Thaiihdc.org

  • เพิ่มขนาดตัวอักษร
  • ขนาดตัวอักษรปกติ
  • สดขนาดตัวอักษร
Thaiihdc.org

ความลึกซึ้งของคำสอนในพุทธศาสนา

พิมพ์ PDF

ความลึกซึ้งของคำสอนในพุทธศาสนา  อวิชา คือเหตุ  "เวียนว่ายตายเกิด"
10 ความจริงสูงสุดที่ทุกคนควรตระหนัก!!!

1. แท้จริงแล้วสุขทุกข์ไม่ได้เกิดจากใครทำ ไม่ได้เกิดจากปัจจัยภายนอก แต่เกิดจากการกระทบกันของ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ปัจจัยภายนอกเป็นเพียงตัวแปร ปัจจัยภายในได้แก่ สติ คือสาเหตุใหญ่ ถ้าสติไม่แข็งแรง  ไม่ว่าจะอยู่ในสถานะใด เป็นใครมาจากไหน ก็มีความทุกข์ได้ทั้งนั้น  เมื่อสติแข็งแรง ย่อมเห็นกระบวน  การทำงานของ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เมื่อเห็นกระบวนการดังกล่าว จิตย่อมไม่เสวยอารมณ์ อันเป็นต้นเหตุของสุข ทุกข์ สุขทุกข์จึงถูกปรับสมดุลให้อยู่ในภาวะเป็นกลาง สิ่งนี้เรียกว่า ความเบิกบาน
 2. ความเป็นเรา เป็นเขา คือ กระบวนการปรุงแต่งของจิต แท้จริงแล้ว ตัวเราไม่มีอยู่ คำว่าตัวเราไม่มีอยู่นี้ ไม่ใช่คำอุปมาอุปไมย แต่เป็นสิ่งที่สามารถตรวจสอบได้เอง จากการฝึกจิต ความเป็นตัวเรานั้นเปรียบเหมือนรถยนต์หนึ่งคัน เมื่อจับล้อไว้ทางหนึ่งเครื่องยนต์ไว้ทางหนึ่ง ประตู ตัวถังไว้ทางหนึ่ง เมื่อจับแยกส่วนได้เช่นนี้ สภาพความเป็นรถยนต์ก็หมดไป เมื่อฝึกสติจนแยกกาย ความคิด และจิต ออกจากกันได้ ความเป็นตัวเราก็หมดไปด้วย เมื่อความเป็นตัวเราหมดไป ผู้ยึดมั่นถือมั่นก็หมดไปด้วย ความทุกข์ทั้งปวงก็เป็นอันยุติ
3. เราทั้งหลาย ล้วนเกิดมานับล้านล้านล้านชาติ เป็นจำนวนที่นับไม่ได้ เคยเกิดเป็นคนรวย คนจน ราชา พระ ยาจก เป็นคนฉลาด เป็นคนโง่เขลา เป็นคนพิการ เป็นคนรูปงาม เป็นชาย เป็นหญิง เป็นกระเทย เป็นทอม เป็นนักบุญ เป็นมหาโจร เคยเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน สัตว์นรก เปรต อสูรกาย เทวดา เคยเป็นมาทุกอย่าง   ดังนั้น ถ้าชาตินี้เกิดมาดี ก็ไม่ได้แปลว่าชาติหน้าจะดี ชาตินี้อาจเป็นมหาเศรษฐี ชาติหน้าอาจเกิดเป็นสัตว์นรก ชาตินี้อาจเป็นสัตว์เดรัจฉาน ชาติหน้าอาจเกิดเป็นมนุษย์อยู่ในตระกูลสูงก็เป็นได้ ตราบใดที่ยังเวียนว่ายตายเกิด จงอย่าลำพองใจว่า เรานั้นดีแล้ว ประเสริฐแล้ว เพราะแท้จริง ไม่มีใครเลยที่ดีกว่าใคร ทุกคนล้วนอยู่ในความสุ่มเสี่ยงทั้งสิ้น

