Thaiihdc.org

  • เพิ่มขนาดตัวอักษร
  • ขนาดตัวอักษรปกติ
  • สดขนาดตัวอักษร
Thaiihdc.org

รายการธรรมะ กับ CEO

พิมพ์ PDF

แก้ไขล่าสุด ใน วันอาทิตย์ที่ 24 มกราคม 2016 เวลา 17:33 น.
 

15 นิสัยเศรษฐีที่รวยได้ด้วยน้ำพักน้ำแรง คิดจะเริ่มสร้างตัวต้องทำแบบนี้

พิมพ์ PDF

15 นิสัยเศรษฐีที่รวยได้ด้วยน้ำพักน้ำแรง คิดจะเริ่มสร้างตัวต้องทำแบบนี้

อยากร่ำรวยด้วยน้ำพักน้ำแรง แค่ขยันอย่างเดียวคงไม่พอ แต่ต้องมีนิสัยแบบเศรษฐี ที่สร้างเนื้อสร้างตัวด้วยหนึ่งสมองและสองมือของตัวเองด้วย ถึงจะเรียกว่าครบเครื่อง

หลายคนมักคิดว่าความสำเร็จและความมั่งคั่งที่มาจากน้ำพักน้ำแรงนั้นต้องอาศัยความขยันเป็นหลัก ซึ่งจริง ๆ แล้วก็ไม่ถูกไปเสียทีเดียว เพราะเหล่าบรรดาอภิมหาเศรษฐีที่ประสบความสำเร็จจากสองมือของตนเองนั้นต่างก็มีนิสัยบางอย่างที่ช่วยผลักดันให้ตนเองไปสู่ความสำเร็จได้ ซึ่งในวันนี้เราพาไปดูกันว่านิสัยที่ว่านั้นคืออะไร และเพราะอะไรนิสัยเหล่านี้จึงทำให้พวกเขาประสบความสำเร็จ นำพาตนเองจากจุดเริ่มต้นที่ไม่มีอะไรเลยมาสู่การเป็นบุคคลที่มั่งคั่ง ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่กำลังสร้างเนื้อสร้างตัว นี่เป็นเรื่องที่ไม่ควรมองข้ามเลย

1. ออกกำลังกายเป็นประจำ

การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอทุกวันถือเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้คนประสบความสำเร็จ เพราะการออกกำลังกายไม่เพียงเสริมสร้างสุขภาพให้แข็งแรง แต่ยังส่งผลดีต่อสมองอีกด้วย เพราะจะช่วยกระตุ้นให้ร่างกายสร้างเซลล์สมองมากขึ้น ทำให้สมองทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

2. อ่านหนังสืออยู่เสมอ

การอ่านหนังสือ เป็นการเรียนรู้ที่ไม่สิ้นสุด 88% ของนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จจะใช้เวลาอย่างน้อย 30 นาทีต่อวันในการอ่านหนังสือ เพื่อเรียนรู้และพัฒนาตนเอง และหนังสือที่กลุ่มคนเหล่านี้อ่านส่วนใหญ่มักจะเป็นหนังสือที่เกี่ยวกับประวัติของคนที่ประสบความสำเร็จ การพัฒนาตนเอง และหนังสือประวัติศาสตร์

3. ตื่นเช้า

สุภาษิตที่ว่า "นกที่ตื่นเช้า ย่อมจับหนอนได้ก่อน" ยังคงใช้ได้ดีในทุกยุคทุกสมัย และเป็นสิ่งที่นักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จด้วยตนเองต่างยึดถือไว้เป็นหลัก จึงทำให้พวกเขาตื่นเช้าอยู่เสมอ โดยในการศึกษาหนึ่งพบว่าเกือบ 50% ของคนที่ร่ำรวยจากน้ำพักน้ำแรงของตนเองมักจะเป็นคนที่ตื่นก่อนเวลาทำงานของตัวเอง 3 ชั่วโมง ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าพวกเขาจะเผื่อเวลาไว้เพื่อเหตุการณ์ที่อาจคาดไม่ถึง ซึ่งอาจกระทบกับการทำงานของตัวเองได้

4. แสวงหาที่ปรึกษา

การมีที่ปรึกษาที่ดีเป็นเคล็ดลับในการประสบความสำเร็จของเศรษฐีจำนวนไม่น้อย ซึ่งที่ปรึกษาของพวกเขาก็ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นคนที่ประสบความสำเร็จมาก่อน หรือไม่ก็ผู้เชี่ยวชาญในศาสตร์นั้น ๆ โดยที่ปรึกษาที่ดีจะต้องคอยให้กำลังใจและผลักดันให้นักธุรกิจเดินไปในทิศทางที่ถูกต้อง และคอยสอนว่าอะไรที่ควรหรือไม่ควรทำ รวมทั้งแบ่งปันประสบการณ์เพื่อให้นักธุรกิจนั้นได้นำมาเป็นบทเรียนประกอบการตัดสินใจ

5. ใช้เวลากับคนที่ประสบความสำเร็จ

เราจะสังเกตได้ว่าคนที่ประสบความสำเร็จส่วนใหญ่มักจะมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับผู้ที่ประสบความสำเร็จคนอื่น ๆ นั่นก็เป็นเพราะว่าเมื่อพวกเขาอยู่ด้วยกันแล้ว ก็ต่างจะมอบแง่คิดดี ๆ ให้แก่กันและแบ่งปันประสบการณ์ให้กันอยู่เสมอ รวมทั้งคอยให้กำลังใจและนำพากันไปสู่ความสำเร็จ

6. คิดบวก

ความสำเร็จในระยะยาวนั้นไม่ได้เกิดขึ้นจากการทำงานหนักเพียงอย่างเดียว แต่ต้องมีการคิดบวกมาเสริมทัพด้วย ซึ่งส่วนใหญ่ของคนที่ประสบความสำเร็จจนกลายเป็นมหาเศรษฐีด้วยน้ำพักน้ำแรงของตัวเองล้วนแต่เป็นคนที่คิดในแง่บวกอยู่เสมอ นั่นก็เป็นเพราะว่าความคิดในแง่บวกสามารถกระตุ้นให้คนเราก้าวไปสู่ความสำเร็จได้ดีกว่า ในทางกลับกัน ความคิดในแง่ลบจะยิ่งบั่นทอนความมุ่งมั่นและทำให้ประสบความล้มเหลวได้ง่ายกว่า

7. ยื่นมือช่วยผู้อื่นให้ประสบความสำเร็จไปพร้อม ๆ กัน

นักธุรกิจส่วนใหญ่ที่ประสบความสำเร็จจนมั่งคั่งเชื่อว่าไม่มีใครสามารถประสบความสำเร็จได้โดยลำพัง แต่จะต้องมีกลุ่มคนที่มีความมุ่งมั่นที่จะประสบความสำเร็จคอยหนุนหลังอยู่ด้วย เพราะคนที่มีเป้าหมายที่ความสำเร็จเหมือน ๆ กันจะช่วยกันผลักดันให้ทีมไปสู่ความสำเร็จได้ดีกว่าการทำอะไรเพียงลำพัง

8. วางตัวเหมาะสม และมีมารยาทที่ดี

คนที่ประสบความสำเร็จแทบจะทุกคนล้วนแต่เป็นคนที่วางตัวเหมาะสมและมีมารยาททางสังคมที่ดี เพราะนั่นเป็นหนึ่งในกุญแจสู่ความสำเร็จ การวางตัวอย่างเหมาะสมในวงสังคมจะทำให้คนอื่น ๆ มองเราในแง่บวก และอยากให้ความช่วยเหลือเมื่อร้องขอ ซึ่งมารยาทที่ดีง่าย ๆ ที่เหล่านักธุรกิจไม่เคยพลาดก็คือ การส่งการ์ดขอบคุณ หรือการแสดงความยินดีด้วยความจริงใจในโอกาสต่าง ๆ การแต่งตัวอย่างถูกกาลเทศะ รวมทั้งมารยาทบนโต๊ะอาหาร

