Thaiihdc.org

  • เพิ่มขนาดตัวอักษร
  • ขนาดตัวอักษรปกติ
  • สดขนาดตัวอักษร
Thaiihdc.org

สร้างมาตรฐานโดยการเพิ่มมูลค่าทรัพยากรมนุษย์ด้านอุตสาหกรรมโรงแรม

พิมพ์ PDF

สร้างมาตรฐานโดยการเพิ่มมูลค่าทรัพยากรมนุษย์ด้านอุตสาหกรรมโรงแรม

 

บทนำ

 

อุตสาหกรรมโรงแรมประกอบด้วย ๔ ส่วนใหญ่ๆ ดังนี้

๑)     ส่วนของการลงทุน ได้แก่การลงทุนด้านทรัพย์สิน เช่นที่ดิน ตัวอาคาร สาธารณูปโภค และ การลงทุนด้านการจัดการ เป็นต้น

๒)    ส่วนของการตลาด ได้แก่การวางขนาดและทิศทางของธุรกิจ กลุ่มเป้าหมายลูกค้า

๓)    ส่วนของการจัดการ ได้แก่การดำเนินการต่างๆเพื่อให้บรรลุตามเป้าหมาย

๔)    ส่วนของการบริการ หรือส่วนของการปฏิบัติ ของทรัพยากรมนุษย์

 

ส่วนมากแล้วเจ้าของธุรกิจโรงแรมคิดแต่เฉพาะการลงทุนด้านทรัพย์สินเพียงอย่างเดียว มิได้มีการกำหนดงบประมาณการลงทุนด้านการจัดการและการตลาด จึงทำให้มาตรฐานของโรงแรมไม่ตรงตามความเป็นจริง

ส่วนของการตลาดเจ้าของธุรกิจไม่ได้คำนึงถึงส่วนนี้ มักจะสร้างโรงแรมขึ้นมาเพื่อหวังผลประโยชน์ในด้านอื่น หรือทำตามความต้องการของเจ้าของเป็นหลัก

ส่วนของการจัดการเจ้าของธุรกิจไม่ได้จ้างมืออาชีพมาจัดการธุรกิจ จ้างคนมาดำรงตำแหน่งหนึ่งแต่ให้ไปทำงานอีกอย่างซึ่งไม่ตรงตามตำแหน่งที่จ้างมา เจ้าของจะลงไปจัดการเองทุกตำแหน่ง หรือถ้าตัวเจ้าของเองไม่ลงไปจัดการก็จะมอบหมายให้เครือญาติหรือคนใกล้ชิดลงไปดำเนินการในตำแหน่งนั้นๆ หรืออาจไม่มีตำแหน่งแต่ไปดำเนินการล้วงลูกในตำแหน่งที่เป็นของคนอื่น

ส่วนของการบริการ เป็นส่วนที่เกี่ยวข้องกับการให้บริการหรือการปฏิบัติงานของพนักงานโรงแรมทั้งหมด ซึ่งแบ่งออกเป็นกลุ่มต่างๆดังนี้

กลุ่มของพนักงานระดับล่าง เป็นพนักงานที่ใช้แรงงานเป็นหลัก ส่วนหนึ่งเป็นผู้ที่ให้บริการตรงกับลูกค้า ส่วนหนึ่งเป็นหน่วยสนับสนุน และอีกส่วนเป็นหน่วยตรวจสอบ

กลุ่มหัวหน้างาน

กลุ่มผู้บริหารระดับกลาง

กลุ่มผู้บริหารระดับสูง

 

 

ส่วนใหญ่เจ้าของธุรกิจโรงแรมเป็นผู้กำหนดมาตรฐานของตัวเอง โดยใช้การลงทุนด้านทรัพย์สินเป็น ตัวชี้วัดเพียงอย่างเดียว มิได้นำเอาอีกสามส่วนมาพิจารณา

 

 

 

 

 

วัตถุประสงค์

๑)     สร้างมาตรฐานอุตสาหกรรมโรงแรมไทยให้เหมาะสมกับการทำธุรกิจแบบยั่งยืน

๒)    สร้างบุคลากรด้านอุตสาหกรรมโรงแรมให้มีคุณสมบัติที่เหมาะสมกับงานในตำแหน่งที่ได้รับอย่างพอเพียง

๓)    สร้างบุคลากรด้านอุตสาหกรรมโรงแรมให้มีมูลค่าเพิ่ม มีอนาคต และรายได้ที่เหมาะสมและพอเพียงต่อการดำรงชีพ

 

การดำเนินการ

๑)     ตั้งทีมทำงาน  ที่มาจากบุคลากรด้านโรงแรม นักวิชาการ เจ้าของกิจการโรงแรม และส่วนของภาครัฐ ทั้งส่วนงานที่เกี่ยวข้องโดยตรงและส่วนสนับสนุน ( โดยการคัดเลือกเป็นรายบุคคลไม่ใช่โดยตำแหน่ง)

๒)    รวบรวมสมาชิกที่ทำงานในอุตสาหกรรมโรงแรม

๓)    จัดกิจกรรมเพื่อให้บรรลุเป้าหมายตามวัตถุประสงค์

 

 

เป้าหมายกลุ่มที่ต้องได้รับการการพัฒนา

๑)     เจ้าของกิจการ  ( ผู้ลงทุน)

๒)    ผู้บริหารระดับสูง

๓)    ผู้บริหารระดับกลาง

๔)    หัวหน้างาน

๕)    พนักงานระดับล่าง

 

เครือข่ายที่ต้องดึงเข้ามาร่วมให้การสนับสนุน

๑)     กระทรวงการท่องเที่ยว ( สำนักพัฒนาการท่องเที่ยว)

๒)    กระทรวงแรงงาน

๓)    กรมพัฒนาแรงงาน

๔)    กระทรวงศึกษา ทบวง กรมอาชีวะ

๕)    กระทรวงวัฒนะธรรม

๖)     กระทรวงต่างประเทศ

๗)    สำนักงานประกันสังคม

๘)    สภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ

๙)     กระทรวง IT

๑๐) ฯลฯ

               

 

 

ตัวอย่างอุปสรรค์และปัญหาที่บุคลากรด้านอุตสาหกรรมโรงแรมขาดแคลน

 

คนไทยเป็นคนเก่งและมีความสามารถไม่แพ้ใคร แต่ที่บุคลากรระดับล่างขาดแคลนไม่สามารถคัดเลือกทรัพยากรมนุษย์ที่มีอยู่มากมายให้มาทำงานในตำแหน่งที่ว่างเพราะขาดการเรียนรู้อย่างแท้จริง

๑)     อาจารย์สอนไม่รู้จริง

๒)    หลักสูตรการศึกษาไม่ได้ให้โอกาสนักศึกษาเข้าใจในตำแหน่งงานอย่างแท้จริง

๓)    หัวหน้าที่สอนงานให้ลูกน้องเข้าใหม่ ไม่มีความรู้ในการสอน

๔)    พนักงานเก่าที่สอนงานให้กับพนักงานใหม่ ยังไม่รู้งานจริง จึงสอนแบบผิดๆถูกๆ

๕)    ไม่มีเวลาเรียนรู้อย่างถูกต้อง

ทางโรงแรมเองไม่ได้เอาใจใส่ในการลงทุนด้านทรัพยากรมนุษย์ ไม่ได้คิดทุ่มเทหรือลงทุนเพื่อสร้างคนอย่างถูกต้อง เมื่อพนักงานไม่พอก็วิ่งแย่งซื้อตัวจากโรงแรมอื่น หรือรับผู้ที่ไม่เคยมีคุณสมบัติ และ ความรู้ในตำแหน่งงานนั้นๆ พนักงานใหม่เหล่านั้นไม่มีโอกาสเข้ารับการอบรม ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของพนักงานเก่าหรือหัวหน้างานเป็นผู้บอกกล่าวและสอนงาน

ส่วนการสนับสนุนจากกรมแรงงาน และหน่วยงานอื่นๆทั้งของภาคเอกชนและภาครัฐ ก็ไม่ประสบผลสำเร็จเท่าที่ควรเพราะ

๑ ) ผู้จัดได้กำหนดเวลาในการจัดอบรมตามความสะดวกของผู้จัด มิได้จัดการอบรม ตามเวลาที่เหมาะสมกับผู้เข้ารับการอบรมและความเป็นไปได้ในการส่งพนักงานไปอบรมของแต่ละโรงแรม

๒) การจัดอบรมเน้นที่บางตำแหน่ง แต่มีอีกหลายตำแหน่งที่ไม่มีการจัดอบรม

๓) การสื่อสารไม่ถึงตัวพนักงานผู้ต้องการได้รับการอบรม

๔) ทางโรงแรมเองไม่กล้าส่งพนักงานของตัวเองไปอบรมเพราะ ถ้าส่งไปแล้วไม่มีคนทำงาน หรือกลัวว่าเมื่อส่งไปแล้วจะถูกดึงตัวไปที่อื่น

๕) ผู้รับการอบรมขาดแรงจูงใจในการเข้ารับการอบรม

๖) การอบรมบางหลักสูตร ไม่สามารถนำกลับมาใช้ในโรงแรมที่ตัวเองทำงานอยู่ได้

 

การขาดแคลนบุคคลากรในระดับหัวหน้างาน และผู้บริหารระดับกลาง

                ไม่ได้ถูกอบรมมาให้เป็นผู้บริหาร ได้รับตำแหน่งเพราะมีชั่วโมงการทำงานที่มากกว่าพนักงานคนอื่นๆ หรือเป็นคนของหัวหน้างานในระดับสูงขึ้นไป หรือเป็นผู้ที่ขยัน ทำงานดี ซื่อสัตย์ จึงถูกเลื่อนให้เป็นหัวหน้างาน หรือเป็นผู้บริหารระดับกลาง หรือถูกดึงตัวไปอยู่โรงแรมที่เปิดใหม่ โดยยังไม่เคยมีความรู้หรือได้รับการเรียนรู้งานของการเป็นหัวหน้า หรืองานในการบริหาร เมื่อขึ้นไปอยู่ในตำแหน่งนั้นๆก็ยังติดกับการทำงานเก่าๆของตัวเอง ไม่ได้ทำงานในหน้าที่ใหม่ จึงไม่สามารถสร้างบุคลากรในระดับรองลงไปได้

 

 

 

การพิจารณากำหนดมาตรฐานของงานในแต่ละตำแหน่ง

 

 

การตั้งมาตรฐานของงานแต่ละตำแหน่งต้องศึกษาและวิจัยให้ลึกๆ เพราะแต่ละโรงแรมมีมาตรฐานที่แตกต่างกัน การบริการขึ้นอยู่กับกลุ่มลูกค้าเป็นสำคัญดังนั้น มาตรฐานของงานแต่ละตำแหน่งจึงขึ้นอยู่กับชนิดของกลุ่มลูกค้าของโรงแรมนั้นๆ  การกำหนดมาตรฐานของงานในแต่ละตำแหน่งจึงต้องจัดแบ่งแยกออกไปตามกลุ่มของโรงแรมนั้น

โรงแรมแต่ละระดับมีรายได้และการลงทุนที่แตกต่างกัน มาตรฐานของงานแต่ละตำแหน่งในแต่ละระดับโรงแรมก็ต้องแตกต่างกันไปด้วย

 

พนักงานที่มีความขยันอดทน ทำงานเก่ง บริการลูกค้าได้ดีเยี่ยม ส่วนมากจะเป็นพนักงานที่เรียนรู้ด้วยตัวเอง เรียนจากประสบการณ์ แต่ไม่สามารถสร้างความก้าวหน้าได้ในสถานที่เดิม เพราะโรงแรมนั้นๆไม่ได้มีแผนในด้านทรัพยากรมนุษย์ ไม่สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับพนักงาน พนักงานเหล่านี้จึงได้วิ่งหางานที่ใหม่ ที่ทำให้พนักงานผุ้นั้นมีรายได้เพิ่มมากขึ้น

 

สำหรับโรงแรมระดับ สี่ดาว และ ห้าดาวไม่ค่อยจะมีปัญหาในการขาดแคลนบุคลากรระดับล่าง เพราะโรงแรมระดับนี้ส่วนใหญ่จะมีผู้ที่มีความรู้และประสบการณ์จากโรงแรมระดับที่ต่ำกว่ามาสมัครเพื่อขอเข้าทำงานเป็นจำนวนมากจึงสามารถคัดเลือกคนได้ตามคุณสมบัติที่ตัวเองต้องการ

 

 

ม.ล.ชาญโชติ ชมพูนุท

๖ มกราคม ๒๕๔๘

               

 

 

 

แก้ไขล่าสุด ใน วันอังคารที่ 13 กันยายน 2011 เวลา 18:04 น.
 

