อุปนิสัยของคนไทยด้านการโอ้อวด ขี้อวด ลืมตัว ตอนที่ ๑/๒
วาทิน ศานติ สันติ
บทนำ
มนุษย์มีความจำเป็นจะต้องอยู่รวมกลุ่มกัน เป็นพวก และมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกัน ตั้งแต่สังคมระดับหน่วยเล็ก ไปจนถึงหน่วยใหญ่ และมีการทับซ้อนกันของสังคม ผู้ที่เข้ามารวมกลุ่มมีมากมายหลายประเภท ในการรวมกลุ่มกันจะมีบุคคลที่มีความชอบและความเชื่อที่คล้าย ๆ กัน เช่น เชื้อชาติ ศาสนา ภาษา ระบบความเชื่อ ทัศนคติ การดำเนินชีวิต ทำให้มนุษย์มีความรู้สึกเป็นพวกเดียวกัน แม้จะอยู่กระจายกันก็ตาม แต่กระนั้นมนุษย์ก็ล้วนแต่มีความเป็นปัจเจกบุคคล มีความคิด ความรู้สึก ความเชื่อ วิถีการดำเนินชีวิตที่เป็นแบบอย่างของตนเอง ปัจจัยที่ทำให้เกิดความแตกต่างนี้มีมากมายเช่น การเลี้ยงดูของผู้ปกครอง การอบรมสั่งสอนที่โรงเรียน การขัดเกลาทางสังคม เพื่อน สภาพแวดล้อมต่าง ๆ ฯลฯ ทำให้เกิดเอกลักษณ์เฉพาะตัว
ปัจจุบันกลุ่มของสังคมไทยได้จัดเข้ากลุ่มใหญ่ ๆ ๓ กลุ่มคือ กลุ่มชนชั้นสูง กลุ่มชนชั้นกลาง และชนชั้นต่ำโดยมีอำนาจทางเศรษฐกิจที่เข้ามาเป็นตัวกำหนด ทำให้มีการศึกษาที่แตกต่างกัน อำนาจในการพัฒนาและการเข้าถึงเทคโนโลยีที่ต่างกัน ความก้าวหน้าในรูปแบบต่าง ๆ นำไปสู่การจัดระเบียบทางสังคมใหม่ ดังนั้นกลุ่มทางสังคมที่ได้รับการพัฒนาใหม่นี้จึงถูกแบ่งเป็น กลุ่มผู้ที่มีการศึกษา และกลุ่มผู้ไม่มีการศึกษา (ผจงจิตต์ อธิคมนันทะ. ๒๕๔๓ : ๒๗)
บ่อยครั้งที่คนมีการศึกษาโอ้อวด ขี้อวด ในวิชาความรู้ที่ตนมี ใช้ความรู้นั้นดูถูกและรักแกคนที่มีความรู้น้อยกว่า หาผลประโยชน์ทางมิชอบจากความรู้ที่ตนมี เช่นการคดโกง หาผลประโยชน์ใส่ตน การโอ้อวด ขี้อวดในบางครั้งก็เกิดจากการที่ตนมีความรู้น้อยแล้วพูดจาอวดอ้างแสดงคุณสมบัติที่ไม่เป็นความจริง เราจึงหมายรวมบุคคลทั้งสองประเภทนี้ได้ว่าคนลืมตัว
บทความนี้จะแสดงให้เห็นถึงเอกลักษณ์ของคนไทยในด้านการโอ้อวด ขี้อวด และลืมตัวในเชิงลักษณะนิสัยที่ติดอยู่ในภาษาไทยในรูปของ สำนวน สุภาษิต คำพังเพย
เอกลักษณ์ของคนไทยในด้านการโอ้อวด ขี้อวด และลืมตัว
