Thaiihdc.org

  • เพิ่มขนาดตัวอักษร
  • ขนาดตัวอักษรปกติ
  • สดขนาดตัวอักษร
Thaiihdc.org

พลังประชาชน

พิมพ์ PDF

ผมได้อ่านบทความของคุณเปลว สีเงิน เห็นว่าเป็นบทความที่น่าสนใจจึงนำมาเผยแพร่ให้ได้อ่านกัน ขอให้อ่านอย่างมีสติ ทำความเข้าใจและหาข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อสร้างปัญญาให้กับตัวเรา ส่วนเรื่องการเมื่อก็ให้ติดตามอย่างใกล้ชิดอย่างมีสติ ประชาชนทุกคนต้องสนใจและเอาใจใส่เรื่องการเมื่อง คิดและกระทำอย่างสร้างสรรค์ พลังประชาชนมีอำนาจเหนือนักการเมื่อง แต่ต้องใช้อย่างมีสติและเพื่อสร้างสรรค์เท่านั้น ถ้าใช้พลังประชาชนในทางที่ผิดเพื่อคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง เพื่อเอาชนะกัน ประเทศชาติก็จะเสียหาย
ม.ล.ชาญโชติ ชมพูนุท
ปล. ปรากฎการณ์สามานย์ธิปไตยกินรวบชาติ

แบงก์ชาติในภาวะคอรัปชั่นล่มชาติ

ยิ่งลักษณ์ "ขาขึ้น" มานาน แต่ตอนนี้ส่ออาการ "ขาลง" ยังไงชอบกล เกิดเพราะแดงสาดเลือดที่ทำเนียบฯ หรือต้องมาตายเพราะแดงเลือดสาดที่ทำเนียบฯ เฮ้อ...ก็ได้แต่เอาใจช่วยอยู่ลึกๆ ช่วงนี้ พยายามซ่อนลิ้นไว้ในปากได้จะเป็นศรีกับตัว แต่บอกจะไปโชว์ "ยิ่งลักษณ์ สปีช" ในงานประชุมเรื่องน้ำที่เชียงใหม่วัน-สองวันนี้ ไม่เข็ด...ก็อย่าไปยก "อุทาหรณ์" ประชาธิปไตยมองโกเลียอีกก็แล้วกัน!
พูดถึงสปีชที่มองโกเลีย ทำเอาผมเหงาไปหลายวัน เพราะนายกฯ ขวัญใจผมหายจ้อยไปจากจอเลย เพิ่งเมื่อวาน (๑๔ พ.ค.๕๖) โผล่มาจ้อออกจอด้วยเรื่องนั้น-เรื่องนี้อีกแล้ว 
คงติดใจที่สั่งให้รัฐมนตรีคลัง "นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง" เชิญผู้ว่าฯ แบงก์ชาติ สภาอุตสาหกรรม พาณิชย์ และคณะกรรมการนโยบายการเงิน ที่รู้จักกันดีในนาม กนง.มาคุยกัน เป็นทั้งการจูนคลื่น เป็นทั้งการบีบเรื่องบาทอ่อน-บาทแข็ง ที่รัฐบาลมีวิสัยทัศน์แค่ว่า 
ลดดอกเบี้ยนโยบายเมื่อไหร่ ก็จะหายแข็งเมื่อนั้น!?
แหม...ก็แม่เป็นรัฐบาลไม่ถึง ๒ ปี เล่นกู้ซะขนาดนั้น ตั้งแต่มีประเทศมาก็เพิ่งนี่แหละ กู้แบบขายบ้าน-ขายเมือง ขืนสกัดกั้นทางเดินเงินไหลเข้า แล้วเงินที่ไหนจะไหลมาให้รัฐบาลแม่คุณผลาญทันล่ะ?
จะมาโบ้ยให้ใช้มาตรการทางการเงินด้วยการลดดอกเบี้ยให้ยุ่งยากทำไม...พ่อขุนคลังกิตติรัตน์ ก็ใช้มาตรการทางการคลัง ลดดอกเบี้ยพันธบัตรเงินกู้ของกระทรวงซะเองไปเลย ง่ายๆ แบบนั้นทำไมไม่ทำ? 
ทำเมื่อไหร่ เงินนอกจากยุโรป สหรัฐ ญี่ปุ่น ที่ไหลมาหากินดอกเบี้ยก็จะลดน้อยไปเมื่อนั้น ไม่มีใครกระเทือนมาก นอกจาก ๓.๕ แสนล้าน และอีก ๒.๒ ล้านล้าน ไม่มีใครเอาเงินมาให้รัฐบาลกู้ เพราะดอกถูก แต่ถ้าลดดอกเบี้ยนโยบาย "แบงก์พาณิชย์รวย-คนฝากเงินกินดอกซวย" มันก็เท่านั้น
ก็รู้ทั้งรู้ กินอยู่กับปาก-อยากอยู่กับกู้ เจตนาสร้างข่าวให้แบงก์ชาติเป็นหมู "หวังเชือดทิ้ง" ละซี้?
แต่อะไรก็ช่าง ดูท่านายกฯ ติดใจวิธีนี้ซะแล้ว บอกให้กิตติรัตน์....เอาอีก Two Times คราวนี้ให้เชิญหน่วยงานอื่นๆ มาด้วย คือนอกจากแบงก์ชาติ กนง. สภาอุตฯ หอการค้า พาณิชย์แล้ว ให้เชิญกระทรวงแรงงาน กระทรวงอุตสาหกรรม มาร่วมถกเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจในภาพรวม
ทำไป-ทำมา ทั้งแบงก์ชาติ และทั้ง กนง.จะกลายเป็นหน่วยงาน "ลูกมือ-ลูกตีน" รัฐบาล ต้องทำงานภายใต้คำสั่งรัฐบาลโดยตรงไปแล้วก็ไม่รู้ ถ้าจะเอาแบบนี้ ก็สั่งให้แบงก์ชาติ กนง.เข้าประชุม ครม.ไปด้วยทุกนัดก็หมดเรื่อง?
อ่าน "ต่วย'ตูน" ว่าฮาแล้ว แต่ดูต่วย'ต่วย... ฮากว่า!
ก็ทะแม่งๆ เพราะไม่เคยเห็นมาก่อน ที่ผู้ว่าฯ แบงก์ชาติ และ กนง.ผู้รับผิดชอบด้านกำหนดทิศทางนโยบายการเงิน จะถูกฝ่ายการเมือง คือนายกฯ สั่งให้มาประชุมกับรัฐมนตรีคลัง ในเป้าหมาย....
"ต้องไปลดดอกเบี้ยลงมา เพื่อให้บาทอ่อน พวกพ่อค้าส่งออกจะได้ไม่โวย!"
ประชุมกันไปครั้งก็ติดใจ แต่ต่อจากนี้ ผู้ว่าฯ แบงก์ชาติ และคณะกรรมการนโยบายการเงิน จะยอมเอาอีกด้วยหรือไม่ ผมก็ไม่แน่ใจ แต่ที่แน่ๆ นายกฯ ของผม "ต้องการ"
เรื่องอย่างนี้ "พูดยาก" นะ ถ้าจะยกบทบาท-หน้าที่ของแต่ละฝ่ายมาขึงตึง กรณีนี้ดูน่าเกลียด ที่แบงก์ชาติและ กนง.คล้ายตกเป็นเครื่องมือ "อำนาจรัฐบาล" สั่งให้หันซ้าย-หันขวา เป็นบทบาทที่เปราะบางต่อทัศนคติคนทั่วไปในด้าน "ความน่าเชื่อถือ"
แต่ถ้ามองด้วยใจกว้างๆ ไม่หยิกหย็อย-หยุมหยิม "เพื่อประโยชน์ร่วมกัน" มันก็เป็นที่เข้าใจได้ ถืองานรวมเป็นใหญ่ การมานั่งปรึกษาหารือกัน หลายหัว หลายมุมมอง หลายปัญหา หลายตำรา และหลายประสบการณ์ "เถียงเพื่อชาติ" กัน
เมื่อ "หลายปัญญา" ช่วยกันขยำปัญหา มันก็อาจเกิดประโยชน์มากกว่าคิดหยุมหยิมตรงนั้น-ตรงนี้ ขอให้แต่ละท่าน ซึ่งตามตำแหน่งแล้ว ควรต้องเป็นวิญญูชนของชาติ....ก็ควรเป็นเช่นนั้นจริงๆ
อย่างนั้น "ฉัน-เสีย..แก-ได้" ก็จะไม่มี มีแต่ "ประเทศของเรา..ความแข็งแกร่งของพวกเรา"!
แต่ข้อสำคัญ คนเป็นผู้นำคือนายกฯ ต้องเข้าใจให้ถ่องแท้ในสถานะอิสระของผู้ว่าฯ แบงก์ชาติ และคณะกรรมการนโยบายการเงิน 
ไม่ใช่สั่งแล้วเขาก็มา ก็เลยได้ใจ นึกว่าคนในตำแหน่งผู้ว่าฯ แบงก์ชาติ และในตำแหน่ง กนง.ก็เหมือนพวกไพร่รายรอบขอบกระโปรง และพวกคลานไปยกไข่แม้วทั้งหลาย
ได้ใจ...นึกว่าได้แบงก์ชาติ-กนง.เป็นเมืองขึ้นแล้ว ทั้งโต้ง ทั้งปู เลยเอากันใหญ่ ชี้นิ้วสั่งดอกขึ้น-ดอกลงตามใจชอบ ประเทศไทยกลายเป็นบริหารด้วย "รัฐบาลลอยดอก"
ทีนี้ละ เป็นได้ดอกกันไปทั้งประเทศ!
ดร.ป๋วย อึ๊งภากรณ์ ท่านไปพูดในวงสัมมนาที่มาเลเซีย เมื่อปี ๒๕๐๗ ในเรื่อง "บทบาทของธนาคารกลางในโลกแห่งความตึงเครียด" เป็นภาษาอังกฤษ คุณชูศรี มณีพฤกษ์ แปลเอาไว้และผมเคยอ่าน ตอนหนึ่งท่านพูดว่า....
.........ในโลกสมัยใหม่ ธนาคารกลางเป็นสถาบันซึ่งรัฐบาลเป็นเจ้าของ ได้รับมอบอำนาจและความรับผิดชอบในการออกธนบัตร ทำหน้าที่เหมือนธนาคารของรัฐบาลและของธนาคารพาณิชย์ด้วย ธนาคารกลางสามารถสร้างและควบคุมเงินฝากของธนาคารพาณิชย์ซึ่งเป็นเงินรูปหนึ่งได้
ธนาคารแห่งแรกคือ ธนาคารแห่งประเทศอังกฤษ ตั้งขึ้นในรูปบริษัทเอกชนโดยมีวัตถุประสงค์ที่จะหาเงินมาใช้จ่ายในการทำสงครามกับฝรั่งเศส ต่อมาธนาคารแห่งประเทศอังกฤษและธนาคารกลางอื่นๆ ได้แยกตัวเองออกจากการเมือง
ที่ถูกแล้ว ผู้ว่าการธนาคารกลางจะต้องเป็นอิสระ และจะต้องแสดงออกให้เห็นว่าเขาเป็นอิสระจากรัฐบาล เขาดูแลนโยบายการเงิน ให้คำแนะนำ หลอกล่อด้วยคำหวาน และในบางคราวก็อาจจะถึงกับข่มขู่ (อย่างมีชั้นเชิง) รัฐบาล เพื่อชักนำให้นโยบายการหาเงินและนโยบายการคลังเป็นไปในทิศทางที่ถูกต้อง
และหากมีความขัดแย้งอย่างรุนแรงในหลักการของนโยบายกับรัฐบาล ผู้ว่าการฯ ก็พร้อมที่จะยื่นใบลาออก ซึ่งการกระทำดังกล่าวถือเป็นการประท้วงอย่างรุนแรงต่อนโยบายของรัฐบาล 
ข้าพเจ้าหวังว่าท่านคงจะเห็นด้วยกับข้าพเจ้าว่า ในภาวะที่ปราศจากความจำเป็นที่จะต้องหาเงินมาใช้จ่ายในการทำสงคราม และการได้รับมอบความรับผิดชอบ พร้อมกับเครื่องมือที่มีอำนาจที่จะทำตามความรับผิดชอบ ธนาคารกลางจะมีบทบาทมากต่อที่มาของความสงบและความรุ่งเรืองของประเทศ เพื่อปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าว เจ้าหน้าที่ธนาคารกลางจะต้องใช้หลักการอย่างกล้าหาญ และมีจินตนาการ....ฯลฯ.....
อีกตอนหนึ่ง อดีตผู้ว่าฯ แบงก์ชาติผู้มีคุณูปการแก่ชาติกล่าวว่า....
.....อย่างไรก็ตาม หลักการก็เช่นเดียวกับชาตินิยม หรือความรักชาติ ยังไม่เป็นการเพียงพอ ข้าพเจ้าขอแนะว่า เจ้าหน้าที่ธนาคารกลางในประเทศกำลังพัฒนาจะต้องมีจินตนาการและความกล้าหาญมากกว่าที่เขาเคยได้รับการยกย่องมาก่อน 
และข้าพเจ้าขอบอกไว้ก่อนว่า มันเป็นงานที่ไม่ง่ายนัก มันเป็นงานที่ต้องอาศัยความเอาใจใส่ ความตื่นตัวและการฉวยโอกาส....ฯลฯ....
ครับ...เมื่ออ่านแล้วทำให้เข้าใจ สมบัติของคนเป็นผู้ว่าฯ แบงก์ชาติ ไม่ใช่หอคอยงาช้าง หากแต่เป็น "จินตนาการและความกล้าหาญ" ในการบริหารหลักการ และจากในเรื่อง "ศาสตร์และศิลป์แห่งการเป็นผู้ว่าการธนาคารกลาง" ดร.ป๋วยท่านยังกล่าวไว้อีกว่า
"....ตำแหน่งของผู้ว่าการธนาคารชาตินี้ ในทำเนียบราชการไทยเป็นตำแหน่งที่ต่ำกว่ารัฐมนตรี และเราจำเป็นที่จะต้องติดต่อกับรัฐมนตรีอยู่ เฉพาะอย่างยิ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ซึ่งมีอำนาจตามกฎหมายเป็นผู้กำกับการงานของธนาคารแห่งประเทศไทย ไม่ใช่เฉพาะแต่ผู้ว่าการเท่านั้น ผู้ใหญ่คนอื่นในธนาคารแห่งประเทศไทยด้วย
เพราะฉะนั้น การติดต่อกับรัฐมนตรี เพื่อที่จะเกลี้ยกล่อมรัฐมนตรีให้ดำเนินนโยบายอย่างใดอย่างหนึ่งที่ธนาคารเห็นสมควร ก็ย่อมเป็นเรื่องที่สำคัญมาก เพราะถ้านโยบายต่างๆ ไม่ประสานกัน การดำเนินราชการแผ่นดินก็จะเป็นไปราบรื่นมิได้............
ถ้าเราไม่สามารถที่จะเกลี้ยกล่อมท่านได้ หน้าที่ของผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยก็จะด้อยลงไป ความรับผิดชอบและประโยชน์ที่เราจะทำให้ก็จะเสียหายไปเช่นเดียวกัน 
เพราะฉะนั้น ในการที่จะติดต่อกับรัฐบาล จึงมีความจำเป็นที่จะต้องให้มีความเชื่อถือ ให้รัฐบาลหรือบุคคลในรัฐบาลเชื่อถือว่าเราไม่ได้เห็นประโยชน์ของส่วนตัว ไม่ได้เห็นแก่ประโยชน์ของธนาคารแห่งประเทศไทย แต่เห็นแก่ประโยชน์ของแผ่นดิน....ฯลฯ...
ครับ...เห็นพอกล้อมแกล้มเข้าสถานการณ์ได้ ก็เลยยกสิ่งที่ ดร.ประสาร ไตรรัตน์วรกุล "ผู้ว่าฯ แบงก์ชาติ" คนปัจจุบันมีอยู่-ทำอยู่ครบถ้วน มาให้ได้อ่าน...ก่อนพายุคอรัปชั่นจะพังชาติ

เปลว สีเงิน

 

