Thaiihdc.org

  • เพิ่มขนาดตัวอักษร
  • ขนาดตัวอักษรปกติ
  • สดขนาดตัวอักษร
Thaiihdc.org

ประวัติศาสตร์เศรษฐกิจรัตนโกสินทร์

พิมพ์ PDF

ประวัติศาสตร์เศรษฐ

กิจรัตนโกสินทร์ ที่ต้องจดจำ


ประเทศไทยเป็นประ

เทศที่มั่งคั่งมาก 

ในสมัยรัชกาลที่3 มีเงินตราต่างประเทศ

สะสมไว้มากมาย ทั้งเงินพระคลังมหาสมบัติ และเงินส่วนพระองค์

ของรัชกาลที่ 3 เรียกว่า เงินถุงแดง 


ที่ต้องใส่ไว้ในถุงแดงเพราะเป็นความเชื่อ

แบบจีนว่า ใส่ไว้ในถุงแดงจะไม่มีอันตรายและทำให้เกิดความมั่งคั่ง 


มียอดเงินรวม 5 ล้านฟรังค์

เงินตราต่างประเทศ

ของไทยได้มาจากการแต่งสำเภาไปทำ

การค้ากับจีน


 ในยุคนั้นทะเลจีนใต้ จีนคุม


เงินตราต่างประเทศที่

ได้มาอยู่ในรูปเงินเหรียญทองเมกซิโก เงินเปรู ยุคนั้นโลกใช้เหรียญ

ทองเป็นหลัก


เงินหนื่งบาทมีค่าเท่า

กับสองฟรังค์ของ

ฝรั่งเศส เป็นเงินสกุลแข็งที

เดียว อัตราแลกเปลี่ยนกับปอนด์อังกฤษ สมัย ร 4 อยู่ที่หนื่งบาทเท่ากับ

หนื่งปอนด์


 ความมั่งคั่งของประเทศไทยเป็นที่รู้กันทั่วไป

กำไรจากการค้า นำมาใช้เป็นเงินบริหารประเทศ และสะสมไว้เช่นเดียว

กับสำรองเงินตราประ

เทศในปัจจุบัน


เป็นหลักฐานยืนยันว่า

ประเทศไทยเป็นนัก

การค้ามาแต่โบราณ


แต่ความมั่งคั่งนี้เองที่

นำภัยมาสู่ประเทศ 


เพราะประเทศอื่นต้องการเข้าปล้น

ด้วยเงินที่สะสมไว้ และค้าขายหามาได้

เรื่อยๆ


 รัชกาลที่ห้า พระพุทธเจ้าหลวงทรงวางรากฐานในการพัฒนาชาติ มีรถไฟ รถราง ไฟฟ้า โทรศัพท์ ขุดคูคลองเพื่อการสัญจรทางน้ำ สร้างถนน สร้างอาคารที่ทำด้วย

ซีเมนต์ สร้างโรงเรียน จัดการศึกษา จัดการปกครองในรูป

มณฑล ติดต่อต่างประเทศ จ้างผู้เชี่ยวชาญ สร้างระบบไปรษณีย์ โทรเลข จ้างครูต่างประเทศมา

สอนภาษา ทรงเลิกทาส บ้านเมืองร่มเย็นเป็น

สุข



ญี่ปุ่นส่งคณะมาดูงานที่ประเทศไทย แล้วเอาไปทำ...



@@@


เหตุใดประเทศไทยที่

เจริญก้าวหน้าอย่าง

รวดเร็วจึงไม่

สามารถเดินต่อไปได้


ในรัชสมัยรัชกาลที่3 ลัทธิล่าเมืองขื้น จักรวรรดินิยมตะวันตกเข้ามาในเอเซีย


 อังกฤษยึดพม่า มลายู ฝรั่งเศสยึดเวียดนาม


 หลายๆประเทศบุกเข้ายืดดินแดนชายฝั่งของจีน ดัทช์เข้ายึดอินโดนิเซีย อังกฤษเข้ายึดออสเตรเลีย



สงครามเกิดขื้นใน

ยุโรป เยอรมันบุกเข้ายืดดิน

แดนฝรั่งเศสบางส่วน บอกว่าจะคืนดินแดนให้ ฝรั่งเศสต้องจ่ายเงิน 4 ล้านฟรังค์


 เรือรบฝรั่งเศสบุกไทย

เลยครับ


เงินของประเทศไทย

หมดคลังหลวง ขนเงินถุงแดงจ่าย

ไปด้วย เงินไม่พอพระราชวงศ์ พระบรมวงศานุวงศ์

ต่างก็ขนทอง เพชร พลอยไปใส่เรือให้ฝรั่งเศสที่ท่าราชวรดิษฐทั้งวัน ทั้งคืน เข็นกันไปจนถนนสึก

เป็นร่อง รวมน้ำหนักเงิน ทองที่ขนจากประเทศ

ไทย 23 ตัน เอาลงเรือไปฝรั่งเศส

ไถ่ประเทศคืนจาก

เยอรมัน



ผมเดินย่านนั้น เจ็บปวดทุกครั้ง

เรือรบฝรั่งเศสมาจอด

แถวท่าน้ำโอเรียนเต็ล ให้เวลา 48 ชั่วโมง มิฉะนั้นจะยึดประเทศ และยิงวัดพระแก้ว พระราชวัง


ผมมานั่งคำนวณดู 


พบว่า

ถ้าฝรั่งเศสไม่มาปล้น

ไทยไป ประเทศนี้มีสำรองเงินตราเพียงพอที่จะผ่านวิกฤติเศรษฐกิจโลกสมัย

รัชกาลที่ 7 อย่างสบาย ไม่ต้องเอาข้าราชการ

ออกจากงาน

นักเรียนทุน 326 คน ก็จะได้มาทำงานวาง

หลักในด้านต่างๆให้

ประเทศ


 ประเทศไทยมีเงินทุนที่จะลงทุน ทั้งด้านอุตสาหกรรม เกษตร ตั้งธนาคาร ทำถนนหนทาง มีการศึกษาสองภาษา มีผังเมือง ผังประเทศ ประเทศไทยจะก้าว

