Thaiihdc.org

  • เพิ่มขนาดตัวอักษร
  • ขนาดตัวอักษรปกติ
  • สดขนาดตัวอักษร
Thaiihdc.org

ASEAN 2015 ประเทศไทยรอด ต้องทำ 3 อย่าง ปรับคุณภาพทุนมนุษย์, ปรับ Mindset และมุ่งมั่นภาษาอังกฤษ ใครจะทำ 3 เรื่อง นี้ให้สำเร็จ โดย ศ.ดร.จีระ หงส์ลดารมภ์

พิมพ์ PDF

ASEAN 2015 ประเทศไทยรอด ต้องทำ 3 อย่าง ปรับคุณภาพทุนมนุษย์, ปรับ Mindset และมุ่งมั่นภาษาอังกฤษ ใครจะทำ 3 เรื่อง นี้ให้สำเร็จ

ผมขอขอบคุณ ผู้อ่านที่ส่งความคิดเห็นกลับมาทาง Web ของแนวหน้า ดังนี้

“ขอบคุณสำหรับบทความจากความจริง ที่ให้ความรู้ ข้อคิดเห็น เพื่อให้ผู้อ่านได้ตระหนักถึงภัยทางด้านเศรษฐกิจที่กำลังคืบคลานมาถึงตัว คนในสังคมส่วนหนึ่ง "รู้สึกรู้สา แต่มิได้นำพา" อีกส่วนหนึ่ง"ไม่รู้สึกรู้สา แต่นำพาได้ทุกเรื่อง" อยากให้คนที่รู้สึกรู้สา ออกมานำพาประเทศ ส่วนคนที่ไม่รู้สึกรู้สาก็อย่าทำให้ประเทศวุ่นวายมากไปกว่านี้”

“ต้องให้คนบริหารประเทศฉิบหายชดใช้ในสิ่งที่เกิดขึ้นต่อไปเพื่อเป็นอุทาหรณ์สำหรับคนที่ไม่มีปัญญาแต่อยากมีอำนาจทำให้ประชาชนเดือดร้อน”

ความคิดเห็นเหล่านี้ทำให้ผมมีกำลังใจในการทำงานเขียนมีความสุขที่ผู้อ่านนำไปใช้และถ้ากรุณากระจายข่าวไปในมุมกว้างด้วยก็จะขอบคุณมากครับ

สัปดาห์นี้ขอแสดงความเสียใจกับครอบครัวศิลปอาชาที่สูญเสีย คุณชุมพล ศิลปอาชา รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา จากโรคหัวใจด้วยวัยแค่ 72 ปี

ผมรู้จักอาจารย์ชุมพลมากว่า 35 ปี เพราะเป็นอาจารย์ที่คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เมื่อเจอกัน ท่านให้กำลังใจผมเสมอ ตอนที่ตั้งสถาบันทรัพยากรมนุษย์ท่านก็บอกว่า ผมเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องนี้ ซึ่งก็เป็นความภาคภูมิใจอย่างยิ่ง

มีคนพูดเล่นๆว่า คุณชุมพลเป็นคนดีของครอบครัวศิลปอาชา น่าเสียดายคนดีตายเร็ว แต่คนไม่ดีมักจะอยู่นาน โลกก็เป็นแบบนี้แหละ “สองมาตรฐานหรือเปล่า?”

สัปดาห์นี้ ผมมีโอกาสไปทำงานเรื่อง อาเซียน 20152 แห่ง2 โรงเรียน คือ

§  วิทยาลัยการอาชีพกาญจนบุรี

§  โรงเรียนท่าม่วงราษบำรุง จ.กาญจนบุรี

วัตถุประสงค์ คือไปกระตุ้นให้นักเรียนและครูกว่า 150 คน 2 แห่ง เข้าใจอาเซียนและปรับตัว  ได้มอบหนังสือ 8K’s, 5K’s ให้กับห้องสมุด มีกลุ่มตัวแทนสโมสรไลออนส์ไปร่วมด้วย 5 - 6 คน

กว่าถือโอกาสเสนอแนะให้แก่ผู้อ่านและสังคมไทยว่า การเข้าสู่ประชาคมอาเซียน 2015 ไม่ใช่เรื่องเล็กๆอีกต่อไป

กว่า 20 หน่วยงานที่ผมได้ไปช่วยสอนและผู้ฟังอีกกว่า 5,000 คน สรุปได้เป็น 3 เรื่องใหญ่ๆ ที่จะต้องนำไปปรับให้คนไทยอยู่รอดในอาเซียน 2015

เรื่องแรก คือ เรื่องภาษาอังกฤษ และภาษาอาเซียนซึ่งก็ต้องยอมรับว่า

§  ทุกหน่วยงานและผู้ฟังทุกคนมักจะเน้นเรื่องความอ่อนด้านภาษาอังกฤษและภาษาอาเซียน

§  แต่ยังไม่มีแผนงานที่ชัดเจนที่จะปรับปรุงการเรียนภาษาอังกฤษให้เป็นเลิศได้ ในช่วงเวลาที่จำกัดได้อย่างไร?

จึงขอตั้งข้อสังเกตดังต่อไปนี้

§  รัฐบาลควรมีนโนบายเรื่องภาษาอังกฤษและภาษาอาเซียนให้เป็นรูปธรรม

§  มีคณะกรรมการระดับชาติดูแลแบ่งปันกลุ่มเป้าหมาย นักเรียน คนวัยทำงาน อื่นๆ

§  มีงบประมาณที่พอเพียง

§  มียุทธวิธีที่แหลมคมเพื่อทำให้สำเร็จ

§  ไม่ใช่ทำเป็นแค่ไฟไหม้ฟาง พูดเยอะแต่ไม่ทำ

§  และในที่สุด ภาษาอังกฤษของเราก็ย่ำอยู่กับที่

§  ผมมั่นใจว่าถ้ารัฐบาลทำจริงๆก็อาจจะมีโอกาสสำเร็จสูง ต้องจัดงบประมาณและวิธีการที่เด่นชัด แต่ความหวังของผมก็ไม่สูงนัก เพราะทำแล้วรัฐบาลได้คะแนนหรือเปล่า? และรัฐบาลได้อะไรในระยะสั้น ต้องไปถามรัฐบาลคุณยิ่งลักษณ์ดู

เรื่องที่ 2 เรื่องการพัฒนาทุนมนุษย์ ทุกครั้งที่ผมไปพูดจะยกคำพูดของคุณพารณ อิศรเสนา ณ อยุธยา ที่บอกว่า

“คน คือ ทรัพยากรมนุษย์ที่มีค่ามากที่สุดขององค์กร”

ผู้ฟังส่วนใหญ่เริ่มคล้อยตาม ถ้าไม่พูดถึงความสำคัญของทุนมนุษย์ ผู้ฟังส่วนใหญ่จะเน้นเรื่องอื่นๆ เช่น โครงสร้างพื้นฐาน และผมก็ตามด้วย พื้นฐานของทุนมนุษย์ 8K’s และมุ่งไปที่ 5K’sเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม

ปรากฏว่าในหน่วยงานกว่า 20 แห่ง กว่า 5,000 คน ที่ผมได้ไปกระตุ้น เห็นด้วยอย่างมากและเชื่อว่าวิธีการปรับคุณภาพทุนมนุษย์รองรับอาเซียนสำคัญมากๆเป็นอันดับต้นๆ แต่คำถามก็คือ ใครจะเป็นผู้นำและทำอย่างไร?

ผมเชื่อว่า จะสำเร็จได้ก็ต้องเป็นรัฐบาลทำและมีพันธมิตรจากภาคธุรกิจ เอกชนและต่างประเทศช่วย แต่ต้องทำให้สำเร็จ

ส่วนประเด็นสุดท้ายก็คือ ปรับ Mindset หรือค่านิยมที่ฝังผิดๆมานานในการคิดและดำรงชีวิตแบบใหม่เพื่อการเข้าสู่อาเซียน

มีการวิจัยโดยมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เรื่อง ข้าราชการและรัฐวิสาหกิจจะปรับตัวให้เข้าอาเซียนเสรีได้ต้องปรับทัศนคติหรือค่านิยม(Mindset)ของข้าราชการให้ได้

ปัญหาก็คือปรับทัศนคติของคนไทยเป็นการปรับที่ยากที่สุด ผมได้ทดลองทำมาแล้วที่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยโดยให้อ่านหนังสือ Mindset ซึ่งพบว่า

ถ้าจะปรับค่านิยม(Mindset)ให้สำเร็จได้ เรียกว่า Growth Mindset ซึ่งต้องเรียนรู้จากความล้มเหลวและความเจ็บปวด

ส่วนอีกกลุ่มหนึ่งก็คือ Fixed Mindset คือ คิดว่าฉันแน่ ไม่ต้องเรียนรู้อะไร? ฉันเป็นของฉันแบบนี้ ใครจะทำไมในที่สุดก็จะล้มเหลวการปรับ Mindset ของคนไทยเพื่ออาเซียนก็คือ

§  ต้องไม่หยิ่งว่า “เราไม่เคยเป็นขี้ข้าใคร”

§  Positiveคิดในด้านดี

§  Open มีใจเปิดกว้าง

§  พร้อมจะเปลี่ยนแปลง

§  พร้อมจะเรียนรู้เกี่ยวกับอาเซียน ไม่ว่าจะเป็นเศรษฐกิจสังคม วัฒนธรรม วิถีชีวิตรู้เขามากขึ้น

มองว่าประโยชน์ของอาเซียนคือ ต้องอยู่ร่วมกันเพราะโลกปัจจุบันอยู่คนเดียวไม่ได้แล้ว พร้อมจะสื่อสารเรียนรู้ร่วมกันและกัน สร้างโอกาสร่วมกันไม่ใช่แค่แข่งขันเท่านั้น

การเปลี่ยน Mindset เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่จำเป็นมากๆ

ใครจะเป็นผู้นำ ผมคงจะทำเรื่องเล็กๆ จำนวน500/1000 ได้ แต่ถ้าจะปรับ Mindset ของทั้งประเทศ คงจะต้องให้รัฐบาลทำ

“ปัญหาความอยู่รอดของคนไทยทั้ง 3 เรื่อง รอให้มีผู้นำของรัฐบาลทำต่อไป”

ศ.ดร.จีระ หงส์ลดารมภ์ นำคณะจากสโมสรไลออนส์กรุงเทพ (รัตนชาติ)ไปจัดโครงการเผยแพร่ความรู้เรื่องประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ณ โรงเรียนท่าม่วงราษฎร์บำรุงและวิทยาลัยการอาชีพกาญจนบุรี และได้มอบหนังสือให้กับห้องสมุดของโรงเรียน  เมื่อวันที่  23 มกราคม 2556

