อุปนิสัยของคนไทยด้านการโอ้อวด ขี้อวด ลืมตัว ตอนที่ ๒/๒ ตอนจบ
วาทิน ศานติ์ สันติ
๒. ให้คนรู้จักเจียมตัว ไม่โอ้อวด มุ่งการสอนหรือการเตือน
นุ่งห่มนุ่งเจียม, เจียมอยู่เจียมกิน
ความหมาย แต่งตัวพอให้สมฐานะ เป็นการสอนให้คนพอใจในสิ่งที่ตนมี ไม่ไปอยากได้อยากมีเหมือนคนอื่นเขา ควรทำอะไรให้สมฐานะของตนเอง เป็นสำนวนที่บอกให้ถ่อมตน อีกทั้งสำรวมกิริยามารยาทของตน ซึ่งในสังคมปัจจุบันจะเห็นได้ว่า ผู้คนใช้เงินเกินรายได้ กู้หนี้ยืมสินมาซื้อรถซื้อบาทซึ่งราคาไม่สมดุลกับเงินเดือน เมื่อไม่สามารถจ่ายได้กำหนด ก็กลายเป็นหนีสินมหาศาล บ้าน รถ ก็โดนยึด บางคนใช้เครื่องแต่งกายที่มีราคาแพง ซึ่งไม่เหมาะสมกับฐานะและสถานที่ที่ไป ซึ่งก็สอดคล้องกับสำนวนนุ่งห่มนุ่งเจียมเช่น “เจียมอยู่เจียมกิน” ในสุภาษิตสอนหญิงได้กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า
“เห็นผู้ดีมีทรัพย์ประดับแต่ง อย่าทำแข่งวาสนากระยาหงัน
ของตัวน้อยก็ถอยไปทุกวัน เหมือนตัดบั่นต้นทุนศูนย์กำไร
จงนุ่มเจียมห่มเจียมเสงี่ยมหงิม อย่ากระหยิ่งยศถาอัชฌาสัย
อย่านุ่งลายกรุยทำฉุยไป ตัวมิใช่ชาววังไม่บังควร” (กระทรวงศึกษาธิการ๒๕๔๕ : ๑๐๑)
ในโคลงโลกนิติได้สอนเรื่องให้คนเจียมตัวเอาไว้ ในที่นี้หมายถึงการเจียมตัวในเรื่องอารมณ์ เรื่องการเจียมตัวในความรู้ดังนี้
“เจียมใดจักเทียมเท่า เจียมตัว
รู้เท่าท่านทำกลัว ซ่อนไว้
อย่ามึนมืดเมามัว โมหะ
สูงนักมักเหมือนไม้ หักด้วยแรงลม (กระทรวงศึกษาธิการ. ๒๕๔๓ : ๒๕๘)
ตัวเป็นข้าอย่าให้ผ้าเหม็นสาบ
ความหมาย ยากไร้แล้วอย่าประพฤติตัวไม่ดีเป็นสำนวนเก่าที่ยังอยู่ในยุคที่มีทาส ดังนั้นข้าในที่นี้จึงหมายถึงข้าทาส (ดนัย เมธิตานนท์. ๒๕๔๘ : ๑๗๑) ที่อยู่ในชั้นต่ำสุดของสังคมศักดินา เป็นการสอนให้ผู้มีฐานะต่ำต้อยสำรวมอยู่ในฐานะของตนเอง อีกทั้งยังสอนให้ไม่ไปทำเรื่องเดือนร้อนเสียหาย ไม่ให้ประพฤติตนไปในทางที่ไม่ดีเป็นการซ้ำเติมฐานะของตนเอง ซึ่งก็เป็นการสอนให้คนรู้จักเจียมเนื้อเจียมตัว ในเสภาขุนช้างขุนแผน ตอนขุนแผนเข้าห้องนางแก้วกิริยา ซึ่งถูกนำมาขายเป็นทาสขุนช้าง นางแก้วกิริยาตัดพ้อขุนแผนว่า
“แม้นใครรู้ก็จะจู่กันกระซิบ ตาขยิบปากด่าใส่หน้าเอา
ว่าเป็นข้าแล้วให้ผ้าเหม็นสาบสิ้น ฉันจะผินหน้าเถียงอย่างไรเล่า” (ดนัย เมธิตานนท์. ๒๕๔๘ : ๑๗๑)
ปลูกเรือนแต่พอตัว หวีหัวแต่พอเกล้า, นกน้อยทำรังแต่พอตัว
ความหมาย ทำสิ่งใด ๆ ให้พอสมควรกับฐานะของตนเอง (ดนัย เมธิตานนท์. ๒๕๔๘ : ๑๘๕) เป็นสำนวนที่สอนให้คนรู้จักประมาณตน พอใจในสิ่งที่มี รู้จักความพอเพียง ใช้ทรัพยากรให้เหมาะสมคุ้มค่า ซื้อหาสิ่งใดก็ให้สมกับฐานะการประโยชน์ในการใช้ เช่นการซื้อบ้านหรือสิ่งของเครื่องใช้ต่าง ๆ เป็นต้น ซึ่งสามารถใช้ได้กับสังคมในปัจจุบัน ในสุภาษิตสอนเด็กกล่าวว่า