หน้าเหมือนกับญี่ปุ่น

มีเงินเหลือพัฒนา

ประเทศมากมาย ยุคนั้นเงินหนื่งสตางค์มีค่ามาก



@@@ แล้วอังกฤษก็มา

สมัยรัชกาลที่ 5 อังกฤษมาช้า ฝรั่งเศสปล้นไปก่อน

แล้ว จึงเอาไปแค่ดินแดน


 แต่ดินแดนที่อังกฤษ

เอาไป เป็นท่าเรือทั้งนั้น กะไม่ให้ไทยไปค้าขายกันเลย เช่น มะริด ทะวาย ตะนาวศรี และเปอร์ลิส กลันตัน ตรังกานู เคดาห์ 


ไทยมีปัญหาทางออกทะเลจนปัจจุบัน

ยังให้ทำสัญญาว่า จะไม่ขุดคอคอดกระ ที่จริงกะจะไม่ให้ประ

เทศไทยมีกองทัพด้วย



แต่หลังสงครามโลก

ครั้งที่สอง อังกฤษจัดหนัก บอกว่าไทยต้องบริจาคข้าวให้ฟรีจำนวน 3 ล้านตัน ทั้งๆที่ในสัญญาพูดแค่ 1.5 ล้านตัน


ช่วงนี้สมัย ร 7-8

ข้าวเป็นสินค้าส่งออก

หลักของประเทศ เจอเงื่อนไขนี้เข้า ประเทศไทยไม่มีเงิน

พัฒนา 


ค่าเงินบาทลดเหลือหนื่งปอนด์ต่อหกสิบบาท จากสมัยก่อนหนื่งบาทต่อหนื่งปอนด์


รัฐบาลได้เงินมาก็เอา

ไปซื้อข้าวส่งไปให้ ไม่มีเงินพัฒนาประเทศ 


อังกฤษทำให้ชาวนา

ไทยจน เพราะต้องทำให้ราคา

ข้าวต่ำ ไม่ใช่กฏุมพีที่ไหน

หรอก


ค่าเงินลดมาก พัฒนาลำบาก ต้องเริ่มสะสมสำรองกันใหม่ เทียบกับปอนด์ ค่าเงินลดหกสิบเท่า

 จนเฉียบพลัน ค้าขายขาดดุล ค่าเงินลดยิ่งกว่าวิกฤตปี 40 ตอนนั้นลดลงเท่าเดียว


นั่งคิดเลขดูเงินที่ฝรั่ง

ปล้นไปตั้งแต่สมัย ร 5 จนสมัย ร 7 นี่ทำให้คนไทยจนยาว


เมื่อเริ่มพัฒนาประเทศ ตั้งแต่ปี 2503 ใช้เงินกู้ ก็มาเจอสงครามในภูมิภาค ร่วม 25 ปี เอาตัวมาให้รอดได้ก็

บุญโข ใช้เงินไปเยอะ


สงครามสงบปี 2530 ค้าขายได้เงินมาสิบปี พอปี 2540 ก็เจอฝรั่งหลอก เจ๊งไปอีกหลายปี เสียหายราวสามล้าน

กว่าล้านบาท โง่เองด้วย


พอเริ่มจะแข็งแรงคน

ไทยก็ตีกันตั้งแต่ปี 2547 จนถืงวันนี้

มีน้ำมาดับเย็นบ้างช่วงปี 2554 น้ำก็มามากจัง


 ธนาคารโลกบอกว่าพังไปสามล้านกว่าล้าน โรงงานอพยพ 7,000 โรงงาน


@@

เมื่อญี่ปุ่นยกทัพเข้าไทยช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ก็ใช้เงินของแบงค์ชาติจนหมด


 และพิมพ์เงินเองให้กองทัพญี่ปุ่นใช้ ทำให้เงินไทยตกมาก ไม่มีสำรองไทยก็ไม่ได้เรียกร้องอะไรจากญี่ปุ่น 


ญี่ปุ่นขนเงินมาลงทุนในไทย


 ก็มีความรู้สืกเรื่องประวัติศาสตร์กันอยู่


อเมริกาเข้ามาช่วยกันอังกฤษ แต่ก็ได้สัญญา most favoured nation ได้สิทธิประโยชน์สูงสุด และยกเว้นภาษีปิโตรเลียมด้วย ให้ประเทศเดียว



วันนี้เขียนประวัติศาสตร์เศรษฐกิจไทยให้อ่านครับ


@@

ชีวิตประเทศมีขื้นมีลง คนก็เหมือนกัน


ได้แค่นี้ก็บุญโข


สำรองประเทศยังอยู่อันดับยี่สิบกว่าของโลกนะเนี่ย


ผมไปฝรั่งเศส ยังนึกว่าที่นี่เป็นดิน

แดนที่ใช้เงินของไทย

ไถ่มา

ประเทศมึง เงินกู


เวลาฝรั่งมาบอกโน่น

บอกนี่ ผมของขื้นทุกที


ใครที่ซ่าๆอยู่ จะสร้างความวุ่นวาย

โน่นนี่ บอกว่าจะช่วยคนจน ระวังว่าจะเป็นตัวสร้างความจนให้ชาวบ้าน


นักประวัติศาสตร์ไทยก็ประหลาด เรื่องที่มาทำให้คนไทยจนไม่พูด


 ทะลื่งมาโจมตีสถาบันที่สร้าง กอบกู้ประเทศมาด้วย

ความยากลำบาก 


รัชสมัยรัชกาลที่9 เราเริ่มการพัฒนาโดย

ไม่มีสตางค์นะครับ


เล่าประวัติศาสตร์ให้

ฟัง เพื่อจะได้ปรับใช้กับยุคปัจจุบันครับ


Cr. Somkiat Osotsapa

บทความนี้คัดลอกมาจาก Line ของผู้ที่ใช้ชื่อว่า Sawat&Juraiwan

แก้ไขล่าสุด ใน วันศุกร์ที่ 24 มิถุนายน 2016 เวลา 20:57 น.
 