9. ให้เวลา 15-30 นาที ต่อวันในการคิดถึงเรื่องต่าง ๆ

การคิด เป็นอีกกุญแจสำคัญที่นำไปสู่ความสำเร็จ ดังนั้นเหล่าผู้คนที่ประสบความสำเร็จจึงให้ความสำคัญกับการคิดเป็นอย่างมาก โดยมีการศึกษาหนึ่งได้เปิดเผยว่า กลุ่มคนเหล่านี้จะให้เวลาตัวเองวันละ 15-30 นาทีในช่วงเช้า เพื่อคิดถึงเรื่องต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องธุรกิจ สุขภาพ การเงิน หรือแม้แต่เรื่องของการกุศล ซึ่งนั่นทำให้พวกเขาสามารถจัดการสิ่งต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพนั่นเอง

10. ยินดีน้อมรับข้อเสนอแนะ

ความสำเร็จจะไม่สามารถเกิดขึ้นได้ถ้าหากไม่มีการรับฟังข้อเสนอแนะ ฟีดแบ็กต่าง ๆ ที่ได้รับจากการดำเนินธุรกิจล้วนแต่เป็นสิ่งที่ผู้ประสบความสำเร็จนั้นต้องการ เพื่อให้ตนเองรู้ว่าสิ่งที่กำลังทำอยู่นั้น เดินไปในทางที่ถูกที่ควร ดังนั้นเหล่าบรรดาเศรษฐีที่สร้างตัวขึ้นมาด้วยตัวเองจะรับฟังความคิดเห็นจากผู้อื่นเสมอ ไม่ว่าจะเป็นแค่เพียงเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็ตาม

11. จดบันทึกสิ่งที่ต้องทำอยู่เป็นนิจ

การดำเนินงานหรือธุรกิจต่าง ๆ ในแต่ละวันล้วนแต่มีเรื่องมากมายให้ต้องทำ ซึ่งถ้าหากเก็บทุกอย่างไว้ในหัว นอกจากอาจจะทำให้หลงลืมแล้วก็ยังทำให้สมองใช้งานอย่างหนัก และไม่เป็นผลดีต่อการใช้ความคิดในการตัดสินใจ ดังนั้นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จทั้งหลาย จึงมักเลือกที่จะจดบันทึกสิ่งที่ทำไว้ในสมุดบันทึกเสมอ เพื่อให้สมองได้ทำงานด้านอื่น ๆ อย่างเต็มประสิทธิภาพ

12. ใช้เวลาทุกนาทีอย่างคุ้มค่า

อีกเคล็ดลับหนึ่งที่กลายเป็นนิสัยของบรรดาเหล่ามหาเศรษฐีระดับโลกที่สร้างเนื้อสร้างตัวขึ้นมาด้วยตนเองนั่นก็คือ พวกเขาใช้เวลาทุกนาทีอย่างคุ้มค่าเสมอ และจะไม่ให้ความใส่ใจกับสิ่งที่ทำให้เสียเวลาเด็ดขาด เพราะพวกเขาเชื่อว่าถ้ามัวแต่ให้เวลากับทุก ๆ เรื่อง ก็จะมีแต่เสียเปล่า จากการศึกษาพบว่า 67% ของนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จด้วยความสามารถของตัวเองใช้เวลาในการดูทีวีต่อวันน้อยกว่า 1 ชั่วโมง และ 63% ของนักธุรกิจเหล่านั้นก็ใช้เวลาไปกับกิจกรรมบนโลกออนไลน์อย่างการเล่นเฟซบุ๊กและการดูยูทูบวันละไม่ถึง 1 ชั่วโมงเช่นกัน

13. มุ่งมั่นในสิ่งที่ตัวเองสนใจ

ผู้คนส่วนใหญ่มักเลือกงานที่มีความมั่นคงเป็นอันดับแรก แต่สำหรับบรรดามหาเศรษฐีกลับเลือกงานที่ตัวเองมีความสนใจมากกว่า ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะพวกเขามีความเชื่อว่า หากเลือกทำในสิ่งที่ชอบหรือให้ความสนใจ จะทำให้พวกเขามีความมุ่งมั่นและสามารถทำงานได้อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย

14. ไม่เดินตามใคร

จะสังเกตได้ว่ามหาเศรษฐีที่ประสบความสำเร็จจะเป็นกลุ่มคนที่ไม่ไหลไปตามกระแสนิยมของคนทั่วไป แต่จะสร้างจุดยืนของตนเองและชักจูงให้ผู้อื่นเข้าร่วมด้วยเสียมากกว่า เพราะพวกเขาเชื่อว่าการเดินตามคนอื่นนั้นไม่มีวันประสบความสำเร็จ

15. ไม่กลัวที่จะล้มเหลว

แน่นอนว่าการดำเนินธุรกิจย่อมตั้งอยู่บนความเสี่ยง และความล้มเหลวสามารถเกิดขึ้นได้ แต่บรรดาเหล่าเศรษฐีที่มั่งคั่งขึ้นมาด้วยน้ำพักน้ำแรงของตัวเอง กลับเป็นคนที่ไม่กลัวคำว่าล้มเหลว เพราะพวกเขาเชื่อว่าทุกครั้งที่ล้มเหลว นั่นคือโอกาสที่ทำให้พวกเขาได้เติบโตขึ้นนั่นเอง

เห็นไหมคะว่านิสัยใจคอก็มีส่วนสำคัญที่ทำให้ประสบความสำเร็จได้เช่นกัน ถ้าคิดจะเป็นเศรษฐีในวันหน้า ลองฝึกและปรับเปลี่ยนนิสัยตัวเองกันเสียใหม่เลย

ขอขอบคุณข้อมูลจาก: กระปุกดอทคอม


คัดลอกจาก https://www.facebook.com/Puttichet/posts/586574421516618:0

แก้ไขล่าสุด ใน วันพฤหัสบดีที่ 21 เมษายน 2016 เวลา 22:48 น.
 

วิจัยชั้นเรียนเปลี่ยนครู : 2. หาประเด็นสำคัญ

พิมพ์ PDF

บันทึกชุด วิจัยชั้นเรียนเปลี่ยนครู นี้ ตีความจากหนังสือ Enhancing Practice through Classroom Research : A teacher’s guide to professional development (2012)  เป็นหนังสือที่เขียนด้วยครูในประเทศไอร์แลนด์ ๔ คน    หนังสือนี้ไม่มีดาวใน Amazon Book  แต่เมื่อผมอ่านแล้ววางไม่ลง     เพราะเป็นหนังสือที่ให้มุมมองใหม่ต่อการวิจัยชั้นเรียน    และให้มุมมองใหม่ต่อชีวิตความเป็นครู

 ตอนที่ ๒ หาประเด็นสำคัญ นี้ ตีความจากบทที่ 1  Identifying an area of professional concern or interest   ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ Part I : Thinking professionally and reflecting on practice เขียนโดย Mary Roche, Senior Lecturer in Education, St. Patrick’s College, Thurles, Co Tipperary, Ireland  

หัวใจสำคัญคือ การทำความเข้าใจระบบคุณค่าของตนเอง    สำหรับนำมาใช้กำหนดโจทย์วิจัย   

ดังกล่าวแล้วในตอนที่ ๑ ว่า การวิจัยชั้นเรียนแบบปฏิบัติการ มีตัวครูผู้สอนและวิจัยเองเป็นศูนย์กลาง     การทำความเข้าใจตนเอง ตั้งคำถามต่อตนเอง ใคร่ครวญสะท้อนคิดตนเองและวิถีปฏิบัติของตนเองจึงเป็นเรื่องสำคัญ    ช่วยให้คิดโจทย์วิจัยที่ลุ่มลึก    ไม่ใช่เป็นการวิจัยแบบตื้นๆ หรือผิวเผิน  