ผจงจิตต์ อธิคมนันทะ (๒๕๔๓ : ๔๕) ได้ให้ความหมาย ของเอกลักษณ์ว่าลักษณะเด่นที่มีและเป็นอยู่เฉพาะหมู่ กลุ่มสังคมหรือชาติใด ที่ชี้ถึงความเป็นตัวเอง เป็นไปอย่างมีระบบ ระเบียบแบบแผนอันเกิดจากปฏิบัติกันมา สั่งสมปรับปรุงสืบทอด จนกลายเป็นคุณค่าที่ยอมรับ เป็นความภาคภูมิใจของกลุ่มนั้น ๆ จึงเกิดเป็นเอกภาพ ความมั่นคงเป็นปึกแผ่นรู้จักรักษาและทำให้เจริญรุ่งเรือง แต่กระนั้น คำว่าเอกลักษณ์ไม่ได้แสดงถึงลักษณะเด่นในทางด้านบวกเสมอไป หมายรวมถึงลักษณ์เด่นในทางด้านลบด้วย
ประเสริฐ แย้มกลิ่นฟุ้ง ได้กล่าวถึงลักษณะนิสัยของคนที่ซึ่งทำให้คนไทยมีลักษณะนิสัย โอ้อวด ขี้อวด และลืมตัวไว้ดังนี้ คือในด้านความเป็นปัจเจกบุคคลว่า เป็นการย้ำและให้คุณค่าการเป็นตัวของตัวเอง ซึ่งมีอิทธิพลมาจากพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาท โดยที่พุทธศาสนาให้มีความพอใจและเชื่อมั่นในตนเอง รู้จักหาความสุขจากตนและพึ่งพาตนเอง เช่นตนเป็นที่พึ่งแห่งตน โดยปกติคนไทยไม่ชอบให้ใครมายุ่งเกี่ยว กับเรื่องส่วนตัวของตน ไม่ต้องการบังคับจิตใจผู้อื่น ทุกคนมีคุณค่าเท่าเทียม (ดูใน ผจงจิตต์ อธิคมนันทะ. ๒๕๔๓ : ๕๔) การเน้นย้ำให้เห็นคุณค่าของตนเอง และการเชื่อมั่นในตนเองนั้นหากอยู่ในอำนาจของจิตใจด้านลบ อาจนำไปสู่การโอ้อวดตนเองได้
อีกลักษณะนิสัยหนึ่งคือ ความนิยมความโอ่อ่า นิสัยนี้เกิดจากการเชื่อมั่นและเกิดจากหยิ่งในเกียรติ์ แม้ว่าภายนอกจะดูฐานะต่ำ แต่ในใจไม่ยอมรับว่าตนเองต้อยต่ำ ถือว่าตนเองมีความสามารถเท่าเทียมคนอื่น ไม่ยอมให้ใครดูถูก จึงแสดงนิสัยด้วยการแสดงความโออ่า เพื่อให้เกิดการยอมรับ ชอบมีตำแหน่งที่ให้ได้อำนาจและได้รับเกียรติ ชอบการแสดงเป็นคนมีหน้าใหญ่ใจโต ชอบการยกยอจากผู้อื่น (ดูใน ผจงจิตต์ อธิคมนันทะ. ๒๕๔๓ : ๕๔)
วิรัช วิรัชนิภาวรรณ (๒๕๔๖ : ๓๐ - ๔๑) กล่าวถึงลักษณะนิสัยของคนไทย ว่า ไม่รู้จักประมาณตนเอง ต้องการมีหน้ามีตา พยายามรักษาหน้าตาและชื่อเสียงเกียรติยศ เข้าทำนองว่าหน้าใหญ่ใจโต ไม่ต้องการให้เสียหน้า หรือทำอะไรโดยไม่คำนึงถึงฐานะของตน “ชิบหายไม่ว่าขออย่าให้ข้าเสียหน้า” , “ชิบหายไม่ว่าต้องการชื่อเสียง” ผลลัพธ์คือ คนไทยเป็นหนี้มากขึ้นและยิ่งจนลง ลักษณะ “จมไม่ลง”
อานนท์ อาภาภิรม (๒๕๑๙ : ๒๓ - ๒๔) ได้กล่าวถึงค่านิยมในเรื่องความหรูหราว่า คนไทยมักนิยมการปฏิบัติตนที่แสดงของของความหรูหรา หรือเพื่อบ่งบอกสถานภาพทางสังคมของตนว่า เป็นคนชั้นสูง เป็นคนมีเงิน เช่นนิยมการแต่งการหรูหรา การจัดงานใหญ่โต ที่แสดงออกถึงความหรูหรา หรือความโก้เก๋ การแข่งกันแต่งกายว่าใครจะหรูหรากว่ากัน บางรายถึงกับกู้หนี้ยืมสินเพื่อมาจัดงานก็มี การใช้จ่ายเช่นนี้ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ทางเศรษฐกิจ