ความรู้ด้านการบริหารจัดการด้านการท่องเที่ยว

พิมพ์ PDF


ความเข้าใจเกี่ยวกับ “ทัวร์ศูนย์เหรียญ” หรือ ทัวร์ราคาถูก–ต่ำกว่าต้นทุน...ดูจะผิดเพี้ยนไปมากขณะที่หลายคนซึ่งมีความเข้าใจเกี่ยวกับธุรกิจทัวร์ต่ำกว่าต้นท


อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/768412?utm_source=nytive.com&utm_medium=cpc&utm_campaign=no+group&utm_content=ad-73907&utm_term=nytive

ได้อ่านบทความของไทยรัฐ ฉบับพิมพ์ 31 ต.ค. 2559 เนื่องจากผมเป็นผู้หนึ่งที่อยู่ในวงการท่องเที่ยวตั้งแต่เรียนจบได้ทำงานในสายด้านการท่องเที่ยวมาตลอดจนกระทั่งปัจจุบัน ถึงแม้นจะไม่ได้ทำงานในภาคธุรกิจและหันมาบริหารมูลนิธิศูนย์บูรณาการพัฒนามนุษย์ มาแล้วร่วม 6 ปีก็ตามแต่ไม่เคยทอดทิ้งเรื่องการท่องเที่ยว อดไม่ได้ที่จะขอแสดงความคิดเห็นดังนี้

เรื่องการบริหารจัดการภาคการท่องเที่ยวเป็นเรื่องละเอียดอ่อนเกี่ยวเนื่องกับ เศรษฐกิจ สังคม และความั่นคง จะต้องได้รับการพิจารณาและวางนโยบายอย่างรัดกุม ต้องมองในทุกมิติ อย่างไรก็ตาม ผู้เกี่ยวข้องทุกภาคส่วนจะต้องมีความเข้าใจเรื่องการบริหารจัดการด้านการท่องเที่ยวในแต่ละภาคส่วนอย่างแท้จริง ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีศักยภาพด้านการท่องเที่ยวสูงมากเชื่อว่าไม่ด้อยกว่าประเทศใดในโลก ดังนั้นถ้าผู้บริหารประเทศมีความเข้าใจเรื่องการทองเที่ยวอย่างแท้จริง มีการบูรณาการในทุกภาคส่วน และกำหนดนโยายที่ชัดเจนและสามารถนำไปปฎิบัติได้จริง จะทำให้เศรษฐกิจโดยรวมของประเทศมีความเข้มแข็งอย่างยั่งยืน สามารถกระจายรายได้ไปถึงประชาชนในทุกภาคส่วน โดยไม่เป็นทำลายวัฒนธรรมและความเป็นอยู่ของปะชาชน รวมถึงสิ่งแวดล้อม 

ม.ล.ชาญโชติ ชมพูนุท

11 พ.ย.2559

แก้ไขล่าสุด ใน วันศุกร์ที่ 11 พฤศจิกายน 2016 เวลา 14:56 น.
 

หยุดเรียกให้ประเทศไทยถอยหลังขัดขวางการพัฒนา

พิมพ์ PDF

Sutin Wannabovorn

 หยุดเรียกให้ประเทศถอยหลังและขัดขวางการพัฒนา

นักการเมือง นักกิจกรรม นักวิชาการ ฝ่ายค้าน มอบมุ้งมิ้ง มอบเยาวชนปลดแอก เยาวชนไม่ทนแล้วฯลฯ ที่ประสานเสียงกันเรียกร้องกดดันให้นายกฯลาออก ยุบสภาแก้รัฐธรรมนูญนั้น

พูดความจริงกันเสียที ว่าจริงแล้วพวกท่านทั้งหลายไม่ประสงค์ให้ประเทศเดินไปข้างหน้า ขัดขวางการพัฒนาการเมืองเศรษฐกิจและสังคม

เพราะเรื่องยุบสภา ส.ส ยังไม่ได้มีการขัดแย้งอย่างรุนแรงกับรัฐบาล กฏหมายทุกฉบับผ่านมติสภาไปได้สบายๆ ฝ่ายค้านยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางรัฐบาล เสียงข้างมากในสภาก็ลงมติรับรองให้เป็นรัฐบาลบริหารประเทศต่อไปได้

ประเด็นให้นายกฯลาออก หนึ่งปีที่ผ่านมารัฐบาลบริหารประเทศมาราบรื่น ยังไม่มีข้อครหาว่านายกฯได้เกี่ยวข้องกับการทุจริตในโครงการใดๆ ส่วนข้อกล่าวลอยๆของฝ่ายค้านและชาวบ้านทั่วไปไม่มีหลักฐานใดๆว่านายกฯทุจริตทั้งทุจริตทางนโยบายและทุจริตทางตรง

.รัฐบาลบริหารประเทศท่ามกลางวิกฤติโควิด19 ด้วยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนจนทำให้ประเทศได้รับการยกย่องให้เป็นประเทศที่สามารถควบคุมการระบาดและรักษาโควิด19 ได้ดีที่สุดในโลก

.ข้อเรียกร้องให้แก้รัฐธรรมนูญ ยกเลิก รธน ปี 60 แล้วร่างขึ้นใหม่โดยประชาชนมีส่วนร่วมนั้น เป็นข้อเรียกที่ไม่มีวันจะเป็นได้ เพราะทุกคนรู้ดีว่าตั้งแต่คณะราษฯปล้นพระราชอำนาจพระราชทรัพย์ในปี 2475 เป็นต้นมาไม่เคยมีสภาชุดไหนร่าง รธน เองได้

รธน ทุกฉบับในประเทศนี้ เขียนขึ้นหลังยึดอำนาจหรือไม่หลังจากเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่รุนแรง

 มี รธน ปี 2517 เพียงฉบับเดียวที่ร่วมร่างด้วยประชนที่คัดเลือกมาจาก 2500 คนที่เรียกว่าสภาสนามม้า

.สำหรับ รธน 60 นั้น เป็น รธน ฉบับเดียวในประวัติศาสตร์ที่ผ่านการลงประชามติรับรองจากผู้มีสิทธิออกเสียงถึง 16.8 ล้านคน รธน ฉบับนี้ประกาศใช้เมื่ิอวัน 6 เม.ย 2560 โดยให้มีบทเฉพาะกาลบังคับใช้ 5 ปี

ในบทเฉพาะกาล 5 ปีนั้นมีประเด็นต่างๆที่คนทั่วไปเห็นว่าไม่เป็นประชาธิปไตย ประเด็นสำคัญคือ ส.ว 250 คนที่มาจากการแต่งตั้งมีสิทธิลงคะแนนร่วมกับส.ส 500 คนที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน ในการลงมติเลือกนายกฯในสภาซึ่งเท่าว่าได้กำหนดให้ผู้แต่งตั้ง ส.ว เป็นนายกฯล่วงหน้า