กำหนดประเด็นที่สนใจ

คำถามเริ่มต้นคือ “ทำอย่างไรฉันจึงจะเป็นครูที่ดีกว่านี้” นำไปสู่ความสนใจต่อความรู้สึกยังไม่พอใจ หรืออึดอัดขัดข้อง ต่อวิธีปฏิบัติบางประการ    และครุ่นคิดต่อว่าต้นเหตุของความไม่พึงพอใจนั้นคืออะไร    เพื่อทำความเข้าใจวิธีพัฒนาตนเอง ให้เป็นครูที่ดีขึ้น    ซึ่งหมายความว่าตัวเราเองมีความพร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงตนเอง      ทั้งส่วนที่เป็น “ความรู้”  และส่วนที่เป็น “การปฏิบัติ”    รวมทั้งต้องการเข้าใจสิ่งที่เรียกว่า “การศึกษา” ให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น    

การตั้งคำถาม และความปรารถนาที่อยู่ลึกๆ ภายในเหล่านี้ จะนำไปสู่ การแสวงหาคำตอบ ต่อคำถามว่า ทำไมเราจึงทำอย่างที่ปฏิบัติอยู่  และจะเรียนรู้เพื่อทำให้ดีขึ้นกว่าเดิมได้อย่างไร 

คนที่สนใจพัฒนาตนเองเช่นนี้ จะค่อยๆ เข้าสู่คุณค่าทางการศึกษาอีก ๒ ประการ คือ ความสนใจใคร่รู้ ทางปัญญา (intellectual curiosity)  และความมั่นคงในจริยธรรมแห่งวิชาชีพ (ครู) (professional integrity)

โดยการใคร่ครวญสะท้อนคิด เราจะค่อยๆ ค้นพบด้วยตนเองว่า ปัจจัยสู่ความเป็นมืออาชีพ (ซึ่งในที่นี้หมายถึงครู) ได้แก่ การใคร่ครวญสะท้อนคิด (reflection),  ความมีใจที่เปิดรับ (open-mindedness),  การเทใจ (whole-heartedness),  ความรับผิดชอบทางปัญญา (intellectual responsibility),   และความสนใจใคร่รู้ทางปัญญา (intellectual curiosity)    แต่ผมมีความเห็นว่า ข้อความในย่อหน้านี้ใช้ได้ต่อทุกวิชาชีพ

สิ่งที่ครูจะต้องใคร่ครวญตรวจสอบทำความเข้าใจตนเองเพิ่มเติมในเชิงหลักการ คือ การทำความเข้าใจตนเองด้านการยึดถือคุณค่า หรือโลกทัศน์ว่าด้วยความรู้และการเรียนรู้ (epistemological standpoint)    กับการยึดถือคุณค่าด้านปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นและโลกภายนอก (ontological standpoint)    

จุดยืนด้าน epistemological ได้แก่ มุมมองต่อความรู้  การสร้างความรู้  และการรับความรู้    จุดยืนด้าน ontological ได้แก่ มุมมองด้านธรรมชาติของสรรพสิ่ง  ด้านรู้จักตนเองว่าเป็นส่วนย่อยในภาพรวม (part of the whole)   ด้านความเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างตนเองกับผู้อื่น      

ความเข้าใจ หรือจุดยืน หรือปฏิสัมพันธ์ระหว่างตัวเราเองกับการศึกษา มีสภาพ “คุณค่ากำหนด”  คือเป็นนามธรรม ขึ้นกับการให้คุณค่าโดยตัวเราเอง  และการให้คุณค่าโดยสังคมรอบตัว 

กล่าวใหม่ว่า การศึกษาจะเป็นอย่างไรนั้น ขึ้นกับว่าตัวเราคิดอย่างไร  และผู้เกี่ยวข้องคิดอย่างไร ต่อการศึกษา   

การศึกษาจึงเป็นเรื่องที่ซับซ้อน และเป็นการเมืองยิ่ง    และการวิจัยการศึกษาก็มีความซับซ้อน และเป็นการเมืองพอกัน    การศึกษาไม่มีวันที่จะปลอดจากการให้คุณค่า และปลอดจากการเมือง    การวิจัยการศึกษาจึงไม่มีวันปลอดจากจุดยืนด้าน epistemological  และจุดยืนด้าน ontological ของผู้วิจัย    และผู้วิจัยจึงได้โอกาส “หนามยอกเอาหนามบ่ง” ใช้การตรวจสอบใคร่ครวญจุดยืนนี้ของตน    นำไปสู่การตั้งโจทย์วิจัย    เพื่อให้การวิจัยนั้นเอง เป็นเครื่องมือปรับปรุงพัฒนา epistemological  และ ontological values ของตนเอง    และนี่คือหลักการของความเป็น “วิชาชีพ”    คนในวงการวิชาชีพต้องสร้างความรู้จากปฏิบัติการในวิชาชีพของตน เพื่อพัฒนาวิชาชีพนั้นๆ    ไม่ใช่เพียงรอใช้ความรู้จากภายนอกวิชาชีพเท่านั้น   

ผู้เขียน (Mary Roche) เล่าประสบการณ์ของตนเอง ที่เริ่มเป็นครูเมื่ออายุ ๑๙ ปี    ได้อยู่กับปฏิบัติการความเป็นครูแนว “ถ่ายทอดความรู้” ตามที่ใช้กันทั่วไป เริ่มในช่วงทศวรรษ ค.ศ. 1970    ที่ขัดความรู้สึกตนเองตลอดมา     จนถึงทศวรรษที่ 1990 จึงเปลี่ยนมาเป็นครูแนวส่งเสริมให้นักเรียนสร้างความรู้ใส่ตัว (constructivism หรือ active learning)    โดยการเสวนากับศิษย์ ยอมรับศักยภาพของนักเรียนด้านการเสวนาโต้ตอบ และเชื่อว่านักเรียนสามารถคิดแบบ critical thinking ได้    พร้อมๆ กันนั้น ผู้เขียนได้เริ่มศึกษาปรากฏการณ์ของการเปลี่ยนแปลงนั้น (ของตนเอง)  ด้วยวิธีการศึกษาตนเองด้วยการวิจัยปฏิบัติการ    กระบวนการตั้งคำถามเช่นนี้ ได้สร้างการเปลี่ยนแปลงแก่ผู้เขียนอย่างใหญ่หลวง    คือเปลี่ยนจากครูที่ทำตามแบบแผนตายตัว ไปเป็นครูที่มีความสร้างสรรค์ เป็นตัวของตัวเอง และมีความรับผิดชอบต่องาน    รวมทั้งกลายเป็นนักคิดอย่างจริงจัง (critical thinker)  โดยตัวช่วยคือการเสวนาแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นกับนักเรียน   

การรับฟังเรื่องราวของนักเรียน และเสวนาแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นกัน    นำไปสู่การทำความเข้าใจหลักการหรือทฤษฎี ในแง่มุมที่ลึก และในหลากหลายมุมมอง   

ประกอบกับการเรียนปริญญาโท ช่วยให้ได้มีโอกาสนำเสนอข้อมูลของตนเอง และรับฟังข้อมูลของเพื่อนนักศึกษา (ที่เป็นครู)    รวมทั้งการอภิปรายตีความทำความเข้าใจในแง่มุมที่ลึก ภายใต้การสนับสนุนของติวเต้อร์ที่เก่ง ช่วยเปิดโลกทัศน์ของผู้เขียนเป็นอย่างมาก  