กิจกรรมรักกาย – รักษ์ใจ & ผู้นำแห่งทศวรรษใหม่

พิมพ์ PDF

สวัสดีครับชาว Blog และลูกศิษย์ EADP รุ่น 9 ทุกท่าน

กลับมาพบกันอีกครั้งสำหรับกิจกรรมการเรียนรู้ ระยะที่ 4 กิจกรรมรักกาย – รักษ์ใจ & ผู้นำแห่งทศวรรษใหม่
ถือเป็นกิจกรรมช่วงสุดท้ายในหลักสูตรพัฒนาสมรรถนะผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) รุ่นที่ 9 (ปี 2556) หรือ EGAT ASSISTANT DIRECTOR DEVELOPMENT PROGRAM : EADP 2013  ระยะเวลา 5 วัน ระหว่างวันที่ 14 พฤษภาคม  – 18 พฤษภาคม 2556 โดยวันแรกพบกับกิจกรรมดูแลสุขภาพ ณ ศูนย์ธรรมชาติบำบัดบัลวี  (สามเสน) กรุงเทพฯ และวันต่อไปเดินทางไปที่การไฟฟ้าฝ่ายผลิต ศูนย์ฝึกอบรมบางปะกง ครับ หวังว่าลูกศิษย์ของผมจะได้รับความรู้ มุมมอง และประสบการณ์ที่เป็นประโยชน์เพื่อต่อยอดผู้นำแห่งทศวรรษใหม่ สามารถนำมาพัฒนาตนเอง องค์กร กฟผ. และประเทศชาติต่อไปครับ ผมขอชื่นชมที่ทุกท่านสนใจ และได้นำเสนอแนวคิดดี ๆ จากการส่งการบ้านมาที่ Blog ซึ่งจะเป็นคลังความรู้ของพวกเรา มีประโยชน์มาก และผมดีใจที่ความรู้ดี ๆ ในห้องเรียนของเราจะได้แบ่งปันสู่สังคมในวงที่กว้างขึ้น

และเพื่อให้การส่ง Blog ของพวกเราง่ายขึ้น ผมจึงขอเปิด Blog ใหม่สำหรับกิจกรรม ระยะที่ 4 กิจกรรมรักกาย – รักษ์ใจ & ผู้นำแห่งทศวรรษใหม่ ครับ

ศ.ดร.จีระ หงส์ลดารมภ์

ธรรมชาติบำบัดปรับชีวิต เปลี่ยนอาหาร หลักการแพทย์พอเพียง

นพ.บรรจบ ชุณหสวัสดิกุล

14 พฤษภาคม 2556

ศูนย์ธรรมชาติบำบัดบัลวี กรุงเทพฯ

วิธีคำนวณดัชนีมวลร่างกาย

BMI= นน.(กก.)/ส่วนสูง (ม.)2

-  เกิน 30 โรคอ้วน

-  มากกว่า 25 อ้วน

เลปติน เป็นฮอร์โมนที่ทำให้เรากินแล้วรู้สึกอิ่ม ทำให้ไม่อ้วน แต่คนที่อ้วนเพราะไขมันเยอะขึ้น ฮอร์โมนเลปตินเลยไม่สร้าง และมีโอกาสเป็นมะเร็งมากกว่าคนผอม

หากไขมันในพุงมาก ฮอร์โมนไม่มี มีโอกาสเสี่ยงเป็นโรค

-  หัวใจ

-  เบาหวาน

-  อาการวัยหมดประจำเดือนมาก

-  การกินฮอร์โมนเสริมมีอันตรายมาก ไม่ควรกินฮอร์โมน แต่ควรรักษารูปร่างให้ดี

คนอ้วน ทำให้ไขมันพอกตับ ข้อเข่าเสื่อม ทำให้เสียบุคลิก เหนื่อยง่าย เสี่ยงเป็นโรคหัวใจ

ลดน้ำหนักด้วยวิธีธรรมชาติ

1.  กินให้น้อย

2.  ออกกำลังกายเยอะ

ควรกินเนื้อ กินผัก

กิน เนื้อสัตว์ กินผักเส้นบุก

ไม่กิน ข้าว หรือ คาร์โบไฮเดต ไม่กินผลไม้ ไม่กินถั่ว/นม

อาหารห้ามกิน/อาหารให้กิน

ห้าม

-  ข้าว ก๋วยเตี๋ยว บะหมี วุ้นเส้น

-  ผลไม้ทุกชนิด น้ำผลไม้

-  นม นมเปรี้ยว โยเกิรต์

-  นมถั่วเหลือง ถั่ว ข้าวโพด

-  ไก่ชุบแป้งทอด น้ำจิ้มไก่

กิน

-  หมู ไก่ ปลา ไข่ เต้าหู้

-  ผัก

-  อาหารว่าง ชิ้นไก่ หมู จิ้มซีอิ้ว

การอดเพื่อสุขภาพ

การอดเพื่อสุขภาพเป็นวิธีหนึ่งในการขจัดของเสีย หรือล้างพิษ สามารถปฏิบัติได้ง่ายและสะดวกสบาย สามารถปฏิบัติได้ด้วยตนเองที่บ้าน ในปัจจุบันทางวิทยาศาสตร์ชีวภาพได้ค้นพบอนุมูลอิสระที่เป็นสาเหตุหลักของความเจ็บป่วยมากมาย การอดเพื่อสุขภาพนับเป็นวิธีหนึ่งที่มีประสิทธิภาพในการขจัดอนุมูลอิสระเหล่านี้

อดด้วยผลไม้อย่างเดียวทั้งวัน : มะละกอ ฝรั่ง แอปเปิ้ล แคนตาลูป ส้มโอ

กินชาฮูเอ่อ ทำให้ไม่อยากอาหาร

การล้างพิษ 1 วันทุก 2 สัปดาห์

ระดับ 1 การกินผลไม้ชนิดเดียวตลอดวันเพราะต้องการให้ระบบการย่อยได้พัก เพื่อให้ร่างกายฟื้นตัวเอง

วันเลิกอด ในวันต่อมา ดื่มน้ำผสมน้ำมะนาว ในตอนเช้าวิธีผสมน้ำมะนาวมีสูตรดังนี้ คือ ใช้น้ำ 2 ขวด ขวดละ 800 cc. บีบมะนาวขวดละ 2 ลูก ใส่เกลือทะเล ขวดละ 1 ช้อนชาครึ่ง ผสมแล้วดื่มให้หมดในตอนเช้า วันนั้น จะทำให้เกิดการถ่ายอุจจาระ

กิจกรรมระหว่างลดน้ำหนัก

1.  ออกกำลังกาย

2.  อบสมุนไพร

3.  นวดประคบ

4.  บริหารร่างกาย

ไขมันเลือดเหมาะสม

Chol/HDL <4.6

การสวนล้างลำไส้

ตับที่แข็งแรงและลำไส้ที่สะอาดเป็นสิ่งจำเป็นต่อการล้างพิษ ดังนั้นเราจึงควรที่จะทำความสะอาดลำไส้ วิธีการทำความสะอาดลำไส้มี 2 วิธี คือ

- การสวนลำไส้ใหญ่ระดับบนเน้นการสวนด้วยน้ำอุ่น

- การสวนล้างลำไส้ใหญ่ระดับกลางด้วยสารบางอย่าง เช่น กาแฟ หรือสมุนไพร

การสวนลำไส้จะต้องกระทำควบคู่ไปกับการกินอาหารที่เหมาะสมกับสุขภาพในแต่ละระยะการอด การออกกำลังกายที่ฝึกปราณอย่างเช่นชี่กงหรือโยคะ การทำสมาธิ เพื่อให้กระบวนการฟื้นฟูสุขภาพเป็นไปอย่างครบถ้วน

การรักษาโรค

-  หวัด

อาหาร อดล้างพิษ 1 วันด้วยผลไม้

การปฎิบัติ  นอนพักผ่อนมากๆ

วิตามิน  ซี

ฟ้าทะลายโจร 5 เม็ดลูกกลอน  ขมิ้นชัน

-  ภูมิแพ้

งด นมวัว งานวิจัยพบว่า นมวัวจะทำให้เป็นปัจจัยในการเกิดมะเร็ง หลีกเลี่ยงนมวัว ด้วยการกินอาหารไทย ปลาร้า กุ้งแห้ง

-  ตู้วิตามินสมุนไพรประจำบ้าน

C100

ฟ้าทะลายโจร

ขมิ้นชัน

รายงานโดย ทีมงานวิชาการ ChiraAcademy

วารีบำบัดอานุภาพแห่งน้ำ

พญ.ลลิตา ธีระสิริ

วารีบำบัด

14 พฤษภาคม 2556

ศูนย์ธรรมชาติบำบัดบัลวี กรุงเทพฯ

วารีบำบัด เป็นศาสตร์ที่สืบทอดมาจากยุคกรีกและโรมัน ได้แพร่ไปสู่ยุโรปภาคตะวันออก กลายเป็นการอบไอน้ำแบบรัสเซีย (Russian bath) และการอบซาวน่าแบบฟินแลนด์ (Finnish bath) มาภายหลังได้รับการพัฒนาเพื่อการบำบัดรักษาโรคโดย วินเซนต์ เพรียนสนิตช และ เซบัสเตียน คไนป์ ชาวเยอรมันเขียนตำราเกี่ยวกับวารีบำบัด ที่นิยมทำตามคือ การว่ายน้ำในน้ำเย็น

วารีบำบัดสร้างสมดุลของร่างกายโดยอาศัยความร้อนความเย็นของน้ำที่มากระทบผิวกาย คนเรามีพื้นที่ไฮโปทาลามัสคอยควบคุมอุณหภูมิของร่างกายให้เป็น 37 องศาเซลเซียสอยู่ตลอดเวลา เมื่อใดที่เราถูกความหนาวเย็น ร่างกายจะปกป้องตนเองโดยหดเส้นผิวกายเพื่อรักษาความร้อนไว้ และเพิ่มการทำงานของอวัยวะภายในเพื่อสร้างความร้อนเพิ่มขึ้น ทำให้กล้ามเนื้อสั่นกระตุก ทำให้หัวใจ ปอด ต่อมฮอร์โมนต่างๆ ทำงานเพิ่มขึ้นเพื่อผลิตความร้อนออกมา ในทางตรงกันข้ามถ้าเราเข้าไปอยู่ในที่ร้อน ไฮโปทาลามัสจะสั่งให้เส้นเลือดขยายตัว เพื่อระบายความร้อนออก สั่งให้หัวใจ ปอด ตับ กล้ามเนื้อ และต่อมฮอร์โมนทำงานน้อยลง เพื่อลดความร้อน เหตุนี้เองเราสามารถใช้ความร้อนเย็นของน้ำที่มากระทบผิวกาย ออกคำสั่งไปยังอวัยวะต่างๆ ให้ปรับการทำงานสู่สมดุล

เมื่อเราถูกความเย็นระยะแรก เส้นเลือดผิวกายหดตัว ผิวหนังซีด ขนลุก รู้สึกหนาว เจ็บสะท้าน ชีพจรเต้นเร็ว แต่เมื่อออกจากความเย็นระยะหนึ่ง จะเกิดปฎิกริยาตรงกันข้ามคือ เส้นเลือดขยายตัว ผิวหนังแดง หยุดขนลุก รู้สึกอุ่น และผ่อนคลายสบาย

เมื่อถูกความร้อนระยะแรก เส้นเลือดขยายตัว ผิวแดง ชีพจรเต้นช้า เหงื่อออก ประสาทตื่นตัว กล้ามเนื้อกระฉับกระเฉง แต่เมื่อถูกความร้อนนานๆ ระยะหนึ่ง จะเกิดผลคือ เส้นเลือดที่ขยายตัว จะขยายต่อไปจนเกิดอาการคั่งเลือด ชีพจรเต้นเร็ว เหงื่อไม่ออก เกิดกระวนกระวาย ประสาทอ่อนล้า ง่วงนอน ซึมเศร้า กล้ามเนื้อปวกเปียก อ่อนล้า และเงื่องหงอย

เราสามารถประยุกต์วารีบำบัดในชีวิตประจำวันได้คือ ถ้าจะอาบน้ำเพื่อความสดชื่น ให้ความเย็นแทนที่จะอาบน้ำร้อน เพราะถ้าอาบน้ำร้อนหรือแช่น้ำร้อนนานๆ จะมีผลทำให้เลือดคั่ง ประสาทอ่อนล้า กระวนกระวาย และง่วงเหงาซึมเซา ซึ่งเป็นผลสืบเนื่องของการถูกความร้อนนานๆ แต่อาบน้ำเย็นจะมีผลสืบเนื่องทำให้อบอุ่น สดชื่น และสบายตัว การอาบน้ำร้อนควรทำกรณีเดียวคือ เมื่ออาบน้ำแล้วเข้านอน เพราะผลของความร้อนจะทำให้นอนหลับ

ขณะเดียวกันการอบสมุนไพร หรืออบซาวน่า ซึ่งปัจจุบันเป็นสิ่งที่หาปฏิบัติได้ไม่ยากนัก ที่ถูกหลักจะต้องใช้การอบร้อนสลับเย็น เช่น อบซาวน่าให้อบร้อน 3 นาที แล้วลงบ่อในน้ำเย็น หรือรดน้ำฝักบัวน้ำเย็นสัก 2 นาที สลับกัน 3 รอบ ผลที่เกิดขึ้นจะเป็นการปรับสมดุลของอวัยวะภายในใหม่ ช่วยให้หัวใจ ปอด ตับ ไต ต่อมฮอร์โมน และภูมิต้านทานทำงานเป็นปกติ การอบร้อนสลับเย็นยังมีผลช่วยลดความอ้วนในทางอ้อม เพราะสาเหตุของความอ้วนมีปัจจัยหนึ่งคือ ระบบฮอร์โมนชนิดเสริมสร้าง ( Anabolic hormone) และฮอร์โมนชนิดสลาย ( Catabolic hormone) ทำงานไม่ได้สมดุลกัน เมื่ออบซาวน่าจะช่วยให้ฮอร์โมนทั้ง 2 กลุ่มนี้ปรับตัวทำงานเสียใหม่

การอบซาวน่าและสมุนไพรที่ถูกวิธีต้องอบร้อนสลับเย็นเสมอ โดยอบร้อน 3 นาที สลับเย็น 2 นาที จำนวน 3 รอบ ส่วนอบสมุนไพร 10 นาที อาบน้ำเย็นแล้วอบใหม่ 3 รอบเช่นเดียวกัน การอบร้อนอย่างเดียวเป็นเวลานาน ๆ เป็นอันตรายต่อร่างกายทำให้หน้ามืด เป็นลม หัวใจขาดเลือดหากอยู่นานเกินไปหมดสติ เป็นอันตรายต่อชีวิต

ผลของซาวน่า

1.  ในที่ร้อนเลือดจะออกไปที่ผิวหนัง ที่เย็นเลือดจะกลับเข้าสู่อวัยวะส่วนกลาง ทำให้อวัยวะภายในได้รับเลือดใหม่ไปเลี้ยงเป็นระยะๆ เป็นการลดการอักเสบ หรือโรคภายใน

2.  เป็นการบริหารอวัยวะภายในให้แข็งแรง

3.  ไขมันพอกตับ พอกไตจะหายไป

4.  ความร้อนเพิ่มประสิทธิภาพเม็ดเลือดขาว

5.  ให้ความรู้สึกสดชื่น ผ่อนคลาย

-  คนที่เป็นโรคหัวใจ เป็นโรคความดันสูง หรือต่ำมาก ผู้ที่มีร่างกายอ่อนเพลียมากไม่ควรเข้าห้องอบซาวน่า

ประสบการณ์ในการรักษา

ศูนย์ธรรมชาติบำบัดบัลวีในการทำวารีบำบัด มีประโยชน์มากในการเสริมภูมิต้านทานและปรับภูมิต้านทาน เช่นภูมิแพ้ หอบหืด ภูมิต้านทานไวเกิน เช่น SLE รูมาตอยด์ และมีประโยชน์อย่างยิ่งในการเสริมรักษาผู้ป่วยมะเร็ง

นอกจากนี้ประโยชน์ของการออกกำลังกายในน้ำหรือ ไฮโดรแอโรบิค จะเหมาะสำหรับผู้ที่มีน้ำหนักตัวมาก ปวดข้อ ปวดเข่า เพราะเมื่ออยู่ในน้ำจะมีแรงพยุงตัวทำให้น้ำหนักตัวลดลงประมาณ 30% ซึ่งจะไม่ทำให้เกิดอาการบาดเจ็บ ผู้ป่วยที่เป็นอัมพฤกษ์ อัมพาต จะใช้การฝังเข็มประกอบการเดินในน้ำ สตรีมีครรภ์ก็จะคลอดได้ง่ายขึ้น