แต่อย่างไรก็ตามประชาชนก็ได้ลงมติรับรองประเด็นนี้ไปแล้วด้วยเหตุผลว่าประเทศชาติได้บอบช้ำมามากจนเกือบล่มสลายเพราะกลุ่มการเมืองทุนสามานย์ปล้นชาติพยาบาทสถาบันได้ทำลายประเทศชาติประชาชนก่อนหน้ามานานนับสิบปี จึงจำเป็นที่ต้องบทเฉพาะให้หัวหน้ารัฐบาลได้มีฐานมั่นคงในการบริการประเทศในห้วงเวลาที่บทเฉพาะกาลบังคับใช้

.รธน ประกาศใช้ 6 เม.ย 2560 จนถึงวันนี้ผ่านมาเป็นเวลา 3 ปี 3 เดือนนายกฯและ ส.ว ยังเหลือเวลาที่บทเฉพาะกาลคุ้มครองอีกเพียง 1 ปี 9 เดือน

ดังนั้นถ้านายกฯลาหรือยุบสภาเลือกตั้งใหม่ถึงอย่างไรนายกฯก็สามารถกลับมาเป็นนายกฯได้อีกถ้าท่านต้องการ

แต่ถ้ารออีกหนึ่งปีเก้าเดือน กำหนดใช้บทเฉพาะก็หมดไป ส.ว ชุดต่อไปต้องมาจากการเลือกตั้งและไม่มีสิทธิลงมติเลือกนายกฯ

เมื่อบทเฉพาะกาลหมดผ่านไปหลายมาตราใน รธน ก็เป็นประชาธิปไตยสมบูรณ์ขึ้น ส่วนการแก้ รธน บางส่วนบางมาตรานั้น สภาได้ตั้งกรรมการศึกษาเริ่มดำเนินการแล้ว

ดังนั้นข้อเรียกร้องสามข้อของน.ศ นักเคลื่อนไหวฝ่ายค้านจึงไม่ใช่การเรียกเพื่อประชาธิปไตย แต่เป็นการเคลื่ิอนไหวให้ประเทศถอยหลังและขัดขวางการพัฒนา


 

ชีวิตที่พอเพียง 3245. สัมผัสที่เจ็ด

พิมพ์ PDF

บทความเรื่อง A Sense of Discovery: How the Immune System Works With the Brain (1) (2) (3) ในนิตยสารScientific American ฉบับเดือนสิงหาคม ๒๕๖๑   เขียนโดยศาสตราจารย์ Jonathan Kipnis  ศาสตราจารย์ด้าน Neuroscience และเป็นผู้อำนวยการ Centerfor Brain Immunology and Glia, University of Virginia School of Medicine    บอกหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ ว่าสมองกับระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายมีความเชื่อมโยงกัน    โดยระบบภูมิคุ้มกันทำหน้าที่ “รับรู้” และส่งต่อข้อมูลที่รับรู้แก่สมอง     เป็นผัสสะที่ ๗  เพิ่มจากผัสสะทั้งหกที่เราคุ้นเคย คือ เห็น  ได้ยิน  สัมผัสกาย  รส  กลิ่น และท่ากาย (proprioception)    

ระบบภูมิคุ้มกันเป็นหนึ่งในเจ็ดช่องทางรับรู้ของสมอง    รับรู้การรุกรานของจุลชีพเข้าสู่ร่างกาย  

นี่คือความรู้ใหม่  ที่ลบล้างความเชื่อเดิม  ที่คิดว่า ระบบสมองกับระบบภูมิคุ้มกันทำงานแยกกัน   โดยระบบประสาททำหน้าที่กำกับการทำงานของร่างกาย   และระบบภูมิคุ้มกันทำหน้าที่ปกป้องร่างกายจากผู้รุกราน   

ความเข้าใจใหม่บอกว่าสองระบบมีปฏิสัมพันธ์กันอย่างสม่ำเสมอ ทั้งในสภาพร่างกายปกติ สุขภาพดี   และในยามเจ็บป่วย   นี่คือที่มาของวิชาการสาขาใหม่คือ neuroimmunology   ที่มองระบบภูมิคุ้มกันเป็น “ระบบสารสนเทศ” (information system) ของร่างกาย ด้วย   สารสนเทศด้านภูมิคุ้มกันมีบทบาทเปลี่ยนแปลงการเชื่อมโยงใยประสาทในสมอง   

นำไปสู่การตั้งความหวังว่าศาสตร์สาขาใหม่นี้ อาจช่วยนำทางสู่การบำบัดโรคแนวทางใหม่ที่แนวทางเดิมไร้ผล เช่นอัลไซเมอร์  ออทิสซึม 

สมองมีเซลล์สมอง (neurone) ราวๆ หนึ่งแสนล้านเซลล์ เชื่อมต่อกันอย่างซับซ้อนโดยมีรอยเชื่อมต่อราวๆ หนึ่งร้อยล้านล้านรอยเชื่อม(synapse)   และมี gliacells   รวมกันเป็น parenchymaซึ่งเป็นระบบประมวลข้อมูลของสมอง   และมีระบบสนับสนุนเรียกว่า stromal cells  ซึ่งประกอบด้วยหลอดเลือดที่มาเลี้ยง   และระบบ blood – brain barrier คอยปกป้องความปลอดภัยให้แก่สมอง    

ระบบภูมิคุ้มกันมีสองส่วน  คือ innate immunity  กับ acquired immunity    

innate immunity ของมนุษย์รับมรดกมากับวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต โดยสิ่งมีชีวิตเริ่มมีระบบนี้เมื่อประมาณหนึ่งพันล้านปีมาแล้ว    เป็นเสมือนกองป้องกันส่วนหน้า    เห็นได้จากอาการอักเสบ ซึ่งก็คือการที่เม็ดเลือดขาวไปรวมตัวกันต่อสู้สิ่งแปลกปลอม โดยห้อมล้อมเชื้อโรคไว้ และฆ่าเสีย    ระบบนี้มีความไม่จำเพาะ ไม่แม่นยำ

acquired immunity ประกอบด้วย Tlymphocytes และ B lymphocytes    ที่รู้จักเชื้อโรค และจัดการฆ่าเป็นการเฉพาะตัว     ระบบนี้มีความสามารถและความแม่นยำสูง   แต่ก็เป็นธรรมดาที่มีความผิดพลาดของระบบขึ้นได้    คือหลงเข้าใจว่าเนื้อเยื่อของตนเองเป็นสิ่งแปลกปลอม  เป็นต้นเหตุของโรค autoimmune   เช่น เอสแอลอี  ข้ออักเสบรูมาตอยด์  และเบาหวานบางประเภท   ความผิดพลาดนี้เกิดขึ้นราวๆ ร้อยละหนึ่ง  