4. จิตสุดท้ายก่อนตาย เป็นสิ่งชี้วัดว่าชาติหน้าเราจะไปเกิดเป็นอะไร ขณะที่จิตสุดท้ายเป็นสิ่งที่ควบคุมได้ยากที่สุด ในวินาทีสุดท้ายความเศร้า ความกลัว ความสงสัย การยึดติด และความเจ็บปวด สิ่งเหล่านี้ จะดึงมนุษย์ให้ไปปฏิสนธิจิตในภูมิเบื้องต่ำ ได้แก่ นรก เปรต อสูรกาย เดรฉาน    พระพุทธเจ้าตรัสว่าผู้ที่ได้เกิดเป็นมนุษย์อีกครั้งหลังจากตายไปแล้ว มีเท่าจำนวนเม็ดทรายที่ปลายนิ้ว ส่วนทรายที่เหลือบนปฐพี เทียบได้กับผู้ที่ตายแล้วไปจุติในอบายภูมิ ถ้าเทียบเป็นเปอร์เซ็นต์แล้ว คงน้อยกว่า 0.00000000000001 เปอร์เซ็นต์ นั่นเท่ากับว่า เป็นไปได้มากเหลือเกินว่า คนทั้งหมดที่เรารู้จัก จะไม่มีใครเลยที่จะได้กลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีก ไม่เว้นแม้กระทั้งเราเอง!!!
5. ชีวิตที่เราเห็นอยู่ เป็นชีวิตชั่วคราว เมื่อเราตาย สิ่งที่เราหามาด้วยความลำบาก สิ่งที่เราเคยมั่นหมายว่าสำคัญ ทั้งความสามารถ เกียรติภูมิ ลูก เมีย ผัว ญาติพี่น้อง เพื่อน มิตรสหาย หน้าที่การงาน สมบัติพัสถาน เงินทอง บ้านช่อง ที่ดิน ความภาคภูมิใจ ทั้งหมดนี้ ไม่มีอะไรเลยที่เราสามารถนำติดตัวไปได้ คำถามสำคัญที่เราควรต้องคิด คือ "ทุกวันนี้เราใช้เวลาที่มีเพื่อสิ่งใด" แน่นอนว่า เวลาเกือบทั้งหมดของเรามุ่งไปสู่สิ่งที่เราไม่สามารถนำติดตัวไปได้ เหล่านี้ คือเรื่องอันตรายที่เราสมควรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอย่างเร่งด่วน
6. บุญบาปเป็นของมีจริง ทุกการกระทำของเรา ย่อมส่งผลสะท้อนกลับ ไม่วันนี้ก็วันหน้า ไม่ชาตินี้ก็ชาติหน้า คำพูด และการกระทำ จึงเป็นสิ่งสำคัญมากกว่าที่เราคิด พูดสิ่งใด ทำสิ่งใดลงไป มิได้จารึกไว้เพียงโลกนี้ หากแต่มันจะจารึกไว้ในสังสารวัฏ ในจิตของเรา และเราจะต้องเป็นผู้รับผลแห่งการกระทำของตนเอง ตลอดการเวียนว่ายตายเกิด     ดังนั้น จงระวังคำพูด และการกระทำของเราไว้ให้มากกว่าที่เป็นอยู่
7. ทุกคนที่เราเห็น พ่อ แม่ พี่ น้อง ญาติ เพื่อนฝูง มิตรสหาย ผู้คน ทั้งคนที่รู้จัก และไม่รู้จัก ตลอดการเวียนว่ายตายเกิด ไม่มีใครเลยที่ไม่รู้จักกัน ไม่มีใครเลยที่ไม่เกี่ยวข้องกัน และตราบใดที่เรายังเวียนว่ายตายเกิด เราและเขา จะได้พบกันอีก ไม่ฐานะใดฐานะหนึ่ง ทำดีกับเขาวันนี้ จะพบกันในเส้นทางที่ดี ทำร้ายเขาในวันนี้ ก็จะต้องตามจองเวรกันต่อไป ไม่สิ้นสุด    ดังนั้น คำว่า "เพื่อนร่วมทุกข์เกิดแก่เจ็บตาย" จึงเป็นคำที่มีนัยยะสำคัญกว่าที่เราคิดไว้หลายเท่า จงมองผู้อื่นให้เหมือนครอบครัวของท่าน  นั่นคือ หนทางที่ดีที่สุด
8. เมื่อการเวียนว่ายตายเกิดมีจริง การบริหารจัดการชีวิตของเรา ก็สมควรเป็นการบริหารจัดการชีวิตที่ครอบคลุมทุกมิติ ไม่เน้นหนักในชาติใดชาติหนึ่ง ชาตินี้ก็ต้องกินต้องใช้ แต่ชาติหน้าก็ต้องเผื่อเหลือเผื่อขาด กิจกรรมบางอย่าง อาจส่งผลดีสูงสุดในชาตินี้ แต่ชาติหน้าอาจทำให้ท่านไม่เหลืออะไรเลยแม้แต่อัตภาพความเป็นมนุษย์    ดังนั้น ในทุกวัน เราควรถามตนเองว่า วันนี้เราได้เตรียมเสบียงไว้เลี้ยงตัวในชาติหน้าบ้างแล้วหรือยัง

