC เป็นการปฏิวัติโครงสร้าง ระบบการทำงาน และวัฒนธรรมการทำงานในโรงเรียน   จากระบบตัวใครตัวมัน มาเป็นระบบทีม หรือวัฒนธรรมรวมหมู่ (collective culture)   โครงสร้างของระบบงาน ระบบการจัดการเรียนการสอน จะต้องปรับเปลี่ยนให้เอื้อต่อการช่วยกันดำเนินการช่วยเหลือนักเรียนที่เรียนล้าหลังให้เรียนตามเพื่อนทัน   โดยที่การช่วยเหลือนั้นทำกันเป็นทีม หลายฝ่ายเข้ามาร่วมกัน   และกิจกรรมนั้น ทำอยู่ภายในเวลาตามปกติของโรงเรียน   ไม่ใช่สอนนอกเวลา 
รวมทั้งมีเวลาสำหรับครูประชุม ลปรร. ประสบการณ์การทำงานของตน   เพื่อหาทางพัฒนาวิธีการทำงานให้ได้ผลดียิ่งขึ้นไปเรื่อยๆ   เป็นวงจร CQI มารู้จบ

๒. สร้างกระบวนการวัดเพื่อติดตามความเคลื่อนไหว และทำความเข้าใจเรื่องสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการกำหนด progress indicators  ซึ่งสำหรับโรงเรียน ควรวัดที่ผลการเรียนของนักเรียน  เวลาเรียนของนักเรียนเป็นการเรียนแบบ action learning ร้อยละเท่าไรของเวลาทั้งหมด   พฤติกรรมการเรียนรู้ของนักเรียนแต่ละคน  ร้อยละของนักเรียนที่มีปัญหา ด้านการเรียน/ด้านปัญหาส่วนตัว ที่ได้รับการดูแลอย่างทันท่วงที   นอกจากนั้น ยังต้องมีตัวชี้วัดความก้าวหน้าของพฤติกรรมการทำหน้าที่ของครู เช่น การแบ่งสัดส่วนเวลาในการทำหน้าที่ของครู ระหว่าง การเตรียมออกแบบการเรียนรู้ (ร่วมกันเป็นทีม)   การทำหน้าที่โค้ช หรือ facilitator ให้แก่นักเรียนที่เรียนแบบ PBL  การชวนนักเรียนทำ reflection เพื่อตีความผลของการเรียนรู้แบบ PBL  การรวมกลุ่มกับทีมครูเพื่อ ลปรร. จากประสบการณ์การทำงาน  เป็นต้น  
หลักการสำคัญของการกำหนด progress indicators คือ ต้องมีน้อยตัว (เช่นไม่เกิน ๑๐) เอาเฉพาะปัจจัยที่สำคัญจริงๆ เท่านั้น   และต้องไม่ใช้ในการให้คุณให้โทษครูเป็นอันขาด  เพราะนี่คือเครื่องมือของผู้ทำงานเปลี่ยนแปลงรูปแบบการเรียนรู้ และเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมในที่ทำงาน   ไม่ใช่เครื่องมือของการตรวจสอบของฝ่ายบริหารระดับใดๆ ทั้งสิ้น
Progress indicators ที่สำคัญที่สุดคือ progress indicators ของการเรียนรู้ของนักเรียนเป็นรายคน  ที่ช่วยให้ครูรู้ว่านักเรียนคนไหนเรียนล้าหลัง   คนไหนเรียนก้าวหน้าไปมากกว่ากลุ่ม   
และเมื่อมีการวัดความก้าวหน้าของการเรียนรู้ของนักเรียนแล้ว   ก็ต้องมีการแลกเปลี่ยนข้อมูลผลการวัดนั้น   รวมทั้งร่วมกันปรึกษาหารือว่าจะต้องทำอะไร อย่างไร เพื่อให้เกิดประโยชน์แก่นักเรียน

๓. เปลี่ยนแปลงทรัพยากร เพื่อสนับสนุนสิ่งสำคัญ ทรัพยากรที่สำคัญที่สุดคือ “เวลา”   ต้องเปลี่ยนแปลงการจัดการเวลาหรือการใช้เวลาเรียนของนักเรียน และเวลาทำงานของครู เสียใหม่   ให้ทำงานเพื่อการเรียนรู้ของนักเรียนได้ดีกว่าแบบเดิมๆ   รวมทั้งให้สามารถทำงานแบบทีม ใช้พลังรวมหมู่เพื่อแก้ปัญหายากๆ  หรือดำเนินการต่อประเด็นท้าทายและสร้างสรรค์ใหม่ๆ