ศ.ดร.จีระ หงส์ลดารมภ์

เลขาธิการมูลนิธิพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ระหว่างประเทศ

อีเมลนี้จะถูกป้องกันจากสแปมบอท แต่คุณต้องเปิดการใช้งานจาวาสคริปก่อน

www.gotoknow.org/blog/chiraacademy

แฟกซ์0-2273-0181

 

ลักษณธทางสังคมและวัฒนธรรมไทยที่ขัดขวางหรือสนับสนุนต่อการพัฒนาประชาธิปไตย คัดลอกจากหนังสือ การศึกษาเพื่อสร้างพลเมือง โดย ทิพย์พาพร ตันติสุนทร

พิมพ์ PDF

คุณภาพของพลเมืองเป็นตัวชีวัดอนาคตประชาธิปไตย

วิถีไทยที่ขัดขวางการพัฒนาประเทศไทย

๑.การเป็นรัฐอุปถัมป์

นอกจากการที่รัฐบาลเป็นผู้ผูกขาดอำนาจทั้งทางการเมือง เศรษฐกิจและสังคม ยังได้มีการกำหนดและบงการความสัมพันธ์อาณาบริเวณของการเมืองและเศรษฐกิจออกจากกัน มิได้กระตุ้นส่งเสริมพลังต่างๆ ในประชาสังคม หากแต่จำกัด-ควบคุมโดยอาศัยมาตรการทางกฎหมาย กฎระเบียบ และประกาศข้อบังคับต่างๆ เช่นการห้ามสมาคมการค้า องค์กร  สมาคม มูลนิธิ มัวัตถุประสงค์ทางการเมือง อันเป็นการแยกประชาสังคม ออกจากการเมือง และมีผลทำให้ เชื่อยชาและเพิกเฉยต่อการมีส่วนร่วมในทางการเมือง

การผูกขาดการใช้อำนาจที่ไม่ส่งเสริมประชาสังคมให้เข้ามามีส่วนร่วมในทางการเมือง จึงสร้างผลเสียต่อสังคมโดยรวม เป็นการไม่เชื่อในศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์และเหตุผลของมนุษย์ กดประชาชนให้อยู่ในพันธนาการทางความคิดแบบผู้อาวุโส ผู้น้อยไม่สามารถแสดงความคิดเห็นของตนได้ เป็นเผด็จการทางความคิดและการกระทำที่ไม่ตระหนักถึงความสำคัญและความจำเป็นของการมีส่วนร่วมของประชาชนในการสร้างสังคมและสร้างชาติ ทำให้ประชาชนอ่อนแอ ขาดพลัง ต้องยอมรับผลเสียที่เกิดขึ้นจากการใช้อำนาจของรัฐที่มาจากการรวมศูนย์อำนาจไว้ที่ส่วนกลางมากจนเกินไป

๒.การศึกษา

ระบบการเมือง-การปกครองมีความสอดคล้องต้องกันกับพฤติกรรมมนุษย์ในสังคม  การศึกษาไทยก็ถูกออกแบบและกำกับโดยระบอบการเมือง หรือผู้นำทางการเมืองนั่นเอง รัฐไทยในอดีตก็ได้เน้นการกล่อมเกลาให้ราษฎร์ได้เข้าใจหน้าที่ของตนเพื่อสนองต่อรัฐโดยมีรัฐเป็นศูนย์กลาง การจัดการศึกษาในเมืองหลวงจึงเน้นหนักไปในการสร้างคนเพื่อรับใช้กลไกหลักของรัฐ เพื่อเป็นข้าราชการที่ดี ขณะที่การขยายการศึกษาไปยังส่วนต่างๆของประเทศเป็นการสร้างพลเมืองที่ดี  ดังเช่นหนังสือธรรมจริยา ที่ใช้สอนตั้งแต่รัชกาลที่ ๕  ก็เป็นมาตราฐานของรัฐในการให้การกล่อมเกลาทางการเมืองอย่างเป็นระบบ

สำหรับรัฐไทยใหม่ภายใต้รัฐธรรมนูญนิยม หรือระบอบประชาธิปไตย ก็ได้มีการนำระบบการจัดการศึกษาสมัยใหม่ที่มีหลักสูตรกลาง มีการเรียนการสอนในระบบที่ควบคุมโดยรัฐนั้น ก็ล้วนเป็นส่วนสำคัญของการควบคุมทางสังคมด้านอุดมการณ์ของรัฐที่ต้องดำเนินไปพร้อมๆกับการควบคุมทางสังคมด้านการใช้อำนาจการปกครองบังคับ การศึกษาแบบนี้จึงมีแผนการศึกษา หลักสูตรการจัดการศึกษาระดับต่างๆ อย่างครบถ้วน และใช้เป็นการทั่วไปทั้งประเทศ การจัดการศึกษาที่รวมศูนย์ไว้ที่ส่วนกลางเช่นนี้ได้ละเลยความสำคัญของความเป็นชุมชน ความเป็นพหุสังคมที่มีศาสนา ภาษา เชื้อชาติ และวัฒนธรรมที่อยู่ร่วมกันในประเทศอยู่แล้ว ด้วยเหตุนี้ท้องถิ่นจึงไม่ได้มีส่วนร่วมในการจัดการศึกษาเรียนรู้ในแบบวิถีชุมชนเพื่อรักษาอัตลักษณ์และภูมิปัญญาของชุมชนที่มีอยู่อยากหลากหลาย จึงทำให้ชุมชนอ่อนแอ และไม่สามารถพึ่งพาตัวเองได้ อีกทั้งการกระจายโอกาสทางการศึกษาที่ขาดความเสมอภาคและเท่าเทียมกันในพื้นที่ที่ห่างไกลในยุดการเร่งรัดพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศนับตั้งแต่ปี ๒๕๐๔ เป็นต้นมา กระทั่งเข้าสู่ยุคบริโภคนิยม ก็ยิ่งเป็นสาเหตุให้ผู้คนละทิ้งท้องถิ่นเพื่อแสวงหาโอกาสทางการศึกษาในเมืองหลวงและเมืองใหญ่ เพื่อยกระดับฐานะทางเศรษฐกิจและสังคมของตน ดังคำกล่าวที่ว่า "งานคือเงิน เงินคืองาน บันดาลสุข" ก็ยิ่งสร้างความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคมสูงยิ่งขึ้น และสร้างความเสียหารทางเศรษฐกิจครั้งใหญ่ของประเทศในชั่วปลายทศวรรษ ๒๕๓๐ เมื่อเกิดวิกฤตเศรษฐกิจ "ต้มยำกุ้ง" อันเนื่องจากระดับการศึกษาไทยไม่สามารถสร้างพลเมืองของประเทศให้มีความสามารถปรับตัวให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลกที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและรุนแรง กระทั่งนำสู่กระแสการเรียกร้องให้มีการปฎิรูปการศึกษา การเมื่อง และสังคม เพื่อปรับตัวให้ทันต่อความเปลี่ยนแปลงของสังคมโลกในยุคโลกาภิวัฒน์

การศึกษาที่รวมศูนย์อำนาจการจัดการไว้ที่รัฐบาลดังกล่าวส่งผลให้เกิดวัฒนธรรมของคนที่ไม่ค่อยเข้าใจบทบาทของรัฐบาลที่มีผลต่อความเป็นอยู่ของตนเอง และไม่สนใจเรื่องส่วนรวม นักเรียนจึงมุ่งแข่งขันกันเรียน จนเมื่อสำเร็จการศึกษาก็มุ่งหาเลี้ยงชีพเพื่อประโยชน์ของตนเอง และทิ้งภาระทางสังคม-การเมืองไว้กับนักการเมือง อันเป็นค่านิยมของการบูชายกย่องผู้มีความสำเร็จทางเศรษญกิจ มากว่าการให้ความสำคัญกับการสร้างคนที่มีความรู้คู่คุณธรรมที่พร้อมเสียสละเพื่อส่วนรวม

๓.สื่อมวลชน

การที่ประเทศไทยตกอยู่ภายใต้การครอบงำจากสื่อ ภายใต้การกำกับของรัฐบาลมาอย่างยาวนาน ทำให้มีผลต่อการกล่อมเกลาทางการเมืองของประชาชน  ทำให้ประชาชนไม่รู้ ไม่สนใจ และไม่เข้าใจเรื่องการเมือง ทั้งที่ทุกเรื่องของชีวืตเกี่ยวพันกับการเมืองจนกลายเป็นวิถีชีวิตของคนไทย

การพัฒนาพลเมืองให้มีความเป็นประชาธิปไตย จึงต้องการสื่อที่มีเสรีภาพ เพื่อเปิดโอกาสให้พลเมืองแสดงความคิดเห็นเต็มที่ สื่อสารมวลชนคือภาพสะท้อนการมีเสรีภาพของสังคม

๔.สถาบันครอบครัว

เนื่องจากสิ่งแวดล้อมทางสังคมที่ไม่เป็นประชาธิปไตย จึงมีลักษณะแบบถูกจำกัดทั้งการมีทัศนคติแบบอุปถัมภ์ การไม่ให้ความเท่าเทียมกันในการแสดงออกซึ่งความคิดเห็น ระบบเลี้ยงดูในครอบครัวก็ได้รับอิทธิพลนี้ไปด้วย การบ่มเพาะตั้งแต่เด็กเป็นเรื่องสำคัญมาก เพื่อให้เขามีจิตใจที่อ่อนโยน มีคุณธรรม รู้จักการมีเหตุผล แบ่งปัน รู้จักรับฟัง มีการแสดงออก และหลีกเลี่ยงการทะเลาะวิวาทด้วยการใช้กำลัง และรักความยุติธรรม แต่การเลี้ยงดูเด็กของคนไทยไม่เป็นประชาธิปไตยเท่าที่ควร  เราสอนเด็กแบบอำนาจนิยมจากการคุ้นชินการใช้ชีวิตภายในรัฐที่ใช้อำนาจในการปกครองบังคับ เราจึงสอนเด็กโดยใช้ระบบอาวุโสเป็นใหญ่ สอนแบบใช้ความรู้สึกและอารมณ์เป็นใหญ่ ผูกขาดความถูกผิดทุกอย่างที่ลูกต้องเชื่อฟังและปฎิบัติตามโดยขาดเหตุผล