“จงจียมจิตคิดเหมือนนกกระจ้อยร่อย ตัวนั้นน้อยทำรังพอฝังแฝง
รอดจากภัยพาธากาเหยี่ยวแร้ง พอคล่องแคล่งอยู่สบายจนวายปราณ” (กาญจนาคพันธุ์. ๒๕๓๘ : ๒๗๕)
โคลงโลกนิติสอนให้คนรู้จักฐานะของตนเองไว้ดังนี้
“หัวล้านไป่รู้มาก มองกระจก
ผอมฝิ่นไป่อยากถก ถอดเสื้อ
นมยานไป่เปิดอก ออกที่ ประชุมนา
คนบาปไป่เอื้อเฟื้อ สดับถ้อยธรรมกวี” (กระทรวงศึกษาธิการ. ๒๕๔๓ : ๓๐๒)
ตักน้ำใส่กะโหลกชะโงกดูเงา
ความหมาย รู้จักเจียมตัว เป็นสำนวนที่มีความหมายประชดประชันหรือดูถูกเหยียดหยาม (ดนัย เมธิตานนท์. ๒๕๔๘ : ๒๒๔) มักใช้ต่อว่าคนที่มีฐานะต่ำกว่าว่าไม่ควรทำอะไรเกินตัว เป็นการเปรียบเทียบภาชนะที่คนมีฐานะยากจนใช้ตักน้ำคำกะโหลก ซึ่งทำมาจากกะลานั่นเอง เป็นการใช้กะลาตักน้ำแล้วส่องดูเงาของตน ซึ่งคนรวยจะใช้ขันที่ทำจากภาชนะโลหะชั้นดี ซึ่งในสังคมในปัจจุบันก็ยังมีการดูถูกเหยียดหยามเช่นนี้ หากมมองในอีกแง่มุมหนึ่งก็เป็นการสอนให้คนรู้จักเจียมเนื้อเจียมตัวเช่นกัน ในบทเจรจาละครอิเหนา พระราชหัตถเลขารัชกาลที่ ๙ ได้กล่าวเกี่ยวกับสำนวนนี้ดังนี้
“อุ๊ย นี่อะไรก็ช่างไม่ตักน้ำใส่กะโหลกชะโงกดูเงาเลยแหละ ช่างเพ้อพูดไปได้นี่ ฉันแน่ะจะว่าเป็นกลาง อย่าอึงไปนะหล่อน ถ้าแม้นทองกุเรปันนี้ ได้เป็นเรือนรับหัวเพชรเมืองดาหาละก็นั่นแหละจะงามเลิศประเสริฐตาน่าดูจริงละ” (กาญจนาคพันธุ์. ๒๕๓๘ : ๒๐๙) โคลงสำนวนสาษิตไทยได้กล่าวถึงสำนวนนี้ไว้ดังนี้
“ตักน้ำใส่กระโหลดไว้ ดูเงา ตนเอง
เป็นคติเตือนเรา อยู่ได้
เจียมตัวอย่าตามเขา ทุกอย่าง
ฐานะตนรู้ไว้ อย่าให้คนขยัน” (สุทธิ ภิบาลแทน. ๒๕๔๕ : ๑๒๒ฆ)
คมในฝัก
หมายถึงลักษณะของผู้ฉลาด แต่นิ่งเงียบ ไม่แสดงความฉลาดนั้นออกมาโดยไม่จำเป็น มีความรู้ความสามารถ แต่เมื่อยังไม่ถึงเวลาก็ไม่แสดงออกมาให้ปรากฏ การไม่อวดรู้แต่คมในฝัก เก็บความฉลาดไว้ข้างใน, ล่วงรู้ความคิดของผู้อื่น แต่ไม่แสดงออกมาว่ารู้ ปรากฏในคำประพันธ์เรื่อง เพลงยาวถวายโอวาท ของ สุนทรภู่
อันความคิดวิทยาเหมือนอาวุธ ประเสริฐสุดซ่อนใส่เสียในฝัก
สงานคมสมนึกใครฮึกฮัก จึงค่อยชักเชือดฟันให้บรรลัย (กระทรวงศึกษาธิกร. ๒๕๔๕ : ๕๘)
โคลงโลกนิติกล่าวถึงการไม่พูดโม้โออวดตนไว้ดังนี้
“กะละออมเพ็ญเพียบน้ำ ฤๅติง
โอ่งอ่างร่องชลชิง เฟื่องหม้อ
ผู้ปราชญ์ห่อนสูงสิง เยียใหญ่
คนโฉดรู้น้อยก้อ พลอดนั้นประมาณ” (กระทรวงศึกษาธิการ. ๒๕๔๓ : ๘๐)
บทสรุป
นิสัยการโอ้อวด ขี้อวด และการลืมตัวขึ้นลักษณะดังกล่าวเกิดจากการที่ตนมีความรู้น้อยหรือความรู้มากแล้วพูดจาอวดอ้างแสดงคุณสมบัติที่ไม่เป็นความจริง เพื่อเป็นการดูถูกเหยียดหยาม ให้ตนเองมีเกียรติ์มากว่าหรือทับกับผู้อื่น สำนวนไทยที่แสดงให้เห็นส่วนใหญ่เป็นการอธิบายนิสัยทางตรง เช่น “คางคกขึ้นวอ” , “กิ้งก่าได้ทอง” ซึ่งยกตัวอย่างวรรณกรรมศาสนาเช่นชาดก ส่วนสุภาษิต“เรือใหญ่คับคลอง” ,“เอาบาตรใหญ่เข้าข่ม” คือการเปรียบเทียบกับวิถีชีวิตประจำวันของชาวบ้านโดยยกสิ่งของเครื่องใช้ประกอบ เพื่อให้คนสามารถเห็นภาพชัดเจน พญาล้านนาปรากฏสำนวนที่ว่า “ข้ามขัวบ่พ้น อย่าฟั่งห่มก้นแยงเงา” อีกทั้งยังสำสุภาษิตที่สอนให้คนไม่ทำหรือทำในด้านบวกเช่น สอนไม่ให้โออวดความรู้ “คมในฝัก” สอนให้รู้จักเจียมตน “ตักน้ำใส่กะโหลกชะโงกดูเงา” ผญาล้านนาปรากฏภาษิตว่า “หันช้างขี้ อย่าขี้ทวยช้าง” เอกลักษณ์ด้านการโอ้อวด ขี้อวด ลืมตัว จึงเป็นเอกลักษณ์ทางด้านนิสัยของคนไทยมาช้านาน ทำให้เกิดสำนวนเปรียบเทียบมากมาย
วาทิน ศานติ์ สันติ
บรรณานุกรม
กระทรวงศึกษาธิการ, กรมวิชาการ.โคลงโลกนิติ พระนิพนธ์สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาเดชาดิศร.กรุงเทพฯ : สถาบันภาษาไทย กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ. ๒๕๔๓.
......................., ภาษิตคำสอนภาคกลาง เล่ม ๑. สถาบันภาษาไทย กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ. ๒๕๔๕.
กาญจนาคพันธุ์. สำนวนไทย. พิมพ์ครั้งที่ ๒. กรุงเทพฯ : ส.เอเชียเพรส (1991) จำกัด. ๒๕๓๘.
ไขสิริ ปราโมช ณ อยุธยา. การเปลี่ยนแปลงถ้อยคำและความหมายของสำนวนไทย. พิมพ์ครั้งที่ ๕. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. ๒๕๓๙.
จันทิมา น่วมศรี. ย้อนคำ สำนวนไทย. กรุงเทพฯ : คลี่อักษร. ๒๕๕๔.
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๔๒. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์นามมีบุคส์. ๒๕๔๖.
ดนัย เมธิตานนท์. บ่อเกิดสำนวนไทย. กรุงเทพฯ : มิติใหม่. ๒๕๔๘.
ผจงจิตต์ อธิคมนันทะ. สังคมและวัฒนธรรมไทย. พิมพ์ครั้งที่ ๓. กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยรามคำแหง.๒๕๔๓.
วิรัช วิรัชนิภาวรรณ. (๒๕๔๖, - ตุลาคม-ธันวาคม). "วิเคราะห์ลักษณะอุปนิสัยของคนไทยที่เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาประเทศ," รัฏาฐาภิรักษ์. ๔๕(๔) : ๓๐ – ๔๑.
ศุภิสรา ปุนยาพร. ภาษิตสำนวนไทย. กรุงเทพฯ : ไทยควิลิตี้บุ๊คส์. ๒๕๕๔.
ศักดิ์ศรี แย้มนัดดา. สำนวนไทยที่มาจากวรรณคดี. โครงการเผยแพร่ผลงานวิชาการ คณะอักษรศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. พิมพ์ครั้งที่ ๑. ๒๕๔๔.
สมร เจนจิระ. ภาษิตล้านนา. พิมพ์ครั้งที่ ๓. กรุงเพทฯ : สถาพรบุ๊คส์. ๒๕๔๗.
สุพัตรา สุภาพ. สังคมและวัฒนธรรมไทย ค่านิยม : ครอบครัว : ศาสนา : ประเพณี. กรุงเพทฯ : ไทยวัฒนาพานิชย์. ๒๕๓๔.
สุทธิ ภิบาลแทน. โคลงสำนวนสุภาษิต. พิมพ์ครั้งที่ ๒. กรุงเทพฯ : ไทยร่มเกล้า. ๒๕๔๕.
อานนท์ อาภาภิรม. สังคม วัฒนธรรม และประเพณีไทย. พิมพ์ครั้งแรก. กรุงเทพฯ : แพร่พิทยา. ๒๕๑๙.