๔. ถามคำถามที่ถูกต้อง คำถามที่สำคัญสำหรับโรงเรียน   สำหรับช่วยให้เป็น “โรงเรียนที่ดี” มีเพียง ๔ คำถามเท่านั้น คือ (๑) ในแต่ละช่วงเวลาเรียน ต้องการให้นักเรียนได้ความรู้และทักษะอะไรบ้าง  (๒) รู้ได้อย่างไรว่านักเรียนแต่ละคนได้เรียนรู้ความรู้และทักษะที่จำเป็นนั้น  (๓) ทำอย่างไร หากนักเรียนบางคนไม่ได้เรียนสิ่งนั้น  (๔) ทำอย่างไรแก่นักเรียนที่เรียนเก่งก้าวหน้าไปแล้ว

๕. ทำตัวเป็นตัวอย่างในเรื่องที่มีคุณค่า ข้อนี้สื่อต่อผู้นำ ซึ่งตามในหนังสือเล่มนี้คือครูใหญ่   หากครูใหญ่ต้องการให้ครูเอาใจใส่การเรียนรู้ของศิษย์ทุกคนเป็นรายตัว   ครูใหญ่ต้องหยิบยกเรื่องนี้มาหารืออย่างสม่ำเสมอ   หากครูใหญ่ต้องการให้ครูทำหน้าที่ช่วยเหลือนักเรียนโดยทำงานเป็นทีม   ก็ต้องจัดเวลาให้ครูปรึกษาหารือและตัดสินใจร่วมกัน   รวมทั้งจัดสิ่งสนับสนุนกิจกรรมช่วยเหลือนักเรียนที่เรียนช้าเหล่านั้น

๖. เฉลิมฉลองความก้าวหน้า ก่อนจะเฉลิมแลองความก้าวหน้าตามเป้าหมายในการเรียนรู้ของนักเรียน ก็ต้องมีหลักฐานยืนยันความก้าวหน้านั้น   ซึ่งหมายความว่าต้องมีระบบตรวจสอบหรือประเมินผลการเรียนรู้นั้นที่แม่นยำน่าเชื่อถือ  และทั้งหมดนั้นมาจากการที่ครูและฝ่ายบริหารมีเป้าหมายร่วมกัน  และมีใจจดจ่อเพื่อบรรลุเป้าหมายร่วมกัน  การเฉลิมฉลองมีประโยชน์ยืนยันเป้าหมาย   และยืนยันความมุ่งมั่นในการดำเนินการร่วมกัน

ที่จริงการเฉลิมฉลองความสำเร็จ เป็นกระบวนการเพื่อขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลง ตามเป้าหมายที่กำหนด   เป็นการส่งสัญญาณทั้งของความมุ่งมั่น หรือการมีเป้าหมาย ร่วมกัน   การดำเนินการฟันฝ่าความเคยชินเดิมๆ ไปสู่วิธีการใหม่   ที่นักเรียนทุกคนได้รับความเอาใจใส่ และช่วยเหลือหากเรียนไม่ทัน   และครูร่วมกันทำงานนี้เป็นทีม   รวมทั้งส่งสัญญาณให้สมาชิกของทีมเห็นว่า ความสำเร็จที่เป็นรูปธรรมเป็นอย่างไร   มีคุณค่าอย่างไรทั้งต่อศิษย์ พ่อแม่ และต่อครู   ผู้เขียนหนังสือแนะนำวิธีทำให้การเฉลิมฉลองความสำเร็จ เป็นวัฒนาธรรมการทำงานของโรงเรียน ๔ ประการ ดังนี้

๑. ระบุเป้าหมายของการเฉลิมฉลองให้ชัดเจน


๒. ทำให้ทุกคนมีส่วนจัดงานนี้


๓. ตีความหรืออธิบายความสำเร็จที่เกิดขึ้น และเชื่อมโยงกับ shared purpose ของโรงเรียนอย่างชัดเจน  และชี้เป้าความคาดหมายความสำเร็จที่จะเกิดขึ้นต่อไปในอนาคต


๔. ทำให้เห็นว่าความสำเร็จที่เกิดขึ้น เป็นผลงานของคนหลายคน   ระบุตัวบุคคลและบทบาทอย่างชัดเจน

๗. เผชิญหน้ากับผู้ต่อต้านเป้าหมายร่วมของคณะครู ในภาษาของการจัดการสมัยใหม่ นี่คือ risk management ในการจัดการการเปลี่ยนแปลง   ครูใหญ่ต้องวางแผนเตรียมพร้อมที่จะเผชิญสภาพนี้   ที่มีครูบางคนแสดงพฤติกรรมไม่ร่วมมือและท้าทาย   ต้องไม่ปล่อยให้การท้าทายทำลายเป้าหมายที่ทรงคุณค่านี้