วิถีไทยที่สนับสนุนการพัฒนาประชาธิปไตย

๑.สังคมไทยให้เสรีภาพในการนับถือศาสนา

๒.ลักษณะวิถีไทย ที่อยู่รวมกันเป็นชุมชนหมู่บ้าน

๓.ความเป็นพี่เป็นน้อง

๔.ความเป็นพหุสังคมในสังคมไทย

จากการตรวจสอบลักษณะไทยที่ทั้งสอดคล้องและเป็นอุปสรรคต่อวิถีประชาธิปไตย  ทำให้มีคำถามว่าเราจะขจัดปัจจัยที่เป็นอุปสรรคได้อย่างไร  พร้อมๆกันนั้น ก็ต้องช่วยกันส่งเสริมปัจจัยที่สนับสนุนแนวทางประชาธิปไตยให้เต็มที่ สิ่งที่เป็นปัญหาใหญ่และเห็นพ้องกันมากในสังคมโดยทั่วไปคือ โครงสร้างทางสังคม และการมีระบบอุปถัมภ์ ที่เป็นเครื่องค้ำยันของการทุจริตคอรัปชั่น ที่ฝังรากในสังคมไทยมานาน  กระทั่งถ่างขยายความไม่เป็นธรรมในสังคมให้มากยิ่งขึ้น อันเป็นด้านลบที่ติดอันดับต้นๆ ของข้อสนับสนุนการเปลี่ยนแปลงรัฐบาล  ไม่ว่าจะเป็นด้วยการรัฐประหาร หรือการจ้องโค่นล้มกันเองของนักการเมืองที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกับรัฐบาล กลายเป็นวัฎจักรอันเลวร้ายทางการเมืองของสังคมไทยที่ยังไม่อาจก้าวข้ามเพื่อให้ผ่านไปได้

การนำเอาระบอบประชาธิปไตยมาใช้เข้าปีที่ ๘๐ ในปี ๒๕๕๕  แต่สังคมไทยก็ยังไม่สามารถปรับและเปลี่ยนแปลงให้มีวิธีคิดและการใช้ชีวิตแบบประชาธิปไตยได้ คนไทยยังไม่มีการปลูกฝังวิธีคิดและวิธีการใช้ชีวิตและการงานในแบบวิถีประชาธิปไตย จึงทำตนแยกส่วนจากปัญหาทั้งทางการเมืองและสังคม ทั้งที่ปัญหาทั้งหลายที่เกิดขึ้นในสังคมล้วนกระทบต่อทุกคน การไม่เข้าใจและไม่เข้าถึงต่อเรื่องทางการเมืองทำให้สังคมไทยขาดพลังในการแก้ไขและพัฒนา โดยคนไทยจำนวนมากยังคงวางตัวเป็นผู้รับบริการจากนโยบายของรัฐ (Passive Citizen) ชื่นชอบนโยบายประชานิยมพวกเขาจึงเฉื่อยชา ไม่คิดเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการบริหารจัดการบ้านเมือง แล้วยังปล่อยและฝากปัญหาทั้งหลายนี้ไว้กับคนอื่นทำแทนคนไทย โดยทั่วไปจึงมักแสดงการวิพากษ์วิจารณืด้วยอารมณ์และความเห็น เพื่อแสดงความรู้สึกว่าไม่พอใจ และเรียกร้องให้คนอื่นหรือรัฐบาลเข้าช่วยแก้ไขในทุกเรื่อง ประเทศไทยจึงมีความน่าวิตกในคุณภาพของคนไทยที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน คุณภาพของคนที่ไม่คิดถึงส่วนรวม ไม่มีความคิดริเริ่ม ไม่มีส่วนร่วมในการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง และรู้จักประชาธิปไตยเพียงการเลือกตั้ง เปิดโอกาสให้นักการเมืองไร้ความรู้ไม่มีความคิดและไร้คุณธรรม มาใช้เสียงข้างมากฟอกตัวเข้าสู่สภาผู้แทนราษฎรอย่างง่ายดาย แล้วเราจึงไม่แปลกใจในสัจธรรมที่ว่าประชาชนเป็นอย่างไร ผู้แทนก็เป็นอย่างนั้น ตราบเท่าที่เรายังไม่มีผลิตภาพของความเป็นพลเมืองที่เชื่อมั่นในพลังของตนเองต่อการเปลี่ยนแปลงของประเทศแล้วปล่อยให้คนอื่นคิดและทำแทนมาตลอดระยะเวลาอันยาวนานนับตั้งแต่เปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นต้นมา

อย่างไรก็ดี ลักษณะความเป็นวิถีไทยที่ปรากฎในด้านบวกก็มีอยู่มาก และสามารถเป็นจุดแข็งและจุดขายในการเข้าสู่ความเป็นสังคมในระบอบประชาธิปไตยได้ในอนาคตอันใกล้หากคนไทยได้มีความมุ่งมั่นที่จะพัฒนาแก้ไขจุดที่เป็นด้านลบแล้วกลบด้วยด้านที่เป็นบวก ให้สอดคล้องกับวิถีประชาธิปไตยดังได้กล่าวไว้แล้ว

การมีอยู่ของระบอบประชาธิปไตย จึงอยู่ที่คุณภาพของคนภายใต้ระบอบที่รัฐและระบบการศึกษาได้ออกแบบไว้ คุณภาพของพลเมืองจึงเป็นตัวชี้วัดอนาคตประชาธิปไตย ซึ่งขึ้นอยู่กับการสร้างให้เกิดขึ้นด้วยเจตจำนงร่วมกันของคนทั้งสังคม ด้วยเหตุที่ประชาธิปไตยไม่มีขาย  และมนุษย์ก็ไม่มียืนประชาธิปไตยในตัวเอง อนาคตของประชาชนไทยอยู่ในมือของทุกคน การปฎิรูปการเมือง และการปฎิรูปการศึกษา ควรให้เวลาแก่การพูดถึงการสร้างพลเมืองให้มากที่สุดและกว้างขวางที่สุด เพื่อสร้างพลเมืองในความหมายใหม่ที่ปลอดพ้นจากกรอบเดิมที่เป็นการชีนำและกำกับจากส่วนกลาง จากบนลงล่าง แต่ปรับสู่แนวระนาบที่มีเสียงการมีส่วนร่วมให้มากที่สุด ยุทธศาสตร์การสร้างพลเมืองของประเทศในสถานการณ์การปฎิรูปทั้งการเมืองและการศึกษา จำเป็นต้องเปิดกว้างด้วยบรรยากาศประชาธิปไตย เพื่อการถกเถียงสาธารณะจากทุกสถาบัน ทุกองค์กร ทุกภาคส่วน อย่างเข้าใจ กระทั่งเกิดพลัง เป็นเจตจำนงร่วมกันในทางการเมือง นี่จึงเป็นโอกาสครั้งสำคัญ ท่ามกลางการแตกแยกทางความคิดทางการเมืองของพลเมือง ด้วยการแสวงหาด้านบวก  และนำสู่การปฎิรูปสังคมอย่างทั่วด้าน เพื่อการสร้างนักประชาธิปไตย-พลเมืองใหม่ขึ้นมาค้ำยันระบอบประชาธิปไตยให้เดินไปข้างหน้า

 

เชิญสมัครสมาชิกมูลนิธิศูนย์บูรณาการพัฒนามนุษย์

พิมพ์ PDF

 

เรื่อง      ขอเรียนเชิญเข้าร่วมเป็นสมาชิกมูลนิธิศูนย์บูรณาการพัฒนามนุษย์

เรียน     ท่านผู้บริหาร/ผู้ประกอบการ/ผู้ทรงคุณวุฒิ/ผู้มีเกียรติ ทุกท่าน

ด้วยมูลนิธิศูนย์บูรณาการพัฒนามนุษย์ (Foundation for Integrated Human Development Center: iHDC) หมายเลขจดทะเบียนจัดตั้งมูลนิธิทะเบียนเลขที่ กท.2259 ได้จัดตั้งขึ้นมาโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นศูนย์กลางในการประสานงาน บูรณาการ ส่งเสริม สนับสนุน ผลักดันและร่วมมือกับองค์กรต่าง ๆ เพื่อให้เกิดการพัฒนามนุษย์อย่างเป็นระบบ ยั่งยืน และเป็นองค์กรที่ไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมือง โดยพันธกิจในเบื้องต้นคือการมุ่งให้เกิดการแลกเปลี่ยน การเรียนรู้ ช่วยเหลือซึ่งกันและกันในเครือข่ายของมูลนิธิฯ ทั้งในรูปแบบขององค์กร และบุคคลธรรมดา (รายละเอียดเพิ่มเติม www.thaiihdc.org)

จากวัตถุประสงค์ และพันธกิจดังกล่าว มูลนิธิศูนย์บูรณาการพัฒนามนุษย์ หรือ iHDC จึงขอเรียนเชิญท่านเข้าร่วมเป็นสมาชิก เพื่อร่วมแบ่งปันองค์ความรู้ แลกเปลี่ยนประสบการณ์ เพื่อร่วมกันพัฒนาองค์กร และทรัพยากรมนุษย์ เพื่อเสริมสร้างศักยภาพของประเทศไทยให้เจริญเติบโตอย่างยั่งยืนต่อไป

จึงเรียนมาเพื่อโปรดพิจารณา โดยแจ้งความประสงค์ตามใบแสดงความจำนงที่แนบมาด้วยนี้ หรือ

ติดต่อรายละเอียดเพิ่มเติมที่ ม.ล.ชาญโชติ   ชมพูนุท กรรมการและเลขาธิการมูลนิธิฯ โทรศัพท์ 089-138-1950 หรือ E-mail: อีเมลนี้จะถูกป้องกันจากสแปมบอท แต่คุณต้องเปิดการใช้งานจาวาสคริปก่อน และขอขอบคุณมา ณ โอกาสนี้

ขอแสดงความนับถือ

มูลนิธิศูนย์บูรณาการพัฒนามนุษย์

(ศ.ดร.จีระ   หงส์ลดารมภ์)

ประธานกรรมการ

ประสานงาน

จิตรลดา  โทร. 02-619-0512-3

 

เอกสารแสดงความจำนงสมัครเป็นสมาชิก

มูลนิธิศูนย์บูรณาการพัฒนามนุษย์ (Foundation for Integrated Human Development Center: iHDC)

วันที่ ……………………………………

ข้าพเจ้าขอสมัครเป็นสมาชิกมูลนิธิศูนย์บูรณาการพัฒนามนุษย์

ชื่อผู้สมัคร ………………………………………………………………………………………………

ที่อยู่อาศัย ……………………………………………………………………………………………………………………

……………………………………………………………………………………………………………………………………

โทรศัพท์บ้าน ………………………………………………….   โทรศัพท์มือถือ …………………………………………………

อีเมล์ ………………………………………………………………………………………………………………..