ทั้งนี้ควรปฏิบัติร่วมกับวิธีการอื่น ๆ เช่น การฝังเข็ม การอดเพื่อสุขภาพ การฝึกจิตลดความเครียด การฝึกโยคะ ชี่กง แล้วแต่กรณี

อาบแสงตะวัน

อาบแสงตะวันเป็นศิลป์และศาสตร์ที่ตกทอดมากว่า 5000 ปี ของอายุรเวท เป็นอีกวิธีหนึ่งที่เสริมสร้างความอ่อนเยาว์แก่ร่างกายได้ เรารู้ว่าในแสงตะวันมีทั้งหมด 7 สี คือ ม่วง คราม น้ำเงิน เขียว เหลือง แสด แดง นั่นคือคลื่นแสงส่วนที่เรามองเห็นได้ด้วยตา ยังมีรังสีอื่น ๆ ที่ตาเรามองไม่เห็น แต่เกิดผลแก่ร่างกายได้ เช่น รังสีอัลตร้าไวโอเลต ซึ่งมีคลื่นความถี่สูงมาก มีอำนาจทะลุทะลวง ทำให้เกิดอันตรายกับเซลล์ของเรา ส่วนอีกรังสีหนึ่งคือ อินฟราเรด มีคลื่นความถี่ต่ำให้ความร้อนแรง ซึ่งก็ไม่เป็นประโยชน์แก่สุขภาพ เรารู้อีกว่า คลื่นแสงสีเขียว ซึ่งเป็นคลื่นตรงกลางเป็นคลื่นที่อำนวยความมีชีวากับเซลล์ร่างกายได้

ในระหว่างที่อาบแสงตะวัน แสงทั้ง 7 สีจะถูกใบตองสีเขียวกรองไว้ เหลือเพียงสีเขียวเท่านั้นที่ใบตองจะปล่อยให้ลอดลงกระทบผิวกายของเรา สีดังกล่าวเป็นสีที่จรรโลงชีวิต จะเกิดผลให้เซลล์ร่างกายทั้งหมดเกิดความกระปรี้กระเปร่า สดชื่น มีชีวิตชีวาเหงื่ออกทำให้รู้สึกสบายตัว

ประโยชน์ของการประคบร้อน เย็น

-  ปวดที่ไหน บวมที่ไหน ให้เริ่มประคบด้วยน้ำร้อน 3 นาที  และประคบด้วยน้ำเย็น 3 นาทีทำทั้งหมด 3 รอบ ยกเว้นการปวดศีรษะ ต้องใช้การนวด

การออกกำลังกายในน้ำ

-  แรงลอยตัวของน้ำทำให้ยกตัวเราขึ้นและช่วยลดน้ำหนักตัวได้ถึง 70%

-  เหมาะกับคนน้ำหนักตัวมาก

-  ผู้สูงอายุ

-  มีปัญหาทางสมอง

ประโยชน์ของการอาบน้ำแร่

-  ระบบกระดูกและข้อ : ข้อเสื่อม ข้อติด

-  ระบบกล้ามเนื้อ:ปวดกล้ามเนื้อ

-  ระบบผิวหนัง: ผื่นคัน เรื้อนกวาง สิว

-  ระบบไหลเวียน: มือเท้าเย็น เวียนศีรษะ ความดันเลือดต่ำ โรคหัวใจ

-  ระบบฮอร์โมน : ปวดประจำเดือน

 

รายงานโดยทีมงานวิชาการ chira academy

วิเคราะห์ประเด็นท้าทายสำหรับ กฟผ.

(วัฒนธรรมองค์กร/การสร้างมูลค่าเพิ่มให้องค์กรและลูกค้าและ Steak holder)

โดย   ศาสตราภิชานไกรฤทธิ์ บุณยเกียรติ

ผศ.ดร.พงษ์ชัย อธิคมรัตนกุล

ดำเนินรายการโดย ศ.ดร.จีระ หงส์ลดารมภ์

15 พฤษภาคม 2556

ศูนย์ฝึกอบรมบางปะกง

ศ.ดร.จีระ: การจัดการกับความไม่แน่นอน องค์กรเป็นsilo และเป็นวิศวกรเป็นส่วนใหญ่จึงต้องปรับไปตามสถานการณ์

ผศ.ดร.พงษ์ชัย: ขอมองกฟผ.ทั้ง 3 กลุ่ม คือ ผู้ใช้ไฟฟ้า ผู้เสียภาษี และ ผู้ลงทุน

เมื่อดูการผลิตไฟฟ้า ผลิต 46% มีการนำเข้ายังน้อยอยู่ ช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ในงาของการผลิต ต้องตั้งคำถามว่าใครโตมากกว่ากัน คำถามต่อไปคือ สัดส่วนในอนาคตเป็นอย่างไร

ในระยะยาว การผลิตของกฟผ.น่าจะลดลง กำลังการผลิต ปี 2555 10,000เมกกะวัตต์

เงินที่ลงไปใน egco มีเพียง 25%

การผลิตและซื้อพลังงานไฟฟ้า

กำลังการผลิต 46% การใช้ไฟ 44%

การใช้เชื้อเพลิงกฟผ.

-  น้ำ 4%

-  ก๊าซธรรมชาติ 67.56%

-  ลม 1.6%

การจำหน่ายไฟ

ส่วนใหญ่ขายให้ในประเทศ ส่วนมากคือ กฟน. รองลงมา คือ กฟภ  แต่ขายไฟให้ประเทศเพื่อนบ้านยังน้อยอยู่

กฟผ. มีบริษัทลูกคือ EGCO 25.4% โรงไฟฟ้าราชบุรี 45%

กฟผ.ต้องมีสัดส่วนการถือโรงไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น เพื่อเพิ่มศักยภาพการแข่งขัน

ศ.ดร.จีระ: ดร.พงษ์ชัยได้นำเอา ตัว Vทั้ง 2 ตัวมาใช้คือ Value added และเกิดvalue creation

ศาสตราภิชานไกรฤทธิ์: วิเคราะห์ประเด็นท้าทายสำหรับ กฟผ. กฟผ.มีวัฒนธรรมดั้งเดิมเป็นวิศวกรไฟฟ้า แต่ก็ได้มีการพัฒนาการ  การสร้างมูลค่าเพิ่มเพื่อองค์กรและผู้มีส่วนได้เสียมาโดยลำดับจากการเน้นสร้างเขื่อน และโรงงานผลิตไฟฟ้ามาเป็นการบริหารจัดการทรัพยากรพลังงานไฟฟ้าแบบครบวงจร ตั้งแต่พลังงานต้นน้ำ การผลิตไฟฟ้าทางเลือกต่าง ๆ ตลอดจนถึงการวางสายส่งระดับต่าง ๆ จนถึงการบริการร่วมกับการไฟฟ้าอื่น ๆ รวมทั้งผู้ผลิตภาคเอกชนมาโดยลำดับ

1. ประเด็นแรก Supply side ต้องให้ค่าไฟถูกที่สุด  คือมี cost advantage

2. มีสัญญาต่อลูกค้าปลายน้ำของกฟผ. ต้องผูกมัดให้นานที่สุด

กฟผ.ในอนาคตควรมีแผงโซล่าร์เซลล์

3. สายส่งสำคัญมาก ซึ่งอีก 10 ปีข้างหน้าอาจจะเป็น wireless

กำไรการไฟฟ้าในอนาคตมาจากสายส่ง

4. ต้องมี Source of fund เอง

- เข้าตลาดหุ้น เช่น ขายหุ้นกู้ ดอกเบี้ยเป็นศูนย์ ต้องลงทุนโดยเอาเงินจากตลาดหุ้น ได้เงินแล้วค่อยใช้หนี้

- ซื้อบิ๊กซี  เหมือนที่ CP ซื้อแมคโคร

5. ลงทุนกับธนาคารต่างประเทศ

6. เขื่อนสาละวิน

ประเด็นท้าทายของกฟผ.

1. เกี่ยวกับต้นทุนและการลงทุน ผู้รู้ส่วนใหญ่ทางด้านพลังงานและปรากฏการที่เป็นจริงได้แสดงชัดแจ้งว่า ยุคพลังงานราคาถูกได้ผ่านพ้นไปแล้ว อนาคตต่อจากนี้ไปพลเมืองของโลกจะต้องใช้ไฟราคาแพงอันเกิดจากต้นทุนการผลิต ถ้าพลังงานต้นน้ำและค่าใช้จ่ายในการนำส่งไฟถึงผู้บริโภค รวมทั้งการบริหารตลอดเส้นทาง Value Chain

ประเด็นท้าทาย กฟผ.ต้องมีผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินการลงทุนมากขึ้นในระดับนโยบายและหัวหน้าปฏิบัติการ และตัวแสวงหาโอกาสอย่างจริงจัง ในการร่วมมือด้านการเงินกับเพื่อนบ้านและภาคธุรกิจผู้ผลิตไฟฟ้า

2. ประเด็นวัตถุดิบต้นน้ำ กฟผ.ในอนาคตจะมีทางเลือกวัตถุดิบมากขึ้น แต่ก็มีข้อจำกัดในวัตถุดิบแต่ละตัว ที่ต้องการการวิจัยและพัฒนาเป็นตัว ๆ ไป เช่น การสร้างเขื่อนเพื่อผลิตไฟฟ้าพลังน้ำและโรงไฟฟ้าถ่านหิน จะต้องมีวิธีบริหารจัดการผู้ได้ผลกระทบทั้งระยะสั้นและระยะยาวอย่างมีสมรรถภาพสูง

ประเด็นท้าทาย มีโอกาสการทำงานวิจัยพัฒนาวัตถุดิบต้นน้ำร่วมมือกับมหาวิทยาลัยและประเทศเพื่อบ้านในอาเซียนและประเทศอื่น ๆ ที่จะเป็นแหล่งพลังงานต้นทางในอนาคตได้

3. มลภาวะและความหวั่นวิตกของคนพื้นที่ เรื่องนี้อยู่ที่การพัฒนาการประชาสัมพันธ์และผลกระทบบนพื้นฐานแห่งความเป็นจริง เพื่อการสื่อสารสาธารณะอย่างได้ผล

ประเด็นท้าทาย กฟผ.มีผลงานและต้นแบบที่ดีอยู่แล้วที่แม่เมาะและในท้องถิ่นอื่นที่มีการสร้างโรงไฟฟ้าใหม่ ๆ ทั้งนี้น่าจะได้หาโอกาสการพัฒนาผู้เชี่ยวชาญและชุดความรู้ในเรื่องนี้จนสามารถขายและแบ่งปันให้ประเทศในอาเซียนได้ในอนาคต

4. การทำนายปริมาณใช้ไฟได้ยากขึ้น ปรากฏการณ์ในไม่กี่ปีมานี้แสดงให้เห็นว่าการพยากรณ์การใช้ไฟทั้งด้านอุปสงค์และอุปทานมีความยุ่งยากขึ้น ในแง่อัตราการเจริญเติบโตและความต้องการอย่างฉับพลัน ทั้งตามฤดูกาลในระหว่างเดือนและในระหว่างวัน

ประเด็นท้าทาย กฟผ.ต้องมีวิธีพัฒนากลไกในการตอบสนองความต้องการฉับพลันและการขาดเชื้อเพลิงต้นน้ำฉับพลัน เช่น การปิดซ่อมบำรุงท่อแก๊ซของพม่าเมื่อเร็ว ๆ นี้ ดังนั้นภาคีผู้ผลิตและแนวร่วม ของทั้งเอกชนและเพื่อนบ้าน เพื่อรักษาขีดความสามารถการผลิตโดยองค์รวม ที่ตอบสนองอุปสงค์และการคาดเดายากได้อย่างทันการ

5. การผลิตไฟฟ้าทางเลือก นอกจากเป็นการสำรวจเพื่อได้ส่วนผสมของแหล่งผลิตไฟฟ้านานาชนิดแล้ว ยังเป็นการได้ความจริงสำหรับแผนเผื่ออีกด้วย

ประเด็นท้าทาย กฟผ.จะต้องมีข้อมูลและการเตรียมพร้อมเรื่องพลังงานทางเลือก ไว้ให้พร้อมรับมือทุกสถานการณ์โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พลังงานไฟฟ้าสะอาดตั้งแต่ ลม แสงแดด ความร้อนใต้ดินและโรงไฟฟ้านิวเคลีย ทั้งนี้โดยไม่มองข้ามแหล่งผลิตไฟฟ้าระดับชุมชน เช่น การผลิตไฟฟ้าจากเชิงชีวะภาพ เป็นต้น

6. การรับมือการแข่งขัน หน่วยการผลิตไฟฟ้าระดับต่าง ๆ เป็นทั้งคู่แข่งและภาคีร่วมผลิตของ กฟผ.เอง ดังนั้นจึงต้องมีกลยุทธ์กำหนดความสัมพันธ์ที่สมดุล

ประเด็นท้าทาย กฟผ.ควรเป็นตัวนำในการริเริ่มและส่งเสริมให้เกิดหน่วยผลิตไฟฟ้านานาชนิด ตั้งแต่ผลพลอยได้ที่บ้าน ที่โรงงานและจากโรงไฟฟ้าเอกชนทั้งในและนอกประเทศ โดยสามารถบริหารจัดการได้อย่างมีเอกภาพ

7. ปัญหาอุบัติเหตุและโจรภัย นับวันที่กฟผ.เจริญเติบโตขึ้นก็จะมีปัญหาเช่นนี้เกิดขึ้นเป็นเงาตามตัว ตั้งแต่การขโมยชิ้นส่วนและสายส่งไปขาย จนถึงระดับวินาศภัยและการก่อการร้าย

ประเด็นท้าทาย  ปัจจุบันกฟผ.มีการบริหารจัดการในเรื่องนี้ ในเชิงรับมือค่อนข้างดี แต่น่าจะได้มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันในระหว่างรัฐวิสาหกิจที่มีปัญหาคล้ายคลึงเชิงรุกมากขึ้น และในระหว่างประเทศเพื่อนบ้านที่มีประสบการณ์ ซึ่งในอนาคต กฟผ.สามารถเป็นศูนย์กลางรวบรวมประสบการณ์ด้านนี้เพื่อแบ่งปันและขายได้ด้วย

8. ประเด็นนโยบายภาครัฐและทิศทางเชิงยุทธศาสตร์ กฟผ.ควรมีการประมาณการสิ่งแวดล้อมภายนอก ทั้งทางด้านการเมือง เศรษฐกิจ สังคมและเทคโนโลยี ไปพร้อมกันกับทางหนีทีไล่หลาย ๆ ทางตั้งแต่ของบอร์ดขึ้นไปในแต่ละช่วงเวลาในอนาคต ทั้งนี้รวมทั้งการพร้อมเป็นผู้นำด้านธรรมาภิบาล เป็นต้น

ประเด็นท้าทาย  กฟผ.สามารถริเริ่มด้วยจัดการความรู้คือ การแลกเปลี่ยนและสะสมประสบการณ์ โดยร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงพลังงานและมหาวิทยาลัยที่มีการเรียนการสอนหรือจัดให้มีการเรียนการสอนเพื่อพัฒนาขีดความสามารถผู้นำการเปลี่ยนแปลงด้านการผลิตไฟฟ้า ให้ทันกับความต้องการของ กฟผ.