แผนปฎิบัติการเพื่อเพิ่มศักยภาพธุรกิจท่องเที่ยวแบบยั่งยืน

พิมพ์ PDF

แผนปฏิบัติการณ์เพื่อเพิ่มศักยภาพธุรกิจท่องเที่ยวแบบยั่งยืน

 

ต้องดำเนินการควบคู่กันไปทั้ง ๓ กลุ่ม

 

      ผู้ประกอบการต้องได้รับความรู้ความเข้าใจเรื่องการตลาดอย่างแท้จริง เพื่อเปลี่ยนแนวทางค้าขายให้มาเน้นถึงการค้าแบบยั่งยืน มีกำไรในทางตรง มีการบริหารและการจัดการแบบมืออาชีพ สร้างเครือข่ายและมีการร่วมทุน ได้รับการสนับสนุนในสิ่งที่ต้องการจากภาครัฐ

      ภาครัฐต้องเข้าใจธุรกิจการท่องเที่ยวอย่างแท้จริงและหันมาให้ความสำคัญกับผู้ประกอบการให้บริการท่องเที่ยว ช่วยให้การสนับสนุนผู้ประกอบการที่ดีและผลักดันผู้ประกอบการที่ไม่ดีออกไปจากวงการ

      สถานศึกษาและกรมพัฒนาฝีมือแรงงานสร้างคนมารองรับทั้งแรกเข้าทำงานและผู้ที่ทำงานอยู่แล้วเพื่อขยับฐานะให้สูงขึ้น

กลุ่มเป้าหมาย

      ผู้ให้บริการท่องเที่ยว ได้แก่ Inbound Tour Operator และ Local Tour Operator

      โรงแรม ได้แก่โรงแรมระดับ ๓ ดาวลงมา

      สำนักงานพัฒนาการท่องเที่ยว

      การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยและสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยว

      กรมพัฒนาแรงงาน

      สถานศึกษาระดับอาชีวะ และระดับมหาวิทยาลัย

      สมาคมการท่องเที่ยวและสมาคมโรงแรม

ผู้ให้บริการท่องเที่ยว

      จัดสัมมนาเพื่อให้ความรู้เรื่องการตลาด การบริหารและการจัดการ โดยมูลนิธิพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ระหว่างประเทศ ร่วมกับ สมาคมธุรกิจท่องเที่ยว สำนักงานพัฒนาการท่องเที่ยว และกรมพัฒนาแรงงาน เพื่อให้ผู้ประกอบการ

      ปรับแนวการค้าขาย จากเน้นการได้มาของจำนวนนักท่องเที่ยว เป็นเน้นการค้าขายที่มีกำไรโดยทางตรง

      เปลี่ยนแนวความคิดจากการคัดลอกโปรแกรมท่องเที่ยว มาเป็นการสร้างโปรแกรมท่องเที่ยวเฉพาะของแต่ละผู้ให้บริการ เพื่อสร้างความแตกต่าง

โรงแรมระดับ ๓ ดาวลงมา

      จัดสัมมนาเรื่องการตลาด การบริหาร การจัดการ เพื่อให้ผู้ประกอบการ

      มีความเข้าใจเรื่องการตลาดอย่างแท้จริง 

      ปรับเปลี่ยนการบริหารและการจัดการให้เป็นมืออาชีพ มีความรับผิดชอบ ต่อสังคม ลงทุนด้านทรัพยากรมนุษย์

      ผู้รับผิดชอบ มูลนิธิพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ สมาคมโรงแรม กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน

 

 

 

 

 

 

 

สำนักงานพัฒนาการท่องเที่ยว

      หันมาทำความเข้าใจผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยว ( Tour Operator ) วางแผนและนโยบายเพื่อสร้างกลยุทธ์ให้ผู้ประกอบการมีแรงจูงใจที่จะดำเนินธุรกิจแบบยั่งยืน

      ให้การสนับสนุนผู้ประกอบการที่ดำเนินธุรกิจแบบยั่งยืน และขับไล่ผู้ประกอบการที่ไม่ดีให้ออกไปจากในวงการ

      การวางแผนและกำหนดนโยบายสำคัญควรให้ภาคเอกชนโดยรวมมีส่วนร่วมไม่ใช่ทำเสร็จแล้วจึงแจ้งเอกชนให้รับทราบ หรือเรียกประชุมโดยด่วนไม่ให้เวลาภาคเอกชนได้คิด

การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย และสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยว

      เปลี่ยนแนวคิดจากระบบศักดินา มาเป็นการทำงานร่วมกับผู้ประกอบการท่องเที่ยว

      ให้การสนับสนุนด้านการตลาดแก่ผู้ประกอบการธุรกิจนำเที่ยวอย่างทั่วถึง มิใช่เจาะจงเฉพาะผู้ที่คุ้นเคยและคนใกล้ชิด

      วางแผนการตลาดอย่างรอบครอบเพื่อผลประโยชน์ของประชาชนทั้งประเทศมิใช่เฉพาะกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง

กรมพัฒนาแรงงาน

      ปรับเปลี่ยนการทำงานจากการตั้งรับเป็นฝ่ายรุก โดยการสร้างเครือข่ายร่วมกับผู้ประกอบการ

      ศึกษาทำวิจัยเรื่องแรงงานด้านอุตสาหกรรมการให้บริการด้านการท่องเที่ยว และวางแผนเพื่อให้การสนับสนุนผู้ประกอบการให้มีแรงงานที่มีคุณภาพทั้งแรกเข้า และพนักงานเก่าเพื่อการเลื่อนฐานะที่เหมาะสมและมีประสิทธิภาพ

      สร้างมาตรฐานแรงงาน และอัตราแรงงานที่เหมาะสมทุกระดับขั้น

      เป็นตัวกลางสร้างความยุติธรรมให้กับผู้ประกอบการและพนักงาน

สถานศึกษา

      วางหลักสูตรร่วมกับผู้ประกอบการ

      ผลิตนักศึกษาให้ได้คุณสมบัติตามที่สถานประกอบการต้องการ

      สร้างหลักสูตรสำหรับพนักงานที่มีความชำนาญและความรู้ในแต่ละงานเพื่อมีความรู้ในการสอน เพื่อจะได้มาเป็นครูสอนนักศึกษาใหม่

      มีการสอบเทียบเพื่อรับปริญญาสำหรับผู้ที่มีความรู้และความสามารถจากประสบการณ์ในการทำงานแต่ขาดปริญญา

      สร้างมนุษย์ให้มีคุณค่าและทำประโยชน์ให้แก่สังคม

 

 

 

 

 

 

 

สมาคม

      กรรมการสมาคมต้องบริหารงานสมาคมให้เป็นที่ไว้ใจของสมาชิก

      สร้างความเข้มแข็งและสนับสนุนให้สมาชิกได้รับผลประโยชน์จากภาครัฐอย่างทั่วถึงและยุติธรรม

      เห็นความสำคัญในการทำงานร่วมกับภาครัฐ เพื่อทำให้ภาครัฐเข้าใจในธุรกิจของสมาชิก ทำให้สมาชิกโดยรวมได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐ

      ให้ความสำคัญกับสมาชิก ควรจะมีการประชุมร่วมกับสมาชิกและได้รับความคิดเห็นจากสมาชิกก่อนที่จะส่งผู้แทนไปเข้าร่วมประชุมกับภาครัฐ

 

สรุปแผนการปฏิบัติเพื่อเพิ่มศักยภาพธุรกิจท่องเที่ยวแบบยั่งยืน

      ศูนย์บูรณาการพัฒนามนุษย์ เป็นตัวกลางในการปฏิบัติการเพื่อให้กลุ่มเป้าหมายทั้งหมดหันมาศึกษาซึ่งกันและกัน ทำงานร่วมกัน เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้กับผู้ประกอบการธุรกิจนำเที่ยวไทย

      เป็นผู้ทำ Master Plan เพื่อนำเสนอภาครัฐ และกลุ่มเป้าหมายทั้งหมด

      เป็นผู้ดำเนินการจัดสัมมนา โดยมีเจ้าภาพร่วมในแต่ละกลุ่มวัตถุประสงค์

 

แก้ไขล่าสุด ใน วันอังคารที่ 13 กันยายน 2011 เวลา 22:50 น.
 