ฝันชัด เป้าหมายปลายทางชัด ยังไม่พอ ต้องมี “ไม้บรรทัดวัดความสำเร็จ” ทีละเปลาะๆ ในเส้นทางของการทดลองเปลี่ยนรูปแบบการเรียนรู้   ซึ่งจะเป็นประเด็นของบทต่อไป

ในบทนี้ ผู้เขียนได้เสนอวิธีสร้างความมุ่งมั่นร่วมในกลุ่มครู ด้วยแบบสอบถามที่ถามคำถามหลายด้าน  ที่จะช่วยสร้างความขัดเจนในเป้าหมาย  วิธีการ  และสภาพการเปลี่ยนแปลง   เพื่อสร้าง commitment และการเห็นคุณค่า

สรุปบทที่ ๒ : คำถามเชิงเป้าหมาย อุดมการณ์ หรือความมุ่งมั่น (purpose) คือ


• โรงเรียนของเราดำรงอยู่เพื่ออะไร   ทำไมต้องมี ไม่มีได้ไหม
• เมื่อมีอยู่ต้องทำอะไรให้แก่สังคม แก่ชุมชน 
• อย่างไรเรียกว่าทำหน้าที่ได้ดี น่าภาคภูมิใจ
• เราจะช่วยกันทำให้โรงเรียนของเราทำหน้าที่ได้ดีเช่นนั้น ได้อย่างไร

อย่าตั้งคำถามว่า เราจะเปลี่ยนแปลงได้อย่างไร   แต่ตั้งให้ลึกและถามเชิงคุณค่า ว่ายุบโรงเรียนของเราได้ไหม ทำไมจึงต้องมีโรงเรียนของเรา   คุณค่าของโรงเรียนของเรา อยู่ที่ไหน  ประเมินได้อย่างไร   จะช่วยกันยกระดับคุณค่าที่แท้จริงได้อย่างไร

 

 

วิจารณ์ พานิช
๒๖ ก.ค. ๕๔



 


หน้า 509 จาก 558
Home

About Us

ศูนย์บูรณาการพัฒนามนุษย์ (ศบม.) เป็นองค์กรที่พัฒนาและจัดทำโครงการเพื่อทำประโยชน์ให้สังคม เป็นองค์กรสนับสนุนการดำเนินงานของภาครัฐ ช่วยแก้ปัญหาผู้ประกอบการภาคธุรกิจบริการที่ขาดแคลนบุคลากรที่มีมาตรฐานในการให้บริการ
อ่านเพิ่มเติม

มูลนิธิศูนย์บูรณาการพัฒนามนุษย์ ์

 iHDC Profile
บัญชีรายชื่อกรรมการ
ใบสำคัญแสดงการจดทะเบียน การเปลี่ยนแปลงกรรมการของมูลนิธิ
เอกสารประชาสัมพันธ์ โครงการ HMTC.pdf
เอกสารแนะนำโครงการ HMTC 1.pdf
เอกสารโครงการ HMTC 2 คุณสมบัติผู้เข้าร่วมโครงการ.pdf
iHDC นิติบุคคล.pdf
iHDC บุคคล.pdf
iHDC บุคคลเครือข่าย.pdf
รายงานการประชุม 6 มีนาคม 2560.pdf
ข้อบังคับมูลนิธิ
ใบสำคัญแสดงการจดทะเบียนจัดตั้งมูลนิธิ
Ihdc-Profile and Roadmap 2016-2019 Mar 23 2560.pdf
รายงานการประชุมใหญ่คณะกรรมการมูลนิธิศูนย์บูรณาการพัฒนามนุษย์ 2559.pdf
คำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการ สาขาวิชาชีพ.pdf
รายงานการประชุมใหญ่วันที่ 18 ธ ค 2558 v 3.pdf
รายงานการประชุม วันที่ 24 ธันวาคม 2557 updated 4 มีนาคม 2558.pdf
iHDC-invitation Letter.doc
iHDC-Member Form Thai.doc
iHDC-Member Form English.doc
รายงานการประชุมกรรมการมูลนิธิศูนย์บูรณาการพัฒนามนุษย์ วันที่ 15 มกราคม 2556 ฉบับสมบูรณ์


thaibetter
พัฒนาประเทศไทยแบบทวีคูณ และยั่งยืน ( ททค )

Login


แบบสำรวจ

สถิติเว็บไซด์

สมาชิก : 5607
Content : 3052
เว็บลิงก์ : 26
จำนวนครั้งเปิดดูบทความ : 8610830

facebook

Twitter


บทความเก่า