9. รูปแบบในการก้าวสู่ประชาคมอาเซียนและ AEC กฟผ.ในอนาคตอาจมีทางเลือก Business Models ที่ต่างกันกับปัจจุบันไปได้หลากหลายรูปแบบ เช่น จะเน้นผลิตไฟฟ้ามหภาคอย่างเดียวหรืจะรวมกันกับการไฟฟ้าอื่น ๆ ทางเลือกทางด้านการจัดจำหน่าย รวมทั้งการเข้าตลาดหลักทรัพย์ ร่วมทุนภาคีเครือข่ายในอาเซียน เพื่อให้เป็นเอกภาพและความทันสมัยขององค์กรเพื่อตอบสนองกับความต้องการไฟฟ้าชนิดต่าง ๆ ในอนาคต ซึ่งควรจะทำอย่างเร่งด่วน เพราะตอนนี้ทั้งสิงคโปร์และมาเลเซีย ก็ทำแล้ว

ประเด็นท้าทาย กฟผ.น่าจะได้มีการรวบรวม Models ต่าง ๆ ของหน่วยผลิตไฟฟ้าในส่วนต่าง ๆ ของโลกมาไว้เป็นทางเลือกและทิศทางเชิงยุทธศาสตร์ที่พร้อมลงมือดำเนินการ ให้เหมาะกับสิ่งแวดล้อมและความต้องการที่เปลี่ยนไป เช่น ASEAN Grid บริษัทร่วมผลิตไฟฟ้า ASEAN รวมทั้งกระบวนการทำธุรกิจสัมพันธ์กับสังคมในรูปแบบต่าง ๆ โดยเรียนรู้จากผู้มีประสบการณ์อยู่ก่อนแล้ว

10.โอกาสในการทำธุรกิจอื่นๆนอกจากการผลิตและการจัดจำหน่ายกระแสไฟฟ้าแล้วประสบการณ์ Know-how และทรัพยากรของ กฟผ.ยังสะสมไว้ไม่น้อย ในการลงทุนทำธุรกิจพลังงานอื่น ๆ

ประเด็นท้าทาย กฟผ.ยังมีโอกาสสร้างรายได้เสริมจากการจัดการพลังงานชนิดต่าง ๆ การจัดการน้ำและชลประทาน การทำธุรกิจด้านสื่อสารโทรคมนาคม โดยอาศัยสายส่งในเครือข่าย การให้เช่าสินทรัพย์และสิทธิในที่ดินตามแนวสายไฟแรงสูง เป็นต้น

ตัวอย่างที่เริ่มปรากฏเป็นโอกาสธุรกิจ ถนนและรถไฟความเร็วสูง ตลอดจนทรัพย์สินทางปัญญามากมายด้านบริหารจัดการองค์กรขนาดใหญ่ และการบริหารการลงทุน ตั้งแต่เริ่มต้นการศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการ จนถึงธุรกิจปลายน้ำต่าง ๆ ที่มีต้นแบบอยู่แล้วในประเทศที่มีการพัฒนาทางเศรษฐกิจสูงกว่าไทย ซึ่ง กฟผ.ไปศึกษาหาความรู้จนเป็นผู้นำการบริหารจัดการด้านนี้ได้เป็นอย่างดี

ศ.ดร.จีระ: ได้ประเด็นจากอ.พงษ์ชัย และอ.ไกรฤทธิ์หลายประเด็น  ข้อสรุปที่เกิดขึ้นในช่วงเช้า เป็นเรื่องที่ท้ายของรุ่น 9 ที่ต้องทำต่อ และต้องทำ Pre-planning รุ่น 10  เรื่องการเข้าตลาดหุ้นควรจะเข้าไปแบบutilize

วัฒนธรรมของกฟผ.ต้องยอมรับว่าแข้มแข็งมาก หลังจากวันนี้ลูกศิษย์กฟผ. 9 ต้องมองอนาคต

กฟผ.ควรเน้น ให้แต่ละคนมี sense of business ว่าการ utilize asset ทำอย่างไร  และทำอย่างไรให้ดึงศักยภาพของตัวเราออกมาให้ได้มากที่สุด

กฟผ.ยังมีปัญหากับการเข้าไปในชุมชน ต้องมีการทำโฆษณาเน้นสื่อด้วย

Entrepreneurship คืออะไรต้องทราบด้วย และเน้นเรื่อง Business acumen

กลุ่ม 4 EGATi  พม่า เขมร ลาว ยังเป็นโอกาสที่ดี ซึ่งต้องดูวัฒนธรรมด้วย เรื่องเงินใต้โต๊ะ เป็นจุดอ่อนที่กฟผ.ทำไม่ได้

อ.พงษ์ชัย:  ภาษีประชาชนหากได้เอามา ทำไมถึงเรียกตัวเองว่ารัฐวิสาหกิจ

สัญญา IPP ถึงจะผลิตหรือไม่ผลิตก็ต้องจ่ายเช่นกัน บริษัทเอกชนต้องเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้น

หากเทมาเซก ซื้อบริษัทราชบุรี หรือ egco ในสัดส่วนที่เราไม่ซื้อ ก็จะเข้าตลาดหลักทรัพย์อย่างง่ายดาย

การที่เข้าลงทุนในลาวช้า เห็นว่าองค์กรเราถึงแม้ตั้ง EGAT I ก็มีแต่โครงการศึกษา แต่ไม่ได้ดูในเชิงลึก ทำให้สู้ในภาคเอกชนไม่ได้ ต่างจากช การช่างที่ได้สิทธิ์จากทวาย

หากไม่มีเงิน แล้วไปขอรัฐบาลก็ทำไม่ได้

คุณพีรพล: กฟผ.เป็นผู้ผลิตอยู่ตลอด ขอแชร์เรื่องประเด็นต่างๆเรื่องที่อ.พงษ์ชัยพูดเรื่องข้อมูลผู้ใช้ไฟ ผู้ลงทุน ผู้เสียภาษี

1.  สิ่งต่างๆขอย้อนไปที่หน้าที่ของกฟผ. ซึ่งจัดหา ผลิต จำหน่ายไฟฟ้าให้กฟภ. กฟน. ซึ่งจริงๆแล้วกฟผ. ต้องเป็นผู้ผลิตเท่านั้น และมีเอกชน 50%  ต้องมองกลับไปที่รัฐบาลเช่นกันว่าทำไมให้สัดส่วนเท่านี้  เพราะฉะนั้นจริงๆอยากผลิต 100%แต่เราทำไม่ได้ หน้าที่จึงต้องจัดหาจากเอกชน ต่างประเทศด้วย

กฟผ.จะไปขายประเทศอื่นก็ลำบาก เพราะในประเทศก็ยังไม่พอใช้

2.  เรื่องเชื่อเพลิง พลังน้ำ แต่ไม่ได้ผลิตกระแสไฟฟ้าทั้งหมด เพราะเป็นเรื่องชลประทาน แต่ไฟฟ้าเป็นผลพลอยได้

3.  แสงอาทิตย์ ผลิตได้เฉพาะกลางวัน

4.  ชีวมวล ต่อต้านที่บ้านจาน เพชรบุรี

5.  ถ่านหิน ก็โดนคัดค้านที่กระบี่

6.  เรื่องแหล่งเงินทุน แต่ไม่เอื้อในด้านพรบ. EGATiอยู่ภายใต้รัฐวิสาหกิจ  ในภาคธุรกิจต้องเน้นความรวดเร็ว

-  กฟผ. ตั้งปี 12 รัฐบาลให้ 4หมื่นล้าน สิ่งที่ทำได้มีผลกำไร ก็ส่งไปรัฐบาล 45% กฟผ.ต้องมีการกู้เงิน แหล่งเงินที่ลงทุนไม่มีปัญหาแต่ติดหนี้สาธารณะ ถ้ามองเรื่องการลงทุนบริษัทต่างๆก็ไม่สามารถที่จะตั้งได้

-  รัฐบาลต้องคุม EGATiให้ลงทุนเฉพาะต่างประเทศเท่านั้น

อ.ไกรฤทธิ์: อยากให้ HR บ่มเพราะ General manager  และควรเป็น Strategic department และคนที่อยู่ต้องเป็น KM

Source of information กับประเทศลาว ต้องเข้าไปดูข้อมูลลึกทางรัฐบาลให้ได้ ต้องมี Lobby yeast  มากๆ ส่วนเรื่องเงิน EGAT ขาดเรื่องแหล่งเงินทุน

คุณสุวิทย์: ปัจจุบันโลกเปลี่ยนไป อดีตกฟผ.ยิ่งใหญ่มาก ปัจจุบัน ถูกควบคุมโดยสำนักงานเรื่องสายส่งต้องขออนุญาต regulator

-  การสร้างโรงไฟฟ้าก็ขึ้นอยู่กับนักการเมือง

-  นโยบายด้านเชื้อเพลิงไม่ถูกต้อง

-  การประมูลไฟฟ้ารอบใหม่ เป็นก๊าซหมด นำเข้า 40% และให้ regulator เป็นคนพิจารณา

-  เรื่องrenew  มีชาวบ้านร้องเรียน มีบรรษัทโซลาร์ฟาร์มซื้อที่ดินซื้อที่ล้อมชาวนา ทำให้ทำนาไม่ได้ เป็นที่ดินเก่า 300 ปี ซื้อ 2,000 ไร่ ขอให้บริษัททำทางให้ออก  แต่บริษัทบอกทำอะไรไม่ได้ ต้องเข้าที่ประชุม

อ.จีระ: Session นี้เป็นนวัตกรรมใหม่ของรุ่นที่ 9  เป็นโจทย์ที่สำคัญสำหรับทุกๆคน ต้องหาโอกาสที่จะเพิ่มประเด็น 2Vขึ้นมา เพื่อแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นมากมาย

กลุ่ม 6 การคิดนอกกรอบที่จะอยู่ในเกมส์รุก ขอคำแนะนำจากท่านวิทยากรในมุมของรัฐวิสาหกิจ

อ.ไกรฤทธิ์: หลังเกษียณอายุมาทำ NGO พบว่า อย่างแรกคือ วัฒนธรรมของ NGO สอง คือ บุคลิกขององค์กรต่างกัน

สิ่งแรกคือ ต้องศึกษาวัฒนธรรม ต่อมา คือ ต้องcommand&control

ในอนาคต EGATไม่สามารถทำนายได้ ต้องทำไปและปรับตัวไปด้วย ต้องเชื่อมั่นในเรื่องของการพัฒนาตัวเอง

สุดท้าย ทัศนคติของวงการราชการคือ ไม่มีงบคิดไม่ออก แต่ NGO ไอเดียดึงเงิน

โครงสร้างขององค์กร economies of scale แต่ NGO เป็นeconomies of scope

อ.พงษ์ชัย: องค์กรที่ไม่มีเจ้าของ ไม่มีคนสนใจกระทรวงการคลังเรียกว่าเป็นกระทรวงชั้นเลวร้าย เช่น องค์การพัสดุ เพราะmarket share สู้ของเอกชนไม่ได้

กรณีศึกษาไปรษณีย์ไทย ธุรกิจโทรเลข กระทรวงคมนาคมไม่เอา กลายเป็นธุรกิจที่ไม่มีใครอยากได้

ธุรกิจของโรงงานยาสูบ มีชาวไร่เป็นแสนครอบครัว แต่นึกไม่ออกว่ากฟผ.มี Stakeholderเป็นคนระดับรากหญ้ามากน้อยเพียงใด

เขื่อน ต้องใช้นวัตกรรมที่ใช้ผิวน้ำเพื่อวางแผงโซลาร์เซลล์ ซึ่งเป็นวิธีการคิดนอกกรอบ

กลุ่ม 3 เรื่องกาทำโซล่าร์เซลล์ ระยะการคืนทุนตก 8-10 ปี แต่อายุตัวเซลล์ใช้ได้ถึง 25 ปี ซึ่งถือว่าเป็นการลงทุนที่คุ้มมาก  ส่วนหนึ่งจะได้เรื่องคาร์บอนเครดิตด้วย

กลุ่ม 6 ถ้าได้ Adder การไฟฟ้าก็ควรจะทำ แต่โซลาร์เซลล์ผลิตที่จีน กระบวนการที่ได้ต้องจัดการเรื่องสิ่งแวดล้อมสูง  เพราะสิ่งที่ออกมาจะเป็นพวกซิลิกา ถ้าจะทำจริงๆ ต้องมีเรื่องการจัดการเรื่องมลภาวะสูง

กลุ่ม 5 คุณสุทธิชัย  เคยอยู่ที่เขื่อนภูมิพล พื้นที่ในอ่างเก็บน้ำ เคยคิดที่จะทำธุรกิจโซลาร์ และคิดอีกหลายๆโครงการ เช่น เรื่องสนามบินน้ำ พื้นที่เหนือเขื่อนทำหลุมฝังศพชาวสิงคโปร์ แต่กรรมสิทธ์ที่กฟผ.ดูแลคือ พื้นที่รอบอ่าง เพราะพื้นที่รอบๆส่วนใหญ่เป็นอุทยาน ซึ่งเป็นของกรมป่าไม้ ล่าสุดเขื่อนศรีนครินทร์ คิดเรื่องร้านอาหารสนามกอล์ฟ แต่ตอนหลังติดเรื่องพรบ. แต่กรรมการกฟผ.ท่านใหม่คิดปรับปรุงที่พักร้านอาการสนามกอล์ฟ เริ่มปี 2557-2558

ศ.ดร.จีระ: การขึ้นไปเป็นผู้นำต้องบริหารกฎระเบียบให้ได้ และที่อันตรายที่สุดคือ กฎการเงิน

กลุ่ม 2: ทำอย่างไรให้องค์กรเป็นองค์กรชั้นเลิศที่ทำทุกอย่างแล้วมีประโยชน์ และบางครั้งต้องทำนอกกรอบ ที่ทำเพื่อประโยชน์ส่วนรวมไม่ใช่ส่วนตน

ศ.ดร.จีระ: โลกมีการเปลี่ยนแปลง เป้าหมายต้องชัดเจนถึงจะอยู่รอด

อ.ไกรฤทธิ์:

1. ลองDefine ผู้นำในอนาคตของ EGAT อีก 10 ปีข้างหน้า

2.ลอง define คำว่า heroes ว่าจะเอาใครเป็นต้นแบบในแต่ละแผนก

3. ขอให้มีวันสำคัญของ EGAT ที่จะมาแลกเปลี่ยนถึงความดีซึ่งกันและกัน

ศ.ดร.จีระ:Leader ต้องproduce future leader  และต้องจัดการกับสิ่งที่คาดไม่ถึง

หัวข้อ กฟผ.กับการก้าวสู่ประชาคมอาเซียนและประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC)

โดย   ศาสตราภิชานไกรฤทธิ์ บุณยเกียรติ

ผศ.ดร.พงษ์ชัย อธิคมรัตนกุล

ดำเนินรายการโดย ศ.ดร.จีระ หงส์ลดารมภ์

15 พฤษภาคม 2556

อ.พงษ์ชัย: เปิดเสรีอาเซียนวันที่ 31 ธันวาคม 2558

ปัจจัยสำคัญของศรษฐกิจโลก เศรษฐกิจไทยที่สำคัญในปัจจุบันและอนาคต

- ภาวะโลกร้อน

- วิกฤติพลังงาน

- ประชาคมอาเซียน  มี 3 เสา เรื่องเศรษฐกิจ วัฒนธรรม และเรื่องความมั่นคงทางทหาร

- ขาดแคลนทรัพยากร

Toll logistics เป็นบริษัทออสเตรเลีย แต่ Take over มาจากสิงคโปร์

อาเซียน แบ่งเป็นอาเซียนบก คือ ไทย และทะเล  คือ ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย อินโด

ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน C L M V เป็นประเทศที่เพิ่งจะพัฒนาอุตสาหกรรม ส่วนประเทศไทย อินโด ฟิลิปปินส์ ถือเป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว

ประเทศที่ค่าแรงถูก คือ เวียดนาม

เป้าหมาย AEC

1.  เปิดเสรีการลงทุน

2.  เปิดเสรีการค้าสินค้า

3.  เปิดเสรีการค้าบริการ

4.  การเคลื่อนย้ายแรงงานฝีมือ

5.  เปิดเสรีการเคลื่อนย้ายเงินทุน

กฟผ.กับอาเซียน

1.  เรื่องเชื้อเพลิง ลม น้ำ ชีวมวล น้ำมัน แสงอาทิตย์

2.  พม่า อินโด ลาว กัมพูชา ออสเตรเลีย

3.  CP all กับ แมคโคร ใครได้ประโยชน์  CPF ได้ประโยชน์ในการกระจายสินค้า

4.  จุดแข็ง คือ

-   ทำเลที่ตั้ง ไทยได้เปรียบมาก เพราะอยู่ตรงบก

-  สายส่ง

-  ความสามารถในการผลิตเอทานอล และไบโอดีเซล

อ.ไกรฤทธิ์: ต้องทำให้ EGAT มีpower need of modern people ของอาเซียน

1. single window ต้องเอาแนวร่วมทั้งไทยและต่างประเทศมาทั้งหมด รวมทั้งปตท. และแหล่งต้นน้ำด้วย

2. good school of project  management  ใครที่อยู่ในอาเซียนมาเรียนก็ได้

3. ให้ยืมผู้จัดการ หรือ Export คน ออกไปอาเซียน

4. เลือกประเทศชายแดน ที่เราจะขายและพึ่งพาเขาได้

5. ต้องเป็น Good host ไม่ต้องคิดเงินกับพวก VIP ที่มาเมืองไทย  เพื่อสร้าง trust ให้เกิดในอาเซียน และในประเทศไทยด้วยกัน

- แบ่งปันไฟ

- เป็นลูกค้า

อยากทราบว่าใน EGAT มีการเตรียมการเรื่อง AEC หรือยังไม่มีอย่างไรบ้าง

คุณราณี: เรื่องความรู้ ความเชี่ยวชาญในเรื่องถ่านหินจากประเทศออสเตรเลีย

คุณภูวดา: เรื่องอาเซียน EGAT มีบริษัทเครือมาก แต่ในอดีตบริษัทลูกแย่งงานกันเอง ถ้าเรารู้ว่าปี 2558 จะเปิดอาเซียน กฟผ.ต้องดูว่า จะแบ่งกันอย่างไร

บริษัท EGCO ก็มีบริษัทลูกอีกเช่นกัน เพราะฉะนั้นต้องแบ่งทุกอย่างให้ลงตัว

คุณมานิจย์: เห็นด้วยเรี่องtrust ที่ต้องสร้างให้เกิดในอาเซียน

อ.จีระ: เรื่องสร้างtrust EGAT ต้องใช้ผู้ที่มีประสบการณ์  แต่ประเทศไทยล้มเหลวในการที่ดูประสบการณ์จากประเทศที่เคยทำมา

ต้องมอง ASEAN ให้เป็น Holistic และต้องอ่าน ASEAN Blueprint เรื่องพลังงานให้ดี

คัดลอกจาก http://www.gotoknow.org/posts/535872

 

ยุคเมืองใหญ่

พิมพ์ PDF

บทความเรื่อง The Rise of the Cosmopolis เขียนโดย Philip Delves Broughton ใน นสพ. The Wall Street Journal ฉบับวันที่ ๑๕ - ๑๗ มี.ค. ๕๖ วิจารณ์ หนังสือ A History of Future Cities เขียนโดย Daniel Brook  บอกว่า ในอนาคต โลกจะเป็นเครือข่ายของเมืองใหญ่  ไม่ใช่เป็นประเทศอีกต่อไป

เขายกเรื่องของเมืองใหญ่ ๔ เมือง  ไล่มาตั้งแต่ประวัติการตั้งเมือง  ได้แก่ St. Petersburgh, Mumbai, Shanghai และ Dubai  ซึ่งก็ตรงกับชื่อหนังสือ

ผมอดเถียงไม่ได้ว่า เมืองใหญ่มันซ่อนอะไรไว้ข้างในบ้าง  ถ้ามีคนเขียนเรื่องเมืองใหญ่ให้ครบด้าน  มองจากหลายมุม  โดยเฉพาะอย่างยิ่งมองจากมุมของคนที่อยู่ในเมืองใหญ่ในฐานะต่างๆ กัน  เราจะเห็นภาพที่ต่างออกไป  เราจะเห็นภาพเมืองใหญ่บางเมืองที่เต็มไปด้วยความเหลื่อมล้ำ กับเมืองใหญ่บางเมืองที่ผู้คนอยู่กันอย่างมีความเท่าเทียมสูง (ผมไม่คิดว่าจะเท่าเทียมกันจริงๆ  แต่น่าจะมีเมืองใหญ่ตัวอย่าง ที่คนรวยกับคนจนมีความเป็นอยู่ไม่ต่างกันมาก)  หากเอามาเขียนเล่าว่าทำไมจึงเกิดเมืองใหญ่ที่ชีวิตผู้คนมีความเหลื่อมล้ำไม่มาก เช่นนั้นได้  ก็น่าจะเข้าใจเมืองใหญ่รอบด้านขึ้น

ไม่ว่าเรื่องอะไร ต้องมองให้เห็นชีวิตของผู้คน

 

 

วิจารณ์ พานิช

๑๗ มี.ค. ๕๖

บนเครื่องบิน สายการบิน เอเอ็นเอ จาก โตเกียว กลับกรุงเทพ

คัดลอกจาก http://www.gotoknow.org/posts/535892

 

จัดกระเป๋าเข้าวัดป่า

พิมพ์ PDF

ขอนำบทความของอาจารย์แพรภัทร ยอดแก้ว มาเผยแพร่ บทความชุดนี้แบ่งเป็น 3 ตอน ได้แก่ จัดกระเป๋าเข้าวัดป่า - พาเพื่อนไปเข้าคอร์ส และ เพื่อนสนิทที่ชื่อว่ามาร โปรดติดตามอ่านได้เลยครับ

จัดกระเป๋าเข้าวัดป่า

เตรียมตัว เตรียมใจ เก็บกระเป๋าไปวัด เพื่อนๆที่สนใจจะไปปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานหรือบวชเนกขัมมะที่วัดป่าเจริญราชแห่งนี้ ทั้งเพื่อนๆที่เคยไปที่อื่นแล้ว หรือไม่เคยไปที่ไหนมาก่อนเลย และอยากเริ่มต้นที่นี่ เรามีคำแนะนำจากประสบการณ์จริงมาบอกเพื่อนๆ สำหรับเตรียมตัว เตรียมใจ ตั้งสติ ก่อนสตาร์ท ก่อนไปบวชที่วัดป่าเจริญราช มันเป็นอุปกรณ์ส่วนตัวที่สำคัญๆ ที่จะทำให้เพื่อนสามารถปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานได้อย่างมีความสุข (คือ มีทุกข์น้อยๆ) อดทนจนถึงวันที่เพื่อนๆกำหนดกลับได้ เป็นอุปกรณ์ส่วนตัวที่เพื่อนๆ ต้องเตรียมมาเอง ลงทุนเอง (แต่ไม่มีก็ได้นะ ก็ทนลำบากนิดหน่อยเท่านั้นค่ะ) ไปอยู่วัดยังไงไม่สะดวก สบายเหมือนอยู่บ้านอยู่แล้ว เราเตรียมตัวให้มากจะได้ไม่ทุกข์มาก จะได้ตั้งใจปฏิบัติกรรมฐานได้อย่างเต็มที่  สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่เพื่อนๆ ต้องเตรียมตัวมาเอง เราขอแนะนำเพิ่มเติมจากที่ทางวัดเขียนไว้ในเว็ปไซต์วัด http://www.veeranon.com คือ

1.  ชุดขาว เสื้อ กางเกง ผ้าถุง สไบ ที่วัดมีให้ใช้ก็จริงค่ะ  แต่จะดีกว่าไหมค่ะ  ถ้าเราจะเตรียมไปเอง เพราะตามหลักสุขอนามัยแล้วเราไม่ควรใส่เสื้อผ้าร่วมกับผู้อื่นนะคะ  ซึ่งเราจะได้ชุดที่เหมาะกับสัดส่วนเรา เอาไว้ใช้ได้ตลอดไป หาซื้อเตรียมไปเถอะค่ะ ใช้แล้วคุ้มแน่นอน เราขอแนะนำให้ซื้อชุดขาว ยี่ห้อ "รัตนาภรณ์" ค่ะ ผ้าดี ผ้าหนา ใส่สบาย กระเป๋าเสื้อ กางเกงมีซิปให้ด้วย จะได้ใส่ของได้ไม่หล่นหาย ควรซื้อไว้สัก 3 ชุดนะคะ ไปซื้อได้ที่สำเพ็งค่ะ จะได้ในราคาส่ง ชุดละ 160 บาท เท่านั้น (ถูกมาก) ใส่สบายมากๆ  แล้วเพื่อนๆจะติดใจเหมือนเรา

2. ถุงนอน อันนี้เป็นความคิดของเรานะ เราใช้ถุงนอนปูนอนและกันยุงค่ะ ทำไมต้องทนทรมานนอนเสื่อหรือนอนพื้นเย็นๆด้วย แค่ทนทุกข์ทรมานเวลาปฏิบัติธรรมก็พอแล้วค่ะ ไม่จำเป็นต้องนอนทรมานอีก ใครที่คิดจะใช้ผ้าห่มวัดปูนอน ขอบอกว่า  “อย่านะคะ” เพราะเจ้าหน้าที่เค้าเขียนติดป้ายไว้ตัวเบ้อเร้อว่า “ใช้ผ้าห่มวัดปูนอน... บาป” 55 แบกขนของเราไปสบายใจกว่าค่ะ เวลานอนก็นอนในถุงนอนแล้วรูดซิป ร้อนหน่อยก็ทนเอาแล้วเปิดพัดลมแรงๆไล่ยุงไป คลายความร้อนด้วย ก็อยู่รอดมาได้ โดยไม่ลาสิกขากลับบ้านก่อนกำหนด โดนยุงเสี่ยงตาย (จากการถูกดูดเข้าไปในพัดลม) กัดบ้างเล็กน้อย แต่ก็ถือว่า ดีกว่าต้องทนทรมานให้ยุงมันกัด แล้วนอนไม่ได้ หรือตบมันให้ตายไปเลย ผิดศีลข้อ 1 แน่นอนค่ะ และถุงนอนก็เหมาะที่จะใช้นอนที่ไหนก็ได้ ไม่ว่าเพื่อนจะกางมุ้งนอนที่ศาลาปฏิบัติธรรม หรือนอนในกุฏิติดมุ้งลวด (ที่กันยุงไม่ค่อยได้เลย) ใช้ได้สะดวกทุกที่ และสะอาด ปลอดภัยกว่าการใช้อุปกรณ์การนอนร่วมกับผู้อื่น (ตามหลักสุขอนามัยนะคะ)

3. หมอน ผ้าห่ม เอาไว้กันหนาวและกันยุงด้วย โดยเฉพาะหน้าฝนกับหน้าหนาวนะคะ จำเป็นมาก เพื่อความอบอุ่นสะดวก สบาย สะอาดของเรา บางคนที่ติดหมอน ติดผ้าห่มของตัวเองก็ขนมา ขนกลับเอง จริงๆแล้วที่วัดป่าเจริญราช มีหมอน ผ้าห่มให้นะคะ แต่ไม่ดีเท่าของเพื่อนๆเองค่ะ อุปกรณ์อันนี้ไม่จำเป็นเท่าไร ไม่ต้องหอบหิ้วไปให้หนักก็ได้ แต่มีไว้เพื่อความสบายใจส่วนตัวค่ะ สำหรับเราถุงนอนกับหมอนข้างก็พอแล้วค่ะ เอาอยู่ (ที่เอาหมอนข้างไปด้วยพอเราภาวนาหนักๆ จะปวด เมื่อยไปทั้งตัวค่ะ นอนไม่หลับเลย ได้หมอนข้างช่วยวางขาก็ดีขึ้นเยอะค่ะ หลับได้)

4. กระติกน้ำหรือขวดน้ำเล็กๆ สำหรับติดตัวค่ะ (สำคัญนะคะ) ไม่ว่าจะไปปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานที่ไหน เอาไว้ข้างตัวนะคะ เพราะการปฏิบัติที่ถูกต้องจะทำให้เพื่อนๆรู้สึกร้อน (ร่าง กายปรับความสมดุลของธาตุต่างๆ) เหนื่อย (เพราะต้องใช้ความอดทน พยายามต่อสู้กับทุกขเวทนาอย่างหนัก) การดื่มน้ำ จะช่วยบรรเทาทุกข์ได้และทำให้ร่างกายสดชื่น (แก้ง่วง) ช่วยให้สุขภาพแข็งแรงด้วย เพื่อนๆควรเตรียมน้ำไว้ดื่มเยอะๆนะคะ หรือจะเอาขวดน้ำใส่ยากลางลานที่หลวงพ่อเสกยาไว้ให้แล้ว เอาไปดื่มแทนน้ำได้ค่ะ นอกจากจะช่วยบำรุงรักษาร่างกาย แก้เมื่อยแล้ว ยังช่วยแก้ง่วงได้ดี ขมชื่นใจสุดๆ หายง่วงสุดๆค่ะ ยามันจะชุ่มคอและรู้สึกหวานในคอตลอดการภาวนาค่ะ หรือถ้าจะให้ดี ซื้อน้ำดื่มมาทำบุญด้วยนะคะ เพราะน้ำส่วนใหญ่ที่เราดื่มกัน เป็นน้ำจากผู้ใจบุญนำมาถวายพระค่ะ

5. ของใช้ส่วนตัว เช่น แปรงสีฟัน ยาสีฟัน สบู่ ยาสระผม ผงซักฟอก ผ้าเช็ดตัว ที่เพื่อนๆใช้อยู่เป็นประจำ เพื่อนๆควรจะมีตะกร้าหรือขันส่วนตัวไว้ใส่ของเหล่านี้เดินไปอาบน้ำด้วย อย่าใส่ถุงก๊อบแก๊บมาเลยค่ะ เพราะมันเสียงดังน่ารำคาญ รบกวนสมาธิของผู้อื่น เพื่อความสะดวกในการจัดเก็บ และเพื่อนๆควรจะนำชุดขาวไปเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้องน้ำด้วย เพราะนี่เขตวัด เพื่อนๆ (โดยเฉพาะผู้หญิง) ต้องไม่นุ่งกระโจมอกออกมานะคะ ของใช้ส่วนตัวที่จำเป็นมากๆ (สำหรับ ผู้หญิง) คือ ผ้าอนามัย ค่ะ เตรียมไปเผื่อนะคะ อาจเป็นวันนั้นของเดือนได้ ที่วัดไม่มีเตรียมไว้ให้นะคะ วัดอยู่ไกลจากร้านค้าและชุมชนมาก การเดินทางก็ไม่สะดวก อะไรที่เตรียมไปได้เตรียมไว้เลยนะคะ ไม่งั้นเพื่อนๆลำบากแน่นอนค่ะ

6.  นม น้ำผลไม้หรือเครื่องดื่มต่างๆ เป็นน้ำปานะค่ะ คือ น้ำที่ผู้ถือศีล 8 ดื่มได้ โดยไม่มีสิ่งที่เป็นก้อนเป็นชิ้นสำหรับเคี้ยวเจือปนอยู่ เอาไว้ทานตอนเย็นกับตอนกลางคืนแก้หิวได้ค่ะ ที่วัดป่าเจริญราชมีนมกล่องแจกให้ค่ะ แต่ได้คนละกล่อง นมของที่วัดมีเพื่อนๆก็จะเลือกทานไม่ได้ด้วย อาจจะไม่ใช่รสชาติแบบที่เพื่อนๆกินได้หรือคุ้นเคย เพราะนมกล่องจะมีก็ต่อเมื่อมีผู้ใส่บาตรหรือเอามาถวายพระ  ทางที่ดีเตรียมไปเองดีกว่าค่ะ จะได้ไม่อด ใครชอบดื่มอะไร ชอบดื่มแบบไหน เอาไปเลยค่ะ ขนเอาไปเผื่อเพื่อนด้วยก็ดีค่ะ ถ้าใครมีเยอะก็เอาใส่บาตรถวายพระด้วยนะคะ ได้บุญดีค่ะ