แผนปฎิบัติการเพื่อเพิ่มศักยภาพธุรกิจท่องเที่ยวแบบยั่งยืน

พิมพ์ PDF

แผนปฏิบัติการณ์เพื่อเพิ่มศักยภาพธุรกิจท่องเที่ยวแบบยั่งยืน

 

ต้องดำเนินการควบคู่กันไปทั้ง ๓ กลุ่ม

 

      ผู้ประกอบการต้องได้รับความรู้ความเข้าใจเรื่องการตลาดอย่างแท้จริง เพื่อเปลี่ยนแนวทางค้าขายให้มาเน้นถึงการค้าแบบยั่งยืน มีกำไรในทางตรง มีการบริหารและการจัดการแบบมืออาชีพ สร้างเครือข่ายและมีการร่วมทุน ได้รับการสนับสนุนในสิ่งที่ต้องการจากภาครัฐ

      ภาครัฐต้องเข้าใจธุรกิจการท่องเที่ยวอย่างแท้จริงและหันมาให้ความสำคัญกับผู้ประกอบการให้บริการท่องเที่ยว ช่วยให้การสนับสนุนผู้ประกอบการที่ดีและผลักดันผู้ประกอบการที่ไม่ดีออกไปจากวงการ

      สถานศึกษาและกรมพัฒนาฝีมือแรงงานสร้างคนมารองรับทั้งแรกเข้าทำงานและผู้ที่ทำงานอยู่แล้วเพื่อขยับฐานะให้สูงขึ้น

กลุ่มเป้าหมาย

      ผู้ให้บริการท่องเที่ยว ได้แก่ Inbound Tour Operator และ Local Tour Operator

      โรงแรม ได้แก่โรงแรมระดับ ๓ ดาวลงมา

      สำนักงานพัฒนาการท่องเที่ยว

      การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยและสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยว

      กรมพัฒนาแรงงาน

      สถานศึกษาระดับอาชีวะ และระดับมหาวิทยาลัย

      สมาคมการท่องเที่ยวและสมาคมโรงแรม

ผู้ให้บริการท่องเที่ยว

      จัดสัมมนาเพื่อให้ความรู้เรื่องการตลาด การบริหารและการจัดการ โดยมูลนิธิพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ระหว่างประเทศ ร่วมกับ สมาคมธุรกิจท่องเที่ยว สำนักงานพัฒนาการท่องเที่ยว และกรมพัฒนาแรงงาน เพื่อให้ผู้ประกอบการ

      ปรับแนวการค้าขาย จากเน้นการได้มาของจำนวนนักท่องเที่ยว เป็นเน้นการค้าขายที่มีกำไรโดยทางตรง

      เปลี่ยนแนวความคิดจากการคัดลอกโปรแกรมท่องเที่ยว มาเป็นการสร้างโปรแกรมท่องเที่ยวเฉพาะของแต่ละผู้ให้บริการ เพื่อสร้างความแตกต่าง

โรงแรมระดับ ๓ ดาวลงมา

      จัดสัมมนาเรื่องการตลาด การบริหาร การจัดการ เพื่อให้ผู้ประกอบการ

      มีความเข้าใจเรื่องการตลาดอย่างแท้จริง 

      ปรับเปลี่ยนการบริหารและการจัดการให้เป็นมืออาชีพ มีความรับผิดชอบ ต่อสังคม ลงทุนด้านทรัพยากรมนุษย์

      ผู้รับผิดชอบ มูลนิธิพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ สมาคมโรงแรม กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน

 

 

 

 

 

 

 

สำนักงานพัฒนาการท่องเที่ยว

      หันมาทำความเข้าใจผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยว ( Tour Operator ) วางแผนและนโยบายเพื่อสร้างกลยุทธ์ให้ผู้ประกอบการมีแรงจูงใจที่จะดำเนินธุรกิจแบบยั่งยืน

      ให้การสนับสนุนผู้ประกอบการที่ดำเนินธุรกิจแบบยั่งยืน และขับไล่ผู้ประกอบการที่ไม่ดีให้ออกไปจากในวงการ

      การวางแผนและกำหนดนโยบายสำคัญควรให้ภาคเอกชนโดยรวมมีส่วนร่วมไม่ใช่ทำเสร็จแล้วจึงแจ้งเอกชนให้รับทราบ หรือเรียกประชุมโดยด่วนไม่ให้เวลาภาคเอกชนได้คิด

การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย และสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยว

      เปลี่ยนแนวคิดจากระบบศักดินา มาเป็นการทำงานร่วมกับผู้ประกอบการท่องเที่ยว

      ให้การสนับสนุนด้านการตลาดแก่ผู้ประกอบการธุรกิจนำเที่ยวอย่างทั่วถึง มิใช่เจาะจงเฉพาะผู้ที่คุ้นเคยและคนใกล้ชิด

      วางแผนการตลาดอย่างรอบครอบเพื่อผลประโยชน์ของประชาชนทั้งประเทศมิใช่เฉพาะกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง

กรมพัฒนาแรงงาน

      ปรับเปลี่ยนการทำงานจากการตั้งรับเป็นฝ่ายรุก โดยการสร้างเครือข่ายร่วมกับผู้ประกอบการ

      ศึกษาทำวิจัยเรื่องแรงงานด้านอุตสาหกรรมการให้บริการด้านการท่องเที่ยว และวางแผนเพื่อให้การสนับสนุนผู้ประกอบการให้มีแรงงานที่มีคุณภาพทั้งแรกเข้า และพนักงานเก่าเพื่อการเลื่อนฐานะที่เหมาะสมและมีประสิทธิภาพ

      สร้างมาตรฐานแรงงาน และอัตราแรงงานที่เหมาะสมทุกระดับขั้น

      เป็นตัวกลางสร้างความยุติธรรมให้กับผู้ประกอบการและพนักงาน

สถานศึกษา

      วางหลักสูตรร่วมกับผู้ประกอบการ

      ผลิตนักศึกษาให้ได้คุณสมบัติตามที่สถานประกอบการต้องการ

      สร้างหลักสูตรสำหรับพนักงานที่มีความชำนาญและความรู้ในแต่ละงานเพื่อมีความรู้ในการสอน เพื่อจะได้มาเป็นครูสอนนักศึกษาใหม่

      มีการสอบเทียบเพื่อรับปริญญาสำหรับผู้ที่มีความรู้และความสามารถจากประสบการณ์ในการทำงานแต่ขาดปริญญา

      สร้างมนุษย์ให้มีคุณค่าและทำประโยชน์ให้แก่สังคม

 

 

 

 

 

 

 

สมาคม

      กรรมการสมาคมต้องบริหารงานสมาคมให้เป็นที่ไว้ใจของสมาชิก

      สร้างความเข้มแข็งและสนับสนุนให้สมาชิกได้รับผลประโยชน์จากภาครัฐอย่างทั่วถึงและยุติธรรม

      เห็นความสำคัญในการทำงานร่วมกับภาครัฐ เพื่อทำให้ภาครัฐเข้าใจในธุรกิจของสมาชิก ทำให้สมาชิกโดยรวมได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐ

      ให้ความสำคัญกับสมาชิก ควรจะมีการประชุมร่วมกับสมาชิกและได้รับความคิดเห็นจากสมาชิกก่อนที่จะส่งผู้แทนไปเข้าร่วมประชุมกับภาครัฐ

 

สรุปแผนการปฏิบัติเพื่อเพิ่มศักยภาพธุรกิจท่องเที่ยวแบบยั่งยืน

      ศูนย์บูรณาการพัฒนามนุษย์ เป็นตัวกลางในการปฏิบัติการเพื่อให้กลุ่มเป้าหมายทั้งหมดหันมาศึกษาซึ่งกันและกัน ทำงานร่วมกัน เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้กับผู้ประกอบการธุรกิจนำเที่ยวไทย

      เป็นผู้ทำ Master Plan เพื่อนำเสนอภาครัฐ และกลุ่มเป้าหมายทั้งหมด

      เป็นผู้ดำเนินการจัดสัมมนา โดยมีเจ้าภาพร่วมในแต่ละกลุ่มวัตถุประสงค์

 

 

ธรรมาธิปไตย

พิมพ์ PDF

 

ธรรมาธิปไตย พระพรหมวชิรญาณ

By thaipost

Created 25 Dec 2554 - 00:00

  ที่จริงหลักธรรมในทางพุทธศาสนา คือต้นแบบของการเมืองการบริหารการปกครอง ไม่ใช่พระพูดไม่ได้นะ พระก็มีสิทธิ์พูดได้ พูดโดยหลักธรรม แต่ภาษาพระท่านไม่เรียกว่าประชาธิปไตย เรียกว่า 'ธรรมาธิปไตย' ...อาตมาคิดว่ามันไม่มีทางอื่น จะให้ทหารสั่งก็ไม่ได้ ทหารปฏิวัติเขาก็ไม่เอาอีก อำนาจบริหาร ตุลาการ นิติบัญญัติ ตอนนี้ตุลาการจริงหรือเปล่าก็ไม่เชื่อกันอีก นิติบัญญัติก็ไม่เชื่อเขาอีก มันไม่ไว้วางใจกันเลยในสามอำนาจที่มี  ...อัปมงคลที่มันเกิดขึ้นโดยฝีมือของมนุษย์ การเบียดเบียนทำลายล้างกัน แย่งอำนาจผลประโยชน์กัน มันร้ายยิ่งกว่าวิกฤติธรรมชาติ วิกฤติทางจริยธรรม ศีลธรรม มันรุนแรงกว่า วิกฤติธรรมชาติที่เกิดขึ้นไม่มีอะไรซับซ้อน แต่วิกฤติทางกิเลส วิกฤติศีลธรรม จริยธรรม มันมีปมมีเงื่อน ถึงขนาดที่ว่าทำความผิดไม่ต้องผิดกฎหมาย ทำความชั่วไม่ผิดกฎหมาย มันมีการปิดบังอำพราง มีวิธีการสลับซับซ้อน 
 
  
สิ้นปีแล้ว เรื่องไม่ดีทั้งหลายให้มันผ่านไปได้ไหม แล้วมาเริ่มต้นใหม่กัน จะสมานฉันท์กัน จะปรองดองกัน มันไม่มีเวลาที่เราจะทำความชั่วอีกแล้ว มันไม่มีเวลาที่เราจะมัวทะเลากันอีกแล้ว ประเทศชาติมันเสียหายมาก เราเสียเวลากับการที่ไม่ได้รับการพัฒนาให้ชาติ ประชาชนพลเมืองของเราได้อยู่เย็นเป็นสุข ...เราก็รู้ว่าผลมันมาจากเหตุ ก็รู้ว่ามันมาจากความโลภ ความโกรธ ความหลง ตัณหา มานะ ทิฐิ รู้ว่ามันมาจากการแย่งชิงอำนาจผลประโยชน์กัน ก็พูดอย่างนี้กันมาตั้งนานแล้ว แต่เราก็ยังไม่ได้ทำลายสิ่งที่เป็นเหตุ และเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดอัปมงคลทั้งหลาย วิกฤตการณ์ทั้งหลาย ก็ยังไม่พอสักที ก็รู้กันทุกคนนี่ พอหรือยังล่ะ

    พระพูดเรื่องบ้านเมือง

     ในยามที่สังคมเกิดวิกฤติทางจริยธรรม ศีลธรรม ที่รุนแรงและซับซ้อนยิ่งกว่าวิกฤติภัยธรรมชาติ ก็ไม่แปลกที่ พระพรหมวชิรญาณ เจ้าอาวาสวัดยานนาวา กรรมการมหาเถรสมาคม จะออกมาเตือนสติผู้ที่แย่งชิงอำนาจผลประโยชน์ ให้กลับมาสู่แก่นของพุทธศานา เพราะไม่ว่าจะปกครองด้วยระบบไหนก็ต้องยึด 'หลักธรรม
 'มงคล' มิใช่ดลบันดาล

    เริ่มต้นคุยเรื่องอันเป็นมงคล ในฐานะที่เจ้าคุณพรหมฯ เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ให้กับโครงการสวดมนต์ข้ามปี เริ่มต้นดี ชีวิตดี 2554-2555 ซึ่งนอกจากจะเกิดมงคลกับตัวเองแล้ว ยังจะส่งพลังด้านบวกให้ประเทศชาติด้วย