ชื่อกิจการ  : ………………………………………………………………………………………………………….

ที่อยู่กิจการ …………………………………………………………................

……………………………………………………………………………………………………………………………………..

……………………………………………………………………………………………………………………………………..

โทรศัพท์ :  ……..…………………….. โทรสาร :  ……..……………. …..    โทรศัพท์มือถือ: ……………………………………..

อีเมล์ :  ……………………………………………  เวปไซด์ :  …………………………………………………………………..

เลขประจำตัวประชาชน/ผู้เสียภาษี : ………………………………………………………………………

สมัครสมาชิกประเภท :                องค์กร   บุคคล

ประเภทธุรกิจ …………………………………………………………………………………………………………………….

………………………………………………………………………………………………………………………………………

อาชีพ / ตำแหน่งงาน……………………………………………………………………………………………………………………..

…………………………………………………………………………………………………………………………………….

เหตุผลในการสมัครเป็นสมาชิก สิ่งที่คาดหวังจากมูลนิธิ

……………………………………………………………………………………………………………………………………

…………………………………………………………………………………………………………………………………..

…………………………………………………………………………………………………………………………………..

ข้าพเจ้าขอรับรองว่าข้อความที่ให้ไว้ข้างต้นเป็นความจริงทุกประการ และ ข้าพเจ้ายินดีปฏิบัติตามระเบียบมูลนิธิฯ ทุกประการ

ลายมือชื่อ ............................................................ ………………ผู้สมัคร

(………………………...…………………………………….)

หมายเหตุ : เมื่อมูลนิธิฯ ได้รับแบบฟอร์มใบสมัครแล้ว จะมีหนังสือแจ้งยืนยัน ตอบกลับมายังท่าน  ตามที่อยู่ที่แจ้งไว้


 


 

แก้ไขล่าสุด ใน วันจันทร์ที่ 21 มกราคม 2013 เวลา 06:20 น.
 

วิถีไทยที่ขัดขวางการพัฒนาประชาธิไตย

พิมพ์ PDF

คุณลักษณะทางสังคมและวัฒนธรรมไทยที่ขัดขวางต่อการพัฒนาประชาธิปไตย คัดลอกจากหนังสือ "การศึกษาเพื่อสร้างพลเมือง" โดย ทิพย์พาพร ตันติสุนทร

องค์ประกอบของการฉุดรั้งและไม่ส่งเสริมโอกาสให้ประชาชนเป็นพลเมืองนั้น ล้วนมาจากโครงสร้างทางการเมือง การมีระบบอุปถัมภ์ที่หยั่งรากลึกมายาวนานจากสถาบันที่ถืออำนาจทางการเมือง สถาบันที่ใช้อำนาจทางการเมือง คือรัฐ และระบบราชการ สู่สถาบันการศึกษา อันเป็นโรงงานบ่มเพาะเมล็ดพันธ์พลเมือง สู่ชุมชนและครอบครัว ที่ล้วนมาจากการรวมศูนย์อำนาจไว้ที่ราชการส่วนกลางมากจนเกินไปเพราะขาดสำนึกถึงความสำคัญและความจำเป็นของการมีส่วนร่วมที่แท้จริงของพลเมือง การไม่เชื่อในคุณค่าของมนุษย์ที่มีศักดิ์ศรีและมีเหตุผลนั้น มีผลทำให้สังคมขาดพลัง

วิถีไทยที่ขัดขวางการพัฒนาประชาธิปไตย

การพัฒนาประชาธิปไตยของไทยที่ผ่านมาจะครบ ๘๐ ปี ใน พ.ศ.๒๕๕๕ นี้แล้ว ก็ยังนับว่าเป็นเรื่องแปลกมากสำหรับสังคมไทยและทำให้คนไทยจำนวนมากยังขัดแย้งกันในเรื่องทั้งวิธีการและเป้าหมายของประชาธิปไตย ความไม่ชัดเจนในเรื่องประชาธิปไตยนี่เอง ยังสงผลต่อการพัฒนาความเป็นพลเมืองที่ยังไม่อาจเกิดขึ้นได้อย่างจริงจัง อะไรคือปัจจัยที่เป็นอุปสรรคสำคัญในการพัฒนาระบอบประชาธิปไตยสำหรับสังคมไทย จึงเป็นสิ่งที่ควรนำมาพิจารณาทบทวนเพื่อการพัฒนาความเป็นพลเมืองให้เกิดขึ้นได้ กล่าวคือ

๑.การเป็นรัฐอุปถัมภ์

ในงานของ ศ.ดร.ชัยอนันต์ สุนทวณิช และ ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ มีความสอดคล้องกันในเรื่องของรัฐรวมศูนย์ผูกขาดอธิปัตย์ คือ การผูกขาดอำนาจไว้ที่ส่วนกลาง การเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ เป็นระบอบประชาธิปไตยในปี ๒๔๗๕ เป็นการถ่ายโอนอำนาจจากระบอบเก่าสู่ระบอบใหม่ เป็นรัฐใหม่ที่ใช้ระบอบรัฐธรรมนูญนิยม หรือประชาธิปไตย บนความแข็งแกร่งของระบบราชการที่มีอยู่ก่อนแล้ว  ความจำเป็นของระบอบใหม่ที่ต้องมีผู้นำจากการเลือกตั้งของประชาชนจึงถูกใช้เพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับการเปลี่ยนแปลง รัฐบาลยังคงผูกขาดอำนาจและบทบาทไว้ที่ส่วนกลางทั้งหมด  ประชาชนจึงถูกครอบงำและถูกกำกับเพียงทำหน้าที่ปฎิบัติตามกฎหมาย เสียภาษีและไปเลือกตั้ง ทำให้ประชาชนโดยทั่วไปเข้าใจว่าประชาธิปไตยคือการไปเลือกตั้ง เป็นเพียงพลเมืองดีผู้มีหน้าที่ตามที่รัฐกำหนดให้  จึงยังไม่มีพลเมืองที่ไปมีส่วนร่วมในการกำหนดการมีอำนาจและการสืบทอดอำนาจทางการเมือง การมีส่วนร่วมทางการเมืองจึงจำกัดอยู่เพียงระดับการเลือกตั้ง นอกจากนั้นแล้ว การมีส่วนร่วมในการพัฒนาทางสังคมของประชาชนก็มีขอบเขตจำกัดอยู่เพียงการไปเข้าร่วมในโครงการของทางราชการ เช่นกระทรวงสาธารณสุข กระทรวงมหาดไทย เป็นต้น จึงทำให้ประชาชนถอยห่างจากการเมือง และคอยรอรับความช่วยเหลือจากทางราชการ ซึ่งเป็นลักษณะของประชาชนที่อยู่ภายใต้การอุปถัมภ์ของผู้ที่เหนือกว่าและขาดความเชื่อมั่นในการพึ่งตัวเอง

และแม้ว่ากระแสการเปลี่ยนแปลงทั้งภายในและภายนอกประเทศจะกดดันให้มีการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่นช่วงทศวรรษ ๒๕๔๐  แต่การกำหนดอำนาจดังกล่าวนี้มิได้เกิดจากการเข้าไปมีส่วนร่วมคิดและกำหนดจากประชาชนในท้องถิ่นทั้งในเรื่องของอำนาจหน้าที่และการเงิน-การคลัง ทำให้อำนาจของท้องถิ่นยังถูกยึดโยงอยู่ที่อำนาจส่วนกลาง คือ รัฐบาล นักการเมืองในส่วนปกครองท้องถิ่นเองก็มีพฤติกรรมทางการเมืองไม่แตกต่างจากส่วนกลางที่มาจากการเลือกตั้งระดับชาติ  ทำให้เกิดระบบอุปถัมภ์ใหม่ที่กดทับความอ่อนแอของประชาชนมากยิ่งขึ้น

นอกจากนี้ การที่รัฐบาลเป็นผู้ผูกขาดอำนาจทั้งทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมนี้ ยังได้มีการกำหนดและบงการความสัมพันธ์อาณาบริเวณของการเมืองและเศรษฐกิจออกจากกัน มิได้กระตุ้นส่งเสริมพลังต่างๆ ในประชาสังคม หากแต่จำกัด-ควบคุมโดยอาศัยมาตราการทางกฎหมาย กฎระเบียบ และประกาศข้อบังคับต่างๆ เช่น การห้ามสมาคมการค้า องค์กร สมาคม มูลนิธิ มีวัตถุประสงค์ทางการเมือง อันเป็นการแยกประชาสังคมออกจากการเมือง และมีผลทำให้เฉื่อยชาและเพิกเฉยต่อการมีส่วนร่วมในทางการเมือง ซึ่งกฎระเบียบดังกล่าวยังคงเป็นข้อปฎิบัติจนถึงปัจจุบัน