สมองมีเซลล์ระบบภูมิคุ้มกันแบบ innate immunity ชื่อ microglia   และมีระบบ blood – brain barrierป้องกันไม่ให้เซลล์ในระบบ innate immunity ภายนอกเข้าไปในสมอง     ระบบ blood– brain barrier ประกอบด้วยเซลล์ endothelial ที่ล้อมรอบหลอดเลือด   ซึ่งผนังหลอดเลือดในสมองจะมี endothelial cells แพ็คกันแน่นกว่าหลอดเลือดทั่วไป  และมีเยื่อ basement membrane หนากว่าปกติ เสริมแรงด้วย Astrocyte ที่เกาะอยู่ภายนอกหลอดเลือด  

ผลการวิจัยใหม่พบความซับซ้อนมากกว่านั้น   มีระบบหลอดน้ำเหลือง ของเยื่อหุ้มสมอง  เซลล์ของระบบอิมมูนนอกสมองที่อยู่กับเยื่อหุ้มสมอง    ที่สร้างโปรตีนกลุ่ม cytokines ปลดปล่อยสู่น้ำหล่อสมอง (cerebro-spinal fluid)    และโปรตีน cytokines สามารถเล็ดลอดเข้าเนื้อสมองได้ผ่านช่องที่ล้อมหลอดเลือด  

การค้นคว้านี้มีรายละเอียดมาก    ตัวไขความกระจ่างคือโรค PTSD (post-traumaticstress disorder)    ในหนูและในคน    พบว่าหนูที่acquired immunity บกพร่อง เป็น PTSD มากกว่าหนูที่acquired (adaptive) immunity ปกติหลายเท่า    และยังมีหลักฐานในคน ว่า ระบบอิมมูนมีความสัมพันธ์กับการเกิดโรค PTSD    

การทดลองขีดความสามารถในการเรียนรู้ของหนู  เปรียบเทียบระหว่างหนูที่บกพร่องด้าน adaptive immunity  กับหนูปกติ    พบว่า หนูที่บกพร่องด้าน adaptive immunityเรียนรู้ได้ต่ำกว่าด้านภูมิประเทศ (spatial)  และด้านสังคม

นอกจากนั้น ยังพบว่า cytokines จากระบบอิมมูนนอกสมองสามารถเข้าไปในสมองได้    และเข้าไปมีบทบาทต่อการทำงานของสมอง   

จากการศึกษาเยื่อหุ้มสมองอย่างละเอียดพบว่ามีหลอดน้ำเหลือง (lymphaticvessels)    และมีเซลล์ในระบบอิมมูน    ก่อความตื่นเต้นว่าสมองได้เอาระบบอิมมูนที่ใช้ปกป้องสมองไปไว้ภายนอก  เพื่อให้สมองทำหน้าที่ได้ดียิ่งขึ้น   

มีการค้นพบว่า น้ำหล่อสมอง (cerebro-spinalfluid) ทำหน้าที่นำ cytokines เข้าไปในเนื้อสมอง    และพบว่า cytokinesที่สร้างจาก T cell ที่เยื่อหุ้มสมอง เข้าไปกระตุ้นเซลล์สมองส่วนที่ทำหน้าที่ควบคุมพฤติกรรมทางสังคม   เป็นหลักฐานเชื่อมโยงระบบอิมมูนกับระบบการทำงานของสมอง    มีการค้นพบ cytokinesหลายชนิดที่มีฤทธิ์ทำนองนี้  

ทฤษฎีที่ว่าระบบอิมมูนเป็นประสาทรับรู้ช่องทางที่ ๗ นี้ ยังอยู่ในขั้นเริ่มต้น   ยังต้องมีการวิจัยเพิ่มเติมอีกมาก    แต่ก็มีหลักฐานแวดล้อมมากมาย ที่เมื่อคนเราเป็นโรคติดเชื้อ เรามีอาการ “ป่วย” ทั่วตัว    ซึ่งน่าจะเกิดจากสมองรับรู้ผ่านระบบอิมมูนและทำหน้าที่เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมเพื่อเตรียมพร้อมร่างกายในการต่อสู้กับเชื้อโรค   

หากทฤษฎีนี้เป็นความจริง  ก็จะเพิ่มช่องทางบำบัดโรคทางสมองผ่านระบบอิมมูน เช่นการเปลี่ยนแปลงยีนในระบบอิมมูน (ซึ่งทำได้ง่ายกว่าทำกับสมอง)เพื่อแก้ปัญหาโรคทางสมอง               

วิจารณ์ พานิช

๑๙ ก.ค. ๖๑

 

ร ๙ คือกษัตริย์เหนือกษัตริย์ทั้งปวง

พิมพ์ PDF

บันทึกส่วนตัว : วิษณุ เครืองาม “ร. คือกษัตริย์เหนือกษัตริย์ทั้งปวง”

บันทึกอันมีคุณค่า ทางประวัติศาสตร์ของ ดร.วิษณุ เครืองาม 

 ผู้คนจำนวนมากที่ได้อ่าน ต้องประทับใจ อย่างลึกซึ้งอย่างไร ทุกครั้งที่มีการนำมาแชร์ ก็อดแชร์ต่อไม่ได้ ด้วยความรู้สึก ประทับใจสุดซึ้ง ยิ่งกว่าเดิม...