    "ในอดีตสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้เคยเสด็จไปสวดพระปริตรในเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดอุทกภัย มีเรื่องโรคภัยไข้เจ็บ แม้แต่ในเรื่องของการมีภูตผีปีศาจเกิดขึ้น เบียดเบียนพระสงฆ์หรือญาติโยม พระพุทธเจ้าก็ไปสวดพระปริตร นั่นก็คือพระพุทธเจ้าแผ่เมตตา แต่ว่าในนั้นก็เป็นการให้สติบรรดาเทพารักษ์ ภูตผีปีศาจวิญญาณทั้งหลาย บทสวดที่นำมาสวดนั้นจะทำได้โดยสมบูรณ์ ก็ต้องใช้จิตที่เป็นสมาธิที่สงบ ความสงบสามารถที่จะรวบรวมเอาพลังของจิตที่บริสุทธิ์ มาใช้ให้เป็นอำนาจในการที่จะอธิษฐานให้เกิดพลังความศักดิ์สิทธิ์ ให้แก่บุคคลที่ต้องการไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม รวมถึงประเทศชาติบ้านเมืองด้วย"

    "การสวดมนต์ข้ามปีทำให้เราได้ระลึกรู้ ได้สติ สติมาปัญญาก็เกิด ว่าในอดีตปีเก่าที่ผ่านมา ระหว่างที่กำลังสวดมนต์ส่งท้ายปีเก่า เราก็จะได้มาพิจารณากันว่ามีสิ่งใดที่ขาดตกบกพร่อง และก็ทำให้เราตั้งสติในเรื่องของการ count down เหตุการณ์ที่ผ่านไปในเรื่องของกาลเวลา เรื่องอายุ เรื่องสังขาร และหลายๆ เรื่องที่เราจะได้ระลึกถึง และที่สำคัญก็คือ เราจะได้ไม่ต้องไปยึดติดในเรื่องอดีตจนเกินไป บางคนมีความทุกข์ความผิดหวังยังไม่ลืม กว่าจะซื้อรถมาได้คันหนึ่ง ตอนน้ำท่วมก็พัดไปเลย กว่าจะสร้างบ้านมาได้   มันแล้วไปแล้ว คนที่แต่งงานก็เหมือนกัน มันเลิกไปแล้วก็ให้มันแล้วไป นี่คือที่เราคิดในเรื่องของอดีต ในเรื่องของปีเก่าก็เช่นเดียวกัน สิ่งที่ดีๆ มันก็มีในปีเก่า ในโลกนี้มันไม่มีสิ่งเลวร้ายตลอดทุกอย่าง และก็ไม่มีดีทุกอย่าง มีร้อนมีหนาว มีมืดมีสว่าง เราเอามาเป็นข้อคิด จะได้คติธรรมในช่วงส่งท้ายปีเก่าเริ่มต้นปีใหม่เยอะเลย ถ้าเราไม่คิดเราก็ไปเรื่อยๆ ไปเต้นรำไปอะไรต่ออะไร แต่ถ้าเราได้เข้ามาสู่ในแนวธรรมะ เราจะได้ปัญญา

    บางทีคนเรากว่าจะได้สติได้ปัญญา มันต้องมาจากความทุกข์ก่อน จริงอยู่ความสุขมันไม่ได้ให้อะไรให้แต่ความเหลิง หลงไปตามแสงสี เสร็จแล้วห็หมอบเลย เพราะเมาเหล้าเมายา เสียเวลา แต่ในการเข้ามาสงบจิตใจสวดมนต์ ได้ใช้สติปัญญาพิจารณาในธรรมะที่พระพุทธเจ้าได้แสดงไว้ ที่นักปราชญ์ครูบาอาจารย์ได้แสดงไว้มาพิจารณา มันก็ต้องได้ไม่มากก็น้อย ในวันส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ เราก็เคยเห็นอุบัติเหตุมันเพิ่มมากขึ้นเท่าไหร่ พวกที่ไปเสพสุขต่างๆ เกิดพิษภัยที่ไปตามแหล่งอบายมุขเท่าไหร่ มันมองเห็นได้ชัดเลย เพราะฉะนั้นในส่วนหนึ่งที่ได้เข้ามา ทำวันเวลาในวันที่ย่างเข้าสู่ปีใหม่ให้เกิดประโยชน์จึงเป็นเรื่องที่ควรแก่การอนุโมทนาสาธุการเป็นอย่างยิ่ง เราจะได้ทบทวนกันว่า สิ่งที่แล้วมาเรามีข้อผิดพลาดอะไร"  

    เจ้าอาวาสวัดยานนาวายื่นกระดาษที่ท่านได้ลงมือพิมพ์ "มงคล 38 ประการ" เพื่อให้คนไทยได้ใช้นำทางชีวิตให้ดู

    "มงคลก็คือโชคดี ความดี ความงาม ความสำเร็จ ความสุข ความเจริญ ตรงข้ามกับคำว่าอัปมงคล ที่แปลว่าเคราะห์ ความขัดข้อง อุปสรรคปัญหาต่างๆ ความไม่สำเร็จ หายนะต่างๆ ที่เป็นอัปมงคล ความเดือดร้อน ปกติอัปมงคลมันอยู่ในฝ่ายความเสื่อม ความเสื่อมมันเป็นธรรมชาติของกฎไตรลักษณ์ ไตรลักษณ์ก็คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ความไม่เที่ยง เป็นสภาพที่อยู่ในสภาพเดิมไม่ได้ ความไม่ใช่ตัวตน นี่คือกฎของไตรลักษณ์ เกิดขึ้น-ตั้งอยู่-ดับไป สิ่งที่เราเห็น สิ่งที่เรามี เราเป็นศัพท์ของธรรมะ ท่านถือว่าเป็นเพียงสิ่งสมมติหรือมายา แต่ว่าของแท้มันคือธาตุ 4 ดิน-น้ำ-ไฟ-ลม พอเรามีการปรับปรุง เอามาทำเป็นสิ่งนั้นสิ่งนี้ขึ้นมา เราก็สมมติว่าเป็นนั่นเป็นนี่ แม้แต่ตัวคนและสัตว์ทั้งหลายก็ถือว่าเป็นสิ่งสมมติ สมมติว่าเป็นคนนั้นคนนี้ เป็นชายเป็นหญิง นี่คือศัพท์ทางธรรมะ แต่ว่าที่แท้ในที่สุดแล้วก็กลับไปที่เดิม ตายลงไปก็กลับไปที่ ดิน-น้ำ-ไฟ-ลม

    นี่คือกฎของธรรมชาติ ไม่ต้องไปทำอะไรมันก็เป็นของมันอยู่แล้ว เรื่องของความเสื่อม ยิ่งถ้าเราไปทำขึ้นมา ไปเพิ่มในส่วนที่มันไม่ดี มันก็เป็นไปเร็วขึ้น เสื่อมเร็วขึ้น เป็นอัปมงคลเร็วขึ้น อย่างเรื่องภัยพิบัติต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นภัยอะไรก็ตาม โดยเฉพาะเป็นฝีมือของมนุษย์ เราที่มีกิเลส ซึ่งก็คือความโลภ โกรธ หลง มันเป็นตัวเหตุตัวปัจจัยต่อเนื่องที่ออกมาเป็นผล เช่น การที่เราไปทำลายธรรมชาติ แต่ภาษาของเราเข้าใจว่าเป็นการพัฒนา เพื่อตามใจเราเพื่อประโยชน์ใช้สอย พอไปเปลี่ยนแปลงมันขึ้น น้ำมันเคยอยู่ในที่ของมัน เราไปเปลี่ยนแปลงก็เท่ากับเราไปพัฒนา แต่ในทางธรรมชาติเขาไม่ได้มองว่าเราไปพัฒนา แต่เราไปเบียดเบียนเขาไปทำลายเขา ต้นไม้เคยเติบโต เราก็ไปถากไปถาง ไปทำลายป่าทำลายต้นไม้ รากที่เคยอุ้มดินยึดดิน พอไม่มีต้นไม้เวลาฝนตกดินก็ไม่อุ้มน้ำ หรือพอป่าถูกทำลายมากๆ ก็แล้ง เกิดไฟไหม้ ก็เป็นน้ำเป็นไฟเป็นลม นี่คือความเปลี่ยนแปลงที่เป็นไปตามเหตุปัจจัยธรรมชาติ เราอยู่ในโลกเราไปทำลายธรรมชาติ ธรรมชาติเดือดร้อนเขาก็ต้องการที่อยู่ของเขา เหมือนกับเราก็ต้องการที่อยู่ของเรา ต่างคนต่างทำลายกันมันก็มีปัญหา เวลาเราทำลายธรรมชาติเราไม่นึก เราไปทดลองนิวเคลียร์ทดลองปรมาณู มันรุนแรงมาก เพราะฉะนั้นภัยธรรมชาติที่เขาเกิดขึ้นครั้งหนึ่ง เขาก็ไม่คิดว่าเขาจะรุนแรง แต่นั่นก็เป็นพลังของเขา ส่งผลกระทบกับมนุษย์เรา นี่ยกตัวอย่างเรื่องเหตุปัจจัยในทางธรรมะ"

    "อัปมงคลที่มันเกิดขึ้นโดยฝีมือของมนุษย์ การเบียดเบียนทำลายล้างกัน แย่งอำนาจผลประโยชน์กัน มันร้ายยิ่งกว่าวิกฤติธรรมชาติ วิกฤติทางจริยธรรม ศีลธรรม มันรุนแรงกว่า วิกฤติธรรมชาติที่เกิดขึ้นไม่มีอะไรซับซ้อน แต่วิกฤติทางกิเลส วิกฤติศีลธรรม จริยธรรม มันมีปมมีเงื่อน ถึงขนาดที่ว่าทำความผิดไม่ต้องผิดกฎหมาย ทำความชั่วไม่ผิดกฎหมาย มันมีการปิดบังอำพราง มีวิธีการสลับซับซ้อน ยิ่งมีความรู้สูงแต่ถ้าขาดธรรมะมันยิ่งร้าย ขาดศีลธรรม จริยธรรม แต่เอาความรู้นั้นไปใช้ในทางเบียดเบียน ทำลายกัน ยิ่งกว่าคนที่ไม่มีความรู้ คนไม่มีความรู้เขาจะคิดจะพูดอะไรก็ซื่อๆ แต่ถ้าเรามีความรู้แต่ขาดธรรมะ ปากกับใจไม่ตรงกันหรอก ยากที่จะหยั่งรู้ได้ สายน้ำหยั่งได้ น้ำใจหยั่งยาก นี่คือในเรื่องของคำว่าเคราะห์หรืออัปมงคล โลกมันมีอยู่ 2 ส่วน คือส่วนดำและส่วนขาว ส่วนชั่วและส่วนดี บาปและบุญ บุญอยู่ในส่วนของมงคล ในส่วนของความดี เพราะฉะนั้นศาสดาทั้งหลายในโลกนี้ ได้เล็งเห็นถึงความวิบัติ ความหายนะของธรรมชาติของมนุษย์ รวมทั้งนักปราชญ์ทั้งหลาย จึงพยายามเก็บสถิติในเรื่องความชั่วความดีนี้ไว้ แล้วเอาในส่วนของสิ่งไม่ดีนั้นมาสอนว่าอย่าทำเลย แล้วเอาส่วนที่ดีมาสอนให้คนได้ช่วยกันทำ จริงอยู่ในความชั่ว คนชั่วเขาก็อยู่กันได้ในความชั่ว แต่มันก็เบียดเบียนกันทำลายกัน มันทำให้เกิดความทุกข์ความเดือดร้อน สู้ในเรื่องของความดีไม่ได้ ความดีเป็นความเย็น เป็นความยุติธรรม เพราะฉะนั้นศาสดาต่างๆ รวมถึงพระพุทธเจ้าจึงอุบัติขึ้น เพื่อประโยชน์เกื้อกูลและความสุขของปวงชนและชาวโลก จึงนำเอาสิ่งที่ไม่ดีไม่งามมาเปิดเผย ให้รู้ว่าควรจะละเว้น และเอาสิ่งที่ดีมาเปิดเผย ว่าเป็นสิ่งที่ควรประพฤติปฏิบัติ เพื่อให้เกิดความสำเร็จความสุขและความเจริญก้าวหน้า"