7. มุ้งหรือ เต็นท์นอนเล็กๆ แบบพับเก็บได้ง่ายนะคะ อันนี้ไม่จำเป็นต้องเอามาค่ะ ถ้าทนยุงได้ อย่าคิดว่าเว่อร์ไปหรือเปล่านะคะ  สำหรับคนที่ตั้งใจมาปฏิบัติธรรม แต่ไม่อยากเผชิญกับยุงเจ้าที่ในเวลานอน (ซึ่งมีเวลานอนไม่กี่ชั่วโมง) เต็นท์นอนหรือมุ้งก็จำเป็นค่ะ ค่าใช้จ่ายสูงหน่อย แต่ดีมีประโยชน์ ใช้ได้หลายครั้ง เมื่อลงทุนครั้งแรกแล้ว ทำให้เรานอนหลับสบายและอยากมาปฏิบัติธรรมอีกในครั้งต่อไป  เพื่อนๆ รู้ไหมค่ะ กางมุ้งบางทีก็เอาไม่อยู่ค่ะ  ที่วัดมีมุ้งลวดแต่คนเดินผ่านไปมาน่ะ ทั้งคืน ยากันยุง มุ้งลวด เอาไม่อยู่ค่ะ ยิ่งคนที่แพ้ยุง แมลงสัตว์กัดต่อยนะคะ  จำเป็นต้องมีค่ะ มีมุ้งของตนเองก็ลำบากน้อยลงค่ะ เราก็เข้าใจนะคะความรู้สึกของคนอยากเรียนรู้ อยากปฏิบัติธรรม แต่ไม่อยากลำบากกายแบบนอนไม่หลับ เพราะยุงกัดเหลือเกินและลำบากใจด้วย จะตบยุงก็กระไรอยู่ เพราะผิดศีลตบยุง(ตายคามือ) เฮ้อ! ที่วัดบางทีก็มีคนนำเต็นท์มานะคะ ใช้ที่ศาลาปฏิบัติธรรมค่ะ เสร็จแล้วก็พับเก็บเรียบร้อยค่ะ  ถ้าไม่มีนะคะ  ก็ลำบากหน่อยค่ะ กันไว้ดีกว่าแก้นะคะ ผู้ชายนอนที่ชั้น 3 ผู้หญิงนอนที่ชั้น 1 ของศาลาปฏิบัติธรรม มีมุ้งลวด พอจะกันยุงได้ ไม่ลำบากเหมือนเมื่อก่อนแล้วค่ะ  ไม่ต้องกลัว สบายๆ

8. ครีมทากันยุง ที่ทำมาจากสมุนไพร เช่น พวกตะไคร้หอม หรือตะไคร้ภูเขา (น่าจะมีขายที่ม.มหิดล)ได้ยิ่งดี ปลอดภัย ใกล้ชิดธรรมชาติ ถ้าไม่มีก็เอาครีมทากันยุงที่ขายทั่วไปก็ได้ค่ะ แค่มีสารเคมีมากหน่อยเท่านั้นเอง ไม่แนะนำยากันยุงเพราะจะเป็นการฆ่าสัตว์ ผิดศีลข้อ 1 เนื่องจากที่วัดป่าเจริญฯ ยุงเยอะมาก ๆ  เพราะ พื้นที่วัดล้อมรอบไปด้วยน้ำและป่า ยุงมีหลายพันธุ์ (เราเรียกมันว่า ยุงเจ้าที่) กัดจริง เจ็บจริง คันจริงๆ เป็นยุงที่สามารถกัดและดูดเลือดเรา จนตัวเองอิ่มจนตายไปเลย (มันไม่กินไม่รู้จักพอ) ทำให้เพื่อนๆที่ไม่ชอบยุง อาจจะเกลียดและกลัวยุงไปเลยก็ได้ และยุงนี่แหละ จะมาทดสอบศีลของเราอย่างมาก ตั้งแต่วันแรกและวันสุดท้าย เพื่อนๆต้องทำใจอยู่กับมันและเป็นเพื่อนกับมันให้ได้ แม้แต่คิดหรือเจตนาจะตบมันหรืออยากจะฆ่ามันก็บาปแล้วค่ะเพื่อนๆ ไม่ต้องตบให้ตายก่อนก็บาปได้  ดังนั้น เพื่อนๆต้องแผ่เมตตาให้มันมากๆและอุทิศบุญกุศลให้มันด้วย เพราะมันอาจจะเป็นเจ้ากรรมนายเวรของเพื่อนๆมาก่อนก็ได้ค่ะ (ใครจะไปรู้) ไม่อยากจะบอกเลยค่ะ  เราเจอเข้ากับกองทัพยุงวันแรก  อยากจะลาสิกขากลับบ้านเลยค่ะ ไม่ทนแล้ว ไม่บวชแล้ว จิตตกไปเลย ยุงที่นี่เยอะจริงๆ  ร้ายจริงๆ

9. แซมบัค สำคัญมากๆจริงๆค่ะ ควรมีติดตัวไปค่ะ  เคยใช้ไหมค่ะเพื่อนๆ เอาไว้ทาผิวเมื่อพวกแมลง สัตว์ กัด ต่อย ถ้าไม่มีลองไปบูชาที่คอนโดในวัดนะคะ อาจจะมีก็ได้ เรารับรองว่าได้ใช้แน่ๆค่ะ..55.. ไม่ต้องห่วง ไม่มีใครที่ไม่โดนยุงกัด มดกัด เมื่อมาอยู่วัด ทาแซมบัคแล้วตุ่มเม็ดต่างๆจะยุบลงภายในวันสองวันก็จะหาย  ทาแล้วไม่แสบไม่คันด้วยค่ะ เวลาลาสิกขาแล้วกลับบ้านจะได้ไม่ตกใจค่ะ ว่าทำไมตัวเราลายไปทั้งตัว

10. ครีมทาสิว ไม่ใช่เครื่องสำอางค์นะคะ แต่เป็นยาสำหรับผิวหนังในลักษณะครีมหรือเจล แต้มสิวให้สิวยุบ สิวเกิดขึ้นได้ อาจจะเป็นเพราะอากาศแบบป่าๆ หรือน้ำที่ใช้อาบซึ่งเป็นน้ำบาดาลค่ะ  ทำให้เพื่อนๆอาจจะแพ้ได้ง่ายๆ หรือความเครียดจาการบังคับตัวบังคับใจตัวเองให้มาบวชและต้องทนอยู่ให้มัน อยู่ทนได้ตลอดระยะเวลาที่ตั้งใจไว้ และสำหรับเพื่อนๆที่ยังอยู่ในวัยหนุ่มสาว เอาไว้ทา เอาไว้รักษาผิวหน้า เพื่อความสบายใจที่มาวัดแล้วกลับบ้านไปหน้าไม่พังเพราะเราบีบสิว อย่าหัวเราะนะคะ  ใครว่ายาทาสิวไม่สำคัญ  เพราะถ้าสิวขึ้นเยอะ แล้วเราแกะมันเข้า หน้าเราพัง  เราก็จะโทษหรืออ้างได้ว่าเป็นเพราะไปบวชที่วัดนี่แหละ แล้วก็พาลไม่ไปบวชอีก  ดังนั้น อย่าโยนความผิดให้วัดหรือการบวชนะคะ  เดี๋ยว เพื่อนๆจะบาปเปล่าๆ นอกจากนั้น ครีมทาสิวจะช่วยให้เพื่อนๆไม่ต้องทุกข์ จากการทนเจ็บ ทนปวดเมื่อสิวอักเสบ (แค่ทนทุกข์เวทนาในสมาธิก็แย่แล้วค่ะ) ส่วนครีมบำรุงผิว ครีมกันแดด เครื่องสำอางต่างๆ อย่านำไปเลยค่ะ เดี๋ยวเพื่อนๆอดใจเสริมสวยไม่ไหวจะผิดศีลเปล่าๆ

11. พัดลมส่วนตัว อันนี้ถ้าคิดว่าจำเป็นก็หอบไปค่ะ โดยเฉพาะหน้าร้อน จำเป็นมาก ต้องเอาไปเอง เพราะทางวัดป่ามีพัดลมให้ แต่มีไม่พอค่ะ เคยเจอนะคะ เราใช้อยู่ พอกลับมาอีกทีพัดลมมันเดินได้ หายไปอยู่กับใครแล้วไม่รู้ (น่าโมโหจริงๆ) อย่าได้เสียเวลาไปทะเลาะกับใครเลยค่ะ แบกพัดลมตัวเองมาดีกว่า เขียนชื่อติดไว้เลยว่าของใครหรือถ้าเอามุ้งมาก็เอาไปไว้ในมุ้งเราค่ะ ไม่หายแน่นอน 55 พัดจ่อเข้าไป เย็นถึงใจจริงๆ ก่อนออกจากวัดอย่าลืมจ่ายค่าไฟ ชำระหนี้สงฆ์นะคะ อยู่มา 8 วัน ไม่ต่ำกว่า 200 บาทนะคะ กล้าใช้ไฟวัด ก็ต้องกล้าจ่ายเงินค่ะ จะได้ไม่เป็นบาปติดตัวไป และถ้าใจถึงๆนะคะ ซื้อพัดลมมาถวายวัดไปเลยค่ะ บุญถึง ใจถึงจริงๆ

สรุปแล้วถ้าดูแล้วยุ่งยากมากนะคะก็ไม่ต้องเอาอะไรมาเลย แค่ชุดขาวกับของใช้ส่วนตัวก็พอแล้วค่ะ จะได้ไม่โดนพระกับชาวบ้านแซวว่า มาอยู่วัด มาทำอะไร มานอนหรือ 55 ก็ขยันหอบของขนของมาขนาดนี้ จะไม่ให้แซวได้ไง 55

เราไม่กลัวการปฏิบัติธรรม ไม่กลัวการอยู่วัด ไม่กลัวลำบาก แค่อยากสบายบ้างนิดๆหน่อยๆให้ตัวเองไม่ลำบาก เดือดร้อนก็พอค่ะ ที่สำคัญเห็นแบกของ ขนของมาขนาดนี้ แต่เวลาปฏิบัติธรรม เจริญสติ เจริญภาวนา วิปัสสนากรรมฐาน เราเต็มที่สุดๆ ไม่หมดเวลา ไม่เลิก ขนาดหมดเวลาแล้วยังไม่เลิกภาวนาเลยค่ะ สู้สุดๆ อย่างว่านะ  คนมันใจถึง ^-^ อิ อิ

อยู่ด้วยใจค่ะ ปฏิบัติด้วยใจ ไม่ว่าจะมาอยู่วัดด้วยเหตุผลใด ขอให้ตั้งใจปฏิบัติ เจริญภาวนาเต็มที่ เข้าคอร์สครั้งนี้ ได้ภาวนาในบรรยากาศแบบป่าๆดีค่ะ ท่องไว้นะคะ ขันติ ๆ อดทนค่ะ อดทนให้มากๆ แผ่เมตตาให้เจ้ากรรมนายเวรไป แล้วจะดีเองค่ะ

อ่านแล้วได้แรงบันดาลใจ รีบลางาน เก็บของใส่กระเป๋า เข้าคอร์สปฏิบัติธรรมกันดีกว่าค่ะ อะไรไม่มีก็ไปช๊อปปิ้งบุญ ซื้อมาเตรียมของไปวัดเลย ง่ายๆไม่ยุ่งยาก ไม่ต้องสมัครคอร์สล่วงหน้า ฟรีไม่คิดตังค์ (แล้วแต่จะทำบุญ) ถึงเวลาแบกกระเป๋า ขนของเข้ามาวัดในวันที่ 1 ของทุกเดือนได้เลยค่ะ

อย่าลืมนะคะเรามีนัดกันทุกวันที่ 1 – 8 ของทุกเดือนค่ะ ที่วัดป่าเจริญราช www.veeranon.com

อ่านรายละเอียดของคอร์สได้ที่นี่ค่ะ http://www.gotoknow.org/posts/535563

มาคราวนี้เลยมีอะไรเก็บมาเล่าเยอะค่ะ

ลองอ่านดูนะคะ  แล้วจะรู้ว่าแพรเจออะไร แล้วมันสนุกตรงไหนบ้าง

สำหรับแพรแล้วสนุกทุกตอน มันทุกเม็ดเลยค่ะ

โปรดติดตามตอนต่อไป

พาเพื่อนไปเข้าคอร์ส

คอร์สแห่งชีวิต ที่ทุกคนควรจะได้เข้าอย่างน้อยสักครั้งหนึ่งในชีวิต

คือ คอร์สกรรมฐานค่ะ ไปเข้าคอร์สกรรมฐานกัน 8 วัน 7 คืน ที่วัดป่าค่ะ

ไม่ใช่คอร์สความสวยความงามหรือคอร์สวิชาการทั่วไปนะคะ

นี่เป็นคอร์สเปลี่ยนชีวิตค่ะ เปลี่ยนชีวิตตัวเองให้ดีขึ้นได้ภายใน 7 วัน รับรองผลค่ะ ถ้าตั้งใจจริง

อยู่วัดปฏิบัติธรรม หน้าจะใส ผ่องใสมาก ยิ่งกว่าทำเบบี้เฟซเลยค่ะ

ชีวิตเราเปลี่ยน ชีวิตคนรอบข้างก็เปลี่ยนไปด้วยค่ะ เปลี่ยนไปในทางที่ดีนะคะ ใจเย็น มีสติมากขึ้น

สนใจอ่านรายละเอียดของคอร์สได้ที่นี่ค่ะ http://www.gotoknow.org/posts/535563

 

ครั้งแรกแพรไปเข้าคอร์สคนเดียวค่ะ คอร์สมหากุศลแบบนี้ หาเพื่อนใจถึงเหมือนเราไปด้วยยากค่ะ

ถ้ามัวรอเพื่อนไปด้วย ชาตินี้อาจจะไม่ได้สนุกกับกรรมฐานเลยก็ได้ค่ะ

เพราะเพื่อนบวช มีน้อย หายากมาก น้อยคนนักที่อยากจะมาบวชปฏิบัติธรรมและได้มาบวชจริงๆ

แพรตัดสินใจไปเอง เรียนรู้เองค่ะ ลองผิดลองถูก อยู่กับธรรมได้จนครบคอร์สค่ะ

และแพรมีบุญได้บวชในคอร์สครั้งแรกของที่วัดป่าเจริญราชค่ะ บวชในโครงการพัฒนาจิตเพื่อพ่อ รุ่นที่ 1 ค่ะ

 

ในปีนี้คอร์สครั้งแรกของปีสำหรับแพร มีเพื่อนไปบวชด้วย 2 คนค่ะ

คนแรก คือ พี่เก๋ค่ะ หรือคุณนายเก๋ เพื่อนเก่า สมัยเรียนนิติศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์

ก่อนสงกรานต์เธอโทรมาปรึกษาว่า หลวงพ่อเอกลักษณ์ หลวงพ่อที่พี่เก๋นับถือ บอกให้พี่เก๋ไปบวชชี ถือศีล 7 วัน

ถ้าไม่ไปชีวิตคู่จะมีปัญหา ต้องเลิก ต้องหย่ากับสามี เพราะเจ้ากรรมนายเวร เข้ามาแล้ว จะให้ผลแล้ว

ด้วยความกลัวค่ะ และเกรงใจหลวงพ่อ พี่เก๋ก็โทรมาถามค่ะ ว่าจะไปวัดไหนดี

 

แพรแนะนำ 2 ที่ค่ะ วัดป่าปฐมชัยกับวัดป่าเจริญราช

ปกติวัดป่าเจริญราชจะจัดบวชชีในโครงการพัฒนาจิตเพื่อพ่อ 8 วัน 7 คืน ทุกวันที่ 1-8 ของทุกเดือนค่ะ

ไปเข้าคอร์สนี้น่าจะดีกว่า เพราะทางวัดพร้อมทุกอย่างเลยสัปปายะมากๆ

ตอนแรกเธอไม่อยากไป เพราะปีที่แล้วเธอลองไปวัดนี้แล้วเธอบอกว่าเธอไม่ค่อยได้อะไร เธออยากลองไปที่อื่นดูบ้าง

แพรก็แนะนำวัดป่าปฐมชัยค่ะ อยู่หลังมหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐม

หลวงพ่อนิพนธ์ท่านเก่งและท่านเมตตามาก น่าลองนะ

แต่ถือศีลวัดนี้กินอาหารมื้อเดียวนะคะ ไหวเปล่าเธอว่าจะลองดู

 

ส่วนแพร ปีนี้แพรตั้งใจไปเข้าคอร์สกรรมฐานที่ยุวพุทธฯ ศูนย์ 2 เดือนกันยายน ของหลวงพ่อวีระนนท์

ตอนแรกไม่คิดไปที่วัดป่าค่ะ แต่กลับจากไปดูงานที่ประเทศลาว (22-25 เมษายน 56)

แพรป่วยหนักท้องเสีย ไข้ขึ้น ลำไส้อักเสบติดเชื้อเริ่มอาการตั้งแต่ตี 4 (26 เมษายน 56)

เป็นหนักมาก ภาวนา สวดมนต์อะไรไม่ทันเลย ก็นึกได้ว่า ถ้าตายตอนนี้คงไปไม่ดีแน่

เวทนามันมาก ซะจนภาวนาอะไรไม่ได้เลย

ตอนเย็นคุณสามีพาไปหาหมอ เพราะเราทนไม่ไหวแล้ว คุณหมอบอกว่าหนักขนาดนี้จริงๆต้องไปนอนโรงพยาบาลนะ