9. เวลาที่เราเห็นตรงหน้า มีเพียงปัจจุบัน วินาทีต่อวินาที เมื่อเวลาเคลื่อนเลยไป ไม่มีใครสามารถนำช่วงเวลานั้นกลับมาใช้ซ้ำได้ อดีต ไม่มีจริง เพราะอดีต คือภาพจำที่เรานำมาคิดซ้ำในเวลาปัจจุบัน ส่วนอนาคตก็ไม่มีจริง เพราะอนาคต ก็คือการปรุงแต่งในปัจจุบันของเรา จงจำไว้เสมอ ชีวิต คือเรื่องสดใหม่ ตัวท่านมีอยู่เพียงปัจจุบันการอยู่กับปัจจุบันจะช่วยแก้ปัญหาทุกอย่างในชีวิตของท่านได้ และนี่คือ กุญแจเพียงดอกเดียวที่จะไขความลับของชีวิต จงอยู่กับปัจจุบันจนถึงที่สุด(มีสติและสัมปชัญญะ) แล้วชีวิตจะเป็นของท่านอย่างแท้จริง
10. เป้าหมายของการเกิดเป็นมนุษย์คืออะไร บางคนบอกว่า ฉันเกิดมาเพื่อมีความสุข บางคนบอกว่า ฉันเกิดมาเพื่อสร้างสิ่งดีงามไว้ให้โลก บางคนบอกว่า ฉันเกิดมาเพื่อคนที่ฉันรัก นั่นก็เป็นสิ่งที่จะคิดกันไปตามภูมิปัญญา แต่ละคนก็มีเป้าหมายชีวิตที่แตกต่างกันไป   แต่สำหรับพระพุทธเจ้า ท่านได้ฝากเป้าหมายไว้ให้มนุษยชาติอย่างชัดเจน    เป้าหมายของการเกิดเป็นมนุษย์ในทัศนะของพระพุทธเจ้า ก็คือ การดับกิเลส และทำที่สุดแห่งทุกข์ให้แจ้ง คือการดับความไม่รู้ หรืออวิชา อันเป็นต้นเหตุแห่งการเวียนว่ายตายเกิดตลอดการเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏ

ขอให้เชื่อเถอะว่า เราเคยตั้งเป้าหมายชีวิตมาแล้วนับไม่ถ้วน และขอให้เชื่อเถอะว่า ทุกเป้าหมาย ทุกความปรารถนา ทุกความสำเร็จ ทุกความอยากมี อยากดี อยากได้ อยากเป็น เราล้วนเคยบรรลุมาแล้วก่อนหน้านี้ทั้งสิ้น  คงเหลือเพียงเป้าหมายเดียวเท่านั้นที่เรายังไม่เคยบรรลุ นั่นคือเป้าหมายแห่งการไม่เกิด ไม่ตาย  เช่นนั้นแล้ว ถ้าชาตินี้เรายังตั้งเป้าหมายเก่าๆ ซ้ำ ๆ เดิม ๆ ชีวิตของเราคงไม่ต่างอะไรกับนิยายน้ำเน่าที่นำมาเล่าซ้ำ ๆ เปลี่ยนแต่เพียงชื่อแซ่ หน้าตา เสื้อผ้า หน้า ผม แต่ทุกอย่างก็ยังวนเวียนอยู่ในวังวนเก่าๆ  เช่นนี้แล้ว การเกิดของเราคงเป็นการเกิดที่ไร้ค่า
จงหยุดคิด พินิจ ใคร่ครวญ ด้วยสัมปชัญญะของท่าน   อัตภาพความเป็นมนุษย์ คือ สิ่งล้ำค่าอันหาที่สุดมิได้ ทุกวันนี้ท่านกำลังใช้สิ่งล้ำค่าที่ว่า เพื่อแสวงหาสิ่งใดอยู่หรือ!!!