    "เพราะฉะนั้น เมื่อเราพูดถึงว่าทำอย่างไรเราจึงจะได้รับมงคลชีวิต เราถึงจะเป็นมงคลในโอกาสใดๆ ก็ตามที่เราสามารถที่จะยกมาเป็นวาระ เป็นประเด็นที่จะทำให้เราได้เริ่มต้นในการทำความดี และนิยมกันไม่ว่าจะเป็นในโอกาสใดๆ ก็ตามที่ถือว่าเป็นโอกาสอันควรของเรา ของพ่อแม่ ของญาติพี่น้อง ของครูบาอาจารย์ เราก็นิยมทำความดีกัน ถ้าเราไม่มีจุดเริ่มต้นที่เราจะยกเหตุการณ์ ยกบุคคล ปูชนียบุคคลที่เราเคารพบูชา ยกมาเป็นเหตุของการที่จะให้เราได้ทำความดีได้ แต่พวกที่ฝ่ายไม่ดีเขาก็มีวันของเขาเหมือนกันนะ วันที่จะไปทำลายอะไรต่างๆ คตินิยมของความเชื่อพระพุทธเจ้าเน้นความสำคัญมาก พระพุทธเจ้าสอนในเรื่องมรรค 8 จะเริ่มต้นด้วยสัมมาทิฐิก่อน ความคิดเห็นนี่สำคัญมาก ความเห็นต่าง ความเห็นแย้ง ความเห็นผิด อันตรายมากเรื่องความคิด เพราะฉะนั้นท่านถึงให้ปรับความคิด เริ่มต้นมรรค 8 ด้วยสัมมาทิฐิ

    พระพุทธเจ้าเป็นอัจฉริยะจริงๆ เป็นบุคคลมหัศจรรย์จริงๆ ศาสดาทั้งหลายก็เช่นเดียวกัน คือท่านแต่ละท่านได้อุทิศชีวิตทำงานเพื่อปวงชนชาวโลก พระพุทธเจ้าเป็นมหาบุรุษที่อัจฉริยภาพมาก ทั้งชีวิตนี่เราเรียนยังไม่จบเลย ความรู้ที่พระองค์ได้ทรงสั่งสอน 45 พรรษา พระไตรปิฎก 84,000 พระธรรมขันธ์ เราสรุปยอดเหลือ ศีล สมาธิ ปัญญา ศีลคือข้อห้าม ไม่ให้ละเมิด ไม่ให้เบียดเบียนกัน ถ้าเราปฏิบัติได้ตามนั้นเราก็เป็นผ้าขาว แต่ต้องเติมธรรมเข้าไปด้วยกัน ศีลกับธรรม ไม่เบียดเบียนก็ต้องมีเมตตา ธรรมะพระพุทธเจ้ามีทั้งขั้นพื้นฐานสำหรับคนสามัญทั่วไป และก็สำหรับคนระดับกลาง ระดับสูง ระดับสูงก็คือคนที่พ้นโลกแล้ว ส่วนคนที่อยู่ในโลกยังทำบาปทำกรรม ก็เป็นปุถุชนหนาด้วยกิเลส แต่ถึงแม้ว่าหนาด้วยกิเลสแต่เราสามารถพัฒนาได้ พระพุทธเจ้าไม่ได้เอาตอมาบวชนะ ท่านเอาคนที่ยังมีกิเลสอยู่มาบวช บวชเพื่อจะฝึกหัดเพื่อจะขัดเกลากิเลส บรรดาพระสงฆ์ทั้งหลายอยู่ในขั้นของการขัดเกลากิเลส ใครจะประพฤติได้มากน้อยแค่ไหนก็จะได้ผลสมควรแก่การปฏิบัติ แม้แต่โยมก็เหมือนกัน ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ใครสามารถปฏิบัติได้แค่ไหน มันต้องประกอบทั้งเหตุและปัจจัยที่ต้องดำเนินอยู่ต่อเนื่อง ถ้ามีเหตุแต่ขาดปัจจัยก็ไม่ได้ผล หลักพุทธศาสนาเป็นวิทยาศาสตร์เลย"

    "ถามว่าทำอย่างไรชีวิตปี 2555 จึงจะเป็นงคล มงคลไม่ได้เกิดขึ้นจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ดลบันดาล ความเชื่อถือของบุคคลในลัทธิศาสนาใดๆ ที่นิยมกันว่ามีพระอินทร์พระพรหม นั่นเป็นแต่เพียงสมมติเฉยๆ เพื่อให้เกิดความรู้สึกที่ดีว่า มีสิ่งนั้นสิ่งนี้มาช่วยให้เราได้ยึดเหนี่ยว แต่ว่าถ้าเพียงให้เป็นสื่อ ไม่ใช่ให้หลงงมงายจนกระทั่งคิดว่าตัวเองไม่มีศักยภาพ ไปหลงเชื่อว่าอำนาจภายนอกจะดลบันดาลให้เราได้ แต่ถ้าเราได้ใช้สติความระลึกรู้ ใช้ปัญญาความเข้าใจตามความเป็นจริงแล้ว เอาศรัทธามาปรับ ศรัทธามันยังกลางๆ ยังเป็นมิจฉาศรัทธาได้นะ เพราะฉะนั้นต้องเป็นสัมมาศรัทธา ความเชื่อในสิ่งที่ถูกต้องดีงาม เชื่อว่าทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เชื่อตามผลแห่งกรรม หลักธรรมพุทธศาสนาเป็นหลักธรรมวิทยาศาสตร์ เพราะฉะนั้นในเรื่องของมงคลก็เช่นเดียวกัน เมื่อก่อนจะพูดถึงมงคล คนจะสงสัยว่าทำอย่างไรจะแสวงหามงคล โอ้ยจะไปเอาไม้มงคล 9 เอาโน่นเอานี่หาสิ่งมงคล พระพุทธเจ้าก็ไม่ได้ไปแตะต้องเขาที่เชื่อในเรื่องของวัตถุมงคล แต่ว่าพระพุทธเจ้าจะสอนเน้นไปในเรื่องธรรมมงคล ว่ามงคลนั้นจะเกิดขึ้นได้ด้วยการปฏิบัติทั้ง 38 ประการนั้น ส่วนจะทำได้แค่ไหนก็ถือว่าเป็นขั้นประถม มัธยม อุดมฯ"

    ต้องยอมรับว่าปีที่ผ่านมา มีสิ่งอัปมงคลเกิดขึ้นกับประเทศมากมาย ปีหน้ายังมีวิกฤติอะไรที่เราต้องเตรียมรับมือ

    "ก็มีการเตือนการกล่าวถึงในเรื่องของการดำเนินชีวิต แต่ส่วนใหญ่แล้วพวกเราถ้ายังไม่เห็นโลงศพก็ไม่หลั่งน้ำตา เราจะไปแก้ที่ปลายเหตุกัน เราก็รู้ว่าผลมันมาจากเหตุ ก็รู้ว่ามันมาจากความโลภ ความโกรธ ความหลง ตัณหา มานะ ทิฐิ รู้ว่ามันมาจากการแย่งชิงอำนาจผลประโยชน์กัน ก็พูดอย่างนี้กันมาตั้งนานแล้ว แต่เราก็ยังไม่ได้ทำลายสิ่งที่เป็นเหตุ และเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดอัปมงคลทั้งหลาย วิกฤตการณ์ทั้งหลาย ก็ยังไม่พอสักที ก็รู้กันทุกคนนี่ พอหรือยังล่ะ ที่พระเจ้าอยู่หัวรับสั่งว่าพอเพียงๆ แต่ไม่ได้หมายความว่าเอาแค่นี่พอแล้ว แต่ว่าให้คุณทำเต็มความสามารถ แค่ไหนแค่นั้น สมมติว่าคนหนึ่งเขาหาเงินได้ปีละล้าน แต่เขาไม่พอ เขาต้องการใช้เงิน 100 ล้าน ก็คอรัปชั่นหรือทำอะไรก็แล้วแต่ที่ได้มาโดยไม่สุจริต นี่คือไม่พอเพียง

     ขยายผลไปถึงผู้ที่ทำงานบริหารบ้านเมืองในส่วนต่างๆ ตั้งแต่ราชการไปถึงสูงสุด ทำอย่างไรมันถึงจะทำให้เราได้มีจิตสำนึกในสิ่งที่ดี สิ่งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้สอนไว้ก็ดี สิ่งที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงพระกรุณาพระราชทานพระบรมราโชวาท ไม่มีอะไรที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวไม่พระราชทานเลย ถ้าเป็นพระเจ้าแผ่นดินประเทศอื่นไม่ต้องทำงานขนาดนี้ จะใช้รถยี่ห้ออะไรก็ได้ แต่เห็นไหมพระเจ้าอยู่หัวทรงใช้ดินสออยู่เลย ทำให้เป็นแบบอย่าง พวกเราต้องหันกลับมา ไม่ใช่ไปกระโดดโลดเต้นตามกระแสสังคม วัตถุนิยม ส่วนใหญ่เราจะมาแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ เพราะฉะนั้นถึงบอกว่าถ้าเราสามารถเริ่มต้นปีใหม่ด้วยการคิดดี พูดดี ทำดี เริ่มให้จริงๆ จังๆ ไม่ใช่เพียงวาทกรรมแห่งความจงรักภักดี ต้องลงมือทำ"