ซึ่งปัจจุบันนี้เราเห็นว่าผู้คนมากมายก็ยังมีค่านิยมเรื่องความโก้หรู ความรูหรา และการใช้สิ่งของฟุ่มเฟย เช่นใช้โทรศัพท์ราคาหลายหมื่นบาท ทั้ง ๆ ที่ใช้ประโยชน์จากโปรแกรมต่าง ๆ ได้ไม่ครบถ้วน การใช้รถยนต์ส่วนตัวราคาแพง หรือการแต่งกายด้วยสินค้ายี่ห้อดงจากต่างประเทศ ซึ่งราคาแพงมหาศาล ลักษณะนี้จึงเป็นลักษณะของการโอ้อวดอีกอย่างหนึ่ง เป็นการไม่ประมาณตนเอง
จาการที่คนในสังคมไทยมีนิสัยที่ชอบยกย่องผู้มีความรู้ เพราะเชื่อว่าคนมีความรู้ จะเป็นผู้รอบรู้และหน้าเชื่อถือ บุคคลจึงต้องหาความรู้มาเลื่อนฐานะของตนเอง เพราะการมีความรู้หมายถึงการทำงานที่มีเกียรติมีตำแหน่งดีขึ้น อันที่จริงผู้รู้นั้นมีทั้งที่ผู้รู้จริงและรู้ไม่จริง ผู้ที่รู้จริงก็ดีไป แต่ผู้ที่รู้ไม่จริงก็คือผู้ที่รู้ไม่ลึกซึ้งแต่ก็ทำเป็นรู้ เพื่อตำแหน่ง ลาภ ยศ สรรเสริญ เป็นการทำให้เสียงาน ผมที่ได้กลายเป็นไม่ดีสักอย่าง เป็นการหลอกตัวเองและหลอกคนอื่น (สุพัตรา สุภาพ. ๒๕๓๔ : ๑๔) ลักษณะนี้จึงเข้ากับความหมายของคนที่ชอบโอ้อวด อวดอ้าง และเป็นการลืมตัวในที่สุด
อีกลักษณะนิสัยหนึ่งของคนไทยที่เอามาพิจารณาประกอบคือ การไม่เห็นเห็นใครเหนือกว่า ซึ่งสอดคล้องกับคำพังเพยที่ว่า “เสือสองตัวอยู่ถ้ำเดียวกันไม่ได้ ฉะนั้นใครดีกว่าใคร อีกฝ่ายที่ดีไม่เท่าจะไม่พอใจและหาทางว่ากล่าวหรือกลั่นแกล้งเท่าที่จะเป็นไปได้ หรือไม่ก็โอ้อวดตนเอง (สุพัตรา สุภาพ. ๒๕๓๔ : ๒๘)
จากลักษณะนิสัยที่กล่าวไป ทำให้คนไทยในระดับชาวบ้านค่อนข้างมีอิสระทางความคิด สามารถวิภาษและวิจารณ์ผู้อื่นที่อยู่ในระดับต่ำกว่า หรืออยู่ในระดับเดียวกัน ดังนั้น นิสัย โอ้อวด ขี้อวด และลืมตัวจึงเกิดขึ้น บทความนี้จะขอแยกประเด็นเป็นสองประเด็นคือ ๑) การโอ้อวด ขี้อวด และการลืมตัว ๒)ให้คนรู้จักเจียมตัว ไม่โอ้อวด มุ่งการสอนหรือการเตือน
๑. การโอ้อวด ขี้อวด และการลืมตัว
คางคกขึ้นวอ