ขออนุโมทนาบุญกับพระสงฆ์ผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติติชอบแล้วในศาสนาพุทธ..ทุกองค์...ท่านผู้มีศีลใฝ่ธรรมใฝ่เจริญภาวนา ในฐานะที่ท่านอยู่ในเส้นทางที่ควรจะเป็น ในการที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ในชาตินี้  อ่านจบแล้ว แม้ไม่ส่งต่อ ใจก็เกิดบุญอันยิ่งใหญ่

 

อยากคุยเรื่องลูกหลานเราเปลี่ยนไป ศ.ดร.บุญเสริม บุญเจริญผล

พิมพ์ PDF

อยากคุยเรื่องลูกหลานเราเปลี่ยนไป แทบทุกครอบครัว และทั่วโลก :

(ศ.ดร.บุญเสริม บุญเจริญผล)

ลูกหลานเรา  เขาเปลี่ยนไปแล้ว  

เดี๋ยวนี้ เราสอนเราเตือนลูกหลานไม่ได้ผลแล้ว     อาการเบาๆ  เขาอาจฟังคำเรา ไม่เถียง แต่เขาไม่เชื่อ     ที่แสบกว่านั้น เขาตอบว่า "รู้แล้ว รู้แล้ว"   ผู้ใหญ่อย่างเราฟังแล้วตกใจ   เปรียบเทียบกับสมัยเรายังหนุ่มสาว เมื่อผู้ใหญ่เตือน โดยทั่วไป เราตอบท่านว่า "ครับ" หรือ "ค่ะ" คือ ถ้ารู้แล้วก็ได้แน่ใจ ถ้ายังไม่รู้ ก็ได้รู้   ไม่มีใครตอบว่า "รู้แล้วๆๆ" อย่างในสมัยนี้ ยกเว้นครอบครัวที่ด้อยคุณภาพ

ผมขอถามพวกเราว่า มีครอบครัวใดบ้างที่ไม่ไดัยินลูกหลานตอบท่านว่า "รู้แล้วๆๆ" ผมว่าไม่มีสักครอบครัว   ถ้าลูกหลานตั้งแต่อายุ 40 ปีลงมา เขาไม่เชื่อผู้ใหญ่กันแล้ว   ยกเว้นคนที่เขาบูชา  ซึ่งคนนั้นเรามักเห็นว่าเป็นคนเลว    สำหรับผมไม่มีลูก มีแต่หลานจากน้องสาวน้องชายและญาติอื่นๆ ก็ยังได้ยินคำว่า "รู้แล้วๆ" อยู่บ้าง คุยกับลูกหลานสมัยนี้ไม่สนุกเลย กว่าจะเอ่ยถ้อยคำออกมาแต่ละประโยค ต้องกรองแล้วกรองอีกว่า เราพูดไปแล้ว เขาจะมีปฏิกริยาร้ายตอบเราอย่างไรบ้าง คุยกับคนสมัยใหม่ช่างเหนื่อยเสียจริง ถ้าไม่กลั่นกรองคำพูดให้ดี รับรองว่า ได้เสียใจ ยิ่งได้ยินพ่อแม่ของเขาบอกว่า เด็กสมัยนี้ เขารู้สึกอย่างไรก็พูดโพล่งไปทันที ไม่ต้องคิด ก็ยิ่งน่ากลัวมากขึ้นอีก