    ผู้นำต้องเป็นตัวอย่างด้วย

    "ดูอย่างพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงบำเพ็ญพระองค์เป็นตัวอย่างอยู่แล้ว ทุกคนที่อยู่ในส่วนของผู้มีอำนาจ อำนาจคืออะไร อำนาจคือที่มาของผลประโยชน์ ผลประโยชน์ก็คืออำนาจ มีอำนาจเพื่อผลประโยชน์ มีผลประโยชน์เพื่ออำนาจ มันวนอยู่อย่างนี้ แลกไปแลกมาอย่างนี้ แต่จะจัดระบบอย่างไร อาตมาเคยไปใช้ชีวิตอยู่ยุโรปอยู่อเมริกา ประชาชนบ้านเขาไม่ได้มีความแตกต่างเหมือนเรา ของเรามันมีความแตกต่างระหว่างคนจนคนรวย แต่เขาเท่าๆ กัน แต่เรานี่ขนาดคนจนๆ ใช้ของดีๆ ทั้งนั้นเลย แต่เมืองนอกของที่ใช้ๆ อยู่มาตรฐานเท่ากันหมด เรานี่ยังเรียนมหาวิทยาลัยไม่จบรู้จักหมดแล้วแบรนด์เนมยี่ห้ออะไรๆ และก็ไปแสวงหาในทางที่ผิด นี่เราเป็นอะไรกัน เพราะบ้านเราไม่ได้เคารพตัวเอง ไม่ได้เคารพศักดิ์ศรีของความเป็นไทย สมัยจอมพล ป. เราเคยมีประเพณีนิยมใช้ของไทย ขณะนี้ลองไปศึกษาประเทศเกาหลีใต้สิ เขากำลังแข่งกับญี่ปุ่นกับอเมริกาในทุกด้าน โดยเฉพาะด้านวัฒนธรรม น่าศึกษามาก ไม่ใช่ว่าอาตมาจะจ้องว่าแต่ประเทศไทย แต่มันกลัวเหลือเกินว่าตายไปแล้วเกิดมาอีกชาติ เราจะยังเป็นอย่างนี้อยู่หรือเปล่า"  

    คนไทยอยู่กับความขัดแย้งแตกแยกมาหลายปี แต่ส่วนใหญ่ยังมีความหวังว่าจะกลับคืนสู่ความสงบ สามัคคี

    "ถ้าเรารู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เช่น บรรดานักพยากรณ์ทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นด้านโหราศาสตร์หรือด้านธรณีวิทยา ที่ออกมาพยากรณ์กันเรื่องภัยธรรมชาติ พอเรารู้แล้วเราก็ต้องเตรียมตัวระมัดระวังสิ นี่ไม่ใช่รู้แล้วก็ยังไม่ยอมกัน ยอมแบบไม่ยอม ใครจะได้มากได้น้อย อาตมาเสียดายนะทรัพยากรบุคคลของไทยเราไม่ได้ด้อยกว่าฝรั่งทั้งหลาย แต่ละคนนี่ไม่ใช่ธรรมดา แต่คนไทยเราพอรวมกันเราตาย แยกกันเราอยู่ รวมกันไม่ได้เลย มันไปติดอยู่ที่เรื่องอำนาจผลประโยชน์ ตัวกิเลสนั่นเอง ไม่ไว้ใจกัน คิดแต่ว่าใครจะได้มากได้น้อย อย่างที่ท่านพุทธทาสบอกว่า ตัวกูของกูมันมาก มันยึดมั่น ถ้าเราไม่ติดในเรื่องกูนะ แบ่งปันกันช่วยเหลือเกื้อกูลกัน เห็นทุกคนเป็นญาติพี่น้อง ไม่แย่งชิงอำนาจผลประโยชน์กัน แต่นี่ทุกวงการมันเป็นหมด ใครมือยาวสาวได้สาวเอา ถึงเวลาได้กูต้องเอา ทั้งๆ ที่มันไม่ควร บอกอย่าเลยก็ยังไม่ฟัง

    สิ้นปีแล้ว เรื่องไม่ดีทั้งหลายให้มันผ่านไปได้ไหมแล้วมาเริ่มต้นใหม่กัน จะสมานฉันท์กันจะปรองดองกัน มันไม่มีเวลาที่เราจะทำความชั่วอีกแล้ว มันไม่มีเวลาที่เราจะมัวทะเลาะกันอีกแล้ว ประเทศชาติมันเสียหายมาก เราเสียเวลากับการที่ไม่ได้รับการพัฒนาให้ชาติ ประชาชนพลเมืองของเราได้อยู่เย็นเป็นสุข ทุกวันนี้ภัยธรรมชาติมันไม่ใช่เพิ่งจะเกิด มันเกิดมาหลายครั้งหลายหนแล้ว พระเจ้าอยู่หัวก็ทรงมีพระราโชบายให้ตั้งแต่ปี 2538 ทำอย่างนั้นๆ แต่ก็ไม่ได้ทำกัน เราก็เปลี่ยนกันบ่อยเหลือเกินรัฐบาล มันขาดความเชื่อมั่นในการที่จะทำการพัฒนา คนต่างชาติเขาเห็นอย่างนี้จะกล้ามาได้อย่างไร พระเจ้าอยู่หัวเคยรับสั่งไว้ว่าพอแล้วนะคอรัปชั่น ประเทศมันทรุดขนาดนี้แล้ว ก็ยังทำกันอีก หนักกว่าเดิมอีก"

    เป็นไปได้ยากที่จะปรองดอง เพราะแต่ละฝ่ายก็รับเงื่อนไขกันไม่ได้

    "ก็ต้องไปหาทาง เดินเข้าไปพบกันคนละครึ่งทาง ใครเสียก็เสีย มันต้องยอมกัน อย่าจองเวรกัน เวรไม่สงบด้วยการจองเวร-ก็รู้ คนไทยส่วนใหญ่เป็นชาวพุทธ เรียนธรรมะก็รู้กัน แต่มันไม่ได้ปฏิบัติกัน ไม่ยอมปล่อยอำนาจผลประโยชน์ รู้ทั้งนั้นไม่ใช่ไม่รู้ เขาบอกว่าเราเก่งแต่วาทกรรม รู้แต่ไม่ทำ แล้วจะทำอย่างไร ตราบใดที่เรายังเป็นอยู่อย่างนี้บ้านเมืองมันไปไม่ได้ เราขาดในเรื่องของศีลและธรรมด้วย มีคำอยู่ 2 คำที่เราใช้กันแต่ไหนแต่ไรมา ในการบริหารแผ่นดินบริหารประเทศชาติบ้านเมือง คือเรื่องพระเดชและพระคุณ พระเดชคือระเบียบวินัย ก็ไม่มีอีก เรียบ-วินัย เรามีแต่พระเดชคือปฏิวัติเลย แต่พระเดชก็คือกฎหมาย ระเบียบวินัยให้มันเป็นมาตรฐาน ไม่ใช่สองมาตรฐานหรือหลายมาตรฐาน หรือไม่มีมาตรฐาน ส่วนพระคุณก็คือเรื่องความยุติธรรม ความเป็นธรรม หรือความเมตตา มันก็ต้องมีทั้งสองอย่าง ธรรมะของผู้นำก็ต้องใช้"

    หากไม่จองเวรตามหลักธรรมะ การล้างความผิดทั้งสองฝ่ายน่าจะเป็นทางออก

    "เป็นทางออก ต้องยอมกัน เอาไงดีล่ะ จะยอมกันหรือจะฆ่ากันเลย ปล่อยฆ่ากันเลยไหม มันทำไม่ได้ เราคนไทยด้วยกัน ที่มักจะพูดกันบอกว่า เมื่อก่อนประเทศไทยปกครองด้วยระบบราชาธิปไตยมาตั้งแต่ตั้งประเทศสยาม มาเปลี่ยนแปลงมาเป็นประเทศไทยเมื่อสมัยจอมพล ป.นี่เอง เมื่อก่อนพระเจ้าแผ่นดินปกครองโดยทศพิธราชธรรม แต่ราษฎรมาปกครองไม่ได้เอาทศพิธราชธรรมมาด้วย เอาแต่พระเดชมา บางคนก็ตึงบางคนก็หย่อนจนเกิดหลายมาตรฐาน ก็เกิดวิกฤติการเมืองขึ้น"
    แต่สังคมก็จะเกิดคำถามว่า คนทำผิดไม่ต้องรับโทษ-กฎหมายไม่ศักดิ์สิทธิ์
    "ตอนนี้เราต้องหันกลับมาสู่จุดที่ว่า ขณะนี้ประเทศไทยเราปกครองด้วยอะไร ถ้ากลับไปที่เดิมปกครองโดยระบบราชาธิปไตย ก็แล้วแต่พระเจ้าอยู่หัว เอาสิจะกลับไปเหมือนเดิมก็ได้ แต่ถ้าเรายังปกครองอยู่ในระบบประชาธิปไตย ก็นำหลักประชาธิปไตยมา ตอนนี้เขากำลังคิดกันอยู่ว่าไม่เอา ส.ส.มาลงมติว่าจะทำอย่างนั้นอย่างนี้ หรือลงมตินิรโทษกรรม แต่ต้องการประชามติจากประชาชน เอาสิก็ทำเลย  ให้มันเอาอะไรสักอย่างหนึ่ง เป็นหลักคิดเป็นหลักปฏิบัติเท่านั้นเอง ต้องหาทางออกให้ประเทศชาติ ต้องหาทางออกให้ส่วนรวม มันต้องคิดกัน ประเทศไทยไม่ใช่กระจอก คนมีความรู้ตั้งเยอะแยะทำไมไม่ทำกัน จะให้พระเจ้าอยู่หัวลงมาเหรอ พระองค์ท่านลงมาก็หาว่าพระองค์ท่านอยากจะเป็นราชาธิปไตย ไม่ลงมาก็บอกเป็นพ่อเป็นแม่ไม่เห็นดูแลบ้านเมือง พระองค์ท่านลงมาเข้าข้างไหนก็ไม่ได้ เราต้องนึกถึงหัวอกของพระองค์ท่าน นี่จะมาขอให้พระองค์ท่านตัดสินได้อย่างไร มันไม่ใช่ระบบราชาธิปไตย มันเป็นระบบประชาธิปไตย ก็ว่ากันสิจะเอาอย่างไรก็เอา และพระองค์ท่านไม่ได้ว่าอะไรนี่ ก็ทะเลาะกันเองนี่ ลูกทะเลาะกัน ลูกแย่งของกินของใช้กัน เปรียบเทียบง่ายๆ เพราะฉะนั้นอย่าไปยุ่งกับพระองค์ท่านเลย ในเมื่อระบอบมันมาอย่างนี้ ไปขอพระองค์ท่านว่าอยากจะเป็นประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข จะทำอะไรก็ทำมันเสียเวลามานานแล้ว แต่ในความคิดว่าจะปรองดองนั้น วิธีปรองดองก็มีความคิดต่าง แต่ไม่ต้องสนใจคนไหนพรรคไหน เอามติประชาชนเลย ใครจะทำอย่างไรก็ลองไปทำดู ถ้าได้ประชามติออกมาว่าจะทำอย่างไรก็เอาตามนั้น"

    ตรงนี้แหละที่ยาก เพราะตั้งใครมาตั้งต้นกระบวนการประชามติ ก็จะถูกดิสเครดิตว่าเป็นคนของฝ่ายนั้นฝ่ายนี้