ลักษณะการรวมศูนย์การปกครองภายใต้ระบอบประชาธิปไตย จึงกลายเป็นระบอบคณาธิปไตยในความเป็นจริง เพราะวัฎจักรทางการเมืองที่คณะบุคคลและบุคคล ต่างสลับกันขึ้นครองอำนาจ และมีลักษณะการใช้อำนาจเพื่อความมั่นคงของตน ซึ่งเป็นลักษณะอำนาจนิยมที่สืบต่อกันมาจนถึงปัจจุบัน ดังที่พบเห็นกันโดยทั่วไป คือ วัฒนธรรม  ผู้น้อย-ผู้ใหญ่ ผู้อาวุโสกว่า และมีลักษณะของการแบ่งพรรคแบ่งพวกขึ้นอยู่กับว่าเป็นคนหรือพวกของใครจึงจะได้ดี  มีแต่การยกย่องผู้มีอำนาจวาสนา คนไทยจึงมีคติว่า "รู้รักษาตัวรอดเป็นยอดดี" หรือ "พูดไปสองไพเบี้ย นิ่งเสียตำลึงทอง"    อันสะท้อนทัศนคติที่คนไทยโดยทั่วไปต้องรู้จักการเอาตัวรอดไว้ก่อนไม่ว่าจะถูกหรือผิด และดีที่สุดคือ ไม่ต้องแสดงความคิดเห็น เพราะผู้ใหญ่หรือผู้อาวุโสทั้งวัยวุฒิหรือคุณวุฒิจะไม่พอใจ และมีผลต่อการงานและชีวิตส่วนตัวได้     การใช้อำนาจและระบบอุปถัมภ์ในสังคมไทยจึงมีอยู่มากในระบบราชการ เช่น การมีเส้นสายเพื่อเข้าสู่ตำแหน่งมากว่าพิจารณาจากความรู้ความสามารถโดยเฉพาะในปัจจุบัน จะเห็นได้ว่านักการเมืองที่อยู่ในอำนาจจะมีอิทธิพลสูงและใช้อำนาจของตนในการโยกย้ายข้าราชการอย่างไม่เป็นธรรมโดยอ้างความเหมาะสม เมื่อประเทศไทยเร่งรัดพัฒนาประเทศเข้าสู่การเป็นประเทศอุตสาหกรรมใหม่ในช่วงต้นทศวรรษ ๒๕๓๐  เป็นต้นมา เกิดวัฒนธรรมบริโภค นักธุรกิจมุ่งแสดงหากำไรอย่างขาดสติ นักการเมืองส่วนใหญ่ก็ใช้อำนาจทางการเมืองหาผลประโยชน์เพื่อสร้างอิทธิพลของตนภายในพรรค และอาศัยพรรคและกระบวนการเลือกตั้งที่เต็มไปด้วยการให้อามิสสินจ้างรองรับความชอบธรรมที่จอมปลอม ภายใต้ระบบอุปถัมภ์ที่ปรากฎอยู่ทั่วไป ดังจะเห็นได้ชัดในระบบการเมืองที่เกิด "ระบบมุ้ง" ที่ผู้อุปถัมภ์ (ด้วยเงิน) แก่สมาชิกในกลุ่ม เป็นผุ้มีอิทธิพลและคนกุมอำนาจที่แท้จริงในพรรค อีกทั้งการจัดสรรตำแหน่งรัฐมนตรีก็จะจัดไปตามกลุ่มผู้นำ ซึ่งสามารถคุมคะแนนเสียงในกลุ่มของตนไว้ได้เท่าใด ระบบอุปถัมภ์บนพื้นฐานของเงินหรือผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ จึงกลายเป็นคุณลักษณะสำคัญของการเมืองไทย เมื่อนักธุรกิจเข้าสู่การเมืองมากขึ้น ทำให้การเมืองกลายเป็นเรื่องธุรกิจการเมือง ที่นักธุรกิจใช้ช่องทางการเมืองเพื่อปกป้องผลประโยชน์ทางธุรกิจและสมคบคิดกับข้าราชการผู้ซึ่งรู้กฎหมายและระเบียบวิธีการต่างๆ เป็นช่องทางเพื่อหาผลประโยชน์เพิ่มเติม เกิดเป็นผลประโยชน์ทับซ้อนทั้งธุรกิจและการเมือง และมีการคอร์รัปชั่นง่ายและมากขึ้น จนทำให้เรื่องคอร์รัปชั่นกลายเป็นเรื่องธรรมด่าที่เกิดขึ้นได้ ดังที่มีผลการสำรวจความคิดเห็นเรื่องคอร์รัปชั่นว่า "นักการเมืองโกงกินไม่เป็นไร ขอให้มีผลงานบ้าง" ซึ่งเท่ากับแสดงว่าเราได้ยอมรับการใช้อำนาจที่ไม่สุจริต ขาดคุณธรรมของผู้มีฐานะและอำนาจบารมีทางสังคมและการเมือง และเป็นผู้อยู่ต้นทางของระบบอุปถัมภ์อันเลวร้าย

การผูกขาดการใช้อำนาจที่ไม่ส่งเสริมประชาสังคมให้เข้ามามีส่วนร่วมในทางการเมือง จึงสร้างผลเสียต่อสังคมโดยรวม     เป็นการไม่เชื่อในศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์และเหตุผลของมนุษย์ กดประชาชนให้อยู่ในพันธนาการทางความคิดแบบผู้อาวุโส ผู้น้อยไม่สามารถแสดงความคิดเห็นของตนได้ เป็นเผด็จการทางความคิดและการกระทำที่ไม่ตระหนักถึงความสำคัญและความจำเป็นของการมีส่วนร่วมของประชาชนในการสร้างสังคมและสร้างชาติ ทำให้ประชาชนอ่อนแอ ขาดพลัง ต้องยอมรับผลเสียที่เกิดขึ้นจากการใช้อำนาจของรัฐที่มาจากการรวมศูนย์อำนาจไว้ที่ส่วนกลางมากจนเกินไป

๒.การศึกษา

ระบบการเมือง-การปกครองมีความสอดคล้องต้องกันกับพฤติกรรมมนุษย์ในสังคม การศึกษาไทยก็ถูกออกแบบและกำกับโดยระบอบการเมือง หรือผู้นำทางการเมืองนั่นเอง ซึ่งรัฐบาลไทยในอดีตก็ได้เน้นการกล่อมเกลาให้ราษฎรได้เข้าใจหน้าที่ของตนเพื่อตอบสนองต่อรัฐโดยมีรัฐเป็นศูนย์กลาง การจัดการศึกษาในเมืองหลวงจึงเน้นหนักไปในการสร้างคนเพื่อรับใช้กลไกหลักของรัฐ เพื่อเป็นข้าราชการที่ดี ขณะที่การขยายการศึกษาไปยังส่วนต่างๆ ของประเทศเป็นการสร้างพลเมืองที่ดี ดังเช่น หนังสือธรรมจริยาที่ใช้สอนตั้งแต่รัชกาลที่ ๕ ก็เป็นมาตราของรัฐในการให้การกล่อมเกลาทางการเมืองอย่างเป็นระบบ

สำหรับรัฐไทยใหม่ภายใต้รัฐธรรมนูญนิยม หรือระบบประชาธิปไตย ก็ได้มีการนำระบบการจัดการศึกษาสมัยใหม่ที่มีหลักสูตรกลาง มีการเรียนการสอนในระบบที่ควบคุมโดยรัฐนั้น ก็ล้วนเป็นส่วนสำคัญของการควบคุมทางสังคมด้านอุดมการณ์ของรัฐที่ต้องดำเนินไปพร้อมๆกับการควบคุมทางสังคมด้านการใช้อำนาจการปกครองบังคับ  การศึกษาแบบนี้จึงมีแผนการศึกษา หลักสูตรการจัดการศึกษาระดับต่างๆอย่างครบถ้วน และใช้เป็นการทั่วไปทั้งประเทศ การจัดการศึกษาที่รวมศูนย์ไว้ที่ส่วนกลางเช่นนี้ได้ละเลยความสำคัญของความเป็นชุมชน ความเป็นพหุสังคมที่มี ศาสนา ภาษา เชื้อชาติ และวัฒนธรรมที่อยู่ร่วมกันในประเทศอยู่แล้ว ด้วยเหตุนี้  ท้องถิ่นจึงไม่ได้มีส่วนร่วมในการจัดการศึกษาเรียนรู้ในแบบวิถีชุมชนเพื่อรักษาอัตลักษณ์และภูมิปัญญาของชุมชนที่มีอยู่อย่างหลากหลาย จึงทำให้ชุมชนอ่อนแอและไม่สามารถพึ่งพาตนเองได้ อีกทั้งการกระจายโอกาสทางการศึกษาที่ขาดความเสมอภาคและเท่าเทียมในพื้นที่ที่ห่างไกลในยุคการเร่งรัดพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศนับตั้งแต่ปี ๒๕๐๔ เป็นต้นมา กระทั่งเข้าสู่ยุคบริโภคนิยม ก็ยิ่งเป็นสาเหตุให้ผู้คนละทิ้งท้องถิ่นเพื่อแสวงหาโอกาสทางการศึกษาในเมืองหลวงและเมืองใหญ่ เพื่อยกระดับฐานะทางเศรษฐกิจและสังคมของตนเอง ดังคำกล่าวที่ว่า "งานคือเงิน เงินคืองาน บันดาลสุข"  ก็ยิ่งสร้างความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคมสูงยิ่งขึ้น  และสร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจครั้งใหญ่ของประเทศในช่วงปลายศวรรษ ๒๕๓๐ เมื่อเกิดวิกฤตเศรษฐกิจ "ต้มยำกุ้ง" อันเนื่องจากระบบการศึกษาไทยไม่สามารถสร้างพลเมืองของประเทศให้มีความสามารถปรับตัวให้ทันต่อความเปลี่ยนแปลงของโลกที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและรุนแรง กระทั่งนำสู่กระแสการเรียกร้องให้มีการปฎิรูปการศึกษา การเมือง และสังคม เพื่อปรับตัวให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของสังคมโลกในยุคโลกาภิวัตน์

นอกจากนี้ บรรยากาศการเรียนรู้ในระบบการศึกษาไทยในระยะยาวนานนั้น  เป็นการสอนตามความสนใจของผู้สอนที่มุ่งป้อนวิชาความรู้ (Information Processing) เพื่อให้ผู้เรียนเชื่อฟัง จดจำ และทำตาม ไม่ได้ฝึกฝนให้ทำ และนำไปคิด เพื่อนำสู่การปฎิบัติและแสดงออก เป็นการเน้นวิชาการ แต่ขาดการส่งเสริมทักษะทางสังคม ผู้เรียนจึงถูกแยกส่วนออกจากอาณาบริเวณทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม ไม่สามารถเชื่อมโยงบทบาทของตนกับสังคมภายนอกได้ และไม่สามารถสร้างจิตสำนึกของการเป็นเจ้าของสังคมที่เขามีชีวิตอยู่ และไม่มีความพร้อมที่จะรับผิดชอบไปภายภาคหน้า ให้สมกับคำกล่าวที่ว่า "เยาวชน คือ อนาคตของชาติ"  แม้ว่าหลักสูตรจะยังมีการให้ความรู้เรื่องของสังคมทั่วไป รวมทั้งระบอบการเมื่อง-การปกครอง และระบอบประชาธิปไตย แต่ก็เป็นเพียงการสอนให้ท่องจำและทำตามในเรื่องรูปแบบการปกครอง และจำลองการเลือกตั้งในโรงเรียน ซึ่งไม่ได้มีความรู้ความเข้าใจทางสังคมและการเมืองมากไปกว่าการให้ฝึกทดลองจากการมีสภานักเรียน  และการเลือกตั้ง  การศึกษาจึงทำให้คนไทยรู้จักประชาธิปไตยเพียงการเลือกตั้ง  แต่ขาดทักษะชีวิต  การคิด การใช้ชีวิตในแบบสังคมประชาธิปไตยที่ต้องการการแสดงออกถึงวุฒิภาวะในการใช้ความคิด การมีเหตุมีผล การมีความรับผิดชอบให้เกิดขึ้นได้จริง ดังที่นักการศึกษาของไทย                 ศ.ดร.สุมน อมรวิวัฒน์ ได้ให้ความเห็นของการศึกษาเพื่อพัฒนาประชาธิปไตยและพลเมืองว่า "การเรียนรู้มีข้อจำกัดคือวิถีชีวิตในครอบครัวไทย ในการบริหารการจัดการศึกษา และวิถีชีวิตในสังคมไทยทั่วไป เพราะเมื่องไทยยังไม่เป็นสังคมเปิดให้มีการเรียนรู้วิถีประชาธิปไตยมากพอ (Democratic Learning Society) ชีวิตเด็ก-นักเรียน จะถูกพ่อ แม่ และคนรอบข้างครอบงำ  กำกับ สั่งการทั้งหมด จึงจำเป็นต้องให้การศึกษาอบรมพ่อ แม่ ครู ผู้บริหารการศึกษาให้มากขึ้น"