ผิดกับตอนที่ผมเป็นอาจารย์ ม. เกษตรศาสตร์ นิสิตที่เรียนระดับมหาวิทยาลัยอยู่ในวัยหนุ่มสาว ผมสอนเรื่องชีวิต เรื่องสังคมให้เขาบ่อยๆ เขาตั้งใจฟังมาก  ตั้งใจยิ่งกว่าเรียนวิชาการเสียอีก เช่น สอนว่า ถ้าไม่ให้ชีวิตวิบัติเรื่องการเงิน ก็ต้อง : "ไม่หุ้น ไม่กู้ ไม่ค้ำประกัน ไม่เล่นการพนัน ไม่คบคนชั่ว" เขาก็นำคำสอนไปใช้ในชีวิต และบอกผมว่า เขารอดภัยมาได้จากการทำตามคำสอนของผม ส่วนอาจารย์อื่นเขาไม่สอนเรื่องชีวิต   เขาคิดว่าโตกันแล้ว ไม่ต้องสอนแล้ว      ความจริงแล้วตรงข้ามเลย เป็นความเชื่อที่ผิด วัยหนุ่มสาวนี้แหละเขาเปิดหูฟัง อยากรู้เรื่องชีวิตมากๆ    ผมไม่แน่ใจว่ายุคนี้จะเป็นอย่างที่ผมเล่าหรือไม่   เช่น ถ้าสอนเขาว่า อย่าเล่นบิทคอยน์ บิทคับ เขาคงเถียงว่า “รู้แล้ว  รู้แล้ว”  ไม่ฟังเรา   แล้วคิดในใจว่า "ไอ้โง่เอ๋ย... โลกเขาไปกันถึงไหนแล้ว"

ผมไม่ได้ยืนยันว่า คนโบราณรู้ดีกว่าคนสมัยใหม่ แต่ก็มีบางเรื่องที่คนอายุมากมีประสบการณ์มากกว่า เพราะว่าเคยเห็นเคยผิดพลาดมาแล้ว จึงเป็นห่วง แล้วทำไมเตือนกันไม่ได้     ผมเห็นว่า ความคิดของคนสมัยนี้ส่วนมาก เป็นดังกล่าวนี้   คงยังมีคนหนุ่มสาวอีกจำนวนหนึ่ง ไม่เป็นอย่างนี้

แล้วจิตใจของเขาเป็นอย่างไร  เขาก็เป็นอย่างนี้

1.คิดตื้นชั้นเดียว ได้ฟังแล้ว ไม่ต้องคิดมาก เชื่อเลย ไม่เฉลียวใจว่า เรื่องนี้มีอะไรซ่อนเงื่อนอยู่บ้าง ฉะนั้นถ้าใครประดิษฐ์เรื่องให้ถูกใจ ก็เชื่อทันที

2.  ไม่จำเป็นต้องรู้ว่า ทำอย่างนี้ดี อย่างนี้ไม่ดี เช่น หญิงสาวเดินเปิดสะดือโชว์ ก็ไม่ต้องคิดว่า  ควรหรือไม่ควร คิดเพียงว่า ทำเพราะว่าอยากทำ และทุกคนมีอิสรภาพที่จะทำอย่างไรก็ได้ ขนบธรรมเนียม แม้กฎหมาย ไม่สำคัญเท่าความคิดของตน

3. ผลปัจจุบัน สำคัญกว่าผลในอนาคต คนสมัยนี้จึงไม่สนใจความยั่งยืน เลือกอาชีพที่รายได้มาก ไม่ต้องมั่นคงก็ได้   มีคู่ครองก็คิดอยู่กันชั่วคราว  ถ้าไม่พอใจก็เลิกกันไป จะซื้อของก็ไม่ต้องคิดว่า จะใช้ได้ทนหรือไม่  เอาสวยไว้ก่อน เมื่อเสียแล้ว จะมีอะไหล่ซ่อมได้หรือไม่ ไม่ต้องคิด

4.ไม่มีชาติ ไม่มีศาสนา   มีตัวเองคนเดียวก็พอ   ไม่ต้องมีเพื่อนแท้ เอาตนเองเป็นศูนย์กลาง โลกนี้มีเขาเพียงคนเดียว อยู่ได้คนเดียว วันๆนั่งหน้างอ ไม่ยิ้ม ไม่พูดกับใคร ไม่ปรึกษาใคร เมื่อชีวิตผิดหวัง ก็ซึมเศร้า และฆ่าตัวตาย

ฉะนั้นเราต้องทราบเรื่องของคนยุคใหม่ จะได้ทำใจถูก พูดได้ถูก และ ไม่ต้องหวังว่า จะฝากอนาคตประเทศชาติไว้กับพวกเขา เพราะว่า เขาไม่มีชาติ ไม่มีประเทศ ไม่มีศาสนา  ไม่ต้องการกฎหมาย  ไม่ต้องการประเพณี     มีแต่เขาคนเดียวในโลกของเขา

ท่านผู้ใด มีลูกหลานผิดจากที่ผมกล่าว จงดีใจเถิดว่า เทวดามาเกิดในตระกูลของท่าน

สาเหตุสำคัญที่ทำให้เขาเป็นคน “รู้แล้วรู้แล้ว”

การเกิดผลอะไรขึ้นมาอย่างหนึ่ง เกิดจากหลายสาเหตุ   โรครู้แล้วรู้แล้ว ก็เกิดจากหลายสาเหตุ  สาเหตุที่สำคัญที่หลายท่านช่วยกันหามา มีดังนี้

1. สื่อโซเชียล  ทำให้เขาติดต่อกับคนเสมือนจริง  ไม่มีตัวตนให้เห็น  แต่ติดต่อสื่อสารกันได้  ทำให้เขาไม่ต้องการติดต่อคบหากับใคร  เขามีเพื่อนในอากาศอยู่มากมายแล้ว  เขาจึงอยู่กับโทรศัพท์ได้นาน  โดยไม่สนใจผู้ใด  บุคลิกกลายเป็นคนเฉย  หน้าเงียบหน้างอ   ไม่สนใจใคร  ไม่อยากพูดกับใคร  นั่งกดโทรศัพท์ไปเรื่อยๆก็เป็นการพูดคุยแล้ว   ถ้ามีใครมาถามอะไรเขา  เขาจะหงุดหงิดใส่ทันที  เพราะว่า ทำให้เขาเสียเวลาต้องออกจากโลกโซเชียลมาคุยกับคนที่เขาไม่ได้ให้ค่า                                                                                                     ประการสำคัญ  เขารู้เรื่องวิธีการใช้โทรศัพท์ดีกว่าผู้ใหญ่มาก  ผู้ใหญ่มักต้องพึ่งเขาในการใช้โทรศัพท์   ก็ยิ่งทำให้เขาคิดว่า ผู้ใหญ่โง่กว่าเขามาก  ถ้าฉลาดกว่าเขาก็ไม่ควรถามเขา  เขาจึงไม่ให้ค่าผู้ใหญ่

2. การเคลื่อนตัวของจักรวาล  คือ โลก ดวงดาวที่อยู่รอบๆทั่วจักรวาล  ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ทั้งหลาย  เคลื่อนตัวไปเรื่อยๆในอวกาศที่ว่าง   ทำให้พลังจักรวาลที่ออกมาจากดวงดาวเหล่านี้เปลี่ยนไปเรื่อยๆ  พลังจักรวาลมีผลต่อจิตใจและ DNA ของมนุษย์และสัตว์    นิสัยและความคิดของคนจึงเปลี่ยนไปจากเดิมด้วยอำนาจของพลังจักรวาลที่เปลี่ยนไป    

3. ในแง่ของศาสนา  โดยเฉพาะพุทธศาสนา  มีกฎแห่งกรรมเป็นคำอธิบาย   มนุษย์มีใจบาป  ทำลายคนและสัตว์มากมายมาเป็นเวลานาน  โดยเฉพาะการฆ่าสัตว์ และ กินสัตว์เป็นอาหาร    ศาสนาพุทธ-คริสต์-อิสลาม ที่เคยห้ามคนฆ่าสัตว์  หรือห้ามกินเนื้อสัตว์  ก็อะลุ่มอล่วยให้กินเนื้อสัตว์ได้ แต่อย่าฆ่า  หรือฆ่าได้เพื่อเป็นอาหาร   การก่อเวรเช่นนี้  ผลแห่งบาปทำให้มนุษย์อยู่กันอย่างไม่มีความสุข  และสัตว์ที่มนุษย์ฆ่าหรือกิน อาจมาเกิดเป็นลูกหลานเพื่อทวงหนี้กรรมบาปก็เป็นไปได้    โดยทำให้พ่อแม่และญาติผู้ใหญ่ไม่สบายใจ

4. สังคมรอบตัวมีแต่ความรีบเร่ง   ไม่มีเวลาที่จะทำชีวิตให้ประณีต   คนหนุ่มสาวไม่มีเวลาเอาใจผู้ใหญ่  ไม่มีเวลาที่จะทำความดีให้ใคร  เพราะว่าเวลารัดตัวเหลือเกิน   การพูดจาไม่ต้องสุภาพ  ไม่มีเวลาจะปั้นคำสุภาพ    ไม่มีเวลาจะพูดจะทำตามสมบัติผู้ดี  ไมมีเวลาจะนึกถึงความทุกข์ของใคร  เพราะว่าตัวเองก็เดือดร้อนมากแล้ว

                                                     ฯลฯ

เพียง 4 สาเหตุนี้  ก็เพียงพอที่จะทำให้ลูกหลานเราเปลี่ยนแปลงไปเป็นคน “รู้แล้ว รู้แล้ว”   ถ้าเราจำเป็นต้องอยู่ร่วมกับเขา  เราก็ต้องทำใจว่า “มันเป็นเช่นนั้นเอง  เพราะว่ามันมีเหตุให้เป็นไป”  และท่านต้องยอมเสียเวลากลั่นกรองคำพูดที่จะพูดกับเขาให้เหมาะสมที่เขาจะไม่ตอบท่านว่า “รู้แล้ว รู้แล้ว”  ท่านจะได้ไม่ต้องช้ำใจน้ำตาตกใน  ไม่ต้องเสียใจในความรักที่มอบให้เขา   โดยที่เขาไม่ต้องการเลยสักนิดเดียว

 

ขอให้ท่านโชคดี   ที่ผมเขียนมานี้   ท่านคง”รู้แล้ว  รู้แล้ว”  เพราะว่าโดนมามากแล้วใช่ไหม?

 

บุญ ไท


   

ความจำในอดีต ของ ม.ล.ชาญโชติ ชมพูนุท

พิมพ์ PDF
วันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2558 ผมมีกำหนดลงไปที่เกาะ พี พี เพื่อช่วยเป็นที่ปรึกษาและเป็นโค้ช ให้กับผู้บริหารโรงแรมในด้านการทบทวนและปรับปรุ่งแผนตลาดให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงสำหรับปี 2558-2560 แต่ไม่สามารถดำเนินการได้เนื่องจากมีกรณีด่วนเรื่องประสิทธิภาพในการบริหารจัดการด้านทรัพยากรมนุษย์ในระดับผู้จัดการฝ่าย จนทำให้ผู้บริหารที่จะเข้าร่วมประชุมจัดทำแผน ไม่มีสมาธิในการทบทวนด้านแผนการตลาด โชคดีที่ผู้ว่าจ้างผมได้มอบหมายให้ผมช่วยให้การปรึกษาด้านการบริหารจัดการด้านทรัพยากรมนุษย์ด้วย ผมจึงได้เปลี่ยนจากการประชุมทบทวนและจัดทำแผนตลาดไปเป็นการโค้ชผู้จัดการในการแก้ไขปัญหาด้านการบริหารจัดการผู้จัดการระดับกลางถึงระดับสูงที่มีปัญหาซ้ำซากอยู่เป็นประจำ ปัญหาเดิมๆ แต่เปลี่ยนคนที่ได้รับปัญหา ผมเริ่มสอนและโค้ชให้ผู้จัดการพิจารณาเรื่องที่เกิดขึ้นอย่างรอบครอบ ดึงผู้เกี่ยวข้องทุกคนเข้ามามีส่วนร่วมในการ ตีปัญหาให้แตกและแก้ไขให้ถูกจุด ใช้เวลาถึง 3 วันเพื่อเรียนรู้ร่วมกัน โดยการใช้กรณีของจริงที่เกิดขึ้น
ปัญหาได้ถูกแก้ไข อย่างถูกต้อง ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกคนได้เรียนรู้ และทำความเข้าใจจากสิ่งที่เกิดขึ้น วิธีการแก้ไขที่ถูกต้อง ทำให้ขวัญและกำลังใจของพนักงานในทุกระดับ ดีขึ้น การจัดทำแผนตลาดเลื่อนออกไปเป็นกลางเดือน มีนาคม เมื่อการจัดทำแผนตลาดเสร็จสมบูรณ์ จะต่อด้วยแผนการบริหารจัดการทรัพยากรมนุษย์เพื่อให้สอดคล้องกับแผนตลาด
ปัญหาใหญ่ๆในด้านการบริหารจัดการคน ส่วนมากจะเป็นเรื่องการสื่อสาร ความไม่ชัดเจน และการวางตำแหน่งงานที่ไม่เหมาะสมกับความสามารถและทักษะ ตำแหน่งงานหลายๆตำแหน่งไม่สามารถหาผู้ที่เหมาะสมได้ จึงได้ดันคนเข้าไปรับตำแหน่งเพื่อให้คบตามตำแหน่งที่วางไว้ โดยไม่คำนึงถึงความสามารถ ผลออกมาล้มเหลว ถือว่าเป็นการทำลายคน ปัญหาเหล่านี้เกิดขึ้นกับสถานประกอบการ SMEs เกือบทุกแห่ง ผู้ประกอบการไม่สร้างคน เพราะถือว่าเมื่อสร้างแล้วเขาก็ไปอยู่ที่อื่น จึงไม่ยอมลงทุนในด้านคน ทำให้คนขาดแคลน โทษว่าคนไม่มีคุณภาพ ไม่อดทน
ผมขอยืนยันว่าคนทุกคนมีความสามารถและเป็นทรัพยากรที่สำคัญที่สุด ทุกคนต้องช่วยกันสร้างไม่ใช่คอยแต่จะทำลาย เช่นเดียวกับป่าไม้ เราคิดแต่จะตัดไม้มาใช้ทำเฟอร์นิเจอร์ หรือสร้างบ้าน แต่ไม่เคยปลูกทดแทน ในที่สุดป่าไม้ก็หมด ทำให้เกิดผลตามมามากมาย เช่นเดียวกับคน เรามีแต่ตักตวง คิดแต่จะใช้ แต่ไม่เคยส่งเสริม สร้างคุณค่าให้กับคน เราส่งเสริมการศึกษาแต่เราไม่สร้างคน
ม.ล.ชาญโชติ ชมพูนุท
2 มีนาคม 2558
ความรู้สึกทั้งหมด
Somchai Eaglenest, Sukjai Kanchanachawee และ คนอื่นๆ อีก 59 คน
แชร์
 

มอบรางวัล

พิมพ์ PDF

 


หน้า 17 จาก 559
Home

มูลนิธิศูนย์บูรณาการพัฒนามนุษย์ ์

 iHDC Profile
บัญชีรายชื่อกรรมการ
ใบสำคัญแสดงการจดทะเบียน การเปลี่ยนแปลงกรรมการของมูลนิธิ
เอกสารประชาสัมพันธ์ โครงการ HMTC.pdf
เอกสารแนะนำโครงการ HMTC 1.pdf
เอกสารโครงการ HMTC 2 คุณสมบัติผู้เข้าร่วมโครงการ.pdf
iHDC นิติบุคคล.pdf
iHDC บุคคล.pdf
iHDC บุคคลเครือข่าย.pdf
รายงานการประชุม 6 มีนาคม 2560.pdf
ข้อบังคับมูลนิธิ
ใบสำคัญแสดงการจดทะเบียนจัดตั้งมูลนิธิ
Ihdc-Profile and Roadmap 2016-2019 Mar 23 2560.pdf
รายงานการประชุมใหญ่คณะกรรมการมูลนิธิศูนย์บูรณาการพัฒนามนุษย์ 2559.pdf
คำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการ สาขาวิชาชีพ.pdf
รายงานการประชุมใหญ่วันที่ 18 ธ ค 2558 v 3.pdf
รายงานการประชุม วันที่ 24 ธันวาคม 2557 updated 4 มีนาคม 2558.pdf
iHDC-invitation Letter.doc
iHDC-Member Form Thai.doc
iHDC-Member Form English.doc
รายงานการประชุมกรรมการมูลนิธิศูนย์บูรณาการพัฒนามนุษย์ วันที่ 15 มกราคม 2556 ฉบับสมบูรณ์


thaibetter
พัฒนาประเทศไทยแบบทวีคูณ และยั่งยืน ( ททค )

Login


แบบสำรวจ

สถิติเว็บไซด์

สมาชิก : 5614
Content : 3057
เว็บลิงก์ : 26
จำนวนครั้งเปิดดูบทความ : 8654937

facebook

Twitter


บทความเก่า