นั่นคือเส้นทางชีวิตของผู้เขียน ที่เปลี่ยนจาก “ครูสอน” ไปเป็น “ครูฝึก” หรือ “ครูผู้อำนวยการการเรียนรู้”    ทั้งในทางปฏิบัติ และในด้านกระบวนทัศน์    ทำให้ห้องเรียนเปลี่ยนจากสภาพ ครูพูดคนเดียว (monologue) ไปสู่ห้องเรียนที่มีการเสวนา ที่ส่วนใหญ่นักเรียนเป็นผู้บอกเล่าและออกความเห็น (dialogue)

สรุปว่า ประเด็นที่น่าสนใจคือระบบคุณค่าของตัวครูเอง    

วิจัยการปฏิบัติของตนเอง : การวิจัยปฏิบัติการศึกษาตนเอง

การวิจัยเริ่มจากการตั้งคำถาม    การวิจัยปฏิบัติการศึกษาตนเองของครู เริ่มจากการตั้งคำถามด้านการยึดถือคุณค่า ของตนเอง     ทั้งคุณค่าของการศึกษา (epistemological values)  และคุณค่าด้านการมองความสัมพันธ์ของตนเองกับสังคม และต่อผู้อื่น (ontological values)    การยึดถือคุณค่าทั้งสองด้าน เป็นตัวกำหนดพฤติกรรมของเราในฐานะครู    โดยที่การยึดถือคุณค่านี้ มีการเปลี่ยนแปลงหรือวิวัฒนาการไปตามประสบการณ์และความเข้าใจของตัวเรา   

การวิจัยปฏิบัติการศึกษาตนเองของครู เริ่มจากความเชื่อว่า ครูในฐานะมนุษย์ มีความสามารถปรับปรุงวิถีปฏิบัติของตน  และสามารถอธิบายได้ว่าทำไมจึงทำเช่นนั้น    ความสามารถนี้หนุนโดยการทำงานเป็นทีมร่วมกับเพื่อนครู    โดยเริ่มที่การร่วมกันตั้งคำถาม  ร่วมกันดำเนินการ  ภายใต้บรรยากาศที่เปิดกว้างต่อการยึดถือคุณค่าที่แตกต่างกัน   

เมื่อมีการวิจัยปฏิบัติการศึกษาตนเองของครู  ผลที่ตามมาคือ ทีมครูเกิดความเข้าใจใหม่ๆ  และค้นพบวิธีการใหม่ๆ ที่แตกต่างไปจากเดิม   รวมทั้งเกิด “วงจรสร้างการเปลี่ยนแปลง” คือ เมื่อมีความเข้าใจใหม่ๆ   ความเข้าใจนั้นกระตุ้นให้เกิดการกระทำใหม่ๆ    และเมื่อมีการกระทำใหม่ๆ ก็นำไปสู่ความเข้าใจใหม่ๆ    เกิดเป็นวงจรยกระดับไม่รู้จบ  

ลักษณะสำคัญของ การวิจัยปฏิบัติการศึกษาตนเองของครู คือเป็นกระบวนการที่เปิดเผยต่อผู้อื่น (visible to others)    เป็นกระบวนการที่ครูสร้างความรู้เกี่ยวกับวิธีปฏิบัติของตน  และใช้ความรู้ที่สร้างนั้นในการพัฒนาวิธีปฏิบัติของตน    เมื่อมีการพัฒนาทฤษฎีทางการศึกษาจากการวิจัยปฏิบัติการศึกษาตนเองของครู    ผ่านปฏิบัติการ และการใคร่ครวญสะท้อนคิดอย่างยิ่งยวด ซ้ำแล้วซ้ำเล่า    ทฤษฎีที่ได้เป็น “ทฤษฎีที่มีชีวิต”   คือมีการนำไปปฏิบัติ  และใช้อธิบายว่าทำไมจึงปฏิบัติเช่นนั้น   

โดยต้องตรวจสอบว่า วิธีการใหม่ของเรา ให้ผลดีต่อนักเรียนของเรา และต่อวงการศึกษาในภาพรวม (common good) อย่างแท้จริง    ซึ่งหมายความว่า ต้องมีการเขียนรายงานวิจัย และนำออกเผยแพร่เพื่อรับการตรวจสอบจากวงการวิจัยการศึกษา   

นี่คือวีถีของวงการวิชาชีพ (profession) ที่สมาชิกของวิชาชีพต้องเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาความรู้เพื่อปฏิบัติการวิชาชีพที่ยกระดับขึ้น    โดยที่ความรู้ใหม่ๆ วิธีการใหม่ๆ ต้องผ่านกลไกตรวจสอบอย่างกว้างขวาง  

ทำไมฉันคิดว่าตนเองสามารถเป็นครูที่ดีกว่านี้ได้

               ข้อความในตอนนี้เมาจากการเปิดใจ เปิดประสบกาณ์ตรงของผู้เขียน (Mary Roche)    เริ่มจากการที่ผู้เขียนอ่านพบว่า ความรู้เกิดขึ้นจากปฏิสัมพันธ์เชิงเสวนา (dialectical relationship)     ไม่ได้มาจากการรับถ่ายทอดจาก “ผู้รู้”    แต่อ่านแล้วก็ไม่เข้าใจลึกซึ้ง       

วิถีปฏิบัติในการทำหน้าที่ครูในขณะนั้น ก็ทำโดยสอนแบบถ่ายทอดเนื้อความรู้    ทำให้เกิดความรู้สึกขัดแย้งในใจ เพราะตนเองมีความเชื่อเชิงคุณค่าลึกๆ ด้านปฏิสัมพันธ์ของตนเองกับผู้อื่น (ontological values) ในแนวระนาบ    แต่ตนมีปฏิสัมพันธ์กับศิษย์ในแนวดิ่ง (ถ่ายทอดความรู้จากครูเป็นผู้รู้ สู่ศิษย์ผู้ไม่รู้)    ตอนนั้นตนไม่รู้จักการพูดคุยกันแบบสานเสวนา หรือสุนทรียสนทนา (dialogue) เลย    ทั้งๆ ที่ตอนนั้น (ช่วง คริสตทศวรรษที่ 1970) ตนเริ่มเป็นครูด้วยอุดมการณ์สูงส่งและเต็มไปด้วยความหวัง    แต่ประสบการณ์ตรง ของความล้มเหลวด้านการสอนในตอนนั้นทำให้ตนผิดหวัง    เป็นความล้มเหลวที่ครูทั่วไปพบด้วยตนเองในห้องเรียนที่สอนแนวถ่ายทอดความรู้และยึดครูเป็นศูนย์กลาง           

มาถึงตอนนี้ (สี่สิบปีให้หลัง) ผู้เขียนตระหนักแล้วว่า สมมติฐานของตนในตอนเริ่มเป็นครูในด้านการสอน การเรียน อำนาจ ปฏิสัมพันธ์ ความรู้ เสรีภาพ อิสรภาพ และแรงจูงใจ ที่ได้รับมาตอนเรียนวิชาครู ไม่ถูกต้อง    และเวลานี้วงการศึกษาหันมาเน้นการเรียนรู้แบบผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง  และเน้นการฝึกใคร่ครวญสะท้อนคิด  

ในห้องเรียนที่สอนแบบถ่ายทอดความรู้  สมมติฐานต่อความรู้คือ เป็น “ผลิตภัณฑ์” ที่มีอยู่ภายนอกตัวคน  อยู่ในหนังสือ ห้องสมุด หรือ อินเทอร์เน็ต   หน้าที่ของครูคือหาทางดำเนินการตามหลักสูตร ให้ครอบคลุมครบถ้วน เพื่อให้นักเรียนได้รับถ่ายทอดความรู้ครบถ้วนตามที่กำหนดไว้    โดยครูทำหน้าที่ “บังคับบัญชา” ในห้องเรียน    และทำหน้าที่ “บอก” ความรู้    นักเรียนมีหน้าที่ จด และจำ เอาไว้ “สำรอก” (regurgitate) ตอบข้อสอบให้ตรงกับที่ครูสอน   เน้นตอบความรู้ที่ถูกต้อง    การเรียนรู้แบบนี้จึงเน้นถูก-ผิด   และนักเรียนมีหน้าที่ทำตัวอยู่ในระเบียบเรียบร้อย ไม่ส่งเสียงดัง ไม่คุยกัน   เพราะหน้าที่หลักคือฟังครู   