ความหมาย : คนที่มีฐานะต้อยต่ำพอได้ดิบได้ดีมักแสดงกริยาอวดดีลืมตัว (พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน ๒๕๔๒. ๒๔๔) และ คนชั้นต่ำที่ไม่เคยมีเคยได้สิ่งที่เกินคาดหมายแล้วมามีได้ขึ้น เป็นกริยาที่เห็นว่าตื่นเห่อต่าง ๆ (กาญจนาคพันธุ์. ๒๕๓๘ : ๑๑๖) เป็นการเปลี่ยนเทียบกริยาของคนที่มีนิสัยพอได้ดีมักแสดงกริยาอวดดีลืมตัวกับคางคก ที่ลักษณะประจำของคางคกมักจะเชิดหัวชูคางเวลาที่เกิดอะไรขึ้นกันมัน โดยมีเรื่องเล่าว่า คางคกตัวหนึ่งได้ตามเสด็จพระราชาโดยพระองค์ทรงเมตตานั่งบนวอพระที่นั่งด้วย ครั้นเทื่อกลับมายังหมู่บ้านของคางคก คางคกก็ยังเชิดหัวชูคอทำท่าเหมือนยังนั่งอยู่บนวอของพระราชา (ดนัย เมธิตานนท์. ๒๕๔๘ : ๑๙) ลักษณะดังกล่าวคล้ายกับสำนวนไทยเช่น กิ่งก่าได้ทอง และ วัวลืมตีน เป็นต้น ดั่งปรากฏในโคลงสำนวนสุภาษิตไทยดังนี้
“ขี้ค่าโชคเข้าช่วย ถูกหวย
ยากจกโชคอำนวย ลาภให้
อวดหยิ่งนึกว่ารวย ลืมโคตรตนเอง
คางคกขึ้นวอได้ เชิดหน้าชูคอ” (สุทธิ ภิบาลแทน. ๒๕๔๕ : ๖๖)
กิ้งก่าได้ทอง
ความหมาย : เย้อหยิ่งเพราะได้ดีหรือมีทรัพย์เล็กน้อย (กาญจนาคพันธุ์. ๒๕๒๒ : ๕๔) เป็นการกล่าวถึงบุคคนที่เย้อหยิ่งจองหองลำพองตนโดยใช้ในการติเตียนคนที่คิดว่าตนดีกว่าคนอื่น หรือบุคคลที่ได้ดีแล้วลืมนึกถึงบุญคุณของผู้อุปการะ เป็นสำนวนที่มาจากนิทานชาดกเรื่อง มโหสถชาดกกล่าวถึงกิ้งก่าตัวหนึ่งที่อาศัยประตูพระราชอุทยานของพระราชาพระองค์หนึ่ง เมื่อพระราชาเสด็จมาเจ้ากิ้งก่าก็จะลงมาถวายคำนับมิได้ขาด พระราชาจึงพระราชทานสร้อยทองให้กิ้งก่า ภายหลังพระราชาเสด็จมาอีกครั้ง เจ้ากิ้งก่าก็ไม่ยอมลงมาถวายคำนับ พระราชาจึงตรัสว่า ที่กิ้งก่ากำเริบเย่อหยิ่งก็เพราะถือตัวว่ามีทองผูกคอเพียงเล็กน้อยเลยเอาทองออกเสียและไม่พระราชทานอะไรอีกต่อไป (กาญจนาคพันธุ์. ๒๕๓๘ : ๒๙ – ๓๐) พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยได้พระราชนิพนธ์เรื่องไชยเชษฐ์ที่แสดงถึงสำนวนนี้ไว้ดังนี้
“เมื่อนั้น พระไชยเชษฐ์เคืองแค้นแสนศัลย์
งุ่นง่านดาลเดือดดุดัน ขบฟันเกรี้ยวกราดตวาดไป
เหม่อีขี้ข้าหน้าเป็น มาเยอะเย้ยกูเล่นหรือไฉน
กูขับเมียกูเสียก็เพราะใคร พวกมึงหรือมิใช่มายุยง
มึงอย่าพักชมชื่นรื่นรวย ชีวิตมึงจะม้วยเป็นผุยผง
แม้ตามไปได้ดั่งใจจง จะปลดปลงทั้งโคตรอีกเจ็ดคน
วันนั้นเสียความไม่ถามไถ่ กูหลงเชื่ออีใจอกุศล
ม่ทันคิดพิเคราะห์ดูเล่ห์กล บันดาลดลจิตใจให้ขับน้อง
มึงทั้งเจ็ดคนอีชาติข้า เห็นกูไปมาก็จองหอง
ทำแก่เนื้อแก่ตัวหนังหัวพอง เหมือนกิ่งก่าได้ทองผูกคอไว้” (ศักดิ์ศรี แย้มนัดดา.๒๕๔๔ : ๑๘)
วัวลืมตีน