แต่เราอธิษฐานก่อนมาแล้วว่าจะไม่นอนโรงพยาบาล คุณหมอสั่งตรวจเลือด อึ ฉี่ ดูอาการชัดๆ

พอตอนเช้า อาการดีขึ้นมากก็โทรไปถามเพื่อนๆที่ไปด้วยว่ามีใครเป็นบ้างก็ไม่มีใครป่วยเลย

แต่เพื่อนคนนึง คือ อ.ฝ้าย ถูกรถชน

เกิดเหตุตอนตี 3 (27 เมษายน 56)เธอทำงานวิจัยกับเพื่อนอาจารย์เสร็จ ออกมาหน้ามหาลัยมาซื้อน้ำที่ 7-11 กิน

จอดรถไว้ริมถนน ซื้อน้ำเสร็จแล้ว เพิ่งขึ้นมานั่งบนรถ ก็ถูกรถที่คนขับเมามาชนท้ายรถ

รถพังหมด เปิดประตูออกไม่ได้ น้องฝ้ายกับเพื่อนก็เจ็บ ถูกกระแทก แต่ดีที่ไม่เลือดตกยางออก

คงเพราะไปทำบุญ ไหว้พระที่ลาวไว้เยอะเลยไม่เป็นอะไรมาก

แต่รถเสียไปเลย ซ่อมไม่ได้ ต้องขายซากอย่างเดียว

เห็นใจน้องฝ้ายมากๆ เจอปัญหาหนักๆในชีวิตหลายเรื่อง ทั้งงาน ทั้งเพื่อน ทั้งเงิน ทั้งแฟน

พอคุยกันแล้วก็รู้สึกว่า น้องฝ้าย ชีวิตตกต่ำหนักมากแล้วน๊า... ไปบวชชีเถอะ

ไปบวชปฏิบัติธรรมเข้าคอร์ส 7 วัน ที่วัดป่าเจริญราชสิ ไปกับพี่เก๋นี่ล่ะ เธอกำลังหาเพื่อนไปอยู่วัดเหมือนกัน

น้องฝ้ายคิดได้เหมือนกัน ว่าถึงเวลาเข้าวัด บวชชีแล้วล่ะ ก็ตกลงไปบวชด้วยค่ะ

 

แพรชวนเพื่อนแล้วก็รู้สึกว่า เราก็ควรไปด้วยนะ เพราะเราเพิ่งหายจากป่วยหนักมา

ตอนป่วยมากๆเหมือนเจ้ากรรมนายเวรมาเตือนให้ทำบุญให้เค้าได้แล้ว

แพรก็ตัดสินใจลาบวช ขออนุญาตคุณสามีและคุณลูก ไปบวชที่วัด

ตอนแรกคุณสามีไม่ให้ไปเพราะเพิ่งหายไข้ และแพรเป็นห่วงลูก กลัวว่าแพรจะกังวลแล้วปฏิบัติไม่ได้

แต่สุดท้าย เห็นเราตั้งใจจริงก็ให้ไปค่ะช่วยไปรับ – ส่ง เคลียร์งานเรียบร้อย

เค้ายอมเลี้ยงลูกคนเดียว เห็นไหม มีสามีดีก็โชคดีแบบี้ค่ะ สนับสนุนให้ไปปฏิบัติธรรมเต็มที่

 

แพรรีบเก็บของเลยค่ะ เตรียมชุดขาว จัดกระเป๋า เตรียมบอกลาลูก ลาคุณแม่ฝากลูกกับคุณยายเรียบร้อย

คราวนี้ตัดสินใจแล้วไปเลยค่ะ เตรียมของ เคลียร์งาน 2 วัน โชคดีที่ยังปิดเทอมอยู่ ลางานไม่ยากค่ะ

แพรเขียนเทคนิคการเตรียมตัวเก็บของไปอยู่วัดปฏิบัติธรรมไว้

ในเรื่องจัดกระเป๋าเข้าวัดป่าค่ะ http://www.gotoknow.org/posts/535774

 

ใครที่สนใจอยู่วัด ปฏิบัติธรรม อ่านแล้วเตรียมไปแบบนี้รับรองค่ะ ไม่ผิดหวัง อยู่วัดจนจบคอร์สได้อย่างสบายๆค่ะ

พี่ๆ เพื่อนๆญาติธรรมทุกคนที่แพรแนะนำให้ไปบวชที่วัดก็เตรียมของแบบนี้เหมือนกันค่ะ อยู่วัดได้ดี หายห่วงเลยค่ะ

พี่เก๋เข้าวัดป่าเจริญราชก่อนคอร์สเริ่ม 1 วัน (30 เมษายน)

น้องฝ้ายเข้าคอร์สวันแรก มาแต่เช้าค่ะ(1 พฤษภาคม 56)

แพรกว่าจะเคลียร์ลูกได้มาถึงวัดป่าเที่ยงพอดี เลยรีบลงทะเบียน รับป้ายชื่อ

ครั้งนี้ โครงการพัฒนาจิตเพื่อพ่อ คอร์สปฏิบัติธรรมของวัดป่าเจริญราช เป็นรุ่นที่ 50 ค่ะ (ครึ่งศตวรรษพอดี)

เก็บกระเป๋า จัดที่นอน เปลี่ยนชุด เตรียมพิธีบวช ซึ่งจะเริ่ม 13.00 น.ค่ะ

แพรกอดลูก 2 คน กอดสามี กอดน้องสาว ขอบคุณและบอกลาคณะที่มาส่งเรียบร้อย แพรก็เข้าร่วมพิธีค่ะ

เอาล่ะ วันนี้เป็นวันเริ่มต้นสนุกกับกรรมฐานแล้ว

ครั้งนี้มีเพื่อนร่วมทุกข์ไปด้วย 2 คน มือใหม่หัดปฏิบัติธรรมทั้งคู่ค่ะ

แพรก็ช่วยติวเพื่อนด้วย เพื่อนจะได้สนุกไปกับแพรด้วย มันส์ไปด้วยกัน 555

 

ตอนแพรบอกเพื่อนๆว่า นั่งสมาธิ เดินจงกรม สนุกมาก มันส์มาก

เพื่อนๆมองหน้าแพรแบบว่า

ไม่น่าเชื่อ เป็นไปได้ไง มันมันส์ตรงไหน ทำหน้าแบบไม่เชื่อด้วย

พี่เก๋นี่นับวันกลับบ้านเลย ไม่อยากมา ใจไม่ถึง แต่ต้องมาเพราะโดนหลวงพ่อสั่งมา 55

ส่วนน้องฝ้าย อยู่ด้วยความทุกข์ระทม ปัญหาเยอะ เรื่องคิดมากเยอะ ไม่รู้จะแก้ปัญหายังไงดี

น้องฝ้ายโดนแพรกล่อมให้มาวัดเองค่ะ 55

ถึงจะยังไม่เคย แต่ใจสู้ อยากลองดู ใจถึงเหมือนกันค่ะ

 

สรุปว่าคอร์สนี้มีเพื่อนร่วมสงครามข้ามภพข้ามชาติด้วยค่ะ

1.  พี่เก๋เพราะหลวงพ่อสั่งมา ต้องทำ ไม่ทำไม่ได้ มีชีวิตครอบครัวเป็นเดิมพัน

2.  น้องฝ้ายเพราะทุกข์กับปัญหาเยอะ เหมือนเจอปีชง อะไรๆก็หนักไปหมด เฮ้อ..น่าสงสาร

3.  แพร เพราะแนะนำเพื่อนไปบวชชี ถือศีล 8 ปฏิบัติธรรม และป่วยหนักมา แล้วก็เลยอยากมาค่ะ

 

ที่สำคัญได้เวลานัดแล้วค่ะปีนี้ได้เวลานัดแล้ว

 

แพรนัดกับตัวเองว่าต้องเข้าคอร์สปฏิบัติธรรมอย่างน้อย ปีละครั้งค่ะ แพรทำมา 4 แล้วค่ะ ครั้งนี้ครั้งที่ 5 ค่ะ

มาคราวนี้เลยมีอะไรเก็บมาเล่าเยอะค่ะ

ลองอ่านดูนะคะ  แล้วจะรู้ว่าแพรเจออะไร แล้วมันสนุกตรงไหนบ้าง

สำหรับแพรแล้วสนุกทุกตอน มันทุกเม็ดเลยค่ะ

โปรดติดตามตอนต่อไปนะคะ

เพื่อนสนิทที่ชื่อว่า "มาร"

ก่อนไปเข้าคอร์สปฏิบัติธรรม  ถ้าผู้ปฏิบัติธรรมได้ฟัง ได้อ่านธรรมไปก่อน จะช่วยให้เข้าใจธรรมที่ได้จากการปฏิบัติธรรมมากขึ้น เข้าใจได้ลึกซึ้งมากขึ้นจากการปฏิบัติ  แพรฟังเรื่องนี้ก่อนไปปฏิบัติธรรม ก็ยังไม่เข้าใจมากนักค่ะ  (ปัญญายังไม่ถึงค่ะ)  พอกลับมาฟังใหม่  ฟังซ้ำไปซ้ำมา  แล้วทบทวนประสบการณ์ก็เข้าใจได้ลึกซึ้งมากขึ้น  ยิ่งไปปฏิบัติธรรมมากขึ้น ได้เรียนรู้มากขึ้นค่ะ

แพรขอแนะนำให้เพื่อนๆรู้จักเพื่อนสนิทในตัวของเราทุกคน 5 ตัวค่ะ เรามีเค้าอยู่ แต่เราอาจจะไม่รู้จักเค้าหรืออาจจะไม่สนใจเค้า ทั้งๆที่เค้าเป็นคนสนิทของเรามากๆ เราละเลยเค้าไม่ได้เลย มารทั้ง 5

อ่านแล้วจะช่วยเพิ่มความเข้าใจในการอ่านเรื่องเล่าของแพรได้ดีค่ะ แต่ถ้ายังไม่เข้าใจก็ไม่เป็นไรนะคะ เวลาอยู่วัดปฏิบัติธรรม จะเข้าใจเรื่องนี้มากขึ้นค่ะ

อย่างที่ครูบาอาจารย์และหลวงพ่อหลายๆท่านที่ได้บอก ได้สอนไว้นะคะ  ธรรมที่ได้จากการคิด การฟังเฉยๆ จะไม่ลึกซึ้งเท่าธรรมที่ได้จากการปฏิบัติ  ต้องพากเพียร ต้องสู้ แพรขอเอาธรรมที่ครูบาอาจารย์สอนกับธรรมที่ได้จากการปกิบัติจริงมาเล่าให้เพื่อนๆฟังนะคะ

เวลานั่งสมาธิ เดินจงกรม ขยันเจริญภาวนานะคะ ในเวลาที่ใจจะข้ามภพข้ามชาติ  จากที่มีความสุขล้วนๆ นั่งสมาธิแล้วมันเบา สบาย มีความสุข สงบ แต่พอปัญญาแก่กล้าแล้ว มันจะพลิกให้ดูเลยว่ามันจะกลายเป็นตัวทุกข์ล้วนๆ มีแต่ทุกข์มากขึ้นๆ  ทุกข์เหมือนร่างกายจะแตกสลาย ปวดขา ปวดบ่า ปวดตัวมากๆ ปวดเหมือนกระดูจะแตกสลาย

มันทุกข์ มันทรมาน มันขมขื่น ฝืนจะทน

มันปวด จิตใจมันจะระเบิด มีแต่ทุกข์ล้วนๆเลย  หยั่งลงไปทางไหนก็มีแต่ทุกข์มากขึ้น มากขึ้น q

ตรงนี้แหละมาร 5 เริ่มทำงานแล้ว  มารตัวหนึ่งเรียกว่า

๑.  เทวปุตตมาร คือ หัวใจของเรานี่เอง ที่มันจะท้อถอยกลับกลอก ไม่กล้าสู้ บอกเราว่าถอยออกมาเถอะ มันปวดจะตายอยู่แล้ว อย่าทนเลน ออกมาก่อน ออกเถอะๆ ถ้าไม่ถอย ไม่ตายก็บ้านะ  ทำให้เรากลัว ทำให้เราท้อถอย

๒.  กิเลสมาร คือ กิเลสทั้งหลาย  โทสะ โมหะ ความกลัว มันเล่นเราตรงนี้เลยนะ กลัวปวด กลัวเจ็บ กลัวตาย มันไม่สบาย ปวดหัว ตัวร้อน

๓.  อภิสังขารมาร คือ ตัวความคิดที่กลับกลอกหลอกลวง  บางทีมันก็หลอกเราว่าให้ถอยออกไปเถอะ  เหมือนกับที่มันมาหลอกพระโพธิสัตว์  ว่าไปอยู่กับโลกแล้วจะมีความสุขที่สุด  ถ้าไม่ข้ามมรรคผลนิพพาน เข้าถึงขีดสุด  เรากลับมาจะอยู่กับโลกอย่างมีความสุขที่สุดเลย  เพราะอะไรๆในโลกไม่กระเทือนเข้าถึงใจแล้ว  ใจมันเป็นดวงรู้เด่นอยู่อย่างนั้น มีแต่ความสุขล้วนๆเลย  จิตใจมันจะถูกความคิด  คอยปลอบ คอยหลอกให้เลิก

๔.  มัจจุมาร คือ  ความรู้สึกที่ว่าความตายมารออยู่ต่อหน้า  ถ้ายังทนนั่งอยู่ต่อไป ไม่ถอยนะ ต้องตายแน่นอนไม่ก็บ้าเลย  มันมีแต่ความทรมานมากมาย

๕.  ขันธมาร คือ ขันธ์ทั้ง 5  กายกับใจ  เป็นตัวทุกข์ล้วนๆ เพราะมันบีบคั้น ทำให้คนที่ไปยึดมั่นถือมั่น เป็นตัวทุกข์

ตรงนี้ถ้าบุญบารมีเราไม่พอ  สั่งสมมายังไม่พอ  คือยังไม่ค่อยเจริญภาวนา ยังไม่พากเพียร เราจะถอยแล้ว  สู้ไม่ได้ ถอยดีกว่า  ไม่เอาดีกว่า  อยู่กับโลกก็มีความสุข  แต่พระโพธิ์สัตว์ไม่ได้เป็นอย่างนั้น  พระโพธิ์สัตว์ที่จะข้ามภพข้ามชาติ ท่านอาศัยบารมี หรือผู้ปฏิบัติที่ต้องการข้ามภพข้ามชาตินั้น ต้องอาศัยบารมี เช่น

ทานบารมีกล้าจะเสียสละชีวิตเพื่อธรรมไหม ต้องกล้านะ  ตายเป็นตาย ในนาทีนั้นจะต้องไม่ถอย  ถ้าถอยคือ อยู่สบายกับโลกแต่เป็นทาสของมารเรื่อยๆไป  เพราะฉะนั้นต้องกล้าหาญ  จะกล้าสละชีวิตได้  จะต้องกล้าสละของเล็กๆน้อยๆก่อน  สละอันโน้น สละอันนี้ไปเรื่อยๆ  ไม่ห่วงหน้า ห่วงหลัง  สละความผูกพันในใจ

อย่างพระพุทธเจ้าเป็นเจ้าชายสิทธิถัตธะ  สละพระนางพิมพา พระราหุล

รักไหมลูกเมีย  รักนะ  แต่กล้าสละเพื่อธรรม

นี่คือ ทานบารมีที่มันเต็มใจแล้ว เต็มเปี่ยม

พอถึงนาทีสุดท้าย  กล้าสละชีวิตเพื่อธรรมนะ

อย่างที่หลวงพ่อวีระนนท์ เคนสอน เคยบอกว่า

สละอวัยวะเพื่อรักษาชีวิต

สละชีวิตเพื่อรักษาธรรม

(แรกๆอาจจะ ยอมเสียธรรมเพื่อรักษาชีวิต แต่หลังๆเราฝึกมากๆ มันจะกล้าสละชีวิตเพื่อรักษาธรรมค่ะ)

กล้าตายในสมาธิ แล้วจะได้ของดีกลับไปค่ะ

ส่วนอธิษฐานบารมี ในขณะที่ความตายมารออยู่ต่อหน้า  จะถอยไหม  ถ้าตั้งใจไม่ถอย ครั้งนี้จะสู้ตายแล้ว  แต่ถ้าบารมีนี้ไม่ถึงก็ถอยนะ  มันจะทรมาน  กิเลสมันจะหลอกกับเราว่า  ถอยไปก่อนน่ะ  เดี๋ยวรวมกำลังมาสู้กับมันใหม่  นั่นแน่ หลอกได้สารพัดนะ แพรโดนหลอกมาแล้ว เราก็ดันเชื่อง่าย หลอกแล้ว หลอกอีก