แต่ในห้องเรียนแบบ “นักเรียนเป็นศูนย์กลาง” หรือ “นักเรียนเป็นผู้สร้างความรู้” (constructivist) นักเรียนร่วมกันสร้างความหมาย (meaning-making) ของสิ่งต่างๆ กิจกรรมต่างๆ    โดยสร้างความหมายต่อยอดจากความรู้ที่มีอยู่แล้ว    โดยนักเรียนแต่ละคนมีส่วนร่วมกิจกรรม    ทั้งกิจกรรมรวมทั้งชั้น  กิจกรรมกลุ่มย่อย  และกิจกรรมที่ทำคนเดียว    สภาพของห้องเรียนจะมีชีวิตชีวา  นักเรียนจะพูดคุยปรึกษาถกเถียงกัน  มีการค้นความรู้ที่สงสัยเดี๋ยวนั้น และนำมาอธิบายให้เพื่อนฟัง    รวมทั้งช่วยกันตีความทำความเข้าใจให้ชัดเจนหรือลึกซึ้งเชื่อมโยงขึ้น   มีการนำเสนอความรู้ที่ตนตีความหรือสรุปจากกิจกรรมให้เพื่อนฟัง รวมทั้งตอบข้อซักถาม หรืออภิปรายแลกเปลี่ยน  

ในห้องเรียนแบบ “นักเรียนเป็นผู้สร้างความรู้” ครูทำหน้าที่เป็น “ผู้อำนวยความสะดวก” (facilitator)    ซึ่งจะต้องเตรียมตัวล่วงหน้ามาก  รวมทั้งต้องรู้สาระวิชาที่สอนอย่างถ่องแท้ด้วย    โดยที่เป้าหมายของการสอนอยู่ที่การเรียนรู้ของนักเรียน ไม่ใช่อยู่ที่สอนครบตามหลักสูตร    คุณภาพของการศึกษาอยู่ที่ ความกระตือรือร้น (enthusiasm)  ความหลงใหลใฝ่เรียน (passion)  ความสนใจใคร่รู้ (curiosity)  และความสนุกสนาน (enjoyment) 

ผมขอเพิ่มเติมสั้นๆ ว่า การเรียนรู้ในศตวรรษที่ ๒๑  ต้องการผลลัพธ์การเรียนรู้ที่มีหลายมิติซับซ้อนมาก ที่เรียกว่า “ทักษะแห่งศตวรรษที่ ๒๑” ที่มีทักษะ ๔ หมวดคือ  (๑) ความรู้ (literacy)   (๒) สมรรถนะ (competency)   (๓) บุคลิก (character)  และ (๔) ฉันทะและทักษะการเรียนรู้ตลอดชีวิต (life-long learning)    เฉพาะการเรียนแบบ “นักเรียนเป็นผู้สร้างความรู้” เท่านั้น ที่จะบรรลุผลลัพธ์การเรียนรู้แห่งศตวรรษที่ ๒๑ ได้    การเรียนแบบรับถ่ายทอดความรู้ไม่สามารถทำให้นักเรียนบรรลุบรรลุผลลัพธ์การเรียนรู้แห่งศตวรรษที่ ๒๑ ได้    

   การเปลี่ยนห้องเรียนจากครูเป็นศูนย์กลาง สู่สภาพนักเรียนเป็นศูนย์กลาง    ครูต้องเปลี่ยนทักษะจากตัวครูพูดคนเดียว (monologue)   ไปเป็นผู้อำนวยความสะดวกให้นักเรียนพูดโต้ตอบและฟังกันทั้งห้อง (dialogue)  

สรุปว่า ครูเปลี่ยนได้เพราะไม่พอใจผลงานที่ไม่เข้าเป้าอย่างแท้จริง    และมุ่งไตร่ตรองสะท้อนคิดหาหลักการใหม่ วิธีการใหม่ นำมาทดลองใช้ 

ขึ้นอยู่กับความเป็นจริง

ประเด็นสำคัญอยู่ที่ว่าตัวครูยืนอยู่ตรงไหนระหว่างสองขั้วของทฤษฎีและวิธีปฏิบัติทางการศึกษา  ขั้วหนึ่งเรียกว่าขั้ว didactic ครูสอนโดยถ่ายทอดความรู้   อีกขั้วหนึ่งเรียกว่า dialogic นักเรียนเรียนโดยการปฏิบัติ ตามด้วยการใคร่ครวญสะท้อนคิดร่วมกัน      

ผู้เขียนเล่าวิธีการสอนและความรู้สึกของตนเองตอนเริ่มเป็นครู ที่สอนโดยถ่ายทอดความรู้ เดินตามแนว didactic อย่างเคร่งครัด   ตามด้วยการวิพากษ์ตนเองด้าน ontological values    ในการมองปฏิสัมพันธ์ระหว่างครูกับศิษย์    ตนมองนักเรียนเป็น “คนอื่น”  “พวกเขา”  “พวกนักเรียน” ที่แยกจากครู   และนักเรียนเป็นเสมือน “สิ่งของ” ที่เป็นเป้าของการพูด (การสอน)

ในด้าน epistemological values ของผู้เขียน    ซึ่งหมายถึงมุมมองต่อ ความรู้  การรู้  และผู้เรียนรู้   ผู้เขียนก็ยึดถือความรู้เป็นก้อนๆ การรู้แบบจดจำความรู้สำเร็จรูป และมองผู้เรียนรู้เป็นผู้มารับความรู้สำเร็จรูป    ภายใต้ระบบคุณค่าเช่นนี้ ผู้เขียนเมื่อสี่สิบปีก่อนจึงเป็นครูแนวควบคุมชั้นเรียน    เพื่อให้เป็นไปตามที่กำหนดในหลักสูตร    ด้วยความหวาดกลัวการมาตรวจชั้นเรียนของศึกษานิเทศก์  

ขั้นตอนที่นำไปสู่การตั้งโจทย์วิจัย คือการไตร่ตรองสะท้อนคิดตอบโจทย์ในทำนอง

  • ฉันจะตรวจสอบได้อย่างไรว่าฉันให้คุณค่าต่อชั้นเรียนแบบ เน้นการเรียน ไม่ใช่แบบเน้นการสอน
  • ฉันมอง ความรู้ เป็น ผลผลิต (product) หรือเป็น กระบวนการ (process)
  • ฉันจัดให้นักเรียนแบบไหนเป็น “นักเรียนที่ดี”
  • ฉันเอาแนวความคิดนี้มาจากไหน

ในสมัยนั้น นักเรียนที่ดี ในสายตาของผู้เขียน คือนักเรียนที่สงบเสงี่ยมเรียบร้อย  ว่านอนสอนง่าย ไม่ท้าทายครู   ซึ่งเข้าใจว่าในประเทศไทยสมัยนี้ก็ยังคิดกันอย่างนี้ 

ผู้เขียนเล่าว่า ในช่วงทศวรรษที่ 1970 นั้นเอง    งานวิจัยตีพิมพ์ออกมาจากบริเตน ว่าสองในสามของเวลาในชั้นเรียนเป็นเวลาที่ครูพูด   และสองในสามของคำถามที่ครูถามในชั้นเรียนเป็นคำถามปลายปิด   เป็นผลงานวิจัยที่ก่อความสั่นสะเทือนมากในวงการศึกษา  แต่ผู้เขียนไม่ทราบ    เพราะไม่ได้ยึดถือว่าครูจะต้องอ่านผลงานวิชาการด้านวิชาชีพครู