ความหมาย : เหลิง เหิม ไม่เจียมตัว ฯลฯ มักมีคำพูดเพิ่มขึ้นว่า “ข้าลืมตัว วัวลืมตีน” (กาญจนาคพันธุ์. ๒๕๓๘ : ๕๓๔) หมายถึงคนที่ลืมตัว ลืมกำพืดตนเอง หยิ่งผยองในฐานะปัจจุบันโดยลืมอดีตความเป็นมาของตน สำนวนนี้นิยมใช้กับคนที่เคยยากจนข้นแค้น ปากกัดตีนถีบ เพื่อให้มีกิน แต่เมื่อมีฐานะดีขึ้น กลับลืมตัวตนในอดีตของตน หยิ่งยโส ยกตนข่มท่านอยู่เสมอ ดั่งปรากฏในโคลงสำนวนสุภาษิตไทยดังนี้
“วัวลืมตีนย้ำน้ำ โคลนตม
คนแค่นลืมปฐมกาล โคตรเหง้า
ดุจว่าวร่อนหลงลม สุดป่าน
ได้ดิบได้ดีแล้วเจ้า ห่อนรู้ตนเอง” (สุทธิ ภิบาลแทน. ๒๕๔๕ : ๒๘๑)
จมไม่ลง, จนแล้วไม่เจียม
การจมไม่ลงเป็นการเปรียบเทียบเรือที่รั่ว ผุพังแต่ไม่ยอมจม ความหมายตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน (๒๕๔๒. ๒๘๘) คือ เคยทำตัวใหญ่มาแล้วทำให้เล็กลงไม่ได้ มักใช้แก่คนที่เคยมั่งมีหรือรุ่งเรืองมาก่อน เมื่อยากจนหรือตกอับลงก็ยังทำตัวเหมือนเดิม กาญจนาคพันธุ์ (๒๕๓๘ : ๑๓๙) ได้ให้ความหมายว่า อยู่ในฐานะที่ไม่อาจลดตัวลงได้ เช่นคนเป็นเศรษฐีมีหน้าตาใหญ่โต จะมีจะทำอะไรก็ล้วนแต่ใหญ่โตมาแล้ว ครั้นจนลง จะทำอะไรเล็กน้อยก็เสียหน้า เลยต้องทำอะไรใหญ่โตตามเดิม ทั้ง ๆ ที่อัตคัดขาดแคลนเต็มที สำนวนที่มีความหมายเหมือนกันคือ “จนแล้วไม่เจียม” โคลงสำนวนสุภาษิตไทยกล่าวถึงสำนวนนี้เอาไว้ว่า
“ยามรวยมีทรัพย์ใช้ คล่องมือ
เงินหมดยังยึดถือ ก่อนกี้
ทำตัวว่าข้าคือ ผู้ร่ำ รวยนา
จมไม่ลงอย่างนี้ แค้นยิ้ม อกตรม” (สุทธิ ภิบาลแทน. ๒๕๔๕ : ๒๘๑)
เรือใหญ่คับคลอง
ความหมาย คนที่เคยรุ่งเรืองในอดีตหรือเคยเป็นใหญ่เป็นโตเมื่อตกต่ำก็ไม่สามารถวางตัวอย่างคนสามัญได้ ยังมีนิสัยแสดงความเป็นใหญ่อยู่เสมอ (พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน ๒๕๔๒ : ๙๗๔) โดยเปรียบเทียบเรือขนาดใหญ่ที่แล่นอยู่ในคลองเล็ก เป็นการแล่นแบบช้า ๆ โดยไม่สนใจว่าจะมีเรือลำได้แล่นตามมา หรือไม่เปิดโอกาสให้เรือแล่นแซงไป เรือขนาดเล็กกว่าจึงไม่สามารถแล่นผ่านไปได้ และเมื่อเมื่อเวลาน้ำลง เรือใหญ่จะไม่สามารถแล่นต่อไปได้ติดเนินจนขวางทางสัญจรของเรือลำอื่น เปรียบเสมือนคนที่เคยมียศเสื่อมยศ เคยมีลาภก็เสื่อมลาภ เคยมีบรรดาศักดิ์ก็เสื่อมบรรดาศักดิ์ เคยจ้างคนรับใช้มาคอยดูแล เมื่อไม่มีคนรับใช้ก็ทำอะไรเองไม่เป็น เมื่อตกต่ำลงก็ไม่สามารถใช่ชีวิตได้อย่างสามัญชนคนทั่วไป สำนวนที่มีความหมายเหมือนกันคือ “จมไม่ลง” ปรากฏในโคลงสำนวนสุภาษิตไทยดังนี้