และแม้นว่าประเทศไทยเราจะเคยมีวิชา "หน้าที่พลเมืองและศีลธรรม" ซึ่งปัจจุบันวิชาเหล่านี้ไปเป็นส่วนหนึ่งในวิชาสังคมศึกษา แม้โรงเรียนจะได้มีการฝึกให้นักเรียนรู้จักวิธีการของระบอบประชาธิปไตย เช่น ให้มีสภานักเรียน มีการเลือกตั้ง และมีพรรคการเมืองจำลองขึ้น แต่เมื่อพ้นวัยเรียนไปแล้ว ก็ไม่ได้มีส่วนเรียนรู้อย่างเป็นระบบอย่างต่อเนื่อง จึงเท่ากับว่าการเรียนรู้ทางสังคมและการเมืองในฐานะที่เป็นพลเมืองของคนไทย เกิดจากการมีประสบการณ์ตรงที่ไม่ใช่การไปใช้สิทธิออกเสียงเลือกตั้ง หากแต่เป็นการเข้าร่วมชุมชนทางการเมือง การได้รับข้อมูลข่าวสารที่ไม่ได้อยู่ในช่วงปกติของสือมวลชน การศึกษาไทยจึงปล่อยให้การเรียนรู้เกี่ยวกับประชาธิปไตยไว้นอกห้องเรียน ก่อให้เกิดการกระตือรือร้นที่จะผลักดันประเด็นปัญหาด้านนโยบาย และเคลื่อนไหวเพื่อต่อต้านหรือสนับสนุนบางเรื่อง ดังที่เกิดขึ้นในอดีต เช่นเหตุการณ์ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖  และ ๖ ตุลาคม ๒๕๑๙ เหตุการณ์เดือนพฤษภาคม ๒๕๓๕ จนกระทั่งถึงเหตุการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองนับแต่ปี ๒๕๔๙ จนถึงปัจจุบัน

การสอนในระบบการศึกษาไทยที่เน้นการสอนให้เชื่อฟังและทำตามนี้ เป็นไปตามแนวคิดเรื่องการเป็นพลเมืองที่เชื่อฟัง ทำตามกฎระเบียบ และเคารพกฎหมายของสังคม ซึ่งสะท้อนถึงความเป็น "คนดี" ในค่านิยมการศึกษาไทย และเป็น"พลเมืองดี" ที่เคารพกฎหมายอย่างที่เป็นอยู่ในสังคมไทยทุกวันนี้  การเป็น "เด็กดี" จึงต้องเคารพและเชื่อฟังผู้ใหญ่ ทำให้เด็กในวันนี้ เมื่อเป็นผู้ใหย่ในวันหน้าก็ไม่อาจโต้แย้งหรือแสดงความคิดเห็นต่อผู้ใหญ่กว่า อาวุโสกว่า หรือมีอำนาจไว้ได้ ซึ่งทัศนคติดังกล่าว ได้ถ่ายทอดเป็นบุคลิกของคนไทย และกลายเป็นวิถีไทยที่ถูกหล่อหลอมกล่อมเกลาผ่านระบบการศึกษาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันท่ามกลางบรรยากาศทางสังคมและการเมืองที่ไม่เป็นประชาธิปไตย ทำให้ขาดพลังขับดันที่จะอยากรู้ ไม่กล้าแสดงออก ไม่แสวงหาความถูกต้อง ตลอดจนจริยธรรมก็พลอยลดน้อยถอยลงด้วย การหลีกหนีความรับผิดชอบ และจำกัดขอบเขตสำนึกของตนเอง เพราะเกรงกลัวอำนาจของผู้ที่อยู่ในสถานะที่เหนือกว่า

การศึกษาที่รวมศูนย์อำนาจการจัดการไว้ที่รัฐบาลดังกล่าวส่งผลให้เกิดวัฒนธรรมของคนที่ไม่ค่อยเข้าใจบทบาทของรัฐบาลที่มีผลต่อความเป็นอยู่ของตนเอง และไม่สนใจเรื่องส่วนรวม นักเรียนจึงมุ่งแข่งขันกันเรียน จนเมื่อสำเร็จการศึกษาก็มุ่งหาเลี้ยงชีพเพื่อประโยชน์ของตน และทิ้งภาระทางสังคม-การเมืองไว้กับนักการเมือง อันเป็นค่านิยมของการบูชายกย่องผู้มีความสำเร็จทางเศรษฐกิจ มากกว่าการให้ความสำคัญกับการสร้างคนที่มีความรู้คู่คุณธรรมที่พร้อมเสียสละเพื่อส่วนรวม

๓.สื่อสารมวลชน

ดร.วิชัย ตันสิริ ได้เขียนไว้ในหนังสือ วัฒนธรรมการเมืองและการปฎิรูปว่า "ครูที่สำคัญที่สุดของเยาวชนด้านวัฒนธรรมการเมือง คือนักการเมืองและผู้นำทางการเมือง รองลงมาคือ สื่อสารมวลชน" และผู้นำทั้งสองกลุ่มนี้ มีบทบาทและภาระที่ต้องแสดงตนให้สอดคล้องกับระบบและวิถีประชาธิปไตย การทำหน้าที่ของนักการเมืองและสื่อจะทำให้ประชาชนสัมผัสได้ และรู้เห็นอยู่ตลอดเวลา  การถ่ายทอดวิธีคิด การทำงาน และบุคลิกภาพที่สื่อออกไปสู่ประชาชน  ล้วนมีผลต่อการจดจำและเอาเป็นตัวอย่างได้ง่าย

กล่าวสำหรับสื่อสารมวลชนนั้น ในอดีตที่ตั้งกรมโฆษณาการขึ้นตั้งแต่ปี ๒๔๗๕ นี้ ก็เพื่อโฆษณาความคิด ความเชื่อของผู้นำ และแจ้งข่าวสารของราชการให้ประชาชนปฎิบัติตาม เป็นการสื่อสารเพียงด้านเดียวที่ประชาชนไม่ได้มีส่วนร่วมด้วยโดยอาศัยสื่อวิทยุเป็นเครื่องมือสื่อสารจากรัฐบาลถึงประชาชนในการแถลงข่าว การปราศรัยในพิธีและโอกาสสำคัญๆ ของผู้นำในคณะรัฐบาล อันเป็นจุดเริ่มต้นขององค์กรประชาสัมพันธ์ของรัฐ ที่ต่อมาพัฒนาเป็นกรมประชาสัมพันธ์ของรัฐบาลจวบจนปัจจุบัน การทำหน้าที่ของสื่อจึงถูกผูกขาดและกำกับโดยนโยบายของรัฐบาล เรียกว่าเป็นกระบอกเสียงของรัฐ ยิ่งในช่วงที่ประเทศไทยตกอยู่ภายใต้การปกครองระบอบเผด็จการ หรือกึ่งประชาธิปไตย  ผู้มีอำนาจทางการเมืองก็ได้ใช้สื่อดังกล่าวเพื่อการโฆษณาชวนเชื่อ และใช้เป็นเครื่องมือกำจัดศัตรูทางการเมือง เพื่อรักษาเสถียรภาพของรัฐบาล นอกจากนี้ยังทำลายผู้ที่มีแนวคิดอุดมการ์ทางการเมืองแตกต่างจากตน ซึ่งการทำหน้าที่ของสือดังกล่าว จึงไม่ได้สะท้อนความคิด ความทุกข์-สุข และความต้องการของประชาชนแต่อย่างใด

แม้สื่อกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์จะมีการพัฒนามากขึ้นตามลำดับ ตามการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี และกระแสความต้องการของประชาชนที่ต้องการเข้ามาทำงานในด้านสื่อสารมวลชนมากขึ้น แต่การทำงานของเอกชนด้านสื่อก็ยังต้องถูกกำกับภายใต้การดูแลของรัฐอย่างเข้มงวด ซึ่งเป็นการลิดรอนเสรีภาพของสื่อ และของประชาชนที่ต้องการจะรู้ข่าวสาร ทั้งของราชการและของสังคมทั่วไป

จนกระทั่งภายหลังเหตุการณ์ทางการเมืองเดือนพฤษภาคม ๒๕๓๕ จึงได้มีกระแสการเรียกร้องให้มีการปฎิรูปทางการเมืองหลายด้าน ครั้งสำคัญ รวมถึงการปฎิรูปสื่อสาธารณะเพื่อประโยชน์ขอนประชาชนตั้งแต่ระดับชุมชนโดยเห็นว่า "คลื่นความถี่ที่ใช้ในการส่งวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และวิทยุโทรคมนาคมเป็นการสื่อสารของชาติเพื่อประโยชน์สาธารณะ และเป็นความสำเร็จที่รัฐธรรมนูญได้ให้การรับรองไว้ในปี ๒๕๔๐ จนถึงรัฐธรรมนูญปี ๒๕๕๐ ที่ยังคงใช้อยู่ในปัจจุบัน ซึ่งนับเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญที่เปิดโอกาสให้ประชาชนได้มีสื่อสาธารณะของตนเอง ที่รวมกลุ่มกันอยู่ในชุมชนต่างๆ ทั่วประเทศ