ผู้เขียนเป็นครูที่ขยัน ตั้งใจสอน และปฏิบัติตามหลักสูตร  แต่ใช้วิธีควบคุมชั้นเรียน ซึ่งปิดกั้นความคิดอิสระและความคิดสร้างสรรค์ของนักเรียนไปในตัว   

แต่ผู้เขียนให้คุณค่าแก่ การทำงานอย่างมีอิสระและรู้สึกสนุก   ผู้เขียนจึงหาวิธีการสอนที่แตกต่างออกไป    แต่ยังคงควบคุมชั้นเรียน   ผลที่ได้ทำให้ผู้เขียนรู้สึกอึดอัดขัดข้อง    ในตอนนั้นผู้เขียนไม่เห็นทางออก    ซึ่งตอนหลังมีคนเสนอไว้ว่า    การสร้างการเปลี่ยนแปลงมี ๓ ขั้นตอนคือ (๑) ตระหนักว่าจำเป็นต้องเปลี่ยน  (๒) เข้าใจว่าทำไมต้องเปลี่ยน  (๓) มีแนวทางว่าจะเปลี่ยนอย่างไร   

ไม่สบายใจกับผลงาน และการปฏิเสธคุณค่า

ผู้เขียนเล่าเรื่องของตนเอง ระหว่างทำงานเป็นครูในช่วงแรก   ที่สอนแบบถ่ายทอดความรู้และควบคุมชั้นเรียน   ซึ่งเป็นแนวทางที่อยู่ภายใต้แนวคิดเชิงคุณค่าว่าเด็กเป็นอื่น    และความรู้เป็นเสมือนวัตถุ    สภาพเช่นนี้ทำให้ผู้เขียนรู้สึกอึดอัด ซึ่งต่อมาก็เข้าใจว่า เป็นเพราะความขัดแย้งในเรื่องค่านิยม    ที่ผู้เขียนยึดถือค่านิยมด้านการเรียนการสอนแบบ constructivism   และมีค่านิยมต่อตัวนักเรียนในฐานะเพื่อนมนุษย์ ไม่ใช่ในฐานะ “เป็นอื่น”   ค่านิยมทั้งสองด้านของผู้เขียน ขัดแย้งกับค่านิยมที่ถือปฏิบัติด้านการเรียนการสอนในโรงเรียน   ซึ่งผู้เขียนก็ปฏิบัติตามนั้น  

แต่ผู้เขียนก็ไม่สามารถออกมาจากความขัดแย้งในใจนี้ได้   เพราะตอนนั้นผู้เขียนไม่มีทักษะ critical thinking   และไม่มีทักษะในการเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลง  

ต่อมาในปี ค.ศ. 1978 ผู้เขียนอ่านหนังสือชื่อ Children’s Mind เขียนโดย Magaret Donaldson   ให้ข้อมูลแย้ง Jean Piaget ที่เคยเสนอว่าเด็กไม่สามารถเรียนรู้หลักการที่เป็นนามธรรมได้    Donaldson ให้หลักฐานว่า จริงๆ แล้ว เด็กสามารถเรียนรู้ด้านนามธรรมได้   ทำให้ผู้เขียนตระหนักว่าทฤษฎีต่างๆ ที่ปราชญ์สมัยก่อนเสนอไว้ก็อาจผิดได้    และนำผู้เขียนสู่การอ่านหนังสือด้านการศึกษาดีๆ อีกจำนวนมาก

ผมขอเชิญชวนให้อ่านบันทึกชุด พลังแห่งวัยเยาว์ ()    ซึ่งจะช่วยให้เข้าใจขีดความสามารถในการเรียนรู้ของเด็ก เปลี่ยนไปจากความเข้าใจของคนโดยทั่วไป          

การอ่านเอกสารวิชาการของวิชาชีพ

ผลการวิจัยประเมินการอ่านหนังสือของครูประถมในสหราชอาณาจักร พบว่าครูอ่านหนังสือวิชาการของครูน้อยมาก   และผลการวิจัยในออสเตรเลีย และในสหรัฐอเมริกาก็พบว่าครูไม่อ่านหนังสือวิชาการด้านการศึกษา   

แต่โชคดีที่ผู้เขียนอ่านหนังสือ  และได้รับแรงบันดาลใจจากการอ่าน ว่ามีคนอื่นที่คิดแบบเดียวกันต่อปัญหาการศึกษา    และนำไปสู่เส้นทาง “การวิจัยปฏิบัติการศึกษาตนเองของครู”    

ความรู้ฝังลึก และความรู้สึก (gut feeling)

ผู้เขียนบอกว่า ตนเองไม่ได้วิเคราะห์สาเหตุของความอึดอัดขัดข้องในการทำหน้าที่ครูของคนอย่างเป็นระบบ   แต่ใช้ “ความรู้เชิงปัญญาญาณ” (intuitive knowledge)  หรือ gut feelings สรุปว่า เกิดจาก  ค่านิยมในใจ กับค่านิยมในการปฏิบัติ ด้านการเป็นครูของตน ไม่ตรงกัน  

วิจารณ์ พานิช        

๑๗ มิ.ย. ๖๑  

 

รัฐบาลกวาดล้างทัวร์ศูนย์เหรียญ ตั้งข้อหาหนัก ยึดทรัพย์

พิมพ์ PDF

โฆษกรัฐบาล เผยเจ้าหน้าที่ลุยกวาดล้างทัวร์ศูนย์เหรียญตามคำสั่งนายกฯ พบกินรวบหลายกิจการ เงินสะพัดหลายพันล้าน หอบเงินกลับเมืองจีนโดยไม่ตกถึงประเทศไทย ตั้งข้อหาหนัก ยึดทรัพย์ เตือนคนไทยคิดถึงผลประโยชน์ชาติ หยุดพฤติกรรมสมคบต่างชาติทำลายภาพลักษณ์ท่องเที่ยวไทย 
       
       พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นับจากที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้สั่งการให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กองบังคับการตำรวจท่องเที่ยว และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง แก้ไขปัญหาทัวร์ศูนย์เหรียญอย่างจริงจัง นั้นล่าสุดตำรวจท่องเที่ยวได้เข้าจับกุมเจ้าของบริษัท ฝูอัน จำกัด และบริษัทซินหยวน จำกัด ซึ่งเป็นบริษัททัวร์ศูนย์เหรียญ ที่ไม่ได้นำรายได้เข้าสู่ประเทศไทย มีแต่ยอดนักท่องเที่ยว และเงินรายได้ทั้งหมดจะถูกส่งกลับจีนผ่านนายหน้า โดยทั้งสองบริษัทมีความผิดฐานสวมบัตรประชาชนคนไทยเข้ามาจดทะเบียนจัดตั้งบริษัททัวร์ และความผิดฐานอั้งยี่ ซึ่งเป็นความผิดมูลฐานหลักในการยึดทรัพย์ของ ปปง.
       