ดังนั้น  ทุกท่านควรอ่าน บันทึกเรื่องราว ที่ควรรู้ของร.๙ ซึ่งดร.วิษณุฯ บันทึกตามที่ได้พบเห็นมา ด้วยตนเอง อย่างละเอียดงดงาม…

มีใจความดังนี้.-

"ในปี 2013 ผมทำงานอยู่ใน ทำเนียบรัฐบาล โดยทำหน้าที่ต่างๆ กันถึง 15 ปี ผมขอยืนยันว่า พระองค์ทรงมีมาตรฐานเดียว โดยตลอด จะต่างกันก็ที่โอกาส เช่น คณะรัฐมนตรีบางคณะ เข้ามาในช่วงที่ทรงพระประชวร บางคณะ มีราชการงานเมือง ต้องเข้าเฝ้าฯ ขอพระราชทาน มหากรุณาบ่อย หรือห่างตามเหตุการณ์

ในการมีพระราชดำริ พระราชดำรัส และการทรงงานใดๆ ไม่มีเลยสักเรื่อง ที่จะแสดงว่า ทรงรับเอาประโยชน์ส่วนพระองค์ แม้พสกนิกร จะเต็มใจถวายก็ตาม

สมัย จอมพลถนอมเป็นนายกฯ คราวหนึ่ง ประจวบโอกาส ครองราชย์ครบ 25 ปี (พ.ศ. 2514)   

รัฐบาลจะสร้างพระบรมราชานุสาวรีย์ และถาวรวัตถุใหญ่โต  ที่สุดในประเทศ ”ถวาย

รับสั่งว่า “สิ้นเปลือง และไม่เป็นประโยชน์ แก่ประชาชน สร้างถนน แก้รถติดดีกว่า” นี่คือที่มาของ “ถนนรัชดาภิเษก”

สมัยคุณบรรหารเป็นนายกฯ เคยกราบบังคมทูลว่า จะสร้างทาวเวอร์ หรือหอคอยสูงใหญ่ ข้างสะพานพระราม 9 ใช้เป็นหอดูวิว หอโทรคมนาคม และเฉลิมพระเกียรติ รับสั่งว่า "เทคโนโลยีสมัยนี้ ไม่ต้องสร้าง หอโทรคมนาคม เปลืองเงินเปล่าๆ ”

นายกฯ คนหนึ่ง เคยกราบบังคมทูลถามว่า ที่พระอนุสาวรีย์ กรมหลวงชุมพรฯ หน้าทำเนียบรัฐบาลนั้น ตอนพลบค่ำ คนมักมาจุดประทัดแก้บน บางทีก็ยิงปืน สนั่นหวั่นไหว ดังรบกวน มาถึงสวนจิตรฯ

รับสั่งว่า “อยู่ที่หลักการว่าทำอย่างนั้น ผิดกฎหมายไหม ถ้าผิดก็ต้องห้าม แต่ถ้าเป็นเสรีภาพ ก็ต้องปล่อยไป รำคาญหนวกหู ก็ต้องทน อย่าใช้มาตรฐานสวนจิตรฯ หรือทำเนียบรัฐบาล มาตัดสิน ”

สมัยนายกฯ ทักษิณ เคยกราบบังคมทูลว่า เมื่อประทับ รักษาพระองค์ ที่วังไกลกังวลอย่างนี้ รัฐบาลจะขอพระราชทาน พระบรมราชานุญาต ให้สำนักพระราชวัง ปรับปรุงวังไกลกังวล ให้สะดวกสบาย สมกับที่จะใช้ เป็นที่ประทับยาวนาน

รวมทั้งจะปรับปรุง โรงพยาบาลหัวหิน ให้ทันสมัยพร้อม ทุกประการ รับสั่งว่า การปรับปรุงโรงพยาบาล เป็นประโยชน์แก่ทุกคน ถ้ามีงบก็ควรทำ แต่การปรับปรุงวังไกลกังวล เป็นเรื่องสะดวก สบายใจ “ แค่นี้ก็พออยู่พอเพียงแล้ว ”

รัฐบาลหลายคณะ เคยออกกฎหมาย ที่มุ่งจะเฉลิมพระเกียรติ เช่นใช้คำว่า “ พระบาทสมเด็จพระปรมินทร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช ” ทรงมีพระราชกระแส ให้รัฐบาล นำกลับไปปรับปรุง เพราะ “ ไม่อาจทรงสถาปนา พระองค์เองได้ ”

 เช่นเดียวกับที่ใน พ.ศ. 2512 ไม่ทรงลงพระปรมาภิไธย ในร่างพระราชบัญญัติ ยศทหาร ซึ่งถวายพระยศทางทหาร เป็น จอมพล จนร่างพระราชบัญญัตินั้น ตกไปเองในที่สุด

ตลอดรัชกาล ทรงลงพระปรมาภิไธย ตรากฎหมายมาแล้ว ทั้งที่เป็น พระราชบัญญัติ  พระราชกำหนด พระราชกฤษฎีกา นับหมื่นฉบับ ทรงวินิจฉัยฎีกานักโทษ ฎีการ้องทุกข์ ขอพระราชทาน ความเป็นธรรม อีกหลายพันราย บางราย ขอพระราชทานยืมเงิน บางรายขอความเป็นธรรม เรื่องแต่งตั้งโยกย้าย รายหนึ่งพ่อตาย ลูกชายบวชหน้าไฟให้พ่อ อยู่มาก็ไม่ยอมสึก แม่มีลูกชายคนเดียว ทำหนังสือถวายฎีกาว่า เดือดร้อนหนัก ขอพระมหากรุณา ให้ลูกสึกมาช่วยเลี้ยงแม่เถิด โปรดให้ตรวจสอบ แล้วมีพระราชกระแสว่า แท้จริงแม่ไม่ได้ อยากให้ลูกสึก แต่ปัญหาคือ แม่ลำบากยากจน จึงโปรดให้ กรมประชาสงเคราะห์เข้าไปช่วยดูแล สอนอาชีพให้ และหาเครื่องมือ ทำมาหากินไปให้แม่ ลงท้ายแม่ก็ทำมาหากินได้ ส่วนลูกก็อยู่ไป จนเป็นสมภาร

พระบาทสมเด็จพระ เจ้าอยู่หัวฯ ทรงสงเคราะห์ ทั้งส่วนรวม และพระองค์เอง เพื่อจะได้มีพระพลานามัยดี ทรงงานเพื่อส่วนรวมต่อไป จึงทรงดนตรี  ทรงพระราชนิพนธ์หนังสือ ทรงเล่นคอมพิวเตอร์ ทรงฉายภาพ ทรงกีฬา ทรงวาดรูป ปั้นรูป ทรงงานไม้งานช่าง จะทรงจับงานด้านใด ก็ทรงทำได้ดีไปหมด