    "อย่าให้ใครเป็นคนบงการว่าทำอย่างนั้นอย่างนี้ แต่ว่าหนึ่ง สอง สาม ลงประชามติเลย เอาตามนั้นเลย อาตมาคิดว่ามันไม่มีทางอื่น จะให้ทหารสั่งก็ไม่ได้ ทหารปฏิวัติเขาก็ไม่เอาอีก อำนาจบริหาร ตุลาการ นิติบัญญัติ ตอนนี้ตุลาการจริงหรือเปล่าก็ไม่เชื่อกันอีก นิติบัญญัติก็ไม่เชื่อเขาอีก มันไม่ไว้วางใจกันเลยนี่ในสามอำนาจที่มี ทางออกมันมีอยู่ทางนี้เท่านั้น การที่พวกเรามาถามอาตมา ความจริงมันก็เสี่ยงๆ นิดหนึ่ง มันเป็นการเมือง แต่ว่ามันเป็นเรื่องต่อเนื่องกันกับเรื่องมงคลสำหรับชีวิตในปีใหม่ของคนไทยทุกคน บังเอิญไปเกี่ยวข้องกับเรื่องความอยู่รอดของประเทศ ความอยู่เย็นเป็นสุขของบ้านเมือง มันก็คือเรื่องการปกครอง ก็คือการเมือง มันเกี่ยวข้องกันอยู่ ที่จริงหลักธรรมในทางพุทธศาสนาคือต้นแบบของการเมืองการบริหารการปกครอง ไม่ใช่พระพูดไม่ได้นะ พระก็มีสิทธิ์พูดได้ พูดโดยหลักธรรม แต่ภาษาพระท่านไม่เรียกว่าประชาธิปไตย เรียกว่าธรรมาธิปไตย เพราะว่ามันมีหลักอัตตาธิปไตย โลกาธิปไตย และก็ธรรมาธิปไตย

    อัตตาธิปไตยคือเผด็จการ โลกาธิปไตยเขาไปเทียบได้เป็นประชาธิปไตย ซึ่งโลกาธิปไตยชาวโลกเป็นใหญ่มันก็ยังไม่ถูกต้อง เพราะว่าในหลักของโลกาธิปไตยหรือประชาธิปไตย ถ้าคนส่วนใหญ่กินเหล้าก็ต้องบอกว่าดี แต่บางทีมันไม่เป็นธรรม เพราะฉะนั้นหลักของพระพุทธเจ้าคือธรรมาธิปไตย ส่วนใหญ่เห็นว่าความถูกต้องคืออะไร ก็เอาหลักนั้นมาเป็นความถูกต้อง อาตมานี่มีทุกพรรคการเมืองมา เพราะอาตมาไม่ใช่คนของพรรคไหน เราเป็นพรรคธรรมาธิปไตย เราอยู่กับหลักธรรมพระพุทธเจ้า หลักว่าอย่างไรก็ว่าตามนั้น"

โหรากุศโลบาย

     เจ้าคุณพรหมฯ ถือเป็นพระผู้ใหญ่ที่มีลูกศิษย์ลูกหานักการเมืองทั้งฝ่ายค้าน-รัฐบาล ยังไม่นับข้าราชการและนักธุรกิจ ที่ต่างก็แวะเวียนไปพบไม่เคยขาด ว่ากันว่าหากท่านทำนายทายทักอะไรแล้วต้องหยุดฟัง เพราะแม่นยำยิ่งนัก

    "ก็มีมาตลอด มาทุกยุคสมัย ตั้งแต่สมัยจอมพล ป.เรื่อยมา จอมพลสฤษดิ์ ก็รู้จักคุ้นเคยกันเรื่อยมา ไม่ใช่แค่อาตมา แต่พระผู้ใหญ่จะมี มาถึงเราก็มีให้ความคิดเห็นว่าควรจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ปรึกษาหารือกัน ถ้าสมมติว่าเราไม่ได้ปรึกษาหารือกันอย่างนี้จะหนักกว่านี้อีก บางครั้งบางคราวอาตมาก็ขอร้องกัน มันจะไม่ยอมกัน ลองเปรียบเทียบดูสิ พี่น้องในครอบครัวที่แย่งมรดกกัน มีใครยอมผิดบ้าง อันนี้มันมาจากอะไร มาจากความโลภ โกรธ หลง ตัณหา มานะ ทิฐิ เมื่อไหร่เราจะทำลายทิฐิมานะ ความเห็นแก่ตัวให้มันเหลือน้อยที่สุด ให้เห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมประเทศชาติบ้านเมืองเป็นสำคัญ ทำไมสมัยพระพุทธเจ้าทรงสอนเรื่องทาน การเสียสละ การแบ่งปัน เอาแค่ 3 ข้อนี้ ทาน-ศีล-ภาวนา เรายังไม่ทำกันเลย การให้มันทำลายความตระหนี่ ความเห็นแก่ตัว พระพุทธเจ้าวางหลักไว้เป็นเรื่องที่ดีมาก มีแนวทางปฏิบัติอยู่แล้ว แต่เราไม่ทำกัน"

     ผู้นำของไทยกับความเชื่อเรื่องเสริมบารมีแยกกันไม่ออก และมักจะขอให้พระผู้ใหญ่ที่มีชื่อเสียงช่วยทำพิธีอยู่เป็นประจำ

    "ตามหลักแล้ว มงคล ความสำเร็จ ความเจริญ มันมาจากกรรมดี ส่วนกรรมไม่ดีก็เป็นอัปมงคล เป็นเคราะห์ เป็นความเดือดร้อน แต่กุศโลบายในการที่จะทำให้คนมีจิตสำนึกให้เกิดสติขึ้นมามันต้องมีอุบายวิธี เช่นเมื่อก่อนก็ไม่สนใจเรื่องโหราศาสตร์ นอกจากไม่เชื่อแล้วยังต่อต้านด้วย แอนตีพระหมอดูพระพรมน้ำมนต์ เพราะโดยหลักจริงๆ กรรมสำคัญที่สุด แรงอะไรไม่เท่ากับแรงกรรม แต่เราจะผันเรื่องอัปมงคลให้เป็นมงคลก็ด้วยการเตือนสติ สมมติเขาไปดูดวงมาว่าดวงไม่ดี อยากจะทำบุญทำให้เกิดสิริมงคล ก็ต้องให้อุบายวิธีที่จะทำให้เพื่อจะได้เป็นการเตือนสติว่า ตั้งแต่นี้เป็นต้นไปให้ระวังนะ มันก็ได้ผลคือเกิดความระมัดระวังตัว ไม่ว่าจะเป็นการดำเนินชีวิตหรือการลงทุน มันก็จะเบาลง นี่ก็เป็นอุบายวิธีทำให้คนได้ละความชั่วทำความดี หันมาตั้งสติระมัดระวัง"

    "เมื่อขณะที่ยังเป็นเณร มีหมอดูมาดูสิว่าเณรจะสอบตกไหม อาตมาก็บอกดูไปทำไม ถ้าดูหนังสือก็สอบได้ ไม่ดูหนังสือมันก็สอบตก แต่ว่าในขณะนั้นอาตมาเรียนเก่งในชั้น เวลาครูไม่อยู่อาตมาจะต้องไปสอนพระสอนเณรแทน เอ๊ะเราจะสอบตกได้ไง พอถึงปลายปีสอบตกจริงๆ แต่ก็คิดว่าหมอดูเดาแม่น คนที่ไม่เคยสอบตกแล้วตกนี่จะเสียใจมาก อาตมาก็เหมือนกัน คิดว่าจะสึกดีไหม บุญบวชเราไม่มี แม่บอกว่าอย่าสึกเลย ก็เลยไปหาซื้อหนังสือมาอ่าน มีทั้งประวัติศาสตร์ กวีนิพนธ์ ตำราโหราศาสตร์ อ่านไปอ่านมาเอ๊ะเราตกเกณฑ์ไม่ดีนี่ ตำราว่าอย่างนี้ ก็พอดีมีพระบวชใหม่มาบอกดูให้หน่อย บังเอิญพระองค์นั้นกำลังจะสึกออกไปแต่งงาน อาตมาก็ดู บอกหลวงพี่ดวงกำลังเคราะห์ร้ายนะ อย่าซื้อเงินทองของรักนะ ตามเกณฑ์บอกอย่างนี้ ท่านก็บอกเคราะห์อะไร ผมสึกไปก็จะแต่งงาน ปีนั้นปรากฏว่าเกิดกบฏแมนฮัตตัน หลวงพี่ที่บวชเขาเป็นทหารเรือก็สึกไป เรามาเจอกันอีกครั้งเขามาบอกเณรๆ ทายแม่นนะ ผมไม่ได้แต่งงานหรอก คู่หมั้นตายแล้ว ตอนกบฏระเบิดมันลง แล้วแกก็ถูกตั้งข้อหาว่าเป็นกบฏ กระเซอะกระเซิงไปอรัญประเทศ หลังจากนั้นเขาก็พาเพื่อนมาดู ไม่ได้เป็นเรื่องเป็นราวหรอก แต่ก็ศึกษาเพิ่มเติมมาเรื่อยๆ มา แต่เราก็ไม่ได้งมงาย ถือว่าเป็นศาสตร์สถิติอย่างหนึ่ง และเอามาใช้เพื่อเป็นข้อเตือนใจ ถ้าช่วงไหนดวงดีก็รีบทำนะ ถ้าดวงไม่ดีก็ต้องระมัดระวัง ไม่ได้เอามาเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวเป็นเรื่องงมงาย เพราะคิดอยู่เสมอว่าถ้าดวงดีถ้านักเรียนไม่ดูหนังสือจะสอบได้ไง แต่มันก็มีบางคนเวลาดวงไม่ดีพูดดีๆ ก็หาว่าไปด่าเขา เวลาดวงดีไปด่าเขาแท้ๆ เขายังบอกว่าไปสอนเขา อย่างนี้เป็นเรื่องที่ภาษาจีนเขาบอกว่า เฮงกับเก่ง ต้องประกอบกัน เหตุดี ปัจจัยดี ผลออกมาดี มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ"

    แล้วถ้าผู้นำเฮงแต่ไม่เก่ง บ้านเมืองจะมีความหวังหรือ

    "การบริหารบ้านเมืองมันไม่ใช่ง่ายๆ เรื่องใหญ่ มันไม่เหมือนบริษัทส่วนตัว ไม่เหมือนครอบครัว มันเป็นเรื่องของส่วนรวมทั้งประเทศทั้งหมด เพราะฉะนั้นการทำอะไรมันต้องทำร่วมกันหมด แต่องค์ประกอบของแต่ละรัฐบาลมันไม่เหมือนกัน แล้วแต่สภาพแวดล้อม แล้วแต่องคาพยพองค์ประกอบของรัฐบาลนั้นๆ เป็นอย่างไร เพราะฉะนั้นในเรื่องเหล่านี้จะไปโทษนายกฯ คนเดียวไม่ได้ มันทำงานร่วมกันเป็นทีม และศักยภาพจริงๆ ของท่านนายกฯ ท่านเป็นนายกฯ จริงหรือเปล่า เราก็ต้องรู้ ความจริงพวกเรารู้ว่ามันเป็นอย่างไร แต่โดยรวมแล้วก็คือ ร่วมกันในการที่จะบริหารประเทศชาติบ้านเมืองในนามของพรรคเพื่อไทยและพรรคร่วม ที่จะไปควบคุมการบริหารจัดการในระบบราชการ ทั้งหลายทั้งปวงก็ขึ้นอยู่กับศักยภาพของพรรคเพื่อไทยกับพรรคร่วมรัฐบาล จะมาบอกว่าเป็นเพราะนายกฯ หญิงอย่างเดียวก็ไม่ได้ นายกฯ ชายที่เแล้วมาก็เป็นเหมือนกัน กี่คนแล้วนายกฯ ชาย โดนปฏิวัติสารพัดอย่าง นายกฯ ยิ่งลักษณ์พอขึ้นเวทียังไม่ทันตั้งตัวโดนชกแล้ว ประสบการณ์-วัย ทำงานได้ขนาดนี้ก็นับว่าเก่ง เหมือนเรานั่งข้างเวทีมวย เชียร์ให้ต่อยอย่างนั้นอย่างนี้ ลองขึ้นไปเองสิแล้วจะรู้"

    ทราบกันดีว่า พระพรหมวชิรญาณคุ้นเคยกับครอบครัวคุณหญิงพจมานมาตั้งแต่รุ่นพ่อ (พล.ต.ท.เสมอ ดามาพงศ์) จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่นายกฯ ยิ่งลักษณ์จะเคยมาพบ
    "มาก่อนที่ยังไม่ได้เป็นนายกฯ หลังจากเป็นนายกฯ แล้วไม่ได้มา"

    ลือกันว่าเพิ่งจะมาเมื่อ 6 ธ.ค.