“เรือใหญ่แจวถ่อค้ำ คับคลอง
ไม่คล่องแคล่วดั่งปอง มุ่งไว้
เคยสุขกลับหม่นหมอง ตกยาก ลงนา
หากไม่ปลงใจได้ คับแค้นเคืองใจ (สุทธิ ภิบาลแทน. ๒๕๔๕ : ๒๖๒)
เอาบาตรใหญ่เข้าข่ม
ความหมาย เอาอำนาจที่ตนมีมาข่มขู่ผู้อื่นที่อยู่ในฐานะต่ำกว่า ดนัย เมธิตานนท์ (๒๕๔๘ : ๑๑๐) ได้ให้ที่มาของสำนวนนี้ว่าอาจมาจากบาตรพระสงฆ์ที่มี ๓ ขนาด คือขนาดใหญ่ ขนาดกลาง ขนาดเล็ก ซึ่งมีความจุแตกต่างกัน เมื่อพระสงฆ์จะตวงวัดอะไรก็เอาบาตรของตนออกมาเป็นเกณฑ์วัด ใครมีบาตรใหญ่ก็จะนำออกมาใช้ แล้วถือว่าของตนถูกกว่าพระสงฆ์ที่มีบาตรเล็กกว่าปรากฏในโคลงสำนวนสุภาษิตไทยดังนี้
“พูดดีพูดถูกต้อง เจรจา กันเอย
ผิดถูกเหตุผลหา เอ่ยอ้าง
อย่าเอาบาตรใหญ่มา เข้าข่ม
ใช้วิธีเสริมสร้าง สฤษฏ์ในธรรม” (สุทธิ ภิบาลแทน. ๒๕๔๕ : ๓๔๒)
ลูกสมภารหลานเจ้าวัด, ลูกท่านหลานเธอ
ความหมาย : ลูกเจ้านาย หรือ ลูกผู้มีอำนาจที่จะแสดงอำนาจแก่คนที่มีอำนาจน้อยกว่า ในสมัยก่อนที่การศึกษาต้องขึ้นอยู่กับวัด ชาวบ้านจะนิยมส่งลูกหลายไปร่ำเรียนที่วัด เด็กบางคนเป็นหลานของเจ้าอาวาท เด็กบางคนเป็นลูกของเจ้านาย ก็จะได้รับความเกรงใจจากเด็กคนอื่นที่เรียนร่วมกันแต่มีฐานะต่ำกว่า เด็กเหล่านี้ก็จะต้องระมัดระวังตัวไม่ไปทำอะไรขัดใจเด็กเหล่านั้น (ดนัย เมธิตานนท์ ๒๕๔๘ : ๑๓๔) มีความเหมือนกับสำนวน “ลูกท่านหลานเธอ” เปรียบดั่งโคลงสำนวนดังนี้
“ญาติมิตรคนใกล้ชิด ได้งาน เร็วเฮย
ดั่งลูกหลานสมภาร ฝากไว้
อีกญาติมิตรสนิทนาน แนบแน่น
หากมาลำเอียงไซร้ แน่แท้คนชัง” (สุทธิ ภิบาลแทน. ๒๕๔๕ : ๒๗๒)
บอกหนังสือสังฆราช, สอนจระเข้ว่ายน้ำ, สอนลูกแกะให้เล็มหญ้า
ความหมาย เป็นการสั่งสอนผู้มีความรู้มากกว่าตน หรือผู้ที่มีความรู้ดีในเรื่องนั้น ๆ อยู่แล้ว ซึ่งมีความหายเดียวกับสำนาน “สอนจระเข้ว่ายน้ำ” และ ส”อนลูกแกะให้เล็มหญ้า” สำนวนนี้มาจากเรื่องศรีธนชัยคือ ศรีธนชัยเดินไปที่ข้างกุฏิสังฆราชเห็นคัมภีร์ตกอยู่ที่พื้นก็บอกให้สังฆราชทราบ เลยใช้เหตุการณ์ไม่ไปเข้าเฝ้าพระราชาหลายวัน พระราชาจึงรับสั่งให้ตามตัวเพื่อถามถึงสาเหตุ ศรีธนชัยทูลว่าต้องไปบอกหนังสือสังฆราช พระราชาถามว่าศรีธนชัยมีความรู้มากแค่ไหนจึงไปบอกหนังสือ ศรีธนชัยไม่ตอบ พระองค์จึงตรัสถามสังฆราช สังฆราชทูลว่า บอกในที่นี้ไม่ได้หมายถึงสอนอย่างที่เข้าพระทัย แต่บอกคือ บอกว่าหนังสือหล่นที่พื้น (กาญจนาคพันธุ์. ๒๕๓๘ : ๕๖๑) ส่วนสำนวนคำว่า สอนจระเข้ว่ายน้ำมีความหมายว่า สอนคนที่มีสันดานไม่ดีอยู่แล้วให้มีปัญญามากขึ้น สำนวนนี้บางทีก็ใช้เป็นกลางคือ สอนหรือบอกแนะนำให้เขาทำอะไรที่เขาเป็นอยู่แล้ว แต่สอนมากหมายถึงสอนคนที่สันดาลพาลให้มีปัญญา ซึ่งแล้วก็ก่อเรื่องร้ายในภายหลัง (กาญจนาคพันธุ์. ๒๕๓๘ : ๕๖๐) ดังปรากฏในโคลงสุภาษิตเก่าดังนี้
“สั่งสอนสัตว์จระเข้ คงคา
ให้แหวกวนเวียนวา รีหว้าย
เปรียบปราชญ์สั่งสอนสา นุศิษย์ พาลแฮ
มันเก่งโกงยิ่งย้าย อย่าเยื้องยักสอน” (กาญจนาคพันธุ์. ๒๕๓๘ : ๕๖๐)
ฝรั่งขี้นก, ฝรั่งบางเสาธง, ฝรั่งกังไส
ความหมาย เรียกคนที่ชอบทำตัวเป็นฝรั่ง ซึ่งหมายถึงการลืมตนประเภทหนึ่ง คือเป็นการเปลี่ยนแปลงตนเองไปสู่สิ่งหนึ่งเช่น เมื่อเรียนจนจากต่างประเทศกลับมา ก็ยังปฏิบัติตนเหมือนกับอยู่ที่ต่างประเทศ กินของพื้นบ้านที่เคยกินไม่ได้ เสื้อผ้าเครื่องแต่งกายก็แต่งอย่างฝรั่ง พูดไทยคำภาษาอังกฤษคำการลืมรากเหง้าของตนเอง ลืมตนเองนั่นเอง คำว่า “ฝรั่งขี้นก” ไขสิริ ปราโมช ณ อยุธยา (๒๕๓๙ : ๑๙๐ - ๑๙๑) ได้อธิบายไว้ดังนี้ หมายถึงฝรั่งที่เป็นผลไม้พันธุ์หนึ่งมีลูกเล็ก ไส้แดงมีรสอร่อยพอสมควร แต่ก็สู้ฝรั่งลูกใหญ่ไม่ได้ คนจึงไม่นิยมกิน เช่นเดียวกับ “ฝรั่งบางเสาธง” ก็เป็นชื่อพันธุ์ของฝรั่งที่อยู่ฝั่งธนบุรี นับเป็นผลไม้ขึ้นชื่อของที่นี่ ส่วนคำว่า และ “ฝรั่งกังไส” โดยเฉพาะ “กังไส” เป็นชื่อแคว้นหนึ่งของจีนที่ขึ้นชื่อเรื่องถ้วยปั้น สำนวน “ฝรั่งกังไส” นั้นได้มาจากพวกฝรั่งที่ทำถ้วยชามเลียนแบบชามกังไสของจีน แต่เอาสำนวนนี้มาเรียกคนจีนที่ทำตัวเป็นฝรั่งหรือคนทั่ว ๆ ไปที่ทำตัวเป็นฝรั่ง พระราชนิพนธ์ไกลบ้านมีกลอนตอนหนึ่งที่เกี่ยวกับสำนวนฝรั่งบางเสาธงว่า
“มามัวดูอยู่เช่นนี้ไหนรอด เห็นจะจอดเจ็บใจจนไผ่ผอม
ฝรั่งขาวพี่เกลียดขี้เกียจตอม ไม่งามพร้อมเหมือนฝรั่งบางเสาธง” (กาญจนาคพันธุ์. ๒๕๓๘ : ๓๗๗)
วัดรอยเท้า, วัดรอยตีน
ความหมายตาม พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน (๒๕๔๒. ๑๐๕๘) คือ เทียบดูว่าสู้พอได้หรือไม่ เช่นลูกศิษย์วัดรอยเท้าครู, คอยเทียบตัวเองกับผู้ที่เหนือกว่าเพื่อชิงดีชิงเด่น เช่นลูกน้องวัดรอยตีนหัวหน้า กาญจนาคพันธุ์ (๒๕๓๘ : ๕๓๐) ได้ให้ความหมายว่า เป็นสำนวนที่มุ่งจะตอบแทน มุ่งแก้แค้น มุ่งอาฆาต ฯลฯ เป็นสำนวนใช้กับลูกที่คิดจะสู้กับพ่อ ผู้น้อยคิดจะหักล้างผู้ใหญ่ที่เคยบังคับบัญชาตนมาก็ได้ ความหมายในที่นี้อาจหมายถึงการไม่เจียมตัว หรือการลืมตัวได้ในทางหนึ่ง สำนวนนี้มาจากวรรณคดีเรื่องรามเกียรติ์ ตอนทรพีสู้กับทรพาพ่อของตนดังนี้