มีเรื่องที่ประชาชนไม่ทราบคือ ทรงสนพระราชหฤทัย เป็นพิเศษ ในเรื่องภาษาไทย การศึกษา ระบบสิ่งแวดล้อม การสาธารณสุข และพุทธศาสนา

ส่วนที่ทรงพระปรีชาอย่างยิ่ง คือเรื่องดิน น้ำ ระบบระบายน้ำ และการแก้ปัญหาจราจรนั้น ล้วนเป็นที่ทราบกันทั่วไปแล้ว

เมื่อครั้งผมเป็นเลขาธิการ คณะรัฐมนตรี ผมเคยได้รับ พระมหากรุณา พระราชทานคำแนะนำ เรื่องการใช้ถ้อยคำ ภาษาไทยหลายหน ครั้งหนึ่ง ผมได้ถวาย "รายชื่อ”บุคคล ให้ทรงแต่งตั้ง รับสั่งถามว่า ตั้งกี่คน ผมกราบบังคมทูลว่า คนเดียว ตรัสว่า คนเดียวเรียกว่า “ ชื่อ” ถ้า “ รายชื่อ ” ต้องหลายคน

อีกคราวหนึ่ง มีหนังสือกราบบังคมทูลว่า “ ทูลเกล้าทูลกระหม่อม มาเพื่อทรงพิจารณา ” ทรงพระสรวล ตรัสว่า “ ถ้าทูลเกล้าทูลกระหม่อม ก็อยู่บนกระหม่อม ยังไม่ถึงฉัน ถ้าจะให้ถึงฉัน ต้องทูลเกล้าทูลกระหม่อม ถวายมาเพื่อทรงพิจารณา ”

ในทางพระพุทธศาสนา ก็ปรากฎว่าทรงรอบรู้ ทั้งในทางปฎิบัติ และปริยัติ ทรงรู้จักพระเป็นอันมาก เมื่อตรัสถึง เหตุการณ์ครั้งใด จะทรงย้อนไปถึง เรื่องราวครั้งเก่าก่อน เช่น “ ครั้งสมเด็จ พระสังฆราช ยังเป็นพระญาณวราภรณ์ ” “ ครั้งเจ้าคุณประยุทธ ยังเป็นพระราชวรมุนี ” และเคยตรัสเล่า เรื่องราว ความเป็นอัครศาสนูปถัมภก ว่า ต้องทรงอุปถัมภ์ และคุ้มครอง ทุกศาสนา โดยไม่เลือกปฎิบัติ

 

ทรงเล่าพระราชทานว่า ครั้งหนึ่ง ควีนจากประเทศหนึ่ง ทูลถามว่า พุทธศาสนาไม่มีพระเจ้า แล้วชาวพุทธ นับถืออะไรกัน เหตุใดไม่ยกพระพุทธเจ้า เป็น God เสียเลย?ทรงตอบว่า พุทธศาสนานับถือ “ ธรรม ”(คำสั่งสอน ของพระพุทธเจ้า) เรานับถือธรรมยิ่งกว่า องค์พระพุทธเจ้าเสียอีก เพราะธรรมเป็นเครื่องคุ้มครองโลก และได้ตรัสเล่าต่อไปว่า แม้ศาสนาอื่น ก็ยังต้องทรงอุปถัมภ์ ฉะนั้นในฝ่ายพุทธศาสนา ขอให้ทุกคน วางใจเถิดว่า จะเป็น เถรวาท มหายาน รามัญนิกาย มหานิกาย ธรรมยุต ก็ต้องทรงคุ้มครอง และพระราชทาน ความเป็นธรรม เสมอกัน

รัชกาลที่ 5 นั้น อะไรที่ไม่เคยมี และไม่มีคนไทยคนใด นึกว่าชีวิตนี้จะมี แต่ก็ทรงบันดาล หรือวางรากฐาน ให้มีจนได้ เช่น โรงเรียน โรงพยาบาล รถไฟ ไปรษณีย์ เลิกทาส จนคนรุ่นก่อนหน้านั้น ต้องคิดว่าเหลือเชื่อจริงๆ

แต่ รัชกาลที่ 9 นั้น อะไรที่ควรจะมี ควรจะคิดออก ควรจะทำมานานแล้ว แต่ผู้มีอำนาจหน้าที่ ไม่ใคร่คิดไม่ใคร่ทำ ก็ทรงบันดาล หรือวางรากฐานเสียเอง ให้มี-ให้เป็นขึ้น เช่น เขื่อน ฝาย ประตูระบายน้ำ ถนน สะพาน การสงเคราะห์ คนเป็นโรคเรื้อน คนประสบภัยธรรมชาติ การแก้ปัญหาจราจร การเพิ่มผลผลิตการเกษตร การแก้ปัญหาความยากจน ปัญหาพลังงาน ฯลฯ

สมัยผมเป็นเลขาธิการ ครม. ต้องทูลเกล้าฯ ถวายเอกสาร ใส่ซองขนาดใหญ่สีขาว เพื่อทรงลงพระปรมาภิไธย รับสั่งว่า ต่อไปหน้าซอง ไม่ต้องเขียนเลขที่หนังสือ จะได้หมุนเวียน กลับลงมาใช้หลายหน ไม่ต้องทิ้ง แม้แต่เรื่องเล็กๆ ก็ควรประหยัด เวลาร่างกฎหมาย โปรดให้ถวายปะหน้า 2 แผ่น เผื่อว่า ทรงลงพระปรมาภิไธยแล้ว หมึกซึมเลอะ จะได้ประหยัดเวลา ไม่ต้องรอถวายใหม่ เวลาตั้งรัฐมนตรีใหม่ จะต้องเข้า เฝ้าฯ ถวายสัตย์ปฎิญาณ พระองค์ตรัสว่า ให้รีบมา จะได้รีบไปทำงาน  ไม่ต้องห่วงว่า ติดเสาร์อาทิตย์ ประเทศไทย พระเจ้าแผ่นดิน ไม่มีวันหยุดราชการ...พระมหากรุณาธิคุณปานนี้ จะหาได้จากที่ไหนอีก เจ้าประคุณเอ๋ย!