    "ไม่ได้มา แต่เราทำพิธีเพื่อประเทศชาติบ้านเมืองอยู่ตลอดเวลาให้สามารถผ่านวิกฤติไปได้"

    เพราะเมืองไทยไม่เคยมีนายกฯ หญิงมาก่อน พอยิ่งลักษณ์เป็นนายกฯ ก็เกิดมหาอุทกภัย เลยถูกวิจารณ์ว่าขัดกับดวงเมือง

    "เข้าใจว่าจะเป็นเรื่องของความเห็นต่าง ความคิด ไม่ใช่ว่าเป็นกฎตายตัว พอเกิดขึ้นแล้วมาพูดก็ถูกทั้งนั้นแหละ อาตมาว่าเชื่อกรรมดีกว่า"

    คำพยากรณ์ของโหราศาสตร์สอดคล้องกับนักวิชาการด้านสิ่งแวดล้อม ที่ออกมาเตือนว่าปีหน้าประเทศไทยจะเจอภัยธรรมชาติหนักกว่าเดิม 

    "โหราศาสตร์เขาว่าไว้อย่างนั้น ด้านธรณีวิทยาเขาก็สรุปกันไว้ว่าอย่างนั้น เนื่องก็คือเป็นเรื่องของศาสตร์ ศาสตร์ทุกศาสตร์ถ้านำมาใช้ให้เป็นก็เกิดประโยชน์ เพราะฉะนั้นเราก็ฟังไว้ และก็หาทางป้องกัน ถามว่าเราจะทำอะไรบ้าง ทั้งวาระแห่งชาติจะทำอะไรในเรื่องเหล่านี้ ขณะนี้ได้ทราบว่าเขากำลังเตรียมการอยู่ แต่มันจะได้ผลแค่ไหนเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ในทางโหราศาสตร์และธรณีวิทยาบอกตรงกันว่าในปี 2555-2556 มันจะมีแผ่นดินไหว น้ำท่วมอีกครั้งหนึ่ง ยังไม่หมด วิกฤตการณ์อื่นๆ ในเรื่องดิน น้ำ ลม ไฟ ภัยธรรมชาติ และวิกฤติการณ์ทางด้านจิตใจของผู้คนในชาติในกลุ่มต่างๆ จะมีความคิดเห็นต่าง ความขัดแย้งที่ไม่ลงตัว และก็นำไปสู่ปัญหา ถ้าประสานประโยชน์ได้ก็ไม่เป็นไร ถ้าเขาไม่ทำนายไว้ไม่เตือนไว้ ก็จะคิดว่าคงไม่เป็นไร แต่ถ้าได้ระมัดระวังไว้ มันก็จะทำให้นำเอามาประกอบในการตัดสิน ว่าอะไรควรไม่ควรอย่างไร ให้ร้ายกลายเป็นดี ผ่อนหนักเป็นเบาได้ จะได้หาทางปรับปรุงแก้ไขได้"
                    ////////////////

                     มงคลชีวิต 2555
    ชีวิตของมนุษย์ในโลกนี้ มี เหตุ และ ปัจจัย ให้เกิด ผล 2 ประการ คือ
    1.เหตุปัจจัยดี ย่อมอำนวยให้เกิดผลดี ภาษาพระเรียกว่า มงคล คือ โชคดี ได้แก่ ความสะดวก ไร้อุปสรรคและภัยอันตราย ความสำเร็จ ความเจริญก้าวหน้า และความสุขสวัสดี
    2.เหตุปัจจัยไม่ดี ย่อมอำนวยให้เกิดผลไม่ดี ภาษาพระเรียกว่า อัปมงคล คือ เคราะห์ร้าย อุปสรรคปัญหา ไม่ประสบความสำเร็จ ไม่เจริญก้าวหน้า มีความทุกข์ความเดือดร้อน
    ทุกคนต้องการ มงคล และไม่ต้องการ อัปมงคล
    พระพุทธเจ้าทรงแสดงหลักการไว้ว่า ผู้ปรารถนา อุดมมงคล พึงปฏิบัติดังนี้ คือ
    1.ไม่คบคนพาล 2.คบบัณฑิต 3.บูชาคนที่ควรบูชา 4.อยู่ในถิ่นที่มีสิ่งแวดล้อมดี 5.ทำดีเตรียมพร้อมไว้เสมอ 6.ตั้งตนไว้ชอบ
    7.ใส่ใจสดับตรับฟังค้นคว้าหาความรู้อยู่เสมอ 8.ชำนาญในวิชาชีพของตน
    9.ได้ฝึกอบรมตนไว้ดี 10.รู้จักใช้คำพูดให้เป็นผลดี 11.บำรุงมารดาบิดา
    12.สงเคราะห์บุตร 13.สงเคราะห์ภรรยา 14.การงานไม่อากูล
    15.รู้จักบริจาคสงเคราะห์ 16.ดำรงตนอยู่ในศีลธรรม 17.สงเคราะห์ญาติ
    18.การงานไม่มีโทษ 19.เว้นจากความชั่ว 20.เว้นการดื่มน้ำเมา
    21.ไม่ประมาทในธรรมทั้งหลาย 22.รู้จักคุณค่าของบุคคล สิ่งของ สถานที่ และกิจการ
    23.สุภาพอ่อนน้อมถ่อมตน 24.พอใจในความสำเร็จของตน 25.มีความกตัญญู 26.แสวงหาความรู้ที่ดีมีสาระ 27.มีความหนักแน่นอดทน 28.เป็นผู้ว่าง่ายสอนง่าย
    29.เยี่ยมเยือนท่านผู้สงบกิเลส 30.สนทนาแลกเปลี่ยนความรู้ความดีที่เป็นประโยชน์เสมอ
    31.รู้จักควบคุมตนไม่ปรนเปรอตามใจอยาก 32.รู้จักควบคุมตนในทางกามารมณ์
    33.เข้าใจในความจริงของชีวิต 34.ทำพระนิพพานให้แจ้ง 35.ถูกโลกธรรมจิตไม่หวั่นไหว
    36.จิตไร้เศร้า 37.จิตปราศจากธุลี 38.จิตเกษม
    มนุษย์ทั้งหลาย เมื่อปฏิบัติในมงคลเช่นนี้แล้ว ย่อมไม่ปราชัยในที่ทุกสถาน ย่อมถึงความสวัสดี ในที่ทั้งปวง คือย่อมบรรลุ อุดมมงคล สมกับการประพฤติปฏิบัติ ขอความปลอดภัย ความสำเร็จและความสุข สวัสดีในชีวิต จงบังเกิดแก่ท่านสาธุชนทั้งหลาย ตลอดปีใหม่ 2555 ทุกประการเทอญ
                            พระพรหมวชิรญาณ
                                 กรรมการมหาเถรสมาคม
                                  เจ้าอาวาสวัดยานนาวา กรุงเทพมหานคร

 

แก้ไขล่าสุด ใน วันจันทร์ที่ 09 มกราคม 2012 เวลา 21:49 น.
 

การดำเนินธุรกิจตามปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของนิธิฟู้ดส์

พิมพ์ PDF

การดำเนินธุรกิจตามปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของนิธิฟู้ดส์

 

ความพอประมาณ

  • เน้นใช้เงินทุนภายใน
  • ขยายกิจการ ตามกำลังทุน และความสามาระ
  • กระบวนการผลิต มีประสิทธิภาพ
  • พนักงานทุกแผนก สลับงานกันได้
  • ยอดการขายเพิ่มขึ้น ในอัตราที่เหมาะสม และต่อเนื่อง

แก้ไขล่าสุด ใน วันจันทร์ที่ 22 สิงหาคม 2011 เวลา 23:49 น.
 


หน้า 537 จาก 558
Home

About Us

ศูนย์บูรณาการพัฒนามนุษย์ (ศบม.) เป็นองค์กรที่พัฒนาและจัดทำโครงการเพื่อทำประโยชน์ให้สังคม เป็นองค์กรสนับสนุนการดำเนินงานของภาครัฐ ช่วยแก้ปัญหาผู้ประกอบการภาคธุรกิจบริการที่ขาดแคลนบุคลากรที่มีมาตรฐานในการให้บริการ
อ่านเพิ่มเติม

มูลนิธิศูนย์บูรณาการพัฒนามนุษย์ ์

 iHDC Profile
บัญชีรายชื่อกรรมการ
ใบสำคัญแสดงการจดทะเบียน การเปลี่ยนแปลงกรรมการของมูลนิธิ
เอกสารประชาสัมพันธ์ โครงการ HMTC.pdf
เอกสารแนะนำโครงการ HMTC 1.pdf
เอกสารโครงการ HMTC 2 คุณสมบัติผู้เข้าร่วมโครงการ.pdf
iHDC นิติบุคคล.pdf
iHDC บุคคล.pdf
iHDC บุคคลเครือข่าย.pdf
รายงานการประชุม 6 มีนาคม 2560.pdf
ข้อบังคับมูลนิธิ
ใบสำคัญแสดงการจดทะเบียนจัดตั้งมูลนิธิ
Ihdc-Profile and Roadmap 2016-2019 Mar 23 2560.pdf
รายงานการประชุมใหญ่คณะกรรมการมูลนิธิศูนย์บูรณาการพัฒนามนุษย์ 2559.pdf
คำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการ สาขาวิชาชีพ.pdf
รายงานการประชุมใหญ่วันที่ 18 ธ ค 2558 v 3.pdf
รายงานการประชุม วันที่ 24 ธันวาคม 2557 updated 4 มีนาคม 2558.pdf
iHDC-invitation Letter.doc
iHDC-Member Form Thai.doc
iHDC-Member Form English.doc
รายงานการประชุมกรรมการมูลนิธิศูนย์บูรณาการพัฒนามนุษย์ วันที่ 15 มกราคม 2556 ฉบับสมบูรณ์


thaibetter
พัฒนาประเทศไทยแบบทวีคูณ และยั่งยืน ( ททค )

Login


แบบสำรวจ

สถิติเว็บไซด์

สมาชิก : 5607
Content : 3052
เว็บลิงก์ : 26
จำนวนครั้งเปิดดูบทความ : 8607398

facebook

Twitter


บทความเก่า