การที่ประเทศไทยตกอยู่ภายใต้การครอบงำจากสื่อ ภายใต้การกำกับของรัฐมาอย่างยาวนาน ทำให้ผลต่อการกล่อมเกลาทางการเมืองของประชาชน ทำให้ประชาชนไม่รู้ ไม่สนใจ และไม่เข้าใจเรื่องการเมือง ทั้งที่ทุกเรื่องของชีวิตเกี่ยวพันกับการเมืองจนกลายเป็นวิถีชีวิตของคนไทย คนไทยโดยทั่วไปจึงไม่เห็นความสำคัญกับการเมืองและไม่ต้องการยุ่งเกี่ยวกับการเมือง เพราะการเมืองเป็นเรื่องไกลตัว และอาจนำอันตรายมาสู่ตนได้ จึงเห็นว่าเป็นเรื่องของนักการเมือง และรัฐบาลเท่านั้น การที่ประชาชนถูกหล่อหลอมภายใต้สถานะการณ์ที่ไม่เป็นประชาธิปไตยดังกล่าว จึงกลายเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาพลเมืองตามอุดมการณ์ประชาธิปไตย ซึ่งแม้นปัจจุบันสื่อมวลชนจะได้รับเสรีภาพมากขึ้นภายหลังการมีรัฐธรรมนูญปี ๒๕๔๐ แต่รัฐบาลหลายรัฐบาลก็ยังพยายามเข้าแทรกแซงการทำงานของสื่อมวลชนตลอดมา การพัฒนาพลเมืองให้มีความเป็นประชาธิปไตย จึงต้องการสื่อที่มีเสรีภาพ เพื่อเปิดโอกาสให้พลเมืองแสดงความคิดเห็นเต็มที่ ซึ่งสื่อมวลชนคือภาพสะท้อนการมีเสรีภาพของสังคม

๔.สถาบันครอบครับ

เนื่องจากสิ่งแวดล้อมทางสังคมที่ไม่เป็นประชาธิปไตย การใช้ชีวิตการงานในสถาบัน องค์กรต่างๆ  จึงมีลักษณะแบบถูกจำกัดทั้งการมีทัศนคติแบบอุปถัมภ์ การไม่ให้ความเท่าเทียมกันในการแสดงออกซึ่งความคิดเห็น ระบบการเลี้ยงดูในครอบครัวก็ได้รับอิทธิพลนี้ไปด้วย ซึ่งอันที่จริงแล้วการบ่มเพาะตั้งแต่เด็กนั้นเป็นเรื่องสำคัญมาก เพื่อให้เขามีจิตใจที่อ่อนโยน มีคุณธรรม รู้จักการมีเหตุผล แบ่งปัน รู้จักรับฟัง มีการแสดงออก และหลีกเลี่ยงการทะเลาะวิวาทด้วยการใช้กำลัง และรักความยุติธรรม แต่การเลี้ยงดูเด็กของคนไทยไม่เป็นประชาธิปไตยเท่าที่ควร เพราะเราสอนเด็กแบบอำนาจนิยมจากการคุ้นชินการใช้ชีวิตภายในรัฐที่ใช้อำนาจในการปกครองบังคับ เราจึงสอนเด็กโดยใช้ระบบอาวุโสเป็นใหญ่ ผูกขาดความถูกผิดทุกอย่างที่ลูกต้องเชื่อฟังและปฎิบัติตามโดยขาดเหตุผล เด็กไม่เข้าใจว่าเขาควรมีวินับอย่างไร  แต่ต้องคอยเอาใจผู้ใหญ่ พ่อ แม่ ผู้อาวุโสทุกๆคนที่อยู่ในครอบครัว เขาจึงไม่มีวินัย ไม่รู้จักรับผิดชอบตัวเอง จัดการตัวเองไม่ได้ ไม่รู้จะปฎิบัติอย่างไร เพราะคตินิยมที่ว่า "เด็กดี คือ ผู้ที่เชื่อฟังผู้ใหญ่" นั่นเอง

ดังนั้น ระบบการอบรมเลี้ยงดู จะช่วยสร้างประชาธิปไตยให้เกิดขึ้นได้ก็ตั้งแต่ที่บ้าน ตั้งแต่เล็ก ด้วยการสร้างสมดุลระหว่างการใช้เสรีภาพ ความรับผิดชอบและความมีวินัย โดยเฉพาะการสร้างนิสัยให้เป็นผู้มีวินัยที่ควบคุมตัวเองได้ เพราะคำว่า วินัย หมายถึงข้อบังคับหรือข้อปฎิบัติอย่างสมัครใจจนเป็นนิสัย วินัยเป็นสิ่งสำคัญมากในการปกครองระบอบประชาธิปไตย เนื่องจากการปกครองระบอบประชาธิปไตยนั้น เป็นการปกครองตนเอง ดังนั้น ถ้าประชาชนในชาติขาดความรับผิดชอบและไม่มีวินัยในตนเองแล้ว นั่นย่อมหมายถึงการไม่สามารถบังคับหรือควบคุมตัวเองให้อยู่ในกรอบ กติกาที่ตนเองและผู้อื่นร่วมกำหนดขึ้นได้ ซึ่งส่งผลทำให้ไม่สามารถที่จะใช้สิทธิในการปกครองอย่างเหมาะสมได้เช่นกัน ซึ่งการเป็นผู้มีวินัยนั้นยังเป็นผู้ที่มีความซื่อตรงต่อหน้าที่ของตนด้วย คือ มีความรับผิดชอบต่อสถานภาพต่างๆ ที่ตนเป็นอยู่  ไม่ว่าจะเป็นสมาชิกของชุมชน  ของครอบครัว และพลเมืองของประเทศ ซึ่งการมีวินับนี้มีความจำเป็นมากสำหรับสังคมไทย เพราะคนไทยโดยทั่วไปนั้นมักขาดวินัย แต่ชอบอิสระ ดังคำกล่าวที่ว่า "ทำอะไรตามใจคือไทยแท้" คนไทยจึงชอบหลบหลีกกฎหมาย หรือระเบียบสังคม เช่น การฝ่าฝืนกฎจราจร การหลีกเลี่ยงภาษี เป็นต้น

การขาดวินัยของคนไทย ส่วนหนึ่งมาจากการกล่อมเกลาทางสังคม ไม่ว่าระบบการศึกษา และสถาบันทางสังคมต่างๆ ไม่ได้ให้ความสำคัญในเรื่องวินัยอย่างจริงจังตั้งแต่เด็กๆ ดังคำกล่าวที่ว่า "วินัยเกิดขึ้นที่บ้าน"  นอกจากนี้เพลง "เด็กดี" มี ๑๐ ประการ ที่แต่งขึ้นในอดีตและมีการร้องมาจนถึงปัจจุบันในโรงเรียนต่างๆนั้น ก็ไม่ปรากฎว่าจะมีเรื่องวินัยอยู่ด้วย แต่เน้นในเรื่องความกตัญญู ความรักชาติ  และนับถือศาสนา เป็นสำคัญ ทำให้เด็กไทยไม่ได้ฝึกฝนกล่อมเกลาในด้านนี้จึงไม่สามารถจะมีวินัยในตนเอง  ไม่สามารถบังคับตนเองให้อยู่ในระเบียบวินัย หรือการตรงต่อเวลาได้ กลายเป็นลักษณะที่ไม่พึงประสงค์ของการเป็นพลเมื่องที่ต้องรีบแก้ไขโดยด่วน เพราะผู้ที่ขาดวินัยมักจะขาดความรับผิดชอบด้วย ย่อมสร้างความเสียหายแก่ส่วนรวมได้ง่าย

จากปัจจัยทั้ง ๔ ประการ จะเห็นได้ว่าองค์ประกอบของการฉุดรั้งและไม่ส่งเสริมโอกาสให้ประชาชนเป็นพลเมืองนั้น ล้วนมาจากโครงสร้างทางการเมือง การมีระบบอุปถัมภ์ที่หยั่งรากลึกมายาวนานจากสถาบันที่ถืออำนาจทางการเมือง สถาบันที่ใช้อำนาจทางการเมือง คือรัฐ และระบบราชการ สู่สถาบันการศึกษา อันเป็นโรงงานบ่มเพาะเมล็ดพันธ์พลเมือง สู่ชุมชนและครอบครัว ที่ล้วนมาจากการรวมศูนย์อำนาจไว้ที่ราชการส่วนกลางมากจนเกินไปเพราะขาดสำนึกถึงความสำคัญและความจำเป็นของการมีส่วนร่วมที่แท้จริงของพลเมือง การไม่เชื่อในคุณค่าของมนุษย์ที่มีศักดิ์ศรีและมีเหตุผลนั้น มีผลทำให้สังคมขาดพลัง และรัฐบาลประเภทนี้ไม่สามารถที่จะบริบาลประชาชนได้จากภัยพิบัติตามธรรมชาติ  ดังปรากฎอย่างชัดเจนแล้วในกรณีภัยธรรมชาติ อุทกภัยที่เกิดขึ้นที่จังหวัดนครศรีธรรมราชและชุมพรในปี พ.ศ.๒๕๓๒  และปี ๒๕๕๔ นี้  ซึ่งผลจากภัยธรรมชาตินี้เอง ทำให้เกิดการเปิดเผยจุดอ่อนของอำนาจรัฐที่รวมศูนย์มากเกินไปอย่างชัดแจ้ง และปฎิเสธพลังการมีส่วนร่วมของภาคประชาสังคมหรือพลเมืองในการแก้ไขปัญหาใหญ่ของชาติ

 

คุณลักษณะของพลเมืองในสังคมประชาธิปไตย คัดลอกจากหนังสือ " การศึกษาเพื่อสร้างพลเมือง" โดย ทิพย์พาพร ตันติสุนทร

พิมพ์ PDF

 

ต่อเมื่อทำให้ประชาชนได้เป็นพลเมืองที่มีความรู้และความสามารถจะดูแลปกครองตนเองและปกครองกันเองได้ ไม่ปล่อยให้ผูกขาดอยู่แต่ในมือของรัฐราชการ รัฐบาล หรือนักธุรกิจการเมือง การก้าวสู่ความเป็น"พลโลก" ในทางสากลก็อยู่ไม่ไกล