       พล.ต.สรรเสริญกล่าวว่า จากการขยายผลตรวจพบต้นทางขบวนการทัวร์ศูนย์เหรียญ ชื่อบริษัท โอเอ ทรานสปอร์ต จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทคนไทย มีรถทัวร์อยู่ในความครอบครองกว่า 3,000 คัน มีบริษัทจิวเวลรี บริษัทเครื่องหนัง บริษัทอาหาร ยาบำรุงสุขภาพ และร้านอาหารในเครือ โดยให้บริษัทคนจีนนำลูกทัวร์เข้าไปใช้บริการรถทัวร์ และร้านเหล่านี้จะเก็บเงินจากลูกทัวร์ที่เข้าใช้บริการเพิ่มอีกประมาณ 35% ของเงินค่าแพกเกจทัวร์ที่เก็บไปแล้วเบื้องต้น ทำให้มีเงินสะพัดหลายพันล้า และไม่มีการชำระภาษีอย่างถูกต้อง
       
       โฆษกรัฐบาลกล่าวว่า รัฐบาลยินดีสนับสนุนธุรกิจท่องเที่ยวที่ถูกกฎหมายจึงยอมไม่ได้กับพฤติกรรมที่สร้างความเสียหาย โดยอยากเตือนสติคนไทยว่าขอให้คำนึงถึงผลประโยชน์ของประเทศเป็นที่ตั้ง ไม่สมคบคิดกับต่างชาติแสวงหาประโยชน์เข้าตัวเอง เพราะถึงแม้ว่าจะร่ำรวยจากการประกอบธุรกิจ แต่รายได้ส่วนใหญ่กลับตกเป็นของต่างชาติ ทำลายภาพลักษณ์การท่องเที่ยว และขวัญกำลังใจของผู้ที่ประกอบธุรกิจด้วยความสุจริตด้วย
       
       “ท่านนายกฯ ได้รับทราบข้อมูลแล้ว และฝากชมเชยเจ้าหน้าที่ที่เข้าปฏิบัติการในครั้งนี้ รวมทั้งกำชับให้ทุกหน่วยงานเร่งเดินหน้าปูพรมแก้ไขปัญหานี้อย่างต่อเนื่อง เพราะเชื่อว่ายังมีอีกหลายบริษัทที่ลักลอบกระทำการในลักษณะนี้และขอให้ผู้ที่มีพฤติกรรมดังกล่าวหยุดกระทำการโดยทันที และไม่หลงเชื่อคำชักชวนจากผู้ไม่หวังดี หรือหากพบการประกอบธุรกิจที่เข้าข่ายทัวร์ศูนย์เหรียญ ให้รีบแจ้งศูนย์ดำรงธรรม หรือเจ้าหน้าที่ตำรวจทันที โดยรัฐบาลจะบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวดในทุกกรณี”
       
       ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ได้ผสานกำลังกันเข้าจับกุมตัวกรรมการบริษัท โอเอ ทรานสปอร์ต 2 คน ในข้อหาอั้งยี่และกระทำการให้เกิดความเสียหายต่ออุตสาหกรรมการท่องเที่ยว พร้อมทั้งเข้าตรวจค้น บ.โอเอ ทรานสปอร์ต บ.บางกอกแฮนดิคราฟท์ บ.รอยัลพาราไดซ์ บ.รอยัลเจมส์ อินเตอร์เนชั่นแนล บ.รอยัลไทยเฮิร์บ สามารถยึดของกลางได้หลายรายการ

คัดลอกจาก MGR Online

เรื่องทัวร์ศูนย์เหรียญพูดกันมานาน เริ่มจากตลาดทัวร์จีนจากไต้หวัน มีการปราบปรามและกำหนดมาตราการขึ้นมาหลายยุคหลายสมัย แต่ไม่เคยทำได้สำเร็จแถมลามไปถึงตลาดอื่นๆ นักท่องเที่ยวคุณภาพเข้ามาเทียวประเทศไทยจำนวนน้อยลงเรื่อยๆ เมื่อเราเน้นที่จำนวนนักท่องเที่ยว ทำให้ได้นักท่องเที่ยวคุณภาพต่ำ บริษัทท่องเที่ยวที่มีคุณภาพอยู่ไม่ได้ นักท่องเที่ยวแต่ละคนที่เข้ามาเที่ยวในประเทศไทยล้วนมีต้นทุน แต่ผู้ประกอบการท่องเที่ยวไม่ได้เป็นผู้เสีย รัฐต้องลงทุนเพื่อเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวและสถานที่ท่องเที่ยวจึงต้องใช้เงินจำนวนมากเพื่อพัฒนาสาธรณูปโภค การคมนาคม และสิ่งอำนวยการต่างๆ ซึ่งล้วนเป็นเงินภาษีของประชาชนทุกคน ดังนั้นการท่องเที่ยวจึงเป็นสมบัติของประชาชนทุกคน ประชาชนทุกคนมีส่วนได้เสีย ในทุกมิตื ทั้งที่เป็นตัวเงิน และคุณค่าในการดำรงชีวิต มิตืทางสังคม และมิติด้านความมั่นคงของประเทศชาติ จึงต้องร่วมมือกันดูแลอย่าปล่อยให้ผู้ประกอบการด้านการท่องเที่ยวที่เห็นแก่ได้ร่วมมือกับต่างชาติทำลายการท่องเที่ยวของประเทศไทย ผมขอชื่นชมกับการปฎิบัติการในครั้งนี้ และขอให้ทำอย่างต่อเนื่อง ไม่ใช่ทำแค่ครั้งคราว และเลือกทำเฉพาะราย ผมได้ณรงค์เรื่องนี้มาตลอดตั้งแต่ผมยังเป็นหนุ่น จนกระทั่งปัจจุบันอายุ 66 ปี ก็ยังพูดอยู่ตลอดว่าอย่าคิดว่าการท่องเที่ยวเราดี ความจริงการท่องเที่ยวเรามีแต่เดินถอยหลัง เราช่วยกันทำลายมรดกและทรัพยากรของประเทศตลอดมาโดยไม่ได้ศึกษาและหาต้นทุนที่แท้จริงของนักท่องเที่ยว เพื่อมาเทียบกับรายได้ที่เราคุยกันเหลือเกินว่ามีรายได้เข้าประเทศเป็นจำนวนมาก ทั้งๆที่ความจริงประเทศชาติและประชาชนขาดทุน เสียทั้งเงิน ชีวิตความเป็นอยู่ และมีปัญหาด้านความมั่นคงตามมาด้วย ที่กล่าวมานี้ไม่ได้หมายถึงให้ปฎิเสธด้านการท่องเที่ยว การท่องเที่ยวของประเทศไทยเป็นหลักใหญ่ของประเทศ ทั้งด้านเศรษฐกิจ วัฒนธรรม ศิลปะ และสิ่งอื่นๆตามมาอีกมากมาย แต่ต้องจัดการให้เป็นจึงจะเกิดประโยชน์ต่อประเทศชาติและประชาชนทั่วไป 
ม.ล.ชาญโชติ ชมพูนุท

29สิงหาคม 2559

 

ท่านนายกฯประยุทธ์ ผู้นำระดับโลก ยุควิกฤติโควิด 19

พิมพ์ PDF

วันนี้ มีเพื่อนส่งบทความมาให้อ่านในไลน์ เนื้อหาและข้อความตรงกับสิ่งที่ผมคิด จึงขอนำมาเผยแพร่ต่อครับ
ม.ล.ชาญโชติ ชมพูนุท

Rangsl Mol

อาจารย์ศักดา เข็มทอง อดีตอาจารย์หัวหน้าผู้คุมวงดนตรีสากล โรงเรียนเบญจมราชูทิศ จังหวัดจันทบุรี ให้ข้อคิดที่น่าสนใจในสถานการณ์ คุณโควิด 19 เมื่อวันที่ 18 เมษายน 2563 ดังนี้

ผมในฐานะที่เคยเป็นอนุกรรมาธิการรัฐสภา ตั้งแต่สมัย คุณทักษิณ เรื่อยมาจนถึง คุณยิ่งลักษณ์ เป็นนายกฯ ขอเขียนในแง่การบริหารจัดการ ของท่านนายกฯประยุทธ์ จันทร์โอชา หน่อยครับ ก่อนอื่นผมขอปรบมือดัง ๆ ให้ท่านก่อนว่า ความเป็นผู้นำของท่านเยี่ยมยอดครับ

ในช่วงนี้วิกฤติประเทศไทย วิกฤติโลก หนักหนาสาหัส สงครามโลกแบบไม่มีคู่ต่อสู้ โลกต้องรวมใจเป็นหนึ่ง ครับ แน่นอนคนที่หาเช้ากินค่ำ คนแรงงาน หนักที่สุด ไม่มีกิน ทุกประเทศทั่วโลกโดนเหมือนกันหมด เพียงแต่ประเทศไหนอดทน และมีน้ำใจมากกว่ากัน