สัจจะบารมี มีไหม  ยอมตายเพื่อให้ได้เห็นความจริงไหม ความจริงที่เราจะตามดูมันไปเรื่อยๆมี ดูสิให้สุดสายของการปฏิบัติสิ  มันจะเกิดอะไรขึ้น  ตายก็ตายนะ  จะดู  จะเอาความจริงให้ได้  กล้าพอไหม ใจถึงไหม

ศีลบารมี เรามีไหม  จิตใจเราจะเป็นปกติมั่นคงได้ไหม ท่ามกลางความบีบคั้นอย่างนั้น  หรือจะโมโหโทโสขึ้นมา  จิตใจเรามีศีล มีความเป็นปกติหรือเปล่า

ปัญญาบารมี เรามีไหม  ที่จะรู้ทุกอย่างตามที่เค้าเป็น รู้แล้ววาง ๆ รู้แล้วไม่เข้าไปข้องแวะด้วย นี่คือ ตัวอย่างของบารมี 10 ตัว เอาย่อๆนะ เนี่ยพวกนี้จะมาช่วยเราในการสู้กับมาร 5 ตัว

เอาเข้าจริงพระพุทธเจ้าท่านใช้โพธิปักสยธรรม....37 ประการ ไปสู้กับมาร 1 กองทัพ ๆ คือ มาร 5 ตัว

สู้ยากนะ  มารตัวเดียวก็สู้ยากแล้ว  ต้องต่อสู้ก่อนที่ใจจะเข้มแข็งไปสู้กับมารจนข้ามภพ ข้ามชาติ

ต้องสะสมความแข็งแกร่งในใจมามากมาย  กล้าสละความสุข ความสบาย ความเพลิดเพลินอย่างโลกๆ ต้องกล้าหาญ  ต้องใจถึงด้วย

พระพุทธเจ้าเวลาสอนธรรม ท่านจึงสอนเป็นลำดับๆนะ  เรียกว่า  อนุปุพิกถา

รู้จัก ทาน ไว้นะ ทานไม่ใช่แค่ควักกระเป๋ามาจ่ายนะ

กล้าเสียสละไหม  กล้าสละความสุขส่วนตัวไหม  เพื่อประโยชน์ของคนอื่น  กล้าไหม

กล้าสละความอาฆาตแค้นไหม  กล้าให้ความรู้ ความเข้าใจกับคนอื่นที่เค้าไม่รู้  ไม่เข้าใจไหม หรือตระหนี่ถี่เหนียว  ใจถึงๆ กล้าสละทุกสิ่งทุกอย่าง  ทีละเล็ก ทีละน้อย  ค่อยๆสะสมไป

พระพุทธเจ้าท่านสอนเรื่องศีล ทาน เห็นไหม สอนให้เรามีกำลังที่จะข้ามภพข้ามชาติทั้งนั้น

ต้องรักษาศีลนะ  ถ้าไม่มีศีลใจจะไม่มีสัมมาสมาธิ ใจจะตั้งมั่นไม่ได้  ใจจะกลับกลอก กวัดแกว่งตลอดเวลา  ต้องมีศีลเอาไว้

พอมีทาน มีศีล  เราจะมีความสุข  เรียกว่าสวรรค์ ชีวิตจะมีแต่ความสุขความสบาย  ร่างกายอาจจะลำบากบ้าง  เจ็บไข้ได้ป่วย  แต่ใจมันจะสบาย  ใจสบายจะเพลิดเพลินไป  คราวนี้เพลินไปในความสุขอีกแล้ว  เรียกว่ากาม เพลิดเพลินในความสุข

เสร็จแล้วท่านก็ชี้ให้เห็นโทษของกาม อย่ามัวแต่ประมาทอย่าหลงกับความสุขที่เรากำลังได้รับอยู่ทุกวันนี้นะ  ความสุขที่เราได้รับอยู่ทุกวันนี้เป็นของชั่วคราว  ประมาทไม่ได้นะ  โทษของกาม  เรียกว่า  กามาทีนพ

เสร็จแล้วถ้าไม่ประมาทจะทำอย่างไร  ถ้าไม่ประมาทแล้วมาคอยเรียนรู้อริยสัจ ให้มารู้ทุกข์  มาคอยรู้กาย  มาคอยรู้ใจไป  ให้รู้ไปเรื่อยๆ  รู้จนแจ่งแจ้ง

กายและใจเป็นตัวทุกข์ล้วนๆ จะปล่อยวางความยึดถือกาย ความยึดถือใจ

ตัณหาจะเกิดขึ้นไม่ได้อีก  สมุทัยจะไม่เกิดอีก

ถ้ารู้ทุกข์แจ่มแจ้ง  สมุทัยจะถูกละอัตโนมัติ

สมุทัย คือ ความอยากให้กายให้ใจ มีความสุข  อยากให้กายให้ใจพ้นทุกข์

ถ้าไม่ยึดกาย  ยึดใจ  แล้วจะไปอยากทำไม

ทันทีที่ตัณหาดับสนิทลงนะ  ความไม่มีตัณหา  คือ  นิพพานก็จะปรากฏขึ้นมา  ต่อหน้าต่อตานั่นเอง

การรู้ทุกข์  จนละสมุทัย  แจ้งนิโรธ  แจ้งนิพพาน  นี่แหละ เรียกว่า มรรค

ท่านสอนแบบนี้นะ อนุปุพพิกถา ท่านสอนตั้งแต่ธรรมขั้นต้นมา

ตั้งแต่รู้จักทาน  รู้จักศีลนะ

ทำทาน  ทำศีลไป  แล้วชีวิตมีความสงบสุขขึ้นมา

อย่าเพลิดเพลินในความสงบสุขทั้งหลาย

ในชีวิตเราเป็นของชั่วคราวเหมือนกัน  วันนึงอาจจะเดือดร้อนขึ้นมาได้

งั้นต้องเร่งศึกษากาย  ศึกษาใจของตัวเอง

เอาพวกเราฟังหลายเรื่องแล้ว รู้สึกไหม  ฟังอนุปุพพิกถาจบแล้ว 

ใครได้โสดาบันแล้วยกมือขึ้น

555 มีแต่โสดาเดา กับโสดาดันค่ะ


ของเราฟังแล้วยังไม่ได้  ต้องฟังแล้วฟังอีก ทำแล้วทำอีกค่ะ

จำไว้นะคะ  ขนาดพระอัสสชิ  ท่านมีบารมีเยอะกว่าพวกเรา  ท่านยังต้องฟังธรรมตั้ง 5 ครั้ง  ถึงได้โสดาบัน

แถมพระอัสสชิ ท่านฟังจากพระพุทธเจ้าด้วยนะ ไม่ใช่ฟังจากพระธรรมดานะคะ

พวกเราบารมีไม่ถึงขนาดนั้น  ต้องอดทนไว้ ต้องพากเพียร อย่าท้อถอย

ต้องสู้น่ะคะ คอยรู้ลงไปรู้ลงในกายนะ  รู้ลงในใจ

ยังทำไม่ได้ ไม่เป็นไร

พยายามถือศีลไว้ อยู่อย่าไปตบยุง อย่าคุยมาก อบ่าเล่นเฟส เล่นไลน์มาก ปิดวาจาไปเลย

จะได้มีศีล จะได้ไม่ฟุ้งซ่าน

แล้วคอยรู้กาย  คอยรู้ใจไปเรื่อยๆ  ถึงวันหนึ่งมันก็ต้องฝ่าไปได้แหละ 55

 

ก่อนที่ท่านทั้งหลายจะผ่านด่านมาได้ทุกองค์ๆ นะ  ท่านก็ผ่านมาแล้วทั้งนั้น  แบบที่เราเจอนี่ล่ะ

เบื้องต้นนะ เบสิคๆ ใครๆเค้าก็เจอ ธรรมดามากๆ ปวดจะตายแบบนี้น่ะ ของธรรมดาเลย

ลูกฟลุ๊ค ไม่มีนะ  ของฟลุ๊คไม่มี  มีแต่ต้องลงทุนลงแรงทั้งนั้น

ของฟรีไม่มีในโลกนะคะ จำไว้

 

เราสู้เอาเองทั้งนั้น  ขัดเกลากิเลสในใจเรา

คอยรู้ลงไป สู้ด้วยทาน  สู้ด้วยศีล  สู้ด้วยสมาธิ  สู้ด้วยปัญญา

เครื่องมือในการต่อสู้มีหลายตัว  คอยรู้ลงไปด้วย (แพรจะแนะนำเทคนิคและธรรมง่ายไว้สู้ค่ะ)

สู้ด้วยอะไรไม่ได้ก็รักษาศีลไว้ เช่น  อยากตบมันเต็มที่แล้ว  อ้าวไม่ได้ อย่าตบนะเดี๋ยวผิดศีล  อย่างเนี่ย

สู้ไป ถึงวันหนึ่งแล้วจะเข้าใจ ชีวิตจะมีอิสรภาพ  เราจะเข้าถึงอิสระที่แท้จริง อิสระจริงๆ

ใจเราจะมีแต่ความปลอดโปร่งโล่งตลอดวันตลอดคืนเลย

ใจจะไม่มีขอบเขต  ไม่มีจุด  ไม่มีดวง  กว้างขวางไร้ขอบเขต

มีความสุขล้วนๆเลย  ไม่มีอะไรเป็นเครื่องขีดกั้นจำกัดอีกต่อไป

ทางร่างกายก็ชำรุดทรุดโทรมไปตามธรรมชาติ

แต่ทางใจนะสดใส ซาบซ่าอยู่อย่างนั้นแหละ

ฝึกเอาเองนะ ฝึกเอา..............

 

นี่เห็นไหม หลวงพ่อเทศน์ หลวงพ่อสอน 

ท่านฝึก ท่านสู้ ท่านพากเพียร ท่านผ่านมาหมดแล้ว

เราโชคดีแล้วได้เจอครูบาอาจารย์ที่ดีและเก่งขนาดนี้

เราอย่าดื้อกับครูบาอาจารย์ ท่านให้ทำอะไรก็ทำ

ท่านบอกอะไรก็เชื่อ

อย่าเถียง อย่าต่อรอง อย่างอแง 

ตั้งใจทำไป พากเพียรไว้ เดี๋ยวมันก็ดีขึ้นเองค่ะ

 

สู้ๆนะคะ แล้วเราจะได้สนุกกับกรรมฐานไปด้วยกัน

 

โปรดติดตามตอนต่อไปนะคะ

(นึกว่า 3 ตอนจบ )

 

สื่อสร้างสรรค์ พลังแห่งปัญญา นำพาชีวิตให้งดงาม

พิมพ์ PDF

สื่อเป็นเครื่องมือในการนำเนื้อหาข่าวสารข้อมูลไปสู่ผู้รับชมรับฟัง หากใช้สื่ออย่างสร้างสรรค์ก็จะเป็นการนำเนื้อหาสาระอันเป็นประโยชน์ต่อการดำเนินชีวิตอย่างมีคุณค่าความหมาย ชี้นำให้ดำเนินชีวิตไปสู่ทิศทางที่ถูกต้อง ยังความสงบสุขสันติให้บังเกิดขึ้นต่อตนเองและสังคมโลกโดยส่วนรวม นี่คือที่มาของคำขวัญที่ว่า

" สื่อสร้างสรรค์ พลังแห่งปัญญา นำพาชีวิตให้งดงาม "

การทำสื่อที่มีความหลากหลายทั้งรูปแบบและเนื้อหานั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะมิเพียงการนำเสนอเท่านั้น แต่ยังต้องรักษาจุดยืน แนวคิด แนวทางอันเป็นเอกลักษณ์อัตตลักษณ์ของตนเองไว้ด้วย ความพยายามที่จะผลิตและรวบรวมคัดสรรเนื้อหารูปแบบสื่อที่หลากหลายในลักษณะของเครือข่ายความร่วมมือเชิงบูรณาการก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ต้องใช้ทั้งศาสตร์และศิลป์ พร้อมทั้งท่วงทำนองอันเป็นที่ยอมรับของสังคม ในโลกยุคเทคโนโลยีสารสนเทศอันไร้พรมแดน ไร้ขีดจำกัดนั้น คงเป็นเรื่องที่ยากที่จะคัดกรองเนื้อหารูปแบบที่พึงประสงค์ให้ได้อย่าง ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์เพื่อนำเสนอแก่ผู้บริโภคสื่อ คงเป็นไปได้ในแง่ของความพยายามอย่างเหมาะสม และแสดงออกอย่างเป็นรูปธรรมถึงจุดยืนอย่างสร้างสรรค์ ส่วนที่เป็นไปได้อย่างยิ่งก็คือ ผู้บริโภคสื่อควรมีดุลยพินิจพิจารณาเสพย์ข่าวสารข้อมูลอย่างมีสติปัญญา พิจารณาโดยแยบคาย ย่อยและซึมซับคุณค่าความหมายอันเป็นประโยชน์ต่อตนเองและเพื่อนร่วมสังคมโลก ซึ่งการศึกษาเรียนรู้ก็เป็นกระบวนการทางธรรมชาติของการพัฒนามนุษย์อยู่แล้ว เรียนรู้โลก...เข้าใจโลก...เรียนรู้ชีวิต...เข้าใจชีวิต...ใช้ชีวิตให้อยู่กับโลกได้อย่างมีคุณค่าความหมายที่ถูกต้องตรงต่อความเป็นจริงอันเป็นไปของโลกและชีวิต ความสุข ความสงบสันติทั้งภายในและภายนอกก็จะปรากฏ !
คัดลอกมาจาก http://www.tigertemplestation.org/

 


หน้า 486 จาก 558
Home

About Us

ศูนย์บูรณาการพัฒนามนุษย์ (ศบม.) เป็นองค์กรที่พัฒนาและจัดทำโครงการเพื่อทำประโยชน์ให้สังคม เป็นองค์กรสนับสนุนการดำเนินงานของภาครัฐ ช่วยแก้ปัญหาผู้ประกอบการภาคธุรกิจบริการที่ขาดแคลนบุคลากรที่มีมาตรฐานในการให้บริการ
อ่านเพิ่มเติม

มูลนิธิศูนย์บูรณาการพัฒนามนุษย์ ์

 iHDC Profile
บัญชีรายชื่อกรรมการ
ใบสำคัญแสดงการจดทะเบียน การเปลี่ยนแปลงกรรมการของมูลนิธิ
เอกสารประชาสัมพันธ์ โครงการ HMTC.pdf
เอกสารแนะนำโครงการ HMTC 1.pdf
เอกสารโครงการ HMTC 2 คุณสมบัติผู้เข้าร่วมโครงการ.pdf
iHDC นิติบุคคล.pdf
iHDC บุคคล.pdf
iHDC บุคคลเครือข่าย.pdf
รายงานการประชุม 6 มีนาคม 2560.pdf
ข้อบังคับมูลนิธิ
ใบสำคัญแสดงการจดทะเบียนจัดตั้งมูลนิธิ
Ihdc-Profile and Roadmap 2016-2019 Mar 23 2560.pdf
รายงานการประชุมใหญ่คณะกรรมการมูลนิธิศูนย์บูรณาการพัฒนามนุษย์ 2559.pdf
คำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการ สาขาวิชาชีพ.pdf
รายงานการประชุมใหญ่วันที่ 18 ธ ค 2558 v 3.pdf
รายงานการประชุม วันที่ 24 ธันวาคม 2557 updated 4 มีนาคม 2558.pdf
iHDC-invitation Letter.doc
iHDC-Member Form Thai.doc
iHDC-Member Form English.doc
รายงานการประชุมกรรมการมูลนิธิศูนย์บูรณาการพัฒนามนุษย์ วันที่ 15 มกราคม 2556 ฉบับสมบูรณ์


thaibetter
พัฒนาประเทศไทยแบบทวีคูณ และยั่งยืน ( ททค )

Login


แบบสำรวจ

สถิติเว็บไซด์

สมาชิก : 5607
Content : 3049
เว็บลิงก์ : 26
จำนวนครั้งเปิดดูบทความ : 8604118

facebook

Twitter


บทความเก่า