"ระบอบประชาธิปไตย ต้องการนักประชาธิปไตย"  เป็นคำกล่าวที่เกิดจากประสบการณ์ของชาวเยอรมันภายหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ที่ให้ความสำคัญกับพลเมืองในการมีส่วนร่วมในทางการเมือง (Political Participation) มีจิตวิญญาณสาธารณะ (Civic Engagement) และมีความรับผิดชอบทางสังคม  (Social Responsibility) ซึ่งการที่พลเมืองจะแสดงออกถึงบทบาทเหล่านี้ได้เขาต้องมีการศึกษา มีความรู้และความเข้าใจทางการเมือง (Political Literacy)  มีความเสมอภาค (Equality) รักในความยุติธรรม (Justice) มีเสรีภาพ (Freedom)  ในการแสดงออกเพื่อประโยชน์ของปัจเจกและส่วนรวม และแน่นอน การมีอยู่ของเสียงส่วนใหญ่ก็เพื่อคุ้มครองสิทธิของเสียงส่วนน้อยด้วย คือ ไม่ละเลยเสียงข้างน้อย คุณลักษณะดังกล่าวของพลเมืองเยอรมันก็เพื่อผดุงระบอบประชาธิปไตยไม่ให้หันกลับไปหาระบอบอื่นที่อยู่ในด้านตรงข้ามที่สังคมเยอรมันได้เผชิญมาแล้วในสงครามโลกครั้งที่สอง กล่าวโดยสรุปแล้ว ลักษณะพลเมืองในสังคมประชาธิปไตยที่เป็นสากลนั้น ได้มีการทำการศึกษาวิจัยจากนักวิชาการจากทุกทวีปมารวมตัวกัน เพื่อเตรียมตัวเข้าสู่ศตวรรษที่ ๒๑ และได้มีการพิมพ์เผยแพร่ไปทั่วโลก โดยมีสาระสำคัญสรุปได้ดังนี้

๑.การเป็นผู้ที่มีความรู้ มีการศึกษา และความสามารถที่จะมองเห็นและเข้าใจในสังคมของตนและสังคมโลก เช่น เป็นสมาชิกของสังคมโลก

๒.มีความสามารถที่จะทำงานร่วมกับผู้อื่นและรับผิดชอบทั้งต่อตนเองและผู้อื่นในบทบาทส่วนตนและต่อสังคม

๓.มีความสามารถที่จะเข้าใจ ยอมรับ และอดทนต่อความแตกต่างทางวัฒนธรรม

๔.มีความสามารถที่จะคิดวิเคราะห์อย่างมีเหตุผลและเป็นระบบ

๕.มีความเต็มใจที่จะแก้ปัญหาความขัดแย้งด้วยท่าทีสันติ ไม่ใช่ความรุนแรง

๖.มีความเต็มใจที่จะเปลี่ยนการใช้ชีวิตและอุปนิสัยการบริโภคเพื่อรักษาสิ่งแวดล้อม

๗.ความสามารถที่จะเข้าใจและปกป้องสิทธฺิมนุษยชน

๘.มีความเต็มใจและมีความสามารถที่จะเข้าไปมีส่วนร่วมในทางการเมือง ทั้งในระดับท้องถิ่น ระดับชาติ และระดับนานาชาติ

ซึ่งบุคลิกลักษณะทั้ง ๘ ประการนี้ มีลักษณะเป็นพลเมืองสากล คือเป็นได้ทั้งพลเมืองของประเทศและเป็นพลโลก ด้วยเหตุที่โลกปัจจุบันนี้ แต่ละประเทศก็ต่างมีสถานที่พึ่งอิงพิงกันไม่สามารถอยู่อย่างโดดเดี่ยวได้ ผลที่เกิดขึ้น ณ.ที่หนึ่งก็จะส่งผลต่ออีกที่หนึ่งเสมอ  เพราะโลกปัจจุบันมีการสื่อสารกันได้อย่างรวดเร็วด้วยเทคโนโลยีชั้นสูง และไม่มีพรมแดน การพูดถึงประชาธิปไตยในปัจจุบันจึงกล่าวล่วงไปถึงประชาธิปไตยด้านสิ่งแวดล้อมด้วย เพราะการทำลายสิ่งแวดล้อม ณ. ที่หนึ่งอาจส่งผลกระทบต่ออีกที่หนึ่งได้ พลเมืองในระบอบประชาธิปไตยจึงต้องมีจิตใจรักสิ่งแวดล้อม การกินอยู่ ดำรงชีพ ต้องเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เพื่อไม่ให้เกิดการทำลายและแย่งชิงทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยู่อย่างจำกัด บนโลกใบนี้อันจะเป็นการละเมิดต่อชีวิตผู้อื่นและทำลายล้างซึ่งกันและกัน ซึ่งขัดกับหลักสิทธิมนุษยชนซึ่งเป็นหลักสำคัญอันหนึ่งของประชาธิปไตย

คุณลักษณะของพลเมืองในสังคมไทยก็ควรที่จะเป็นไปในทิศทางเดียวกันดังกล่าวข้างต้น เพราะประเทศไทยเป็นสมาชิกของสังคมโลก เป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้งสมาคมอาเซียน (ASEAN)  และอีก ๒ ปีข้างหน้า ASEAN จะก้าวเข้าสู่ความร่วมมือทางเศรษฐกิจอย่างเต็มที่ จึงมีแต่การสร้างพลเมืองไทยให้มีมาตราฐานสากล ให้ยืนอยู่ได้ท่ามกลางการแข่งขันอย่างรุนแรงในทุกที่ในโลก ไม่ว่าในกลุ่มอาเซียน (ASEAN) ในกลุ่มประชาคมยุโรป (EU)  หรือในเวทีใดๆก็ตาม คุณลักษณะทั้ง ๘ ประการนั้น มีเงื่อนไขหลักอยู่ที่ให้คุณค่าของความเป็นมนุษย์ที่มีศักดิ์ศรี ความร่วมมือกัน ความเข้าใจกัน ใช้เหตุผล แม้แตกต่างกัน และมีสันติโดยไม่ต้องมีความรุนแรงหรือละเมิดต่อกัน บนพื้นฐานของความเป็นมนุษย์หรือสรรพสิ่งที่มีอยู่ในธรรมชาติอันเป็นคุณค่า-คุณธรรมร่วมที่อยู่เหนือชาติ ภาษา และวัฒนธรรมประเพณีทั้งมวล

ต่อเมือทำให้ประชาชนได้เป็นพลเมืองที่มีความรู้และความสามารถจะดูแลปกครองตนเองและปกครองกันเองได้ ไม่ปล่อยให้ผูกขาดอยู่แต่ในมือของรัฐราชการ รัฐบาล หรือนักธุรกิจการเมือง การก้าวสู่ความเป็น "พลโลก"ในทางสากลก็อยู่ไม่ไกลแล้ว

การจะสร้างพลเมืองอย่างไร ให้มีความรู้ทางการเมืองและให้รู้เท่าทันการเมือง (Political Literacy)  หรือให้รู้บทบาทของพลเมืองที่มีทัศนคติและทักษะในการทำงานอุทิศตนเพื่อสังคมและส่วนรวมได้มากขึ้น  มีความเชื่อมั่นในพลังการเปลี่ยนแปลงที่ไม่ใช่มาจากรัฐ และทำอย่างไรให้คนไทยได้รู้สึกถึงการเป็นเจ้าของ (Ownership) ประเทศของตน เจ้าของสิ่งของสาธารณะทั้งหลายที่ได้มาโดยภาษีอากร น้ำพักน้ำแรงของทุกคน เพื่อที่ทุกคนจะได้รู้สึกหวงแหนและรักษาไว้ให้เป็นสาธารณะสมบัติจนชั่วลูกชั่วหลาน ซึ่งล้วนเป็นเรื่องที่ทุกภาคส่วนของสังคมจะต้องช่วยกันคิดอย่างมีฉันทานุมัติ และสร้างเจตจำนงทางการเมืองร่วมกัน (Political Will)  ในการสร้างคนให้มีการใช้ชีวิต วิธีคิด วิธีทำงาน ให้สอดคล้องกับระบอบการเมือง และเพื่อรักษาระบอบประชาธิปไตยให้เดินไปข้างหน้าให้ได้นั้น จึงพึงพิจารณาจุดอ่อน และจุดแข็ง ที่ดำรงอยู่ในสังคมไทยให้ได้อย่างเข้าใจ เพื่อการพัฒนาทุนมนุษย์ที่มีอยู่ให้เป็นพลเมืองในสังคมประชาธิปไตยให้ได้

 

แก้ไขล่าสุด ใน วันเสาร์ที่ 12 มกราคม 2013 เวลา 22:17 น.
 


หน้า 515 จาก 558
Home

About Us

ศูนย์บูรณาการพัฒนามนุษย์ (ศบม.) เป็นองค์กรที่พัฒนาและจัดทำโครงการเพื่อทำประโยชน์ให้สังคม เป็นองค์กรสนับสนุนการดำเนินงานของภาครัฐ ช่วยแก้ปัญหาผู้ประกอบการภาคธุรกิจบริการที่ขาดแคลนบุคลากรที่มีมาตรฐานในการให้บริการ
อ่านเพิ่มเติม

มูลนิธิศูนย์บูรณาการพัฒนามนุษย์ ์

 iHDC Profile
บัญชีรายชื่อกรรมการ
ใบสำคัญแสดงการจดทะเบียน การเปลี่ยนแปลงกรรมการของมูลนิธิ
เอกสารประชาสัมพันธ์ โครงการ HMTC.pdf
เอกสารแนะนำโครงการ HMTC 1.pdf
เอกสารโครงการ HMTC 2 คุณสมบัติผู้เข้าร่วมโครงการ.pdf
iHDC นิติบุคคล.pdf
iHDC บุคคล.pdf
iHDC บุคคลเครือข่าย.pdf
รายงานการประชุม 6 มีนาคม 2560.pdf
ข้อบังคับมูลนิธิ
ใบสำคัญแสดงการจดทะเบียนจัดตั้งมูลนิธิ
Ihdc-Profile and Roadmap 2016-2019 Mar 23 2560.pdf
รายงานการประชุมใหญ่คณะกรรมการมูลนิธิศูนย์บูรณาการพัฒนามนุษย์ 2559.pdf
คำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการ สาขาวิชาชีพ.pdf
รายงานการประชุมใหญ่วันที่ 18 ธ ค 2558 v 3.pdf
รายงานการประชุม วันที่ 24 ธันวาคม 2557 updated 4 มีนาคม 2558.pdf
iHDC-invitation Letter.doc
iHDC-Member Form Thai.doc
iHDC-Member Form English.doc
รายงานการประชุมกรรมการมูลนิธิศูนย์บูรณาการพัฒนามนุษย์ วันที่ 15 มกราคม 2556 ฉบับสมบูรณ์


thaibetter
พัฒนาประเทศไทยแบบทวีคูณ และยั่งยืน ( ททค )

Login


แบบสำรวจ

สถิติเว็บไซด์

สมาชิก : 5609
Content : 3052
เว็บลิงก์ : 26
จำนวนครั้งเปิดดูบทความ : 8626150

facebook

Twitter


บทความเก่า