ปี 2538 สมเด็จพระศรีนครินทรา บรมราชชนนี สวรรคต ลองคิดดูว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ จะทรงวิปโยค ขนาดไหน แม้เสด็จไปทรงสดับ พระพิธีธรรม ที่พระที่นั่งดุสิตฯ ทุกราตรี แต่ทราบกันบ้าง หรือไม่ว่า พอพระสวดจบ เสด็จลงมาประทับ ที่พระที่นั่ง ราชกรัณยสภาใกล้ๆ กัน กลับพระราชทานคำแนะนำ การแก้ปัญหาจราจร แทบทุกคืน...

ปี 2553 อยู่ระหว่างประชวร ประทับในโรงพยาบาล  พระราชกรณียกิจอื่น ภายนอกโรงพยาบาล ทรงงดเสียเกือบสิ้น แต่การเสด็จไปเปิด ประตูระบายน้ำ คลองลัดโพธิ์ ทอดพระเนตร โครงการแก้ปัญหาน้ำท่วม และเปิดสะพานระบายการจราจร เพื่อพสกนิกร ของพระองค์ เป็นเรื่องที่ทรงถือ เป็นกิจสำคัญกว่า

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงเป็นยอดแห่งผู้อดทน อดกลั้น ในการประกอบ พระราชกรณียกิจนั้น ย่อมมีทั้งร้อน ทั้งหนาวยาวนาน และน่าเหนื่อย หนัก ดูเอาจาก การพระราชทาน ปริญญาบัตรเถิด แม้แต่ที่ต้องทรงอดกลั้น ด้วยขันติบารมี ในคำจ้วงจาบ หรือระคายเคือง เบื้องพระยุคลบาท อีกไม่รู้เท่าไร อย่าลืมว่า พระชนมพรรษา 83 แล้ว ทรงงานมา 64 ปีแล้ว

ดะไลลามะ เคยพูดว่า “ใครอย่ามาชมตัวข้าพเจ้าเลย ว่าเป็นยอดคน ไปดูพระเจ้าแผ่นดินเมืองไทย ก่อนเถิด ”ผมเคยไปเฝ้าฯ กษัตริย์จิกมี แห่งภูฎาน ได้ตรัสว่า “กษัตริย์ของท่าน เป็นแบบอย่างของข้าพเจ้า ในการจะครองราชย์ ให้พสกนิกรรัก ”

 

สุลต่านบรูไน ซึ่งทรงทำหน้าที่ เป็นผู้แทนกษัตริย์ 25 ประเทศ ถวายพระพร ในคราวฉลองการครองราชย์ ครบ 60 ปี เมื่อ พ.ศ. 2549 เคยทูลว่า "การครองราชย์นานถึง 60 ปี เป็นเพียงตัวเลข สำคัญอยู่ที่ว่า 60 ปีนั้น ได้ทรงทำอะไรบ้าง"

“ เป็นที่ประจักษ์แล้วว่า  ฝ่าพระบาททรงทำทุกอย่าง ตลอด60 ปี ให้เป็นประโยชน์ต่อชาวไทย ชาวเอเชีย และชาวโลก วาระนี้ จึงทรงเป็นความภาคภูมิใจ ของบรรดา พระราชามหากษัตริย์ ทั้งปวง โดยทั่วกัน ”

เมื่อวันเฉลิมพระชนมพรรษาปี 2552 มีพระราชดำรัส ตอนหนึ่งว่า "ความสุขสวัสดีของพระองค์ จะมีได้ ก็ด้วยการที่ บ้านเมือง มีความสงบเรียบร้อย”

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ พระองค์นี้ ทรงมีแต่ให้พวกเรา  มาตลอด แต่พระราชดำรัสนี้ มีนัยเป็นทั้งสิ่งที่ “ ทรงหวัง” “ ทรงบอกให้รู้ ” และ ” ทรงขอ ” ซึ่งน่าจะทรงมีพระราชประสงค์ ยิ่งกว่าคำถวายพระพร “ทรงพระเจริญ ”

ไหนว่าเนื้อหาแห่งเพลง สรรเสริญพระบารมี มีว่า  "ธ ประสงค์ใด จงสฤษดิ์ดังหวังวรหฤทัย" แล้ว

เรื่องอย่างนี้ เรา-คนไทย จะพร้อมใจกัน จัดถวายได้ไหม ?"

 

เครดิต :  บันทึกส่วนตัวของ ดร.วิษณุ เครืองาม


 


หน้า 14 จาก 559
Home

มูลนิธิศูนย์บูรณาการพัฒนามนุษย์ ์

 iHDC Profile
บัญชีรายชื่อกรรมการ
ใบสำคัญแสดงการจดทะเบียน การเปลี่ยนแปลงกรรมการของมูลนิธิ
เอกสารประชาสัมพันธ์ โครงการ HMTC.pdf
เอกสารแนะนำโครงการ HMTC 1.pdf
เอกสารโครงการ HMTC 2 คุณสมบัติผู้เข้าร่วมโครงการ.pdf
iHDC นิติบุคคล.pdf
iHDC บุคคล.pdf
iHDC บุคคลเครือข่าย.pdf
รายงานการประชุม 6 มีนาคม 2560.pdf
ข้อบังคับมูลนิธิ
ใบสำคัญแสดงการจดทะเบียนจัดตั้งมูลนิธิ
Ihdc-Profile and Roadmap 2016-2019 Mar 23 2560.pdf
รายงานการประชุมใหญ่คณะกรรมการมูลนิธิศูนย์บูรณาการพัฒนามนุษย์ 2559.pdf
คำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการ สาขาวิชาชีพ.pdf
รายงานการประชุมใหญ่วันที่ 18 ธ ค 2558 v 3.pdf
รายงานการประชุม วันที่ 24 ธันวาคม 2557 updated 4 มีนาคม 2558.pdf
iHDC-invitation Letter.doc
iHDC-Member Form Thai.doc
iHDC-Member Form English.doc
รายงานการประชุมกรรมการมูลนิธิศูนย์บูรณาการพัฒนามนุษย์ วันที่ 15 มกราคม 2556 ฉบับสมบูรณ์


thaibetter
พัฒนาประเทศไทยแบบทวีคูณ และยั่งยืน ( ททค )

Login


แบบสำรวจ

สถิติเว็บไซด์

สมาชิก : 5614
Content : 3057
เว็บลิงก์ : 26
จำนวนครั้งเปิดดูบทความ : 8654938

facebook

Twitter


บทความเก่า