“มาจะกล่าวบทไป ถึงทรพีใจหาร
เทวารักษ์มาช้านาน ในถ้าสุรกานต์พรายพรรณ
เหมือนได้กินนมมารดร มีกำลังฤทธิรอนแข็งขัน
เจริญวัยใหญ่ขึ้นทุกวัน ก็เที่ยวสัญจรออกมา
ลองเชิงเริงร้องคะนองไพร ไล่เลี้ยวเสี่ยวขวิดหินผา
ตามสะกดบทจรทรพา วัดรอยบาทาบิดาดู
เห็นเท่าเติบใหญ่คล้ายคลึง ก้ำกึ่งพอจะตอบต่อสู้
หมายเขม้นจะเป็นศตรู วันนี้ตัวกูกับบิดา
จะได้ลองฤทธิ์ขวิดกัน ประจัญดูกำลังให้หนักหนา
คิดแล้วแอบพุ่มซุ่มกายกายา จับกลิ่นหญ้าอยู่ริมธาร” (ศักดิ์ศรี แย้มนัดดา.๒๕๔๔ :๑๑๖ – ๑๑๗)
ในเรื่องพระอภัยมณีก็ได้กล่าวไว้เช่นกัน
“แม้ลูกชั่วหัวดื้อทำซื้อรู้ จนพี่ป้าย่าปู่ไม่รู้จัก
ผลาญพงศ์เผ่าเหล่ากอทรลักษณ์ ชื่อว่าอักตัญญูชาติงูพิษ
เหมือนพวกมึงซึ่งไม่รู้จักกูนี้ ดังทรพีวัดรอยจะคอยขวิด” (กาญจนาคพันธุ์. ๒๕๓๘ : ๕๓๑)
ในโคลงสำนวนสุภาษิตไทยที่แต่งในปัจจุบันก็ได้กล่าวถึงการวัดรอยเท้าไว้เช่นกัน8nv
“วัดที่แบ่งโฉนดไว้ วัดวา
วัดที่แบ่งเนื้อหา เขตให้
สอบวัดคิดราคา สูงต่ำ
หากวัดรอยตีนไซร้ แน่แท้เนรคุณ” (สุทธิ ภิบาลแทน. ๒๕๔๕ : ๒๗๙)
เห็นกงจักเป็นดอกบัว
ความหมายคือการเห็นผิดเป็นชอบ เห็นสิ่งที่ไม่ดีเป็นดี มาจากชาดกเรื่อง มิตตวินทชาดก ครั้งนั้นพระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นเทวดาไปเที่ยวเมืองนรก ไปเห็นมิตตวินทุทำร้ายมารดาตายไปตกนรก กำลังได้รับความทุกขเวทนาจากการที่มีกลจักครอบอยู่ที่หัว กงจักรหมุนรอบหัวจนเลือดไหลโทรม พระโพธิสัตว์แลเห็นกงจักรนั้นกลายเป็นดอกบัวจึงเอามาครอบศีรษะตนเอง (ดนัย เมธิตานนท์. ๒๕๔๘ : ๑๐๘) สำนวนนี้ปรากฏในวรรณคดีเรื่อง เพลงยาวกรมหมื่นสถิต
“แต่แรกรักหักจิตไม่คิดกลัว เห็นจักรหลอกเป็นกอดบัวก็เร่อมา
ครั้นเห็นชัดสิเมื่อพลัดเข้าติดตึ้ง จะถอนทิ้งก็ไม่ขาดเหมือนปรารถนา” (กาญจนาคพันธุ์. ๒๕๓๘ : ๖๔๕)
เพลงยาวคุณพุ่ม
“ในชาตินี้มิได้อยู่ชูฉลอง เพราะคะนองหนีบุญมุ่นโมหา
ดูกงจักรหักเห็นเป็นผกา ต้องออกมาใช้ชาติญาติเวร” (กาญจนาคพันธุ์. ๒๕๓๘ : ๖๔๕)
วาทิน ศานติ์ สัสนติ
(อ่านต่อใน จริงหรือไม่ คนไทยโอ้อวด ขี้อวด ลืมตัว ตอนที่ ๒))