สำหรับผม ยกให้ นายกฯประยุทธ์ เป็นผู้นำที่เก่งมากอันดับต้น ๆ ของโลก ณ เวลานี้ หลายคนคิดไม่ทัน เป็นการบริหารจัดการที่ฉลาด หลักแหลม มีหลักการ สุขุม เป็นขั้นตอน โดยท่านทำดังต่อไปนี้แบบง่าย ๆ นะครับ

1. การค่อย ๆ สร้างความตระหนักของคนในชาติ ให้สวมหน้ากากอนามัย การรักษาความสอาดขั้นพื้นฐาน การให้ความรู้ เรื่องโควิด พอเริ่มสร้าง ก็มีอุปสรรค คือมีการกักตุน หน้ากาก แอลกอฮอล์ ผลิตภัณฑ์ที่ใช้ป้องกันโควิด จนเกิดเป็นคดีมากมาย เกิดดราม่า เรื่องนี้ ระยะแรก ๆ ๆ ต่อมา ก็แก้ปัญหาโดยการทำหน้ากากกันเอง จากนั้น ก็เริ่ม ล้างทำความสะอาดประเทศ เกือบทุกท้องที่ โดย อาสาสมัคร ทหาร เจ้าหน้าที่สาธารณสุข เทศบาล อบต. หลายฝ่ายครับ ออกมาล้างพ่นยาฆ่าเชื้อโรค ทุกคืน

2. ท่านตั้งวอร์รูม โดยเชิญอาจารย์หมอระดับชั้นนำของเมืองไทย มาให้คำแนะนำเป็นเสนาธิการ ทางการแพทย์ช่วงนั้น มีกระแสให้ปิดประเทศ จากหลายฝ่าย แต่ท่านไม่ทำแบบนั้น ซึ่งท่านกลับทำแบบนี้ คือ ให้คุณหมอแนะนำทางโซเชียลเน็ตเวิร์ค เพื่อชะลอการติดเชื้อ อย่างค่อยเป็นค่อยไปให้อยู่บ้าน 14 วัน เพื่อตรวจสอบตัวเองว่าติดเชื้อหรือไม่ ป้องกันการกระจายเชื้อใส่ผู้อื่น จากนั้นก็ออกมาตรการ ให้อยู่ห่าง สวมหน้ากากผ้า

3. มาตรการ การประกาศเคอร์ฟิว และปิดสถานบริการที่คนไปชุมนุมกันเยอะ ๆ ซึ่งค่อย ๆ ประกาศแบบ ยกระดับความเข้มข้น ผ่อนปรน ให้คนออกไปหาซื้ออาหาร หรือทำอาชีพ ได้แบบระมัดระวัง จึงไม่ต้องปิดประเทศ ทีเดียว ทำให้พี่น้องคนไทยกลับบ้านเกิดเมืองนอนได้ ยกเว้น พวกที่ทำผิดกฎหมายครับ ก็ดราม่ากันอีก คือ พวกที่กลับมาไม่ยอมปฏิบัติตาม ก็ถูกด่าว่ากันไป

4. มาตรการช่วยเหลือผู้ที่ลำบากจริง ๆ ไม่มีจะกิน แต่สามารถสื่อสารได้ ยกเว้น ผู้ตกสำรวจ ลงทะเบียนเราไม่ทิ้งกัน 5,000 บาท อันนี้ดราม่าหนักครับ มีการเปรียบเทียบเป็น เศษเงินหลังตู้เย็น มีการบุกกระทรวงการคลัง

5. หลังจาก เอาอยู่ ท่านนายกฯ รู้ว่าผลกระทบขั้นต่อมา คือ เรื่องเศรษฐกิจ เมื่อรู้ว่าทุกคนเอาชีวิตรอดละ เหลือว่าจะอยู่อย่างไรกัน ไม่รอช้าครับ ท่านรีบส่งจดหมายเชิญ นักเศรษฐกิจภาคสนามตัวจริง คือ บรรดามหาเศรษฐีเมืองไทย มาเป็นวอร์รูม หรือ เสนาธิการทางปากท้อง ว่าด้วยเรื่องเศรษฐกิจ ว่าด้วยเรื่องปากท้องพี่น้องประชาชน ผลกระทบที่จะเกิดตามมา อันนี้ ก็ดร่าม่าอีก ร้องแล่ แห่กระเฌอ กันใหญ่

แต่โดยรวม ๆ ผมว่าการบริหารจัดการ ท่านทำได้ดีมากครับ ดีกว่า สหรัฐอเมริกา จีน อังกฤษ อิตาลี สเปน เยอรมัน อิหร่าน สาธยายไม่ไหวครับ แม้แต่ญี่ปุ่น สิงคโปร์ ยังสู้ไม่ได้เลยครับ
ผมอยากดูว่า ท่านจะทำอย่างไรต่อไป ตรงกับที่ผมคิดไหม เพราะทุกข้อถูกใจผมจริง ๆ การถอดบทเรียนนี้ สำหรับ ลูก ๆ น้อง ๆ นักศึกษา ต้องทำรายงานส่ง ก็ขอแนะนำให้ใส่ชื่อคนที่มีคุณานุประการ ในการต่อสู้วิกฤตินี้ด้วยนะครับ

อีกเรื่องที่นี่ คือ face book ไม่ใช่ fake book นะครับ ก่อนเชื่อ ก่อนแชร์ อ่านและวิเคราะห์เป็นขั้นตอน นะครับจะได้อยู่กับความจริง อย่าโกหกกัน มีแต่เสียทุกฝ่าย
Cr: ศักดา เข็มทอง

 


หน้า 16 จาก 559
Home

มูลนิธิศูนย์บูรณาการพัฒนามนุษย์ ์

 iHDC Profile
บัญชีรายชื่อกรรมการ
ใบสำคัญแสดงการจดทะเบียน การเปลี่ยนแปลงกรรมการของมูลนิธิ
เอกสารประชาสัมพันธ์ โครงการ HMTC.pdf
เอกสารแนะนำโครงการ HMTC 1.pdf
เอกสารโครงการ HMTC 2 คุณสมบัติผู้เข้าร่วมโครงการ.pdf
iHDC นิติบุคคล.pdf
iHDC บุคคล.pdf
iHDC บุคคลเครือข่าย.pdf
รายงานการประชุม 6 มีนาคม 2560.pdf
ข้อบังคับมูลนิธิ
ใบสำคัญแสดงการจดทะเบียนจัดตั้งมูลนิธิ
Ihdc-Profile and Roadmap 2016-2019 Mar 23 2560.pdf
รายงานการประชุมใหญ่คณะกรรมการมูลนิธิศูนย์บูรณาการพัฒนามนุษย์ 2559.pdf
คำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการ สาขาวิชาชีพ.pdf
รายงานการประชุมใหญ่วันที่ 18 ธ ค 2558 v 3.pdf
รายงานการประชุม วันที่ 24 ธันวาคม 2557 updated 4 มีนาคม 2558.pdf
iHDC-invitation Letter.doc
iHDC-Member Form Thai.doc
iHDC-Member Form English.doc
รายงานการประชุมกรรมการมูลนิธิศูนย์บูรณาการพัฒนามนุษย์ วันที่ 15 มกราคม 2556 ฉบับสมบูรณ์


thaibetter
พัฒนาประเทศไทยแบบทวีคูณ และยั่งยืน ( ททค )

Login


แบบสำรวจ

สถิติเว็บไซด์

สมาชิก : 5614
Content : 3057
เว็บลิงก์ : 26
จำนวนครั้งเปิดดูบทความ : 8655343

facebook

Twitter


บทความเก่า