Thaiihdc.org

  • เพิ่มขนาดตัวอักษร
  • ขนาดตัวอักษรปกติ
  • สดขนาดตัวอักษร
Thaiihdc.org

อวตารยุคไอซีที

พิมพ์ PDF

คนยุคปัจจุบัน ที่ถือว่าเป็นคนเต็มคน ต้องอวตารได้ การอวตารไม่ใช่อิทธิฤทธิ์พิเศษอีกต่อไป

 

 

ระหว่างนั่งอ่านหนังสือไปเขียน บล็อก ไป เช้าวันที่ ๑๒ เมย. ๕๖ ผมปิ๊งแว้บว่า สมัยนี้คนเราอยู่หลายที่ในเวลาเดียวกันได้  เพราะเรามีทั้งพื้นที่จริง และพื้นที่เสมือน   อา! อวตารในเรื่องรามเกียรติ์ มาเป็นจริงในช่วงชีวิตผมนี่เอง

ผมอวตารได้มาตั้งหลายปีแล้วโดยไม่รู้ตัว

และที่จริงใครๆ ก็อวตารได้โดยไม่ยาก  ไม่จำเป็นต้องมีอิทธิฤทธิ์พิเศษ  ขอให้มีทักษะด้าน ไอซีที  และมีสาระที่น่าสนใจเอาไปห้อยไว้ในพื้นที่ไซเบอร์ ก็เท่ากับอวตารได้  คือแสดงบทบาทได้โดยตัวจริงไม่อยู่ที่นั่น

คนยุคปัจจุบัน ที่ถือว่าเป็นคนเต็มคน ต้องอวตารได้  การอวตารไม่ใช่อิทธิฤทธิ์พิเศษอีกต่อไป

นั่นคือ “คนมีการศึกษา” ในปัจจุบัน  ต้อง ลปรร. (แลกเปลี่ยนเรียนรู้) กับคนทั้งโลก ในพื้นที่ ไซเบอร์ ได้  และทำอย่างสม่ำเสมอ  ใครอยากรู้จักเรา แต่เข้าไม่ถึงตัวจริง  ก็เข้าไปทำความรู้จักในพื้นที่เสมือนได้

ใครไม่มีตัวตนในพื้นที่เสมือน ถือเป็น “ผู้ด้อยโอกาส” ในโลกปัจจุบัน

คนดี ไม่ว่าในยุคสมัยใด ต้องเป็น “ผู้ให้” มากกว่าเป็น “ผู้เอา” หรือ “ผู้รับ”  การให้แก่โลก ในพื้นที่เสมือน เป็นการให้อย่างหนึ่งในยุคสมัยปัจจุบัน  คือให้การ ลปรร.   คนที่ให้การ ลปรร. ในพื้นที่เสมือนไม่เป็น ถือเป็นผู้ด้อยการศึกษา

ในโลกยุคปัจจุบัน ความรู้ที่ได้จากการปฏิบัติของตนเอง ถือเป็นความรู้ที่มีความจำเพาะ หาจากที่อื่นไม่ได้  การเอาความรู้ที่ได้จากการปฏิบัติ (tacit knowledge) มาแลกเปลี่ยน จึงมีค่ายิ่ง  และการแลกเปลี่ยนที่สะดวกและกว้างขวาง คือแลกเปลี่ยนผ่าน พื้นที่ไซเบอร์

 

วิจารณ์ พานิช

๑๒ เม.ย. ๕๖

คัดลอกจาก http://www.gotoknow.org/posts/538046

 

ประสบการณ์เข้าไปเปลี่ยนแปลงการศึกษาของ อ.พรพิไล เลิศวิชา

พิมพ์ PDF

ในการประชุมเมื่อวันที่ ๑ เม.ย. ๕๖ ที่ สสค. ตามที่เล่าที่นี่ อีกท่านหนึ่งที่เข้าร่วมประชุม และให้ความเห็นที่น่าสนใจมาก คือ อ. พรพิไล เลิศวิชา เมธีวิจัยอาวุโส สกว.   โดยที่ในช่วง ๕ - ๖ ปีหลังนี้ ท่านหันไปเน้นทำงานส่งเสริม BBL (Brain-Based Learning)  ท่านเขียนหนังสือด้าน BBL ให้ สพฐ. ๗ เล่ม  download ได้ที่นี่ และท่านบอกว่า ไปพูดหรือจัดฝึกอบรมในที่ต่างๆ ตามต่างจังหวัดประมาณ ๔๐๐ ครั้ง

ผมลองค้นใน YouTube ด้วยคำว่า “พรพิไล เลิศวิชา” ได้มาหลายตอน  ที่น่าสนใจคือคำอธิบายวิธีใช้ tablet ในเด็ก ป. ๑ ที่นี่ และยังมีตอนอื่นๆ อีกมาก  รวมทั้งค้นด้วย กูเกิ้ล ได้เรื่องที่น่าสนใจมากมาย  ผมขอแนะนำครูอาจารย์ให้อ่านหนังสือและผลงานอื่นๆ ของ อ. พรพิไล  ดังตัวอย่างนี้

อ. พรพิไล บอกว่า จากการเข้าไปคลุกคลีกับคนในวงการศึกษา  มีครูที่ต้องการเอาใจใส่พัฒนานักเรียน แต่ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร  มีผู้บริหารที่ตระหนักว่าต้องเปลี่ยนแปลงวิธีการจัดการเรียนรู้ แต่ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร  ท่านบอกว่า  ต้องหาคนมาช่วยกันแนะนำวิธีดำเนินการปฏิรูปการเรียนรู้ แบบที่ได้ผลดี

ฟังแล้วผมยังสองจิตสองใจกับความเห็นของท่าน  เพราะฟังคล้ายๆ กับว่า ในเรื่องการปฏิรูปการเรียนรู้นั้น  วิธีการที่ถูกต้องมีอยู่อย่างชัดเจนแล้ว  ซึ่งผมคิดต่าง  ผมคิดว่า เรายังรู้เรื่องนี้ไม่มากนัก  ต้องทำไปเรียนรู้ไป  ผมคิดว่า ต้นทุนจากที่ อ. พรพิไล ศึกษามา ก็ดีมาก  และจะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี  แต่ต้องไม่จัด training แบบถ่ายทอดวิธีการ ในแนวทางเดิมๆ เท่านั้น  ต้องติดอาวุธทักษะ learning how to learn ให้แก่ครูและผู้บริหารการศึกษาในพื้นที่ด้วย  ให้สามารถเรียนรู้และปรับวิธีการจัดการเรียนรู้แก่เด็ก ได้อย่างต่อเนื่อง

นั่นคือ อ. พรพิไล ยังขาดการส่งเสริมให้เกิด PLC


วิจารณ์ พานิช

๒๐ พ.ค. ๕๖

คัดลอกจาก http://www.gotoknow.org/posts/538047

 

ทำสงครามกับกระบวนทัศน์ทางสังคม

พิมพ์ PDF

.................................. ที่ร้ายที่สุดน่าจะได้แก่กระบวนทัศน์ทางการศึกษา หรือการเรียนรู้ ที่แทนที่จะมองว่า การศึกษาคือการฝึกฝนตนเองให้สามารถมีชีวิตที่ดี ตามคำสอนของพระพรหมคุณาภรณ์ เรื่อง ฝึกคนเริ่มต้นที่ไหน กลับมองว่าการศึกษาในมุมที่แคบ คือ เพื่อให้ได้ใบรับรองคุณวุฒิ เน้นศึกษาเพื่อสนองความต้องการ ตามความเร่งเร้าของกิเลส ไม่รู้

 

 

กระบวนทัศน์ทางสังคมในประเทศไทย (และในทุกสังคม) มีส่วนที่ผิด ล้าหลังหรือตกยุคมากมาย  ที่ร้ายที่สุดน่าจะได้แก่กระบวนทัศน์ทางการศึกษา หรือการเรียนรู้  ที่แทนที่จะมองว่า การศึกษาคือการฝึกฝนตนเองให้สามารถมีชีวิตที่ดี ตามคำสอนของพระพรหมคุณาภรณ์ เรื่อง  ฝึกคนเริ่มต้นที่ไหน กลับมองว่าการศึกษาในมุมที่แคบ คือ เพื่อให้ได้ใบรับรองคุณวุฒิ  เน้นศึกษาเพื่อสนองความต้องการ ตามความเร่งเร้าของกิเลส  ไม่รู้เท่าทันกิเลส

คนไทยส่วนใหญ่จึงมุ่งให้ลูก “เรียนวิชา” เป็นสำคัญ  หรือเป็นหลักใหญ่  ไม่มองว่าการศึกษา ที่มีคุณค่าที่แท้จริง ไม่ใช่วิชาความรู้  แต่อยู่ที่การฝึกฝนให้มีทักษะสำคัญในการดำรงชีวิต  โดยที่ตัวสาระวิชา เป็นเพียงส่วนเดียว

การวัดผลของการศึกษาไทยในปัจจุบัน วัดด้านเดียวคือ ด้านวิชา  ในขณะที่ท่านเจ้าคุณฯ บอกว่าการวัดพัฒนาการของคนจากคติทางพุทธมี ๔ ด้าน คือ ภาวนา ๔ ได้แก่ กายภาวนา  ศีลภาวนา  สมาธิปัญญา  และ ปัญญาภาวนา  และคติทางการศึกษาที่แท้จริงวัดที่พัฒนาการ ๕ ด้าน คือ ด้านกาย  ด้านอารมณ์  ด้านสังคม  ด้านจิตวิญญาณ  และด้านปัญญา

เราจะเห็นว่า การศึกษาไทยในปัจจุบันกำลังพาเด็กไทย (และสังคมไทย) ดิ่งลงเหว  คือไปสู่ชีวิตที่ไม่ดี ไม่มีความสุข ไม่มีความมั่นคงในชีวิต   เราเห็นวัยรุ่นไทยจำนวนมากเสียคน เสียอนาคต ไปต่อหน้าต่อตา  ยกเว้นกลุ่มคนที่มีฐานะดี (ผมเป็นคนหนึ่งในนั้น)  เราควรช่วยป้องกันวัยรุ่นลูกหลานของเราจากพิษภัยทางสังคม  และช่วยให้สังคมไทยดีกว่านี้ได้ หากระบบการศึกษาเดินไปในทิศทางที่ถูกต้อง

การศึกษาที่มุ่งแต่สอนวิชา  เป็นการศึกษาที่ล้าหลัง สำหรับศตวรรษที่ ๒๑  ที่โลกกำลังอบอวล ไปด้วยลัทธิทุนนิยมบริโภคนิยม กำไรเป็นใหญ่เหนือความสุขของผู้คน  คนที่จะมีความสุขในโลกเช่นนี้ได้ ต้องได้รับการศึกษาแบบฝึกฝนให้ทนสิ่งเร้า ด้วยความสุขระยะสั้น ตามมาด้วยความทุกข์ระยะยาว  หรือความทุกข์เพราะวางท่าที วางระบบชีวิตผิด  เนื่องจากไม่รู้เท่าทัน

 

วิจารณ์ พานิช

๓ เม.ย. ๕๖

คัดลอกจาก http://www.gotoknow.org/posts/538050

 

คุณลักษณะ ที่พึงประสงค์ของพลเมืองในระบอบประชาธิปไตยของไทย

พิมพ์ PDF

 

คุณลักษณะ ที่พึงประสงค์ของพลเมืองในระบอบประชาธิปไตยของไทย

  • พลเมืองที่แข็งขัน (active citizens) เป็นพลเมืองที่มีส่วนร่วมทางการเมืองทั้งทางตรงและทางอ้อม
  • พลเมืองเป็นผู้ที่มีความรู้และมีข้อมูลเกี่ยวกับประชาธิปไตยที่เพียงพอ(informed/ knowledgeable citizens) อันประกอบด้วย ระบบการเมือง ระบบกฎหมาย สิ่งแวดล้อม ความยั่งยืน สิทธิ หน้าที่และความรับผิดชอบ
  • พลเมืองที่มีทักษะพื้นฐานประชาธิปไตย(skilled citizens) ประกอบด้วยการคิดอย่างมีวิจารณญาณการทางานเป็นหมู่คณะการใช้กระบวนการ ประชาธิปไตยแบบปรึกษาหารือด้วยเหตุผล (deliberation)
  • พลเมืองในระบอบประชาธิปไตย(democratic citizens) มีความเชื่อมั่นในพหุนิยม(pluralism) ความเป็นหนึ่งท่ามกลางความหลากหลาย การใช้สันติวิธีในการแก้ไขความขัดแย้งเพื่อประโยชน์ของส่วนรวม ภราดรภาพ ความเสมอภาค ความยุติธรรมทางสังคม การตรวจสอบและถ่วงดุล(check and balance) การพึ่งตนเอง การอยู่ร่วมกับผู้อื่นอย่าง พึ่งพากัน (inter-dependence) และเป็นพลเมืองที่มีความรับผิดชอบ (accountable citizens) มีบทบาทรับผิดชอบต่อผู้อื่น (hold others accountable) และเคารพกฎหมาย
หลักการร่วมในด้านคุณลักษณะของพลเมือง
  • รักความเป็นธรรมและความเสมอภาค (Adhere to Justice and Equality) ยึดถือความยุติธรรม ให้ความสาคัญกับความเป็นธรรมและความเท่าเทียมกันทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม โดยไม่มีการ เลือกปฏิบัติเนื่องจากความแตกต่างในเรื่องถิ่นกาเนิด เชื้อชาติ ภาษา เพศ อายุ ความพิการ สภาพทางกายหรือสุขภาพ สถานะของบุคคล ฐานะทางเศรษฐกิจหรือสังคม ความเชื่อทางศาสนา การศึกษา/อบรม หรือความคิดเห็นทางการเมือง
  • ใช้เสรีภาพด้วยความรับผิดชอบต่อสังคม (Use Freedom based on Social Responsibility) บุคคลในระบอบประชาธิปไตยย่อมมีเสรีภาพได้มากตราบเท่าที่ไม่ละเมิดผู้อื่น นั่นหมายความว่าบุคคลพึงใช้เสรีภาพด้วยความยินดีที่จะให้ผู้อื่นมีเสรีภาพ ได้เช่นเดียวกับตน กล่าวคือบุคคลย่อมใช้เสรีภาพอย่างรับผิดชอบโดยที่เสรีภาพนั้นต้องไม่ก่อให้เกิดผลเสียแก่ผู้อื่น ระบอบประชาธิปไตยไม่สามารถให้บุคคลใช้เสรีภาพโดยไม่ต้องรับผิดชอบต่อสังคมโดยรวมได้
  • เคารพกฎหมายและกฎกติกา (Respect Law and Rules) การศึกษาเพื่อสร้างความเป็นพลเมืองจะทาให้พลเมืองเข้าใจดีว่าเหตุใดการเคารพกฎหมายเป็นสิ่งที่สาคัญสาหรับสังคมและเข้าใจถึงความรับผิดชอบของบุคคลที่จะ ต้องรักษาค่านิยมแบบพหุนิยมไว้ด้วย ทั้งนี้เพราะกฎหมายหรือกฎกติกาของสังคมมีที่มาของความชอบด้วยกฎหมายจากการเห็นพ้องต้องกันของคนในสังคมที่จะผดุงความยุติธรรมให้เกิดขึ้นเสมอหน้ากัน
  • ใช้สิทธิแต่ไม่ละทิ้งหน้าที่ (Use Rights without Neglecting Duties)การใช้สิทธิของบุคคลในระบอบประชาธิปไตยนั้นมีหน้าที่ของบุคคลประกอบด้วย กล่าวคือ หากบุคคลมีสิทธิที่จะได้รับบริการจากรัฐบุคคลก็ย่อมต้องมีหน้าที่ ต้องเสียภาษีด้วย บุคคลมีสิทธิที่จะได้รับประโยชน์จากนโยบายที่ดีของรัฐบาล บุคคลก็ย่อมต้องมีหน้าที่ในการใช้สิทธิเลือกตั้งอย่างมีวิจารณญาณที่ดีด้วย ระบอบประชาธิปไตยไม่สามารถให้บุคคลใช้สิทธิโดยไม่ต้องทาหน้าที่ได้ ซึ่งหมายถึงการใช้สิทธิด้วยความรับผิดชอบต่อสังคมอยู่เสมอ
  • มีภราดรภาพ และเคารพความแตกต่าง (Respect Fraternity and Differences) บุคคลในระบอบประชาธิปไตยย่อมมีความแตกต่างกันในทางความคิดเห็นหรืออื่นๆได้ แต่ความแตกต่างเหล่านี้ต้องไม่เป็นเหตุให้บุคคลโกรธ เกลียด ทะเลาะ ขัดแย้ง ทาร้าย หรือสังหารบุคคลอื่นได้บุคคลในระบอบประชาธิปไตย ต้องมีขันติธรรม (tolerance) คือต้องอดทนต่อความแตกต่างของกันและกันได้ ความแตกต่างของบุคคลในระบอบประชาธิปไตยต้องไม่ทาให้สังคมแตกแยก
  • เห็นความสาคัญของประโยชน์ส่วนรวม (Give importance to common interests) เนื่องจากบุคคลไม่สามารถอยู่คนเดียวในโลกได้ จึงต้องอยู่ร่วมกันในสังคม บุคคลจึงต้องถือประโยชน์ส่วนรวมเป็นสาคัญด้วยเพราะหากทุกคนเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนสาคัญกว่าประโยชน์ส่วนรวม สังคมก็ไม่อาจดารงอยู่ได้ และในกรณีที่มีความขัดกันในผลประโยชน์ (conflict of interests) บุคคลในระบอบประชาธิปไตยต้องสามารถแยกประโยชน์ส่วนรวมกับประโยชน์ส่วนตนได้ ทั้งยังพึงเล็งเห็นให้ได้ว่าแท้ที่จริงประโยชน์ของส่วนรวมก็เป็นประโยชน์ของบุคคล นั้นเองด้วย
  • มีส่วนร่วมทางการเมือง (Participate in Politics) บุคคลในระบอบประชาธิปไตยจาเป็นต้องมีความรู้ ความเข้าใจขั้นพื้นฐานทางการเมืองที่เพียงพอต่อการเป็นพลเมืองในระบอบประชาธิปไตยด้วย เป็นต้นว่าบุคคลในระบอบประชาธิปไตย พึงรู้และเข้าใจว่า การเมืองมีความสาคัญต่อชีวิตของตนและคนอื่นๆในสังคมอย่างไร รู้และเข้าใจโครงสร้างพื้นฐานของระบบการเมืองการปกครองและการบริหารราชการ แผ่นดินของประเทศ รู้และเข้าใจขอบเขตภารกิจ และอานาจหน้าที่ ของตัวแทนที่เลือกเข้าไป นโยบายของพรรคการเมือง รวมถึงพฤติกรรม และกลไกการควบคุมตรวจสอบบุคลากรทางการเมืองด้วย

 

การดำเนินการด้านการส่งเสริมความเป็นพลเมืองในระบอบประชาธิปไตย

พิมพ์ PDF

เหตุผลและความจาเป็นที่ต้องมีหลักสูตรการศึกษาเพื่อสร้างความเป็น

ในระบอบประชาธิปไตย

การดาเนินงานด้านการส่งเสริมความเป็นพลเมืองในระบอบประชาธิปไตย เป็นภารกิจหลักประการหนึ่งที่ทุกภาคส่วนให้ความสาคัญ ปัจจุบัน มีหน่วยงานและองค์กรที่มีภารกิจและความรับผิดชอบในการดาเนินการดังกล่าวหลายหน่วยงาน อาทิเช่น

สานักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง มีภารกิจ ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ มาตรา ๒๓๖ (๘) คือ ส่งเสริมและสนับสนุนหรือประสานงานกับหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือราชการส่วนท้องถิ่น หรือสนับสนุนองค์การเอกชน ในการให้การศึกษาแก่ประชาชน เกี่ยวกับการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และส่งเสริมการมี ส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชน

สถาบันพระปกเกล้า มีวัตถุประสงค์ตามพระราชบัญญัติ สถาบันพระปกเกล้า พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๖ กาหนดว่าวัตถุประสงค์ของสถาบันไว้ กล่าวคือ (๑) ศึกษาและวิเคราะห์ทางวิชาการต่างๆ เพื่อเป็นแนวทาง ในการพัฒนาประชาธิปไตยอย่างเป็นระบบ (๒) ประสานงานกับหน่วยงานอื่นๆ ด้านนโยบายเพื่อการพัฒนา ประชาธิปไตย (๓) วิจัยและสนับสนุนการวิจัยเพื่อการพัฒนาประชาธิปไตย (๔) เผยแพร่และสนับสนุนการเผยแพร่ประชาธิปไตยตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (๕) จัดและสนับสนุนการศึกษาอบรมบุคลากรจากภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชนเกี่ยวกับการเมือง การปกครอง และการเศรษฐกิจและสังคมในระบอบประชาธิปไตย (๖) บริการข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับความรู้และผลงานวิจัย และวิชาการทางการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตย

นอกจากนี้ยังมีหน่วยงานที่ทาหน้าที่ส่งเสริมสนับสนุนด้านการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ทั้งภาครัฐและเอกชน ได้แก่ รัฐสภา สานักงานเสริมสร้างเอกลักษณ์ของชาติ ตลอดจนมูลนิธิ/องค์กรเอกชนต่าง ๆ ซึ่งมีข้อสังเกตดังนี้

๑. แต่ละหน่วยงาน/องค์กร ยังมีความเข้าใจเกี่ยวกับ “การศึกษาเพื่อสร้างความเป็นพลเมือง” แตกต่างกัน ส่งผลให้มีแนวปฏิบัติที่แตกต่างกันออกไป

๒. แต่ละหน่วยงาน/องค์กร ยังขาดวิสัยทัศน์ร่วมเกี่ยวกับลักษณะของพลเมืองที่พึงประสงค์ จึงเน้นแตกต่างกันออกไป

๓. การดาเนินการหรือกิจกรรมหลายกิจกรรมยังไม่สอดคล้องกับช่วงวัยหรือพัฒนาการของผู้เรียน/กลุ่มเป้าหมาย ทาให้การดาเนินการยังขาดประสิทธิภาพ

การที่ดาเนินการเรื่องหลักสูตรหลักสูตรการศึกษาเพื่อสร้างความเป็นพลเมืองในระบอบประชาธิปไตยสาหรับพลเมืองไทยจึงเป็นกรอบที่แสดงระดับพัฒนาการของการดาเนินการสร้างพลเมืองที่จะช่วยให้หน่วยงาน/องค์ที่เกี่ยวข้อง ได้มีทิศทางการดาเนินการที่ชัดเจนเพื่อไปสู่เป้าหมายคือคุณสมบัติของความเป็น พลเมืองที่ได้กาหนดเป้าหมายร่วมกันไว้ อีกทั้งเป็นเครื่องมือสาคัญ ที่จะช่วยกันทางานเชิงเครือข่ายต่อไป เป็นกรอบสาหรับการตั้งคาถาม และแสวงหาแนวทางการดาเนินการที่ชัดเจนต่อไป

 


หน้า 478 จาก 559
Home

About Us

ศูนย์บูรณาการพัฒนามนุษย์ (ศบม.) เป็นองค์กรที่พัฒนาและจัดทำโครงการเพื่อทำประโยชน์ให้สังคม เป็นองค์กรสนับสนุนการดำเนินงานของภาครัฐ ช่วยแก้ปัญหาผู้ประกอบการภาคธุรกิจบริการที่ขาดแคลนบุคลากรที่มีมาตรฐานในการให้บริการ
อ่านเพิ่มเติม

มูลนิธิศูนย์บูรณาการพัฒนามนุษย์ ์

 iHDC Profile
บัญชีรายชื่อกรรมการ
ใบสำคัญแสดงการจดทะเบียน การเปลี่ยนแปลงกรรมการของมูลนิธิ
เอกสารประชาสัมพันธ์ โครงการ HMTC.pdf
เอกสารแนะนำโครงการ HMTC 1.pdf
เอกสารโครงการ HMTC 2 คุณสมบัติผู้เข้าร่วมโครงการ.pdf
iHDC นิติบุคคล.pdf
iHDC บุคคล.pdf
iHDC บุคคลเครือข่าย.pdf
รายงานการประชุม 6 มีนาคม 2560.pdf
ข้อบังคับมูลนิธิ
ใบสำคัญแสดงการจดทะเบียนจัดตั้งมูลนิธิ
Ihdc-Profile and Roadmap 2016-2019 Mar 23 2560.pdf
รายงานการประชุมใหญ่คณะกรรมการมูลนิธิศูนย์บูรณาการพัฒนามนุษย์ 2559.pdf
คำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการ สาขาวิชาชีพ.pdf
รายงานการประชุมใหญ่วันที่ 18 ธ ค 2558 v 3.pdf
รายงานการประชุม วันที่ 24 ธันวาคม 2557 updated 4 มีนาคม 2558.pdf
iHDC-invitation Letter.doc
iHDC-Member Form Thai.doc
iHDC-Member Form English.doc
รายงานการประชุมกรรมการมูลนิธิศูนย์บูรณาการพัฒนามนุษย์ วันที่ 15 มกราคม 2556 ฉบับสมบูรณ์


thaibetter
พัฒนาประเทศไทยแบบทวีคูณ และยั่งยืน ( ททค )

Login


แบบสำรวจ

สถิติเว็บไซด์

สมาชิก : 5614
Content : 3057
เว็บลิงก์ : 26
จำนวนครั้งเปิดดูบทความ : 8657496

facebook

Twitter